10 กรกฎาคม 2560
ดอกไม้บานยามเช้า เริ่มเฉาตอนบ่าย และแทบจะเหี่ยวคาต้นตอนเย็น....นี่คือคำจำกัดความของเราวันนี้เลย
ถ้าเลห์จะทักทายเราในวันที่สอง ด้วยความรู้สึกแบบนี้...เราว่า เราน่าจะต้องเขียนจดหมายเปิดผนึกส่งตรงถึงเธอแล้วล่ะ
..........................................................
ถึง...เลห์ ลาดักห์
สวัสดีเช้าวันที่สองที่เราได้อยู่กับเธอนะ เธออาจจะเป็น...เลห์ที่รักของหลายๆคน....แต่สำหรับเราเธอคงจะต้องใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นอีก
เช้านี้ “เต้” ไม่มีไข้แล้ว ความกังวลของเราก็เลยเบาบางลงไปด้วย...โดยรวมช่างเป็นเช้าที่สดใสยิ่งนัก โปรแกรมวันนี้ของพวกเราจะยังเที่ยวอยู่ในเมืองเลห์ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวกันอีกสักนิด
ตอนแรก “โดลเช” จะมารับพวกเราตอน 8 โมง แต่เราเห็นพ้องต้องกันว่า 9 โมงน่าจะเป็นฤกษ์งามยามดีกว่า เพราะแค่ได้นอนเพิ่มอีกนิด มีเวลาชิลเพิ่มอีกหน่อย ก็เป็นมงคลชีวิตของพวกเราในตอนนั้นแล้ว
วันนี้นอกจากเราจะเขียนจดหมายถึงเธอแล้ว พวกเราก็ได้รับจดหมายฉบับนึง จ่าหน้าว่าจาก “แซม” เอเจนท์ทัวร์ของพวกเรา...เราเป็นคนรับจดหมายมาจากคุณลุงเจ้าของที่พัก แต่ทันทีที่เปิดอ่าน เราเริ่มไม่แน่ใจว่า นี่คือจดหมาย หรือ ลายแทงขุมทรัพย์...เพราะตัวภาษาอังกฤษที่แซมเขียน น่าจะต้องอาศัยการตีความถอดรหัส ยากเกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้ เราเลยเอาจดหมายฉบับนี้ให้เพื่อนๆทั้งกลุ่มช่วยกันอ่าน
ถอดใจความออกมาได้ว่า แซมมาหาพวกเราตอนเช้า ตั้งแต่พวกเรายังไม่ตื่น เขารอไม่ได้เลยกลับไปก่อนและอาจจะแวะมาหาพวกเราอีกทีตอนบ่าย หรือถ้าพวกเราอยากเจอเขาก็ให้ไปหาที่ออฟฟิศ...ตอนนั้นพวกเรายังไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงจะต้องอยากเจอแซม...นี่มันปริศนาซ้อนปริศนาหรือเปล่า จะมีห้องปิดตายรอให้เราค้นพบมั้ย???
เราทิ้งข้อความปริศนาในจดหมายของแซมไว้ข้างหลัง...ก่อนจะมุ่งหน้าสู่วันที่สองของการผจญภัยไปพร้อมกับรถคู่ใจของโดลเช
โปรแกรมทัวร์สำหรับวันนี้ ยังคงเที่ยวรอบตัวเมืองเลห์เช่นเคย แพลนของเราคือ
1. พระราชวังเช (Shey Palace) – ในอดีตเคยเป็นพระราชวัง ในสมัยที่หมู่บ้านเชเป็นเมืองหลวงของลาดักห์ (ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่เก่าแก่ที่สุดของลาดักห์ด้วย) ก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่เลห์
2. วัดติกเซ่ (Thiksey Gompa) – วัดในนิกายหมวกเหลือง เป็นวัดที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของทิเบตน้อย ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระศรีอริยเมตไตรย์ซึ่งมีความสูงเท่าอาคารสองชั้น
3. วัดเฮมิส (Hemis Gompa) - วัดเก่าแก่โบราณที่มีอายุกว่า 400 ปี ถือว่าเป็นวัดที่มีความสำคัญที่สุดของเมืองเลห์
4. ตลาดเมืองเลห์ (Leh Main Bazaar)
1. พระราชวังเช (Shey Palace) – เพียงแค่สถานที่แรก พลังงานที่ชาร์ทมาเต็มของเราก็ถูกท้าทาย ด้วยส่วนผสมแห่งความเหนื่อยล้า “แสงแดด” และ “บันได”
แต่เมื่อมาถึงจุดนี้ และเมื่อมีคำว่า “ไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว” เป็นตัวกระตุ้น เราก็เดินขึ้นเนิน สลับกับบันไดกันไปเรื่อยๆ ท่ามกลางแดดแผดเผา
“ท่านผู้นำจิรสิน” เริ่มทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม...ท่านผู้นำจะเดินนำพวกเราไปก่อนเสมอ และจะหยุดพักทุกที่ที่มีร่มเงา ให้พวกเราได้ใช้เป็นที่กำบังจากแสงแดดแรงและพักเหนื่อยระหว่างทาง
...ไม่รู้ว่าเพราะความเหนื่อยส่วนตัวหรือความเห็นใจส่วนรวม ที่ผลักดันให้จิรสินทำเช่นนั้น...
หลบแดดกันทุกจังหวะจริงๆ
ถึงแม้แดดจะส่องเบอร์แรง แต่วิวก็สวยเบอร์แรงด้วยเช่นกัน....เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์สำหรับคนชอบถ่ายรูป
ไม่ว่าจะเที่ยวที่ไหน...เราก็ต้องไปพิสูจน์สัจธรรมของห้องน้ำกันทุกที่ ฝ่ายรอก็รอกันไป
และแล้วก็มาถึงทางแยกวัดใจ...เมื่อทางซ้าย หนทางมีแต่มุ่งหน้าสู่ที่สูง พร้อมประโยคเดิมที่เป็นแรงขับเคลื่อนว่า “ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว”....กับทางขวา ที่มีท่านผู้นำจิรสินนั่งคอยอยู่ในร่มเงา...เราจะเลือกทางไหนดี...ไปให้สุด หรือ หยุดที่จิรสิน...
สมอง หัวใจ และร่างกาย ทำงานประสานกันดีเยี่ยม...หันขวาไปอย่างอัตโนมัติ พร้อมนั่งลงเคียงข้างจิรสิน หลังจากนั้นก็มีสมาชิกตามมานั่งเคียงข้างกันเรื่อยๆ...ตัวเลขของการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายครั้งนี้ สรุปออกมาได้เป็น ไปต่อให้ถึงที่สุด = 4 หยุดอยู่ตรงนี้ก็พอใจแล้ว = 6
ท่านผู้นำจิรสินนั่งเล่นเกมส์อย่างสบายใจ
หลังจากนั้นพวกเราก็ย้ายสถานที่ไปนั่งรอกลุ่ม “ไปต่อให้ถึงที่สุด” ที่ร้านกาแฟใกล้ๆ ยืดขา เอนหลังกันให้สบายใจ รอดูรูปและฟังเรื่องเล่าจากผู้กล้าทั้งสี่
หลังจากเห็นเพื่อนทั้งสี่คนตามมาสมทบในสภาพเกือบสะบักสะบอม ก็รู้สึกโล่งใจที่ไม่เผลอเลี้ยวซ้ายตามไป
...แต่พอได้ดูรูปและฟังเรื่องเล่า ก็เข้าใจได้ว่าสำหรับคนที่มีแรงกายแรงใจมากพอ สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คุ้มค่ามากพอเช่นเดียวกัน...แต่ถ้าเราประเมินตัวเองแล้วว่าแรงใจอาจจะมากพอ แต่แรงกายไม่เอื้ออำนวย การนั่งรอในร้านกาแฟก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมแล้ว
2. วัดติกเซ่ (Thiksey Gompa) – วัดแห่งสีสัน ที่นี่ถ่ายรูปสนุกมาก
วิวร้อยล้านจากห้องน้ำชาย
และเช่นเดียวกับทุกที่ ที่นี่จะทำให้เรากลายเป็นคนใฝ่สูง เพราะเราจะต้องเดินขึ้น ขึ้น ขึ้น ไปเรื่อยๆ...คราวนี้เราไปสุดที่ดาดฟ้าได้เหมือนกับทุกๆคน และวิวมันก็จะสวยสมความพยายามแบบนี้
หลังจากวัดติกเซ่ สิ่งที่พวกเราต้องการที่สุดในตอนนั้น คือ “อาหาร” เราบอกโดลเชให้พาเราไปทานข้าวกลางวันโดยด่วน
ก่อนจะถึงร้านอาหาร วิวระหว่างทางก็สวยมาก จนพวกเราต้องขอแวะถ่ายรูป
โดลเชพาเราไปที่ร้านอาหารสุดเก๋ มีชื่อว่า ‘Cafe Cloud’ อาหารกลางวันมื้อนี้ เราทานกันหมดเกลี้ยง...เพราะมันเป็นอาหารตะวันตก มีเนื้อสัตว์ มีไขมัน ที่สำคัญมีรสชาติ...ต่างจากอาหารเลห์ จำพวก มังสวิรัติ แป้งจืดๆ เครื่องเทศแปลกๆ ที่เรากินกันเป็นประจำ
...กลางวันวันนั้นเหมือนเรากินพิซซ่า แฮมเบอเกอร์ ไอติม กันบนหมู่เมฆจริงๆ...
3. วัดเฮมิส (Hemis Gompa) – ที่นี่เดินสบายสุดแล้วสำหรับเรา เพราะเดินขึ้นบันไดแค่ช่วงแรก หลังจากนั้นจะเป็นพื้นที่ราบเป็นส่วนใหญ่ บริเวณสถานที่จะเป็นลานกว้าง แถมพวกเรายังมาในช่วงแดดไม่แรงแล้ว อากาศเริ่มเย็นสบาย
....แต่ที่นี่กลับกลายเป็นที่ที่เราต้องจดจำในเรื่อง “การเข้าห้องน้ำที่แย่ที่สุดในทริป”...
ตอนนั้นเราปวดฉี่มากกกกก พอเห็นป้ายห้องน้ำปุ๊ป รีบพุ่งตัวไปทันที...แต่พอเห็นทุกข์หนักที่คนก่อนหน้าได้เก็บไว้ให้ดูต่างหน้า เราก็รีบออกมาจากห้องน้ำทันทีเช่นกัน...นาทีนั้นคิดว่า ไม่เอาละ ไม่เข้าละ
...แต่พอเห็นเต้ทำท่า โนสน โนแคร์...เดินเข้าห้องน้ำไปหน้าตาเฉย ทั้งๆที่เราบอกแล้วว่ามีอะไรรออยู่ แถมยังออกมาจากห้องน้ำด้วยหน้าตาสบายใจ...เราเลยรวบรวมกำลังใจ กลับเข้าห้องน้ำอีกที
ตอนนั้นคิดแค่ว่า ไม่รู้ว่าห้องน้ำข้างหน้าจะอีกไกลแค่ไหน...อาจจะแย่กว่านี้ก็ได้ และเราไม่อยากเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบที่เลห์...นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เราต้องจำใจ ปลดทุกข์เบา บนทุกข์หนักของคนอื่น...><
ด้านในมีทั้งส่วนของวัดและพิพิธภัณฑ์ แต่ที่นี่ห้ามถ่ายภาพด้านใน โดยเฉพาะส่วนของวัดที่นอกจากจะห้ามถ่ายภาพแล้ว ยังห้ามทำเสียงดัง เพราะจะเป็นการรบกวนลามะที่กำลังปฏิบัติธรรมอยู่
ถ่ายภาพรวมครบ 10 คน หน้าทางเข้าไปในส่วนของตัววัด
..................................................................................
เรื่องราวของวันนี้ยังไม่จบ ต่อใน comment นะคะ ^^
[CR] "Leh Ladakh" Diary - - Episode 3 : Letter to “Leh Ladakh”
ดอกไม้บานยามเช้า เริ่มเฉาตอนบ่าย และแทบจะเหี่ยวคาต้นตอนเย็น....นี่คือคำจำกัดความของเราวันนี้เลย
ถ้าเลห์จะทักทายเราในวันที่สอง ด้วยความรู้สึกแบบนี้...เราว่า เราน่าจะต้องเขียนจดหมายเปิดผนึกส่งตรงถึงเธอแล้วล่ะ
..........................................................
ถึง...เลห์ ลาดักห์
สวัสดีเช้าวันที่สองที่เราได้อยู่กับเธอนะ เธออาจจะเป็น...เลห์ที่รักของหลายๆคน....แต่สำหรับเราเธอคงจะต้องใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นอีก
เช้านี้ “เต้” ไม่มีไข้แล้ว ความกังวลของเราก็เลยเบาบางลงไปด้วย...โดยรวมช่างเป็นเช้าที่สดใสยิ่งนัก โปรแกรมวันนี้ของพวกเราจะยังเที่ยวอยู่ในเมืองเลห์ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวกันอีกสักนิด
ตอนแรก “โดลเช” จะมารับพวกเราตอน 8 โมง แต่เราเห็นพ้องต้องกันว่า 9 โมงน่าจะเป็นฤกษ์งามยามดีกว่า เพราะแค่ได้นอนเพิ่มอีกนิด มีเวลาชิลเพิ่มอีกหน่อย ก็เป็นมงคลชีวิตของพวกเราในตอนนั้นแล้ว
วันนี้นอกจากเราจะเขียนจดหมายถึงเธอแล้ว พวกเราก็ได้รับจดหมายฉบับนึง จ่าหน้าว่าจาก “แซม” เอเจนท์ทัวร์ของพวกเรา...เราเป็นคนรับจดหมายมาจากคุณลุงเจ้าของที่พัก แต่ทันทีที่เปิดอ่าน เราเริ่มไม่แน่ใจว่า นี่คือจดหมาย หรือ ลายแทงขุมทรัพย์...เพราะตัวภาษาอังกฤษที่แซมเขียน น่าจะต้องอาศัยการตีความถอดรหัส ยากเกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้ เราเลยเอาจดหมายฉบับนี้ให้เพื่อนๆทั้งกลุ่มช่วยกันอ่าน
ถอดใจความออกมาได้ว่า แซมมาหาพวกเราตอนเช้า ตั้งแต่พวกเรายังไม่ตื่น เขารอไม่ได้เลยกลับไปก่อนและอาจจะแวะมาหาพวกเราอีกทีตอนบ่าย หรือถ้าพวกเราอยากเจอเขาก็ให้ไปหาที่ออฟฟิศ...ตอนนั้นพวกเรายังไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงจะต้องอยากเจอแซม...นี่มันปริศนาซ้อนปริศนาหรือเปล่า จะมีห้องปิดตายรอให้เราค้นพบมั้ย???
เราทิ้งข้อความปริศนาในจดหมายของแซมไว้ข้างหลัง...ก่อนจะมุ่งหน้าสู่วันที่สองของการผจญภัยไปพร้อมกับรถคู่ใจของโดลเช
โปรแกรมทัวร์สำหรับวันนี้ ยังคงเที่ยวรอบตัวเมืองเลห์เช่นเคย แพลนของเราคือ
1. พระราชวังเช (Shey Palace) – ในอดีตเคยเป็นพระราชวัง ในสมัยที่หมู่บ้านเชเป็นเมืองหลวงของลาดักห์ (ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่เก่าแก่ที่สุดของลาดักห์ด้วย) ก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่เลห์
2. วัดติกเซ่ (Thiksey Gompa) – วัดในนิกายหมวกเหลือง เป็นวัดที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของทิเบตน้อย ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระศรีอริยเมตไตรย์ซึ่งมีความสูงเท่าอาคารสองชั้น
3. วัดเฮมิส (Hemis Gompa) - วัดเก่าแก่โบราณที่มีอายุกว่า 400 ปี ถือว่าเป็นวัดที่มีความสำคัญที่สุดของเมืองเลห์
4. ตลาดเมืองเลห์ (Leh Main Bazaar)
1. พระราชวังเช (Shey Palace) – เพียงแค่สถานที่แรก พลังงานที่ชาร์ทมาเต็มของเราก็ถูกท้าทาย ด้วยส่วนผสมแห่งความเหนื่อยล้า “แสงแดด” และ “บันได”
แต่เมื่อมาถึงจุดนี้ และเมื่อมีคำว่า “ไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว” เป็นตัวกระตุ้น เราก็เดินขึ้นเนิน สลับกับบันไดกันไปเรื่อยๆ ท่ามกลางแดดแผดเผา
“ท่านผู้นำจิรสิน” เริ่มทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม...ท่านผู้นำจะเดินนำพวกเราไปก่อนเสมอ และจะหยุดพักทุกที่ที่มีร่มเงา ให้พวกเราได้ใช้เป็นที่กำบังจากแสงแดดแรงและพักเหนื่อยระหว่างทาง
...ไม่รู้ว่าเพราะความเหนื่อยส่วนตัวหรือความเห็นใจส่วนรวม ที่ผลักดันให้จิรสินทำเช่นนั้น...
หลบแดดกันทุกจังหวะจริงๆ
ถึงแม้แดดจะส่องเบอร์แรง แต่วิวก็สวยเบอร์แรงด้วยเช่นกัน....เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์สำหรับคนชอบถ่ายรูป
ไม่ว่าจะเที่ยวที่ไหน...เราก็ต้องไปพิสูจน์สัจธรรมของห้องน้ำกันทุกที่ ฝ่ายรอก็รอกันไป
และแล้วก็มาถึงทางแยกวัดใจ...เมื่อทางซ้าย หนทางมีแต่มุ่งหน้าสู่ที่สูง พร้อมประโยคเดิมที่เป็นแรงขับเคลื่อนว่า “ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว”....กับทางขวา ที่มีท่านผู้นำจิรสินนั่งคอยอยู่ในร่มเงา...เราจะเลือกทางไหนดี...ไปให้สุด หรือ หยุดที่จิรสิน...
สมอง หัวใจ และร่างกาย ทำงานประสานกันดีเยี่ยม...หันขวาไปอย่างอัตโนมัติ พร้อมนั่งลงเคียงข้างจิรสิน หลังจากนั้นก็มีสมาชิกตามมานั่งเคียงข้างกันเรื่อยๆ...ตัวเลขของการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายครั้งนี้ สรุปออกมาได้เป็น ไปต่อให้ถึงที่สุด = 4 หยุดอยู่ตรงนี้ก็พอใจแล้ว = 6
ท่านผู้นำจิรสินนั่งเล่นเกมส์อย่างสบายใจ
หลังจากนั้นพวกเราก็ย้ายสถานที่ไปนั่งรอกลุ่ม “ไปต่อให้ถึงที่สุด” ที่ร้านกาแฟใกล้ๆ ยืดขา เอนหลังกันให้สบายใจ รอดูรูปและฟังเรื่องเล่าจากผู้กล้าทั้งสี่
หลังจากเห็นเพื่อนทั้งสี่คนตามมาสมทบในสภาพเกือบสะบักสะบอม ก็รู้สึกโล่งใจที่ไม่เผลอเลี้ยวซ้ายตามไป
...แต่พอได้ดูรูปและฟังเรื่องเล่า ก็เข้าใจได้ว่าสำหรับคนที่มีแรงกายแรงใจมากพอ สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คุ้มค่ามากพอเช่นเดียวกัน...แต่ถ้าเราประเมินตัวเองแล้วว่าแรงใจอาจจะมากพอ แต่แรงกายไม่เอื้ออำนวย การนั่งรอในร้านกาแฟก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมแล้ว
2. วัดติกเซ่ (Thiksey Gompa) – วัดแห่งสีสัน ที่นี่ถ่ายรูปสนุกมาก
วิวร้อยล้านจากห้องน้ำชาย
และเช่นเดียวกับทุกที่ ที่นี่จะทำให้เรากลายเป็นคนใฝ่สูง เพราะเราจะต้องเดินขึ้น ขึ้น ขึ้น ไปเรื่อยๆ...คราวนี้เราไปสุดที่ดาดฟ้าได้เหมือนกับทุกๆคน และวิวมันก็จะสวยสมความพยายามแบบนี้
หลังจากวัดติกเซ่ สิ่งที่พวกเราต้องการที่สุดในตอนนั้น คือ “อาหาร” เราบอกโดลเชให้พาเราไปทานข้าวกลางวันโดยด่วน
ก่อนจะถึงร้านอาหาร วิวระหว่างทางก็สวยมาก จนพวกเราต้องขอแวะถ่ายรูป
โดลเชพาเราไปที่ร้านอาหารสุดเก๋ มีชื่อว่า ‘Cafe Cloud’ อาหารกลางวันมื้อนี้ เราทานกันหมดเกลี้ยง...เพราะมันเป็นอาหารตะวันตก มีเนื้อสัตว์ มีไขมัน ที่สำคัญมีรสชาติ...ต่างจากอาหารเลห์ จำพวก มังสวิรัติ แป้งจืดๆ เครื่องเทศแปลกๆ ที่เรากินกันเป็นประจำ
...กลางวันวันนั้นเหมือนเรากินพิซซ่า แฮมเบอเกอร์ ไอติม กันบนหมู่เมฆจริงๆ...
3. วัดเฮมิส (Hemis Gompa) – ที่นี่เดินสบายสุดแล้วสำหรับเรา เพราะเดินขึ้นบันไดแค่ช่วงแรก หลังจากนั้นจะเป็นพื้นที่ราบเป็นส่วนใหญ่ บริเวณสถานที่จะเป็นลานกว้าง แถมพวกเรายังมาในช่วงแดดไม่แรงแล้ว อากาศเริ่มเย็นสบาย
....แต่ที่นี่กลับกลายเป็นที่ที่เราต้องจดจำในเรื่อง “การเข้าห้องน้ำที่แย่ที่สุดในทริป”...
ตอนนั้นเราปวดฉี่มากกกกก พอเห็นป้ายห้องน้ำปุ๊ป รีบพุ่งตัวไปทันที...แต่พอเห็นทุกข์หนักที่คนก่อนหน้าได้เก็บไว้ให้ดูต่างหน้า เราก็รีบออกมาจากห้องน้ำทันทีเช่นกัน...นาทีนั้นคิดว่า ไม่เอาละ ไม่เข้าละ
...แต่พอเห็นเต้ทำท่า โนสน โนแคร์...เดินเข้าห้องน้ำไปหน้าตาเฉย ทั้งๆที่เราบอกแล้วว่ามีอะไรรออยู่ แถมยังออกมาจากห้องน้ำด้วยหน้าตาสบายใจ...เราเลยรวบรวมกำลังใจ กลับเข้าห้องน้ำอีกที
ตอนนั้นคิดแค่ว่า ไม่รู้ว่าห้องน้ำข้างหน้าจะอีกไกลแค่ไหน...อาจจะแย่กว่านี้ก็ได้ และเราไม่อยากเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบที่เลห์...นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เราต้องจำใจ ปลดทุกข์เบา บนทุกข์หนักของคนอื่น...><
ด้านในมีทั้งส่วนของวัดและพิพิธภัณฑ์ แต่ที่นี่ห้ามถ่ายภาพด้านใน โดยเฉพาะส่วนของวัดที่นอกจากจะห้ามถ่ายภาพแล้ว ยังห้ามทำเสียงดัง เพราะจะเป็นการรบกวนลามะที่กำลังปฏิบัติธรรมอยู่
ถ่ายภาพรวมครบ 10 คน หน้าทางเข้าไปในส่วนของตัววัด
..................................................................................
เรื่องราวของวันนี้ยังไม่จบ ต่อใน comment นะคะ ^^
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้