เที่ยว Leh (Ladakh) เทให้หมดทั้งใจ

สวัสดีสมาชิกทุกคน เราเพิ่งเคยเริ่มเขียนกระทู้เป็นครั้งแรก หากผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยล่วงหน้านะคะ
เราหาข้อมูลเที่ยวจาก Pantip มาค่อนข้างเยอะ และเพื่อน ๆ ก็รุมประนามว่าไม่ตอบแทนบ้าง เราเลยตัดสินใจแบ่งปันข้อมูลทริปนี้เป็นทริปแรก

ช่วงเวลาเดินทางของเราคือวันที่ 28/7/66 -  6/8/66 เราขอเล่าในสไตล์ของเรา ซึ่งเน้นเล่าเรื่องมากกว่าการให้ประโยชน์นะคะ
ไม่มีรายละเอียดการเดินทาง เนื่องจากสามารถหาอ่านได้จากระทู้อื่น ๆ แล้ว (ขออภัยที่เป็นตัวเองมากเกินไป 555)

ตารางเดินทางครั้งแรกคือช่วง เมษายน 2563 แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิด เราจึงจำเป็นต้องเลื่อน แต่เราเริ่มติดต่อไกด์ท้องถิ่น ชื่อ Jigmat Gyalpo ไว้ตั้งแต่ ปี 2562 ดังนั้นสิริรวมเรารู้จักกับ Jigmat ก่อนเดินทางร่วม 3 ปี พูดคุยเรื่องรายละเอียดสนิทสนม เหมือนคนในครอบครัว
(เราคิดเองไม่เคยถาม Jigmat 555 )

27/7/66 : ผู้ร่วมชะตากรรมมีทั้งหมด 3 คน เดินทางจากเชียงใหม่ ถึงนิวเดลีประมาณ 05.00 น. แต่ไฟลท์ที่จะไป Leh จะออกเวลา  07.00 น. เราเลยฆ่าเวลาโดยการหาเบียร์ท้องถิ่นมาลองดื่มเพื่อฆ่าเวลา 555

28/7/66 (วันที่ 1) : เดินทางจากสนามบิน นิวเดลีโดยสายการบิน Vistara เราถึงสนามบิน Leh ประมาณ 08.30 น. และพบว่าลืมกระเป๋าเสบียงไว้บนเครื่องบิน วิ่งวุ่นขอให้พนักงานหาและเอามาคืน ทำให้ออกมาจาก arrival hall ค่อนข้างเลท และพบว่า Jigmat Gyalpo และคนขับรถของเขารอเราที่ประตูทางออกแล้ว

เมื่อถึงโรงแรม Jigmat Gyalpo อธิบายว่าวันนี้ ห้ามอาบน้ำเด็ดขาด และสอบถามถึงการทานยาแพ้ความสูง เพราะร่างกายต้องการปรับสภาพ ซึ่ง 2 ใน 3 รวมถึงเราทานมาจากเชียงใหม่เรียบร้อยแล้ว เหลืออีก 1 คน ไม่ได้ทาน เราแลกเงินรูปี กับ Jigmat Gyalpo เลย ซึ่งให้ Rate ดีกว่าที่เราแลกมา หลังจากนั้นก็ให้เราเข้าห้องพักและนัดเจอกันอีกทีตอน 15.30 น. เพื่อเที่ยวรอบตัวเมือง Leh

สถานที่แรก คือ Leh Palace เมื่อเดินทางไปถึงเพื่อนเราคนที่ไม่ได้ทานยาก็มีอาการปวดหัวอย่างหนัก หายใจลำบาก แต่ก็ยังฝืนใจเดินถ่ายรูปที่นี่ต่อ
(ใจคนคอยอะเนอะ รอมาเกือบ 4 ปี น้อยกว่านี้ได้ไง 555) 
ต่อมาเราไปที่ Shanti Stupa เพื่อนเราคนที่มีอาการแพ้ความสูงเริ่มยอมแพ้ และขอนั่งรอแทน เราและเพื่อนอีกคนจึงลุยกัน 2 คน เดิน 5 ก้าวหยุดเพื่อหายใจเอาอ๊อกซิเจนเข้าปอดก่อน แล้วค่อยไปต่อ (ทริปนี้ถ้าไม่มีโป๊ยเซียน เราคงเดี้ยงไปแล้วเหมือนกัน) เพราะทางค่อนข้างชัน พอไปถึง สิ่งที่ว้าวที่สุดคือแสงพระอาทิตย์ยามเย็นกระทบภูเขากลายเป็นสีทอง สวยมาก (เราไม่ได้ถ่ายรูปกับ Stupa เลยเพราะคนเยอะ และวิวน่าสนใจกว่า 555) 
หลังจากนั้นเราขอให้ Zangpor (เพื่อนพลขับของเราทริปนี้) ไปส่งเพื่อนเราที่โรงแรมก่อนเพราะปวดหัวไม่ไหว ส่วนเรากับเพื่อนอีกคนก็ออกไปชมตลาด Leh Market และแวะทานอาหารเย็น จำชื่อร้านไม่ได้ แต่สั่งเมนูพิซซ่า ซีซาร์สลัด (รสชาดแปลกมาก) แต่วันแรกไม่ได้ดื่มเบียร์เพราะ Jigmat Gyalpo ดุ ว่าห้ามดื่ม 555

คืนแรกเราพักในตัวเมือง Leh ชื่อโรงแรม Hotel Grand Yasmin ซึ่งมารู้ทีหลังว่าเป็น Budget Hotel ซึ่งเรานอนไม่ค่อยหลับอาจจะเป็นเพราะกลางวันได้พักไปบ้างแล้ว บวกกับไม่ได้ดื่มเบียร์ อีกทั้งห้องโรงแรมค่อนข้างแย่สำหรับเรา (อาจจะเป็นเพราะเราต่อราคา Jigmat Gyalpo เลยได้โรงแรมนี้มา เลยบอกว่าครั้งหน้าถ้ามาขอโรงแรมดี ๆ ราคาไม่เกี่ยง ไม่ได้อวดรวยนะคะ แต่อยากพักที่ดี ๆ เพราะเดินทางแต่ละที่โหดเกินเบอร์) แต่พอวันที่ 2 เราแจ้ง Jigmat Gyalpo ก็รีบเปลี่ยนห้องที่ดีกว่าให้เราทันที ต้องขอบคุณที่ดูแลกันเป็นอย่างดี ^^

29/7/66 (วันที่ 2) : เราผู้ซึ่งนอนหลับไม่สนิท ตื่นประมาณ 05.00 น. มาพร้อมเพื่อนที่มีอาการป่วยซึ่งไม่ไหวแล้ว เราจึงส่งข้อความขอความช่วยเหลือกับ  Jigmat Gyalpo และมารับเพื่อนเราไป รพ. เวลาประมาณ 07.00 น. เรา 2 คนผู้ซึ่งรักเพื่อนมากก็เลยบอกว่าให้เพื่อนนอนพักที่ รพ. ไป แต่เราขอไปเที่ยวตาม Program เดิม (รักกันแหละดูออก 555)

ที่แรกที่เราไป คือ Basgo Monastery สำหรับเราที่นี่ระหว่างทางตื่นเต้นสุด เส้นทางไม่สามารถเรียกตัวเองว่าถนนได้ พอถึงปลายทางอาการเหมือนเราไปยืนที่แพะเมืองผี + ผาช่อ แต่วิวโดยรวมสวยมาก
ต่อมาเราไป Likir Monastery ระหว่างทาง Zangpor ถามว่าจอดถ่ายรูปไหม เราก็มองข้างทางแล้วบอกว่าไม่อะ สรุปว่าที่ให้ถ่ายคือถนนเพราะเป็นเส้นทางตรงที่สวยมาก (เราก็มองข้างทางอย่างเดียวเลยเกือบพลาดวิวสวย ๆ ซะแล้ว) หลังจากไปถึงสิ่งแรกที่ทำคือขอพรให้ถูกหวย หากถูกรางวัลที่ 1 จะกลับมาแก้บน (แต่ ณ เวลานี้ ผ่านมาก 3 งวดแล้วยังไม่มีวี่แวว สงสัยไม่ได้ระบุว่างวดไหน 555) 

ระหว่างทาง zangpor ใจดีมากเปิด Hotsport แชร์ Internet ให้เราเพื่อ Update อาการให้กับภรรยาของเพื่อนตลอด miniheart

ต่อมาเราไป Alchi Monastery  สำหรับที่นี่เราเดินไปถึงแค่ร้านขายของที่ระลึก แวะทานอาหารกลางวัน แล้วกลับ หา Monastery ไม่เจอ 555

หลังจากนั้นเราก็กลับมาที่โรงแรมเพื่อพักผ่อน แต่เพื่อนของเรายังไม่ออกจากโรงพยาบาล รอจนประมาณ 19.30 น. Jigmat Gyalpo กลับมาส่งที่โรงแรม  เพื่อนเราโดนฉีดยาไป 3 เข็ม นอนให้อ๊อกซิเจนทั้งวัน กลับมาอย่าง (แกล้ง) กระปรี้กระเปร่า เพราะกลัวไม่ได้ไปเที่ยวต่อ 555 แต่ระหว่างวัน Jigmat Gyalpo ก็มีการ update อาการให้เรารู้ตลอด ขอบคุณที่ดูแลกันเป็นอยางดี ^^

30/7/66 (วันที่ 3) : วันนี้เราจะออกเดินทางไป Nubra Valley กันค่ะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-6 ชม. ที่แรกแวะ View Point และ Khardung La Pass ถนนที่สูงที่สุดในโลก วิวสวยจนแทบหยุดหายใจ (หรือเพราะอ๊อกซิเจนบางเบา 555) สวยมากจริง ๆ บรรยายไม่ถูกกันเลยทีเดียว
ต่อมาแวะที่ Disket Monastery เป็นวัดที่ต้องเดินขึ้นทางชัน (อีกแล้วใช้ Trick เดิม) แต่วิวหลักล้านจริง ๆ สาธุต้องรางวัลที่ 1 เท่านั้น 555 วิวที่นี่ก็สวยมาก สีของภูเขาแปลกตา และดึงดูดมาก 
หลังจากนั้นก็ถึง Hilight ของ Nubra Valley คือเราต้องแวะมาขี่อูฐ ที่ Hundar Sand Dunes แต่ครั้งนี้เราไม่ได้ลองเนื่องจากมาถึงแล้วเหมือนเป็นช่วงที่อูฐพักพอดี ซึ่งต้องรอเปิดรอบต่อไป เรานั่งรอนานไปหน่อย เลยไม่ได้กลับไปลองขี่อีกครั้ง แต่วิวที่นี่สวยมาก (อีกแล้ว) เพราะแสงพระอาทิตย์กระทบภูเขาแสงเลิศมาก
เนื่องจากเรารู้ว่าที่นี่เป็น Hometown ของ Zangpor จึงขออนุญาตกลับบ้านไปด้วยเพื่อเยี่ยมบ้านของคนพื้นที่ ซึ่งก็ได้รับอนุญาต ซึ่งเมื่อเข้าไปก็รู้สึกถึงความอบอุ่น และน่ารักตามฉบับคนพื้นที่ ที่เป็นคนใจดี โดยคุณแม่ของ Zangpor ได้เตรียมอาหารและชาไว้ต้อนรับเราเป็นอย่างดี ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการต้อนรับที่อบอุ่น ^^
เราพักที่ Lzawa Residency ซึ่ง Jigmat Gyalpo บอกว่าเป็นที่พักของพีสาวที่เพิ่งเปิด ห้องพัก และ WIFI ดีมาก ก. ไก่ ล้านตัว เราสามารถใช้ Internet ได้อย่างเต็มที่ เป็นที่พักที่ดีที่สุดในทริปนี้เลย
ขอจบตอนแรกเท่านี้ก่อน หวังว่าจะกระตุ้นต่อมคนที่อยากออกมาเที่ยวอินเดีย แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ ขอให้ตัดสินใจมาค่ะ
คิดจะเที่ยว Leh แค่คิดถึง Jigmat Gyalpo นานาเยี่ยม

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่