สัญญาอมตะ ตอนที่ 15

กระทู้คำถาม
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มังกรวิเศษหลุดเข้าอุโมงค์แห่งกาลเวลาเพราะมนุษย์ผู้หนึ่งเข้าไปแตะต้องสิ่งวิเศษสำคัญ มันสามารถสลายและแยกตัวออกได้หลายร่างโดยทุกร่างมีพลังอำนาจเท่าเทียมกัน เจ้ามังกรหลบหนีผู้ทรงอำนาจทั้งสี่แยกตัวออกเป็นเจ็ดส่วนในเส้นทางแห่งกาลเวลา ชิ้นส่วนสีม่วงมีความวิวัฒน์ทางความคิดมากที่สุดต่อสู้กับพี่น้องอีกหกชิ้น ในช่วงเวลาแห่งการฆ่าฟัน ชิ้นส่วนต่าง ๆ ก็ร่วงหลุดสู่ช่วงเวลาที่แตกต่างกัน
 
            ชิ้นส่วนสีฟ้าโดนใส่ตรวนเวทจนหลุดจากอุโมงค์เวลาทำให้ชิ้นส่วนอื่น ๆ ตระหนักถึงความบ้าคลั่งแล้วรีบหนี ชิ้นส่วนสีแดงกับเหลืองเกือบสิ้นสภาพด้วยเวทมนตร์ร้ายแรงหากหนีออกภายนอกเส้นทางแห่งกาลเวลาทัน ส่วนชิ้นส่วนสีส้มเกือบตกเป็นเหยื่ออีกรายแต่โชคยังเข้าข้างที่ชิ้นส่วนสีเขียวเข้ามาขวางให้ผู้ล่าเปลี่ยนความสนใจทำให้มันหนีสู่ห้วงเวลาปกติได้ในที่สุด
 
            สถานที่ที่ชิ้นส่วนสีส้มหล่นลงมาคือป่าดำของเหล่ามังกรมนตรา เหล่ามังกรโบราณตื่นเต้นมากเมื่อสิ่งแปลกปลอมลงมาจากท้องฟ้า ชิ้นส่วนสีส้มสร้างร่างให้ใกล้เคียงกับมังกรแถบนั้นมากที่สุด ร่างอ้วนพี จมูกสั้นเหมือนหมู อุ้งเล็บคล้ายกีบ ชื่อของมันเมื่อแบ่งตัวออกมาคือกุล่า!
 
            กุล่าอาศัยกับเหล่ามังกรมนตราด้วยความครั่นคร้ามต่อชิ้นส่วนสีม่วงผู้ทรงอำนาจจนผิดปกติ มีครั้งหนึ่งเจ้าชิ้นส่วนสีม่วงมาพบมันหมายดูดกลืนเอาพลังชีวิตไปใช้ทว่ามังกรส้มกับเหล่ามังกรในป่าหาญสู้สุดชีวิต ณ ที่นั้นมีร่องรอยการเดินทางพาดผ่านของสิ่งที่น่ากลัวจับใจอยู่เจ้าชิ้นส่วนสีม่วงลังเลชั่วอึดใจจึงยอมถอยก่อนเผด็จศึกได้
 
            กุล่าสอบถามเหล่ามังกรจึงรู้ว่าเมื่อเจ็ดปีก่อนมีผู้เป็นอมตะกับสิ่งมีพลังโบราณมาพักแรมทำให้มีร่องรอยเหลือถึงจะผ่านวันเวลามานาน แม้จะหวาดกลัวจนเกล็ดอ่อนสั่นมันก็กล่าวขอบคุณที่ช่วยกันเจ้าชิ้นส่วนสีม่วงให้ เพราะรู้ถึงความผิดแปลกของผู้ทรยศพวกพ้องทำให้มันหดหัวอยู่กับเหล่ามังกรมนตราและปฏิเสธการร่วมมือกับชิ้นส่วนสีเหลืองในเวลาต่อมา
 
            ผ่านไปสี่สิบปีป่าดำถูกรุกล้ำอีกครั้ง เมืองขยายตัวมาถึงชายป่าพวกมังกรจึงถูกล่าด้วยเกรงว่าเป็นภัยต่อมนุษย์ กุล่าคิดว่าควรหาที่อยู่ใหม่เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์มังกรสายเลือดบริสุทธิ์เอาไว้ หากเหล่ามังกรเจ้าถิ่นเชื่อว่ามันคือคำสาปเนื่องจากบรรพบุรุษไม่ยอมอพยพย้ายถิ่นตามสิ่งมีชีวิตชั้นสูงอื่น ๆ และยอมรับการสูญพันธุ์ตามสภาพ
 
            เมื่อมังกรมนตราตัวสุดท้ายสิ้นลมจากความขลาดกลัวก็กลายเป็นความบ้าคลั่ง กุล่าโทษว่าเป็นความผิดตนที่มีพลังอำนาจมหาศาลแต่ไม่ทำอะไรเลย มันเค้นความรู้เก่าแก่เพื่อจุดหมายในหัวใจ สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตทั้งหลายในป่าดำถูกกลืนกินเพื่อบ่มเพาะพลังในตัวของมังกรร้าย! เมื่อสะสมได้มากพอมันจะสร้างไข่มังกรนับร้อยใบขึ้นได้ วันนั้นเผ่าพันธุ์มังกรมนตราแห่งป่าดำจะคืนชีพอีกครั้ง!...
 
 
            ภายใต้ผืนป่าครึ้มแทบไม่มีแสงส่องผ่านผู้เป็นอมตะกำลังต่อสู้กับมังกรสีส้มอย่างดุเดือด! กรงเล็บน้ำแข็งบนมือทั้งสองข้างของเซธใช้การได้ดีกว่าดาบปฐพีที่ทำได้แค่ปัดป้อง เขาไม่รู้ว่าเหตุใดมังกรส้มนามกุล่าจึงจู่โจมอย่างบ้าคลั่งไม่ยอมพูดจาดี ๆ เหมือนอินวิเดีย 
 
            การล่ามังกรคราวนี้เซธเริ่มตามธรรมเนียมอันดีด้วยการใช้ดาบแห่งดินอย่างอัศวินสมัยก่อน เขากับท่านผู้นั้นตัวปลอมเดินทอดน่องทำเป็นนักเดินป่าหลงทางจนเจ้ามังกรเข้าโจมตีด้วยปากอ้ากว้างราวจะกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ดาบด้ามดำกรีดพื้นดินเรียกกำแพงหนาขวางกั้นให้พวกเขาหลบฉากเตรียมตอบโต้ 
 
            ช่วงเวลามังกรหันตัวกลับเซธเชื่อว่านั่นคือกุล่าจึงพยายามพูดคุยด้วยเผื่อสามารถทำข้อตกลงกันได้อย่างตอนอินวิเดีย 
 
            “ข้าแค่ต้องการอยู่อย่างสงบ ไม่ได้อยากร่วมมือกับนังตัวเหลืองนั่นสักนิด!” กูล่าคำรามแสดงความคิดอ่านออกมาก่อนเหวี่ยงหางที่เป็นเงี่ยงเข้าหาผู้เป็นอมตะ “มีแต่คนโง่ที่คิดสู้กับตัวประหลาดพรรค์นั้น!” 
 
            เซธเตรียมวาดดาบธาตุดินเพื่อปกป้องตัวเองพร้อมกันนั้นก็นึกสงสัยว่าเจ้ามังกรพูดถึงเรื่องอะไร ใครคือนางตัวเหลือง แล้วตัวประหลาดคือสิ่งใด       
 
            “จะต้องให้บอกกี่ครั้งว่าทำตามคำสั่งทุกกระเบียดนิ้ว! โค่นมันให้ได้!” ผู้ปลอมตัวแสดงความขัดใจจากที่นั่งคนดูบนต้นไม้ใหญ่
 
            เจ้ามังกรมองเซธกับท่านผู้นั้นตัวปลอมด้วยดวงตาสีขุ่น ความโลภฉายขึ้นมาจาง ๆ เหมือนหมอกควัน
 
            “หากข้ากินพวกเจ้าทั้งคู่คงได้พลังงานไปชั่วนิรันดร อาวุธวิเศษนั่นด้วย!” 
 
            พอสิ้นเสียงสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปจากการฆ่าฟันธรรมดากลายเป็นการขย้ำกินโดยเจ้ามังกร! นั่นทำให้เซธต้องเปลี่ยนดาบแห่งดินที่สามารถถูกเขมือบได้ในคราวเดียวเป็นกรงเล็บแห่งน้ำแข็งเพื่อเพิ่มโอกาสตอบโต้
 
            ใบของกรงเล็บน้ำแข็งสามารถสร้างแหลนน้ำแข็งป้องกันปากอ้ากว้างได้อย่างดี ถือเป็นโชคของเซธที่คู่ต่อสู้หมายกินเขาทั้งตัวมากกว่าขยี้ให้แหลกด้วยอุ้งเท้าหรือหางทำให้หาช่องว่างหลบหลีกได้ง่ายกว่า ผู้เป็นอมตะทำให้กุล่าหน้าทิ่มดินได้สามครั้งก่อนพยายามเจรจาอีกหน
 
            “พวกเจ้ามีความคิดอ่านเท่าเทียมหรืออาจสูงกว่ามนุษย์ ทำไมเราจะคุยกันก่อนไม่ได้!” เซธแสดงความมุ่งมั่นออกมาจนได้รับเสียงด่าจากท่านผู้นั้นตัวปลอม เจ้ามังกรหัวเราะทางมุมปาก
 
            “ข้าไม่สนแผนแสนฉลาดของยัยนั่นเลยสักกระผีก สิ่งที่ข้าเชื่อคือความเป็นไปได้จริง ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอย่างการล้มสัตว์ประหลาดอย่างนั้น!” 
 
            คำค่อนขอดทำให้เซธคิดว่ามันพูดถึงอวาร์ริเทีย ท่านผู้นั้นตัวปลอมหย่อนตัวลงพื้นแทรกการสนทนาราวกับความอดกลั้นหมดลงแล้ว
 
            “หากใจอ่อนก็ถอยไปเซธ เราจะจัดการมันเอง” ท่านผู้นั้นตัวปลอมย่างเท้าเข้ามายืนหว่างกลางเซธกับกุล่า “ถ้าไม่ยอมเชื่อฟังดี ๆ ก็ต้องใช้กำลัง”
 
            ลมหมุนสีขาวก่อตัวข้างร่างปลอมของท่านผู้นั้น ดาบฆ่าม้ายาวเกือบช่วงตัวคนลอยกลางอากาศเหมือนสายลมนำสิ่งนั้นมาให้ ท่านผู้นั้นตัวปลอมจับด้ามมาถือไว้ด้วยมือเดียวอย่างน่าประทับใจ เซธเคยเห็นทหารแนวหน้าใช้ดาบฆ่าม้าเพื่อทำลายกองหอกของศัตรู มันไม่หนักอย่างตาเห็นแต่การถือมือเดียวต้องอาศัยพละกำลังและทักษะมากกว่าการจับด้วยสองมือ
 
            เหมือนทุกครั้ง การล่าเหล่ามังกรของเซธคงไร้สีสันหากเจ้าปิศาจในผ้าคลุมสกปรกไม่ออกมาทำให้ทุกอย่างยุ่งเหยิง วงอาคมสีแดงเถือกสว่างวาบขึ้นรอบเท้าของท่านผู้นั้นตัวปลอม สายโซ่ดำสนิทกว่าสิบเส้นพุ่งขึ้นจากเส้นสีแดงเหมือนงูเข้ารัดพันตัวเหยื่ออย่างแน่นหนา ผู้ปลอมตัวมองอย่างสงสัยว่ามันคืออะไร
 
            เมื่อผู้ตามล่าโดนใครไม่รู้ตรึงเอาไว้กุล่าจึงฉวยโอกาสพุ่งเข้าหาหมายกลืนตัวตนโบราณเข้าปากพร้อมดาบใหญ่ในมือ หากในเสี้ยววินาทีเดียวกันเจ้ามังกรส้มก็ตัวสั่นทรุดลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง เจ้าปิศาจในผ้าคลุมสกปรกค่อย ๆ หย่อนตัวจากบนท้องฟ้าสู่พื้นดินข้างสัตว์ร้ายที่สิ้นฤทธิ์ชั่วคราว
 
            “ดูแปลกไปนะอิกริด ปกติเจ้าชอบล่องหนไปไหนมาไหนไม่ใช่หรือ คำสั่งห้ามทำร้ายชีวิตน่าจะเป็นเหมือนปลอกคอถาวรแล้วทำไมจึงคิดลงมือเอง แล้วดาบปีกวิหคเล่มเดิมไปไหนเสียแล้ว” เจ้าปิศาจในผ้าคลุมสกปรกตั้งข้อสงสัยทันทีตามประสาคนรู้จัก “บางทีเจ้าอาจแค่อยากทำตัวไร้เหตุผลแบบสมัยก่อน...อาจเป็นโชคของข้าก็ได้ที่เจ้าออกมายืนหราอย่างนี้ นั่นคือการทดลองครั้งล่าสุดว่าเจ้าไร้จุดอ่อนจริงหรือไม่”
 
            “ยังชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเหมือนเคย แล้วนักรบเทพอิกริดไม่ควรมีจุดอ่อนนี่” ท่านผู้นั้นตัวปลอมให้ความสนใจสายโซ่สีดำมากกว่าเจ้าปิศาจในผ้าคลุมสกปรก นั่นยิ่งเพิ่มความระแวงมากขึ้นในความเห็นของเซธ
 
            เจ้าปิศาจในผ้าคลุมสกปรกทำท่าจะอรรถาธิบายทฤษฎีเกี่ยวกับท่านผู้นั้นเซธจึงฉวยโอกาสพุ่งเข้าไปหาหมายขับไล่ด้วยกำลัง น่าเสียดายที่อีกฝ่ายเรียนรู้จุดอ่อนตัวเองได้ในที่สุด มืออุดมไปด้วยเกล็ดของเจ้าปิศาจใช้ปืนพกยิงใส่หัวเข่าข้างหนึ่งของเขาอย่างแม่นยำจนเสียหลักล้มออกนอกทาง! 
 
            “ไม่สำเหนียกบ้างเลยหรือว่าเจ้าคือตัวประกอบเท่านั้น ข้ากับอิกริดต่างหากคือตัวเอกของเรื่องนี้! หากขวางอีกคงต้องใช้ระเบิดให้อยู่นิ่ง ๆ สักพัก” เจ้าปิศาจในผ้าคลุมสกปรกถ่มน้ำลาย
 
            “ขอเดานะ เกี่ยวกับเวทมนตร์ใช่ไหม” ผู้ปลอมตัวบอกเซธทางสายตาว่าให้รอตรงนั้น 
 
            “โซ่อาคมพวกนั้นจะเข้าเชื่อมต่อและดูดเวทมนตร์ของเหยื่อไปใช้เสริมพลังของมัน เวทมนตร์ธาตุคือจุดเด่นของเจ้าดังนั้นข้าจะปิดมันด้วยวิธีนี้ ยิ่งผู้ถูกพันธนาการมีพลังเวทกล้าแกร่งแค่ไหนโซ่นั่นก็ยิ่งเข้มแข็งตามไปด้วย ลองเป็นเจ้ามันคงแข็งเหมือนแร่ในตำนานนั่นกระมัง ต่อให้เป็นดาบวิเศษเล่มนั้นก็ตัดไม่ขาดหรอก”
 
            เจ้าปิศาจในผ้าคลุมสกปรกอวดโอ่ความคิดเรื่องผนึกพลังของท่านผู้นั้น มีอยู่เสี้ยวเวลาหนึ่งเซธลืมว่านั่นไม่ใช่นักรบเทพอิกริดตัวจริง เมื่อเขารู้สึกตัวก็หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ส่วนท่านผู้นั้นตัวปลอมมองสายโซ่อย่างสนอกสนใจ 
 
            “ความคิดดีนี่ หากใช้วิธีนี้แกก็โยนอะไรต่อมิอะไรเข้ามาเพื่อปลิดชีพได้ทั้งนั้น อาวุธธรรมดา สิ่งวิเศษ หรือแม้กระทั่งเวทมนตร์” ดวงตาสีพระจันทร์แดงของท่านผู้นั้นตัวปลอมไม่มีแววของการเยาะเย้ยอีกฝ่ายเลย ราวกับเจ้าตัวให้ความเคารพศัตรูเหมือนมิตร “แต่ความจริงไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะการทำสัญญาพิเศษกับหนึ่งในเสาค้ำจุนทำให้สามารถใช้วิชาเรียกสัตว์ปิศาจได้ด้วย มันต้องสังเวยพลังกายไม่ใช่พลังเวท ดังนั้นวิธีนี้จะได้ผลแค่ตอนแรกเท่านั้น”
 
            การไม่ยี่หระต่อแผนใด ๆ ทำให้เจ้าปิศาจในผ้าคลุมสกปรกหงุดหงิดแล้วเกทับด้วยการชี้ปากกระบอกปืนไปหาท่านผู้นั้นตัวปลอม
 
            “อย่างนั้นมาดูกันว่าเจ้าจะเรียกตัวอะไรมาช่วยทันข้าลั่นไกไหม วิชาเรียกสัตว์ปิศาจอาจโกงแต่คงไม่ทันกระสุนปืนหรอก!”
 
            เสียงปืนแทรกกลางความเงียบสงัดของป่าดำ แทนที่กระสุนจากปืนพกสมัยใหม่จะเจาะทะลุหรือเฉี่ยวร่างของเป้าหมายมันกลับถูกปัดป้องได้ด้วยดาบฆ่าม้าเล่มเดียว! สายโซ่โยงมือข้างที่ถือดาบขาดหล่นลงพื้นดินเหมือนใบไม้ร่วงจากต้น
 
            “มันน่าจะแข็งและหนักยิ่งกว่าเรือเดินสมุทรสิในเมื่อแหล่งพลังงานของมันเป็นถึงนักรบเทพอิกริด เจ้าคือกลุ่มก้อนพลังเวทไร้จุดจบที่ทุกคนยำเกรง!” ความมั่นใจของเจ้าปิศาจในผ้าคลุมสกปรกสั่นสะเทือนเหมือนต้นไม้กลางพายุ ท่านผู้นั้นตัวปลอมหลุดหัวเราะออกมาจนได้
 
            “มันควรเป็นอย่างนั้นหากเราคืออิกริดตัวจริง นอกจากแกจะไม่ใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วก็ยังโชคร้ายจนน่าเหลือเชื่อ!”
 
            ร่างของท่านผู้นั้นตัวปลอมพร่าเลือนด้วยละอองแสงสีขาวจนเปลี่ยนเป็นร่างแท้จริง หญิงวัยกลางคนยืนหัวเราะพร้อมปักดาบฆ่าม้าไว้ข้างตัว ผมยาวสีน้ำตาลอ่อนโยนไม่เข้ากับแววตากร้านเกรียมดุดัน เสื้อผ้าสีอ่อนก็ไม่ได้ทำให้ความน่ายำเกรงลดลงสักนิด 
 
(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่