จะกี่ครั้งก็ยังเทให้ Leh (Ladakh) หมดใจ

สวัสดีสมาชิกทุกคนอีกครั้งนะคะ เราขอมาเล่าเรื่องการเดินทางไปเที่ยว Leh Ladakh รอบที่ 2 ซึ่งห่างจากรอบแรกเพียง 7 เดือน LEH LADAKH รักไม่รัก คิดดู ห่างกันไม่ถึงปี คิดถึงอีกล่ะ 555++ 

สำหรับคนที่สนใจอ่านกระทู้เก่าของเรา สามารถเข้าไปดูได้ตาม Link ด้านล่าง (แถมเที่ยวใน Deli กับ Agra ให้อีก 1 link ค่ะ)
https://ppantip.com/topic/42189464
https://ppantip.com/topic/42190347
https://ppantip.com/topic/42258512

รอบนี้เราเลือกเดินทางช่วงวันที่ 13 - 21/4/2567 ซึ่งอากาศที่ Leh และ นอกเมืองเรียกได้กว่าค่อนข้างหนาววววจับใจ ครั้งนี้เราใช้ Local tour อีกเช่นเคย แต่รอบนี้เราเลือกใช้บริการจาก #luckyteaminladakh ซึ่งเราติดต่อกับคุณหนิง (หากใครสนใจสามารถ search หาจาก FB ได้เลยนะคะ หาปุ๊บเจอปั๊บค่ะ หาไม่ยากเลย)  คุณหนิงให้คำแนะนำดีมากกก ก. ไก่ ล้านตัว ทั้งก่อนเดินทาง ระหว่างเดินทาง จนกระทั่งส่งกลับถึงบ้านเลยทีเดียว น่าร๊ากกก....

13/4/67 : ผู้ร่วมชะตากรรมในทริปที่สองของเรามีทั้งหมด 4 คน ซึ่งแต่ละคนแยกย้ายเดินทางไปเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิเลย เราขอเล่าเฉพาะส่วนการเดินทางจากเชียงใหม่ - สุวรรณภูมิในวันสงกรานต์ของเรา เริ่มต้นด้วย Boarding สายการบิน Bangkok Airways ก็สร้างความประทับใจอย่างมาก เดินขึ้นเครื่องก็เจอน้อง ๆ พนักงานต้อนรับใส่ชุดไทย โจงกระเบน สีฟ้าสดใส รอต้อนรับผู้โดยสาร ทำให้ใจฟูไปแล้ว  1 ดอก (ขออนุญาตนำรูปน้อง ๆ ทั้งสองมาลงด้วยแล้วนะคะ) 

ส่วนเส้นทาง BKK - DEL - LEH - DEL - BKK รอบนี้เราเลือกใช้บริการสายการบิน Air India ซึ่งตอนแรก ก็หวั่นเรื่องกลิ่นที่ไม่คุ้นเคย แต่พอเดินทางจริงเรื่องกลิ่นไม่เป็นอุปสรรคเลย แต่จำยอมกับการบริการในโหมด ต๊ะตอนยอน ของพนักงานทุกส่วนงานของสายการบินนี้เลย 

เราเดินทางมาถึงสนามบิน DELHI INDIRA GANDHI T3 ตอน 21.00 น. เดินทางตามป้ายบอกทาง E-Visa เพื่อผ่านตม. และไปรอรับกระเป๋าสัมภาระ ถึงแม้ว่าจะซื้อตั๋วแบบ Transfer Flight ใน Booking เดียวกัน แต่เราต้องออกมารับกระเป๋าแล้วนำไปโหลดใหม่อีกครั้งในเส้นทาง DEL - LEH (เราคิดเอาเองว่าน่าจะเพราะมาตรการรักษาความปลอดภัย) ซึ่งที่สนามบินมีบริการให้โหลดสัมภาระแบบ Automated Baggage Loading แต่...สัมภาระของเราทั้งหมดไม่สามารถเข้าเครื่องอัตโนมัติได้ ไม่รู้ว่าติดปัญหาอะไร ซึ่งต้องพึ่งเจ้าหน้าที่ตัวเป็น ๆ และไม่ต้องสงสัยเรื่องบริการในโหมดเดิม ต๊ะตอนยอน แถมยังให้คนอินเดียแซงคิวเราอีก แอบโกรธ 555++ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี หลังจากนั้นเราก็หาที่นั่งรอไป LEH ตอน 06.40 น. กันค่ะ 

14/4/67 (วันที่ 1) : เราเดินทางมาถึง Leh Ladakh สนามบิน LEH KUSHOK BAKULA RIMPOCHE เวลา 08.10 น. เราได้นัดหมายกับ Lucky Team in Ladakh โดยมี Zangpor เพื่อนพลขับคนดีคนเดิม ซึ่งเรารู้จัก Zangpor จากทริปแรก มารับเพื่อพาเราไปพักผ่อนที่โรงแรมก่อนจะออกเที่ยวรอบ ๆ เมือง Leh ในช่วงบ่าย ซึ่งเราทั้ง 4 คนได้ทานยา ACETAZOLAMIDE ซึ่งเป็นยาป้องกันโรคแพ้ความสูง จากไทยมาเรียบร้อยแล้ว รอบนี้คุณหนิงแนะนำว่าให้นอนพักผ่อนก่อน ตื่นมาอาบน้ำได้ (ต่างจากรอบแรกที่ไกด์แนะนำว่าห้ามอาบน้ำเด็ดขาด) พอตื่นมาเราก็อาบน้ำเพราะรู้สึกเน่ามาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ทำให้สดชื่นพร้อมเที่ยวกันมาก 555++


Zangpor มารับตรงเวลา 15.30 น. และพาไปเที่ยวรวบตึงตามลำดับ Leh Palace / Shanti stupa / Namgyal tsemo castle 

15/4/67 (วันที่ 2) : วันนี้เป็นวันที่เราตั้งใจจะใส่สไบมาโลดแล่นที่ Leh เพราะอยากทำอะไรที่น่าจดจำในสถานที่ ๆ เราชอบ 555+++

และวันนี้เป็นวันที่เราจะได้ไปชม Land Mark ที่ทำให้เราอยากมา Leh Ladakh ในครั้งแรก คือ Indus and zangsaker river meeting point เพราะรอบแรกที่เรามาในเดือน ส.ค 66 เป็นช่วงหิมะละลายทำให้ไม่เห็นสีที่แตกต่างของแม่น้ำเราจึงไม่ได้มาเยือนจุดนี้ พอได้ไปเห็นก็ทำให้เรารู้สึกว่า mission complete แล้ว ปลื้มปริ่ม 
ช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่เราเจอนักท่องเที่ยวส่วนมากเป็นคนไทยเกือบ 90% ทำให้รู้สึกว่า Leh Ladakh ดึงดูดคนไทยให้มาเยี่ยมชมได้มากจริง ๆ เพราะด้วยธรรมชาติที่แปลกตา ความน่ารักและมีน้ำใจของผู้คน อีกทั้งการมาที่นี่แทบจะทำให้พวกเราตัดขาดจากโลก Social ได้ประมาณ 80% ซึ่งเป็นมนต์เสหน่ห์อีกอย่างของสถานที่แห่งนี้ I love Leh Ladakh. 


ระหว่างทางเราแวะถ่ายรูปกับสะพานที่มีธงมนต์โบกสะบัด จังหวะที่กำลังจะเดินไปที่สะพานมีรถ Tempo คันหนึ่งแล่นผ่านมาแล้วมีเสียงพี่คนไทยตะโกนออกมาว่า "ใส่สไบแล้วทรงพลัง ไทยแลนด์โอนลี่" พอได้ยินเท่านั้นเราก็ยิ้มแก้มปริ ขอบคุณพี่ ๆ ที่ชมความมั่นหน้ากล้าหาญในการแต่งตัวของเราในครั้งนี้ 555

อีกหนึ่งภาระกิจในรอบนี้คือเราอยากถ่ายรูปกับ ดอก Apricot ซึ่งเป็นดอกไม้ที่คล้ายกับดอก Sakura และรอบนี้เราก็สมหวังอีกเช่นกัน รูปที่ได้มาแบบ Full Bloom คือร้านที่เราแวะทานอาหารกลางวันที่หมู่บ้าน Alchi มารอบนี้อะไรก็ดีไปหมด อิอิ...

เราแวะถ่ายรูปกันที่ Moon Land ซึ่งตอนแรกเราแจ้งคุณหนิงว่าไม่ต้องการแวะ แต่คุณหนิงบอกว่าเป็นทางผ่านอยู่แล้ว ให้แจ้งคนขับได้เลย แต่พอไปถึงแล้วเราต้องบอกว่าเป็นทิวทัศน์ที่แปลกตา และถ่ายรูปออกมาถือว่าสวยเลยทีเดียว เกือบพลาดมุมสวย ๆ แล้วถ้าไม่แวะ  และจบที่สุดท้ายของวันนี้คือ Lamayuru Monastery

ก่อนกลับเข้าโรงแรมเราแวะ ที่ Leh Market ซึ่งบรรยากาศแตกต่างจากรอบแรกที่เราเคยมา ตอนนั้นทั้งตลาดเต็มไปด้วยคนพื้นที่มานั่งจับกลุ่มคุยเล่นกัน เหมือนเป็น Meeting Point และมีนักท่องเที่ยวเดินเล่น ร้านรวงเปิดมากมาย แต่รอบนี้ดูเหงา ๆ เงียบมาก ร้านรวงแทบไม่เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวเลย อาจจะเป็นเพราะอากาศที่ค่อนข้างหนาว ทำให้ดูเหงา ๆ แบบนี้




16/4/67 (วันที่ 3) : วันนี้เราจะเดินทางออกนอกเมือง แวะค้างคืนที่ Hunder Nubra Valley  จุดแรกคือ Khardong la pass เป็นถนนที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 5,600 เมตร ระหว่างสองข้างทางมีหิะปกคลุมตลอด ซึ่งไม่รู้จะบรรยายยังไงเพราะวิวเหมือนกันไปหมดทุกด้าน 555

พอถึง Khadong la pass จุดนี้อากาศหนาวมาก ลมแรง และหิมะเริ่มตก เราวิ่งมาถ่ายรูปกับป้ายเล็ก (เราไม่เดินไปที่ป้ายหลัก เพราะรู้ว่าคนเยอะ และแย่งกันถ่ายรูป) รอบนี้พิเศษคือมีธงมนต์ มัดโบกสะบัด ดูน่ารักกว่าเดิม


ขับต่อมาอีกสักพักถึงด่านตรวจ Zangpor ก็จอดรถ และหยิบบางอย่างลงมาจากหลังรถ และเริ่มติดตั้ง OMG! เราเคยได้ยินว่าถ้าขับลุยหิมะต้องใช้โซ่พันล้อ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ลองของจริง ระหว่างรอก็ต้องหากิจกรรมลงมาทำแก้เบื่อ รอวนไป

ณ จุดนี้ทำให้เรารู้ว่าการใช้บริการ Lucky Team in LADAKH เราไม่ต้องกังวลเลย เพราะเป็นทีมที่ใหญ่ คนขับรถแต่ละคันก็จะลงมาช่วยกันในการติดตั้งโซ่จนครบทุกคัน เพื่อเดินทางต่อ ได้อย่างปลอดภัย ว่าแล้วก็ลุยต่อ...

เราเดินทางต่อมาถึง Disket Gompa ระหว่างทางเราเห็นกลุ่มลมหอบฝุ่นทรายมาตลอดทาง ซึ่งแปลกตามองไกล ๆ คล้าย ลมหอบเม็ดฝนมาด้วย แต่จริง ๆ เป็นเม็ดทราย

สำหรับที่นี่เราชอบวิวเป็นพิเศษ ซึ่งประทับใจตั้งแต่รอบที่แล้ว เลยเลือกถ่ายรูปในมุมเดิม ๆ กับภูเขาสีแปลกตา ทิวทัศน์ที่คุ้นเคย (รอบนี้ก็บนขอถูกรางวัลที่  1 หลังจากรอบที่แล้วผิดหวัง เผื่อจะได้กลับมาอีก อิอิ..)

โดยรวม ๆ แล้วในแต่วัน และ แต่ละสถานที่ของ LEH LADAKH มีเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป ตอนที่ 1 นี้ ได้เจอหิมะฟู พร้อมกับการเดินทางที่ช่วยเหลือกันตลอดทางของทีม Lucky In Ladakh แล้ว ใจก็ฟู พอ ๆ กับหิมะเลยค่ะ

ขอจบตอนที่ 1 ไว้แค่นี้ก่อนนะคะ 
สำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจตอนที่ 2 ติดตามได้ที่ Link https://ppantip.com/topic/42728368

ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันมาถึงตรงนี้นะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่