14 กรกฎาคม 2560
...หวานปนเศร้า...
จากความแปลกหน้า ไม่ค่อยถูกชะตาเมื่อแรกเจอ หลังจากผ่านคืนวันให้เรียนรู้ ได้ผูกพัน พอสนิทกัน...ก็ถึงเวลาต้องร่ำลา
เช้านี้เป็นเช้าวันสุดท้ายในเลห์สำหรับเรา เต้ และ อาร์ท ส่วนเพื่อนๆคนอื่น จะกลับกรุงเทพฯหลังจากเราอีกสองวัน...ตอนนั้นใจนึงก็อยากกลับบ้าน(หลักๆคือคิดถึงอาหารไทย)...อีกใจก็อยากอยู่ต่อ
เราลงมานั่งซึบซับบรรยากาศวันสุดท้ายตั้งแต่เช้า ก่อนที่คนอื่นๆจะลงมา นอกจากจะพบว่าสัญญาณ wifi แรงมาก เข้าเนทได้โดยไม่ต้องแก่งแย่งกับใคร...ยังค้นพบอีกว่าบรรยากาศแบบเช้าวันนี้ ทำให้หัวใจอ่อนไหวง่ายเป็นพิเศษ...
...แสงแดดอ่อนยามเช้า อากาศเย็นสบาย คล้ายหอมกลิ่นหน้าหนาว...
เช้าที่ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ไม่ต้องเร่งรีบ มีแต่ธรรมชาติที่สดชื่นรายล้อม มีเวลาได้นั่งคุยกับตัวเอง
หลังจากผ่านมาหลายวันกับการถูกจำกัด wifi เราค้นพบว่า มันกลายเป็นข้อดี .... นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้ละสายตาจากมือถือ อยู่ที่นี่เราไม่ต้องคอยหยิบมือถือมาอัพเดทนั่นนี่ สายตาของเรา...มีไว้ชื่นชมสิ่งรอบตัว ความสนใจของเรา...มีให้กับช่วงเวลา ณ ขณะนั้นอย่างแท้จริง
โดลเชมารับพวกเราตอน 9 โมง...แพลนวันนี้จะเป็นการเที่ยวใกล้ตัวเมืองเลห์ เส้นทาง Lamayuru หรือที่เรียกกันว่า Moon land เพราะเต็มไปด้วยภูเขาหิน หลุม บ่อ คล้ายกับพื้นผิวดวงจันทร์
เอาจริงๆเราก็ไม่รู้หรอกว่า จุดไหนที่เรียกว่า Moon land ... บางทีเราอาจจะแค่ขับผ่านมันไป หรือไปไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ เรารู้แต่ว่าตรงไหนสวย พวกเราก็แวะถ่ายรูป
หลังจากเที่ยวกันมาจนถึงช่วงท้ายทริป หลายคนเริ่มมีอาการเพลียสะสม บวกกับวันนี้แดดแรงมาก พวกเราเลยเลือกที่จะแวะเที่ยวแค่ 2 ที่ อีกเหตุผลที่พวกเราไม่แวะเยอะ เพราะอยากจะมีเวลากลับมาเดินตลาดเมืองเลห์
ที่แรกที่พวกเราแวะเที่ยว คือ “Lamayuru Monastery” (วัดลามะยูรู) วัดที่เก่าแก่และมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเลห์ ตั้งอยู่บนยอดเขาหินทราย แวดล้อมไปด้วยดินแดนที่เรียกว่า Moon Land
แต่ภาพจำสำหรับเราที่วัดนี้ คือ ลามะน้อย ... ลามะน้อยที่นี่หน้าตาดีมาก น่ารักคมเข้ม มีความเป็นณเดชน์น้อย มาริโอ้น้อย
อีกที่ที่พวกเราแวะคือ “Alchi Gompa” (วัดอัลชิ) ตั้งอยู่หมู่บ้านอัลชิ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ เป็นวัดที่ไม่ได้อยู่บนภูเขาเช่นเดียวกับที่อื่นๆ จุดเด่นมีศิลปกรรมการแกะสลักไม้ มีภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณอันทรงคุณค่า
พวกเราใช้เวลาที่นี่กันน้อยมาก เหมือนแวะเที่ยวเพื่อให้โดลเชสบายใจ เลยไม่ได้ถ่ายรูปที่นี่กันเท่าไหร่ และไม่ได้เข้าไปดูภาพฝาผนัง
นอกจากที่นี่จะไม่ได้ตั้งบนเขา ไม่ต้องเดินขึ้นบันได ซึ่งต่างจากที่อื่นแล้ว ยังมีอีกจุดแตกต่างคือ มีร้านขายของที่ระลึกเรียงราย คล้ายเป็นตลาดนัดย่อมๆ
หลังออกจากวัดอัลชิ เราย้ำให้โดลเชพาพวกเรากลับเข้าเมืองเลห์เลย ไม่ต้องไปไหนต่อแล้ว...อยากใช้เงินรูปี อยากช้อปปิ้ง อยากเดินตลาด
ระหว่างทางกลับเข้าเมืองเลห์ พวกเราแวะถ่ายรูปที่ Magnetic Hill ... จุดขายของที่นี่คือ ถ้าจอดรถเอาไว้ตรงจุดที่เค้ากำหนด แล้วดับเครื่อง เราจะเห็นเหมือนกับว่า รถมันไหลขึ้นภูเขาได้เอง ซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นภาพลวงตา ถนนจริงๆมันเป็นทางลงเขาต่างหาก แต่มุมมองมันเหมือนกับขึ้นภูเขาเท่านั้นเอง
เราจอดรถไว้ข้างทางกันเฉยๆ ไม่ได้ทำการทดลองแต่อย่างใด...ไม่รู้ด้วยว่าจุดที่เค้ากำหนดมันอยู่ตรงไหน ><
มาถึงตลาดเมืองเลห์ พวกเราก็แยกย้ายกันไปช้อปปิ้ง ของฝากยอดฮิตของที่นี่ คือ ผลิตภัณฑ์ Himalayan, ธงมนต์, ผ้า pashmina
นอกจากตามล่าของฝาก พวกเรายังต้องตามล่า ร้าน "Chopsticks"... ร้านอาหารที่เราอ่านเจอในหลายรีวิวของคนไทย และทุกรีวิวบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า...อร่อยมาก
นาทีที่ทุกคนเบื่อหน่ายอาหารเลห์ เอียนกลิ่นเครื่องเทศ จะมีอะไรดีไปกว่าการได้กินเนื้อสัตว์และอาหารใกล้เคียงรสชาติที่คุ้นเคย
ต้องขอบคุณ อาร์ท พูม แชมป์ ที่เสาะหาจนเจอร้าน "Chopsticks" ... เราไม่มีทางที่จะบังเอิญเดินไปเจอร้านนี้แน่ๆ และถ้าปล่อยให้เดินหากันทั้งคณะ น่าจะใช้เวลานานและมีคนหิวตาลายไปก่อน >< ที่สำคัญพวกเราเพิ่งรู้ว่า ร้านอยู่ติดกับออฟฟิศของแซมเลย
ร้านมีทั้งโซนด้านนอกและด้านใน แต่เนื่องจากอากาศเริ่มหนาว เลยสมัครใจนั่งกันที่โซนด้านใน พวกเราสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะให้สมกับความหิวโหยและอดอยาก (ทริปนี้คล้ายทริปลดน้ำหนัก กลับเมืองไทยทุกคนน้ำหนักลด)
และแล้วเราก็ปิดท้ายมื้อสุดท้ายในเลห์อย่างสมบูรณ์แบบ...อิ่ม อร่อย และมีความสุข...
เรารู้สึกมาเสมอ ว่าอารมณ์ของการจากลา...มันให้ความรู้สึก “หวาน” ปน “เศร้า”
คืนสุดท้ายในเลห์ เราก็ได้รู้สึกแบบนั้นอีก
สำหรับเรา “เลห์” คือ ผู้หญิงที่สวยแบบธรรมชาติ ไร้การปรุงแต่ง ติดดิน แต่เข้าถึงยาก และแน่นอนจีบติดโคตรยาก...แต่พอได้เรียนรู้ เริ่มผูกพัน จนสนิทกัน ก็ได้ใจเราไปเต็มๆ...หลงรักแบบถอนตัวไม่ขึ้น...
สิ่งไหนที่ได้มายาก สิ่งนั้นมีค่ามากเสมอ...เลห์ ก็เป็นเช่นนั้น
อาจเพราะการมาสัมผัสกับความสวยของเลห์ ต้องใช้ความตั้งใจ ความทรหด ถ้านั่งรถมาสบายๆ ไม่เจอความโหดระหว่างทาง เลห์อาจจะไม่สวยตราตรึงเท่านี้
...เลห์อาจจะไม่ได้สวยที่สุด แต่หลายคนหยุดคิดถึงไม่ได้...
ถ้าจะต้องร่ำลากันด้วยคำเพียงคำเดียว
...เราอยากจะกอดเลห์เอาไว้แน่นๆแล้วบอกว่า...
“ดีใจที่ได้เจอ”
- The End -
...................................................................................
ตอนก่อนหน้า
"Leh Ladakh" Diary - - Episode 0.5 : Before We Go
https://ppantip.com/topic/39788043
"Leh Ladakh" Diary - - Episode 1 : ‘10’ is a Perfect Number
https://ppantip.com/topic/39788073
"Leh Ladakh" Diary - - Episode 2 : 'U' is Keyword
https://ppantip.com/topic/39788126
"Leh Ladakh" Diary - - Episode 3 : Letter to “Leh Ladakh”
https://ppantip.com/topic/39788149
"Leh Ladakh" Diary - - Episode 4 : Hate & Love
https://ppantip.com/topic/39791374
"Leh Ladakh" Diary - - Episode 5 : Some other day, but Stay Forever
https://ppantip.com/topic/39791407
"Leh Ladakh" Diary - - Episode 6 : Somewhere only we know
https://ppantip.com/topic/39791433
[CR] "Leh Ladakh" Diary - - Episode 7 : It’s always hard to say Goodbye
14 กรกฎาคม 2560
...หวานปนเศร้า...
จากความแปลกหน้า ไม่ค่อยถูกชะตาเมื่อแรกเจอ หลังจากผ่านคืนวันให้เรียนรู้ ได้ผูกพัน พอสนิทกัน...ก็ถึงเวลาต้องร่ำลา
เช้านี้เป็นเช้าวันสุดท้ายในเลห์สำหรับเรา เต้ และ อาร์ท ส่วนเพื่อนๆคนอื่น จะกลับกรุงเทพฯหลังจากเราอีกสองวัน...ตอนนั้นใจนึงก็อยากกลับบ้าน(หลักๆคือคิดถึงอาหารไทย)...อีกใจก็อยากอยู่ต่อ
เราลงมานั่งซึบซับบรรยากาศวันสุดท้ายตั้งแต่เช้า ก่อนที่คนอื่นๆจะลงมา นอกจากจะพบว่าสัญญาณ wifi แรงมาก เข้าเนทได้โดยไม่ต้องแก่งแย่งกับใคร...ยังค้นพบอีกว่าบรรยากาศแบบเช้าวันนี้ ทำให้หัวใจอ่อนไหวง่ายเป็นพิเศษ...
...แสงแดดอ่อนยามเช้า อากาศเย็นสบาย คล้ายหอมกลิ่นหน้าหนาว...
เช้าที่ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ไม่ต้องเร่งรีบ มีแต่ธรรมชาติที่สดชื่นรายล้อม มีเวลาได้นั่งคุยกับตัวเอง
หลังจากผ่านมาหลายวันกับการถูกจำกัด wifi เราค้นพบว่า มันกลายเป็นข้อดี .... นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้ละสายตาจากมือถือ อยู่ที่นี่เราไม่ต้องคอยหยิบมือถือมาอัพเดทนั่นนี่ สายตาของเรา...มีไว้ชื่นชมสิ่งรอบตัว ความสนใจของเรา...มีให้กับช่วงเวลา ณ ขณะนั้นอย่างแท้จริง
โดลเชมารับพวกเราตอน 9 โมง...แพลนวันนี้จะเป็นการเที่ยวใกล้ตัวเมืองเลห์ เส้นทาง Lamayuru หรือที่เรียกกันว่า Moon land เพราะเต็มไปด้วยภูเขาหิน หลุม บ่อ คล้ายกับพื้นผิวดวงจันทร์
เอาจริงๆเราก็ไม่รู้หรอกว่า จุดไหนที่เรียกว่า Moon land ... บางทีเราอาจจะแค่ขับผ่านมันไป หรือไปไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ เรารู้แต่ว่าตรงไหนสวย พวกเราก็แวะถ่ายรูป
หลังจากเที่ยวกันมาจนถึงช่วงท้ายทริป หลายคนเริ่มมีอาการเพลียสะสม บวกกับวันนี้แดดแรงมาก พวกเราเลยเลือกที่จะแวะเที่ยวแค่ 2 ที่ อีกเหตุผลที่พวกเราไม่แวะเยอะ เพราะอยากจะมีเวลากลับมาเดินตลาดเมืองเลห์
ที่แรกที่พวกเราแวะเที่ยว คือ “Lamayuru Monastery” (วัดลามะยูรู) วัดที่เก่าแก่และมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเลห์ ตั้งอยู่บนยอดเขาหินทราย แวดล้อมไปด้วยดินแดนที่เรียกว่า Moon Land
แต่ภาพจำสำหรับเราที่วัดนี้ คือ ลามะน้อย ... ลามะน้อยที่นี่หน้าตาดีมาก น่ารักคมเข้ม มีความเป็นณเดชน์น้อย มาริโอ้น้อย
อีกที่ที่พวกเราแวะคือ “Alchi Gompa” (วัดอัลชิ) ตั้งอยู่หมู่บ้านอัลชิ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ เป็นวัดที่ไม่ได้อยู่บนภูเขาเช่นเดียวกับที่อื่นๆ จุดเด่นมีศิลปกรรมการแกะสลักไม้ มีภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณอันทรงคุณค่า
พวกเราใช้เวลาที่นี่กันน้อยมาก เหมือนแวะเที่ยวเพื่อให้โดลเชสบายใจ เลยไม่ได้ถ่ายรูปที่นี่กันเท่าไหร่ และไม่ได้เข้าไปดูภาพฝาผนัง
นอกจากที่นี่จะไม่ได้ตั้งบนเขา ไม่ต้องเดินขึ้นบันได ซึ่งต่างจากที่อื่นแล้ว ยังมีอีกจุดแตกต่างคือ มีร้านขายของที่ระลึกเรียงราย คล้ายเป็นตลาดนัดย่อมๆ
หลังออกจากวัดอัลชิ เราย้ำให้โดลเชพาพวกเรากลับเข้าเมืองเลห์เลย ไม่ต้องไปไหนต่อแล้ว...อยากใช้เงินรูปี อยากช้อปปิ้ง อยากเดินตลาด
ระหว่างทางกลับเข้าเมืองเลห์ พวกเราแวะถ่ายรูปที่ Magnetic Hill ... จุดขายของที่นี่คือ ถ้าจอดรถเอาไว้ตรงจุดที่เค้ากำหนด แล้วดับเครื่อง เราจะเห็นเหมือนกับว่า รถมันไหลขึ้นภูเขาได้เอง ซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นภาพลวงตา ถนนจริงๆมันเป็นทางลงเขาต่างหาก แต่มุมมองมันเหมือนกับขึ้นภูเขาเท่านั้นเอง
เราจอดรถไว้ข้างทางกันเฉยๆ ไม่ได้ทำการทดลองแต่อย่างใด...ไม่รู้ด้วยว่าจุดที่เค้ากำหนดมันอยู่ตรงไหน ><
มาถึงตลาดเมืองเลห์ พวกเราก็แยกย้ายกันไปช้อปปิ้ง ของฝากยอดฮิตของที่นี่ คือ ผลิตภัณฑ์ Himalayan, ธงมนต์, ผ้า pashmina
นอกจากตามล่าของฝาก พวกเรายังต้องตามล่า ร้าน "Chopsticks"... ร้านอาหารที่เราอ่านเจอในหลายรีวิวของคนไทย และทุกรีวิวบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า...อร่อยมาก
นาทีที่ทุกคนเบื่อหน่ายอาหารเลห์ เอียนกลิ่นเครื่องเทศ จะมีอะไรดีไปกว่าการได้กินเนื้อสัตว์และอาหารใกล้เคียงรสชาติที่คุ้นเคย
ต้องขอบคุณ อาร์ท พูม แชมป์ ที่เสาะหาจนเจอร้าน "Chopsticks" ... เราไม่มีทางที่จะบังเอิญเดินไปเจอร้านนี้แน่ๆ และถ้าปล่อยให้เดินหากันทั้งคณะ น่าจะใช้เวลานานและมีคนหิวตาลายไปก่อน >< ที่สำคัญพวกเราเพิ่งรู้ว่า ร้านอยู่ติดกับออฟฟิศของแซมเลย
ร้านมีทั้งโซนด้านนอกและด้านใน แต่เนื่องจากอากาศเริ่มหนาว เลยสมัครใจนั่งกันที่โซนด้านใน พวกเราสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะให้สมกับความหิวโหยและอดอยาก (ทริปนี้คล้ายทริปลดน้ำหนัก กลับเมืองไทยทุกคนน้ำหนักลด)
และแล้วเราก็ปิดท้ายมื้อสุดท้ายในเลห์อย่างสมบูรณ์แบบ...อิ่ม อร่อย และมีความสุข...
เรารู้สึกมาเสมอ ว่าอารมณ์ของการจากลา...มันให้ความรู้สึก “หวาน” ปน “เศร้า”
คืนสุดท้ายในเลห์ เราก็ได้รู้สึกแบบนั้นอีก
สำหรับเรา “เลห์” คือ ผู้หญิงที่สวยแบบธรรมชาติ ไร้การปรุงแต่ง ติดดิน แต่เข้าถึงยาก และแน่นอนจีบติดโคตรยาก...แต่พอได้เรียนรู้ เริ่มผูกพัน จนสนิทกัน ก็ได้ใจเราไปเต็มๆ...หลงรักแบบถอนตัวไม่ขึ้น...
สิ่งไหนที่ได้มายาก สิ่งนั้นมีค่ามากเสมอ...เลห์ ก็เป็นเช่นนั้น
อาจเพราะการมาสัมผัสกับความสวยของเลห์ ต้องใช้ความตั้งใจ ความทรหด ถ้านั่งรถมาสบายๆ ไม่เจอความโหดระหว่างทาง เลห์อาจจะไม่สวยตราตรึงเท่านี้
...เลห์อาจจะไม่ได้สวยที่สุด แต่หลายคนหยุดคิดถึงไม่ได้...
ถ้าจะต้องร่ำลากันด้วยคำเพียงคำเดียว
...เราอยากจะกอดเลห์เอาไว้แน่นๆแล้วบอกว่า...
“ดีใจที่ได้เจอ”
- The End -
...................................................................................
ตอนก่อนหน้า
"Leh Ladakh" Diary - - Episode 0.5 : Before We Go
https://ppantip.com/topic/39788043
"Leh Ladakh" Diary - - Episode 1 : ‘10’ is a Perfect Number
https://ppantip.com/topic/39788073
"Leh Ladakh" Diary - - Episode 2 : 'U' is Keyword
https://ppantip.com/topic/39788126
"Leh Ladakh" Diary - - Episode 3 : Letter to “Leh Ladakh”
https://ppantip.com/topic/39788149
"Leh Ladakh" Diary - - Episode 4 : Hate & Love
https://ppantip.com/topic/39791374
"Leh Ladakh" Diary - - Episode 5 : Some other day, but Stay Forever
https://ppantip.com/topic/39791407
"Leh Ladakh" Diary - - Episode 6 : Somewhere only we know
https://ppantip.com/topic/39791433
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้