มนุษย์เงินเดือนแก่ๆ คนหนึ่ง ที่ชอบท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ
เดินทางมาตลอด 10 ปี อยากเขียนรีวิวให้ความรู้บ้าง แต่คิดว่าคงเขียนแล้วไม่มีคนอ่าน ก็เลยรีวิวแรงแรมต่างประเทศที่ tripadvisor ซะส่วนใหญ่
ประเทศแรกที่เขียนรีวิวที่นี่คือ Nepal ไปมาเมื่อก.ย. 16 ครั้งนี้อยากเขียน Leh Ladakh เหตุผลหลักคือ ถ้าผู้หญิงเยอะแบบเราเที่ยวได้ ใครๆก็เที่ยวได้ 8 - 14 เม.ย. 17
วีซ่าอินเดีย
อยากเขียนเพราะหา review วีซ่าอินเดียเยอะมาก แต่มั่นใจว่า ณ เวลานี้นี่คือ update ที่สุด ( 31 มี.ค. 17)
วีซ่าอินเดีย พอเปลี่ยน agency เป็น vfsglobal (
http://www.vfsglobal.com/india/thailand/visa-types.html) ยิ่งกว่าโคตรง่าย หลักฐานเอกสารที่โทรไปถามถ้าไป Leh Ladakh เตรียมแค่
1. สำเนาทะเบียนบ้าน 2 ชุด
2. สำเนาบัตรประชาชน 2 ชุด
3. สำเนาพาสปอร์ต 2 ชุด
4. รูปถ่าย 2 นิ้ว พื้นขาว 2 รูป ไม่มีกรอบ
5. วีซ่า application
https://indianvisaonline.gov.in/visa/ เข้าไปกรอกที่นี่นะค่ะ ท่านใดที่กรอกไม่เสร็จก็สามารถ save ได้ค่ะ
(agency เก่าต้องปรินท์ 2 แผ่น ห้ามปรินท์หน้าหลัง แต่ vfsglobal สามารถปรินท์แบบไหนก็ได้ จะ 1 หน้า 1 แผ่น หรือปรินท์หน้าหลังได้หมด)
6. พาสปอร์ตต้องมีหน้าว่างอย่างน้อย 2 หน้า และพาสปอร์ตต้องมีหมดอายุอย่างน้อยอีก 6 เดือน
7. ศูนย์จะมีเอกสารมาให้กรอกอีกฉบับเกี่ยวกับ Leh ประมาณว่าอยู่กี่วัน กลับวันไหน แค่นี้เองค่ะ
ที่อยู่ ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า ประเทศอินเดีย VFS
ชั้น 10 อาคารพีเอสทาวเวอร์, สุขุมวิท 21, คลองเตยเหนือ, วัฒนา กรุงเทพฯ โทร: 02-258-3063-64
อีเมล์ : info.bkk@vfshelpline.com เว็บ:vfsglobal.com/india/
วันและเวลาทำการ
:วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 08.30 น. - 14.00 น. สำหรับ ยื่นวีซ่า
:วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 16.30 น. - 17.30 น. สำหรับรับหนังสือ เดินทางคืน
ข้อควรทราบ
- ตอนนี้ที่ศูนย์ ไม่มีรับกรอก visa application form ที่มีคนเคยรีวิว แล้วบอกว่าเสียค่ากรอก 250 บาทแล้วนะค่ะ ต้องกรอกจากในคอมพิวเตอร์แล้วปรินท์ไปเอง
- ปากกาเซนต์ใช้หมึกสีไรก็ได้ค่ะ น้ำเงิน หรือดำได้หมด
- ระยะเวลายื่นวีซ่า ปกติคือ 7 วันทำการ ไม่นับวันที่ยื่นนะค่ะ สำหรับ จขกทไปยื่น 30 มี.ค. วันรุ่งขึ้นก็ได้แล้วค่ะ
- สำคัญมาก INNER LINE PERMIT สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะไปเที่ยว NUBRA หรือ PAGONG ที่ VFSglobal ไม่รับทำนะค่ะ ต้องให้ agency local ที่ Leh Ladakh ช่วยทำให้ จขกทให้ local agency ทำให้ค่ะ หรือ คนที่เค้าจะขับรถพาเราเที่ยวลองถามเค้าดูนะค่ะ cost Inner Line Permit ประมาณ INR 380 / person แต่ส่วนใหญ่จะ charge เราที่ INR 500-1,000 / person
- ตอนนี้วีซ่า tourist เป็น multiple แล้วนะค่ะ หมายความว่า เราสามารถเข้าออกอินเดียได้ 2 ครั้งใน 6 เดือน
ขั้นตอนการยื่น
- VSFglobal อยู่ที่ P.S.Tower อโศก มีที่จอดรถแต่ที่จอดแอบน่ากัว เพราะมันดูมืดๆ ร้างๆ กด lift ไปที่ชั้น 10 น่ะค่ะ
- เตรียมเอกสารข้างต้นทั้งหมด (สำเนาจะเซนต์ไม่เซนต์ก็ได้ค่ะ จขกทไม่ได้เซนต์ไป เพราะลืม แหะแหะ ก็ไม่มีปห.แต่อย่างใด)
- ต่อคิวตรวจเอกสารทั้งหมดจากเจ้าหน้าที่ก่อนนะค่ะ ตรวจเอกสารเรียบร้อย ให้บัตรคิว สำหรับยื่นวีซ่ามา
- ตอนนี้จขกทไปรอคิวประมาณ 5 นาทีก็เรียกยื่นเอกสารแล้วค่ะ ค่าใช้จ่ายมารับวีซ่าเอกประมาณ 1,700 กว่าๆ จำบ่ได้ แต่ถ้าให้ส่ง EMS ที่บ้านประมาณ 1,900 กว่าๆ ถ้าใครไม่มีเวลาให้ส่งที่บ้านดีกว่าค่ะ เพราะเพื่อนคนที่ต้องการให้ส่ง EMS ได้พาสปอร์ตคืนวันเดียวกับที่เค้าแจ้งเราไปรับเล่มเลย
- เจ้าหน้าที่ไม่ได้ถามอะไรเยอะ เลยจริงๆไม่ต้องมีทั้งตั๋วเครื่องบิน itinerary หรือที่พักเลย (จิงๆๆๆๆๆๆๆ เพราะตอนจขกทไปยื่น รอตั๋วคอนเฟริม์แลกไมล์อยู่ค่ะก็ไม่มีตั๋วเดินทาง)
-ใช้เวลาตั้งแต่ยื่นเอกสารจนทำวีซ่าเสร็จประมาณ 30 นาที รวดเร็วมาก แต่วันที่จขกทไป ไม่ค่อยมีคนเห็นเค้าบอกกันนะค่ะ
TIPS สำหรับการมา Leh Ladakh ครั้งนี้นะค่ะ ขอรวบรวมไว้ที่นี่ค่ะ
1. จองอะไรก็แล้วแต่ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเครื่องบิน โรงแรม ต้องปรินท์เป็นกระดาษทั้งหมดเพื่อยื่นให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดูค่ะ เค้าจะไม่ดูผ่านมือถือนะค่ะ
2. ทานยา Diamox ก่อนล่วงหน้า 48 ชม. และทานต่อเนื่องอีก 2 วันพอมาถึง Leh เพื่อปรับสภาพร่างกาย เมื่อมาอยู่ที่สูงกว่า่ระดับน้ำทะเลเยอะๆ (ปรึกษาหมอก่อนนะค่ะ)
3. ไม่ต้องจองรร.ผ่าน agoda / booking หรือ website อะไรเลย ให้มาจองที่นี่โดยตรง ราคาจะถูกกว่าประมาณ INR 500 - 4,000 / night
4. ไม่ต้องจอง sight seeing tour ล่วงหน้าให้มาเดินหา agent ที่ Main bazaarได้เลยเพราะราคาจะถูกกว่า agency ที่ได้จาก net เยอะมาก อย่างเราเช็คราคาก่อนมา ค่าทัวร์ 4 วัน INR 35,000 - 40,000 (รวมค่า line permission) พอมาหาเองที่นี่ราคา INR 26,400 (รวมค่า line permission แล้วด้วย)
5. ส่วนตัวคิดว่าาจองโรงแรมใกล้ main bazaar ดีที่สุด เพราะเมืองเล็กๆ ศูนย์กลางทุกอย่างอยู่ที่ตลาดทั้งหมด จะได้เดินไม่ไกล (จริงๆเค้าก็มี taxi ทั่วเมืองค่ะ)
6. วันแรกที่มาถึงให้พักผ่อนมากๆ ทานน้ำเยอะ ห้ามวิ่ง อย่าซ่า เพื่อปรับระดับ ความดัน ในร่างกายเพราะเราเป็นคนพื้นราบ
7. O2 กระป๋องไม่ต้องพกมามีขายตามร้านขายยาในตลาดราคากระป๋องล่ะประมาณ 200 - 300 บาทค่ะ
8. สนามบิน Leh ladakh ตอนเดินลงจากเครื่อง และขึ้นเครื่องงดถ่ายภาพนะค่ะ
9. ต่อราคาของในตลาดให้ต่อประมาณ 50% เป็นอย่างน้อยนะค่ะ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Day 1 : BKK - New Delhi
จขกท แลกไมล์การบินไทย แปลว่าไปฟรีจ๊ะ เสียค่าภาษี 2 พันกว่าบาท สำบายไปอีกทริปนะค่ะ
เครื่องออกจากกทม.ประมาณ 23.30 น. ถึงเดลลี ตอนตี 2 กว่าๆ
Day 2 : New Delhi - Leh Ladakh - Hemis Monastery
รอต่อเครื่องเข้า Leh Ladakh flight ประมาณตี 5 ใช้สายการบิน Air India
โชคดีที่จขกทเดินทางด้วย Air India ไม่ต้องย้าย Terminal ให้ยุ่งยากเพราะ Air india ไม่ใช่สายการบิน Low cost จึงขึ้น ลงที่ Terminal 3 เช่นเดียวกับสายการบิน Thai Airways ที่ลงจอดที่ Terminal 3 ค่ะ
แต่จขกทต้องผ่าน custom ออกมาก่อน โดยยื่นเอกสาร print ticket ให้กับทหารเพื่อขอเข้าไปเช็คอินอีกรอบที่ ชั้น 2 หรือ 3 ไม่แน่ใจ
มีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยตอนเดินผ่านcustom เจ้าหน้าที่อินเดียหาเรื่อง มันบอกว่าให้หยุดไม่ให้เข้าประเทศมัน เพราะพกกล้องมาเยอะเกิน (มีกล้อง DSLR 2 ตัว เลนส์อีก 4 สำหรับคน 2 คน) มันบอกว่าต้องมีใบ guarantee หรือ permission ว่าเป็นช่างภาพขออนุญาตพกกล้อง คือหัวเสียมากต่อว่าและเถึยงเรื่องเหตุผลไปว่าทำไมไม่แจ้งสถานฑูตในเมื่อตอนขอวีซ่าระบุแล้วว่าอาชีพคือ "ช่างภาพ" เถียงนานกว่า 40 นาทีก่อนจะได้ปล่อยตัว เพราะบอกว่า ยูกำลังทำไอตกเครื่องใครจะรับผิดชอบจะให้บอกตำรวจไหมี ยื่นนาฬิกาให้ดูบอกว่าเนี่ย boarding time แล้ว มันเลยปล่อยตัวออกมา (จริงๆลืมปรับนาฬิกาที่ไทยเร็วกว่า 2 ชม. 555) แปลว่ามันหาเรื่องจริง
New Delhi - Leh Ladakh ใช้เวลาบินประมาณ 1.25 ชม.
ภาพแรกที่ถ่ายจากมือถือคือภาพนี้สวยมากกกกกกกกกกกกก กล้านตัว
TIP : ขาไป Leh Ladakh นั่งฝั่งซ้ายมือของคนขับเครื่องบินค่ะ อันนี้จองช้าหน่อยเลยติดปีกเครื่องบิน
วันนี้เราพักที่ Hotel Nezer Inn : เจอเจ้าของโรงแรมพอดี คุยเรื่อง private ทัวร์ที่จะอยู่ต่ออีก 4-5 วัน และพบว่าตัดสินใจถูกแล้วที่มาเจรจาที่นี่ เพราะคุยผ่าน agent 3-4 รายก่อนมา ราคาแพงกว่าเกือบ INR 10,000
นอนพักตั้งแต่เที่ยงถึงบ่าย 4 โมง เดินจากที่พักมาถึง main bazaar ประมาณ 350 ม. แต่ เดินไปหอบแบบหายใจไม่ทัน วันนี้เป็นวันอาทิตย์ตลาดเลยไม่ค่อยคึกครื้นน่ะค่ะ
ตลาดที่สวยที่สุดในโลก มี Lucky Flag ห้อยระโยงระยางต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา
เดินต่อมาจนสุดตลาดมาเจอ monastery ที่หนึ่ง ตะกายเดินขึ้นมาเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงหอบและการหายใจไม่ทัน (จริงๆไม่ไกลเลยแต่เป็นเพราะอากาศที่บางทำให้เราเหนื่อยมากกกกก) แต่พอเจอวิวแบบนี้คือมันหายเหนือยยยยยยยยยยยยยย สตั้นไป 10 วิ เมื่อเจอวิวนี้
Day 3 : Sight Seeing Leh Ladakh
Sightseeing of Sangam, Magetic Hill, Gurudwara, Spituk Monastery, Lamayuru Monastery, Shanti Stupa, Alchi Monastery, Likir Gompa
วันนี้เบาๆ เที่ยวรอบๆก่อนนะค่ะ ยังต้องการการปรับตัวกับอากาศอยู่
ตอนเช้าเราให้รถช่วยไปส่งที่ The Auspicious Hotel คืนนี้เราก็จองมาจากไทยอีกเช่นกัน แต่พอไปถึง ต้องผงะกับสภาพทางเข้า และโรงแรม จึงเจรจาขอคืนเงินกับเค้าเพราะเค้าไม่มีห้องตามที่เราจองมา ซึ่งคน Leh น่ารักมากกกกกก ยอมคืนเงินให้เพราะไม่สามารถให้ห้องเราได้
เมื่อวานทางไปตลาดผ่านโรงแรม Hotel Singge Palace ถือเป็น 4 ดาวของที่นี่ แต่เราได้ราคาเหมือน 2.5 ดาวเลยค่ะ เพราะโชคดีที่เจอ GM ลยได้ราคาพิเศษ และที่พิเศษกว่าคือราคาถูกกว่าตามหน้า web ต่างๆ ถ้าใครอยากรู้ IB มานะค่ะ จะบอก contact ให้ค่ะ คือน่ารักมากกก ลดแล้วลดอีก
ช่วงที่มาเป็นความโชคร้ายในรอบ 15 ปีที่คน Leh บอกว่าหิมะถล่มหนักมากเมื่อ 3-4 วันก่อนมาทำให้ระบบโทรศัพท์ internet ถูกตัด และทางไป Pangong Lake and Nubra Valley ก็ปิด เราต้องคอยลุ้นกันพรุ่งนี้ค่ะ เพราะพรุ่งนี้ตามแผนแล้วต้องไป Nubra เนื่องจากจขกทจ่ายตังค์ผ่าน agent ที่ไทยไปแล้ว เดี๋ยวต้องลุ้นกันค่ะ ว่าทางวันพรุ่งนี้จะเปิดไหม๊
Requested รถเป็น TOYOTA INNOVA เพราะเวลาเดินทางไกลจะได้ปรับเบาะนอนสบายหน่อย
เราเริ่มต้นกันที่ปั้มนี้นะค่ะ เค้าเคลมกันว่าปั้มน้ำมันที่ Leh เป็นปั้มที่สูงที่สุดในโลก
นั่งรถไปไม่ไกลมาก เรามาเจอกับจุดนี้จุดแรก Sangam Point จุดที่ แม่น้ำ Indus & Zanskar ไหลมาบรรจบกัน สวยมากกก กล้านตัวอีกแล้วววววว
จุดนี้เป็นจุดสิ้นสุดเวลาเล่น rafting ในฤดูร้อนคือประมาณ มิ.ย. - ก.ค. ค่ะ
[SR] สงกรานต์นี้ที่ Leh Ladakh งบหลักหมื่น วิวหลักร้อยล้าน
เดินทางมาตลอด 10 ปี อยากเขียนรีวิวให้ความรู้บ้าง แต่คิดว่าคงเขียนแล้วไม่มีคนอ่าน ก็เลยรีวิวแรงแรมต่างประเทศที่ tripadvisor ซะส่วนใหญ่
ประเทศแรกที่เขียนรีวิวที่นี่คือ Nepal ไปมาเมื่อก.ย. 16 ครั้งนี้อยากเขียน Leh Ladakh เหตุผลหลักคือ ถ้าผู้หญิงเยอะแบบเราเที่ยวได้ ใครๆก็เที่ยวได้ 8 - 14 เม.ย. 17
วีซ่าอินเดีย
อยากเขียนเพราะหา review วีซ่าอินเดียเยอะมาก แต่มั่นใจว่า ณ เวลานี้นี่คือ update ที่สุด ( 31 มี.ค. 17)
วีซ่าอินเดีย พอเปลี่ยน agency เป็น vfsglobal (http://www.vfsglobal.com/india/thailand/visa-types.html) ยิ่งกว่าโคตรง่าย หลักฐานเอกสารที่โทรไปถามถ้าไป Leh Ladakh เตรียมแค่
1. สำเนาทะเบียนบ้าน 2 ชุด
2. สำเนาบัตรประชาชน 2 ชุด
3. สำเนาพาสปอร์ต 2 ชุด
4. รูปถ่าย 2 นิ้ว พื้นขาว 2 รูป ไม่มีกรอบ
5. วีซ่า application https://indianvisaonline.gov.in/visa/ เข้าไปกรอกที่นี่นะค่ะ ท่านใดที่กรอกไม่เสร็จก็สามารถ save ได้ค่ะ
(agency เก่าต้องปรินท์ 2 แผ่น ห้ามปรินท์หน้าหลัง แต่ vfsglobal สามารถปรินท์แบบไหนก็ได้ จะ 1 หน้า 1 แผ่น หรือปรินท์หน้าหลังได้หมด)
6. พาสปอร์ตต้องมีหน้าว่างอย่างน้อย 2 หน้า และพาสปอร์ตต้องมีหมดอายุอย่างน้อยอีก 6 เดือน
7. ศูนย์จะมีเอกสารมาให้กรอกอีกฉบับเกี่ยวกับ Leh ประมาณว่าอยู่กี่วัน กลับวันไหน แค่นี้เองค่ะ
ที่อยู่ ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า ประเทศอินเดีย VFS
ชั้น 10 อาคารพีเอสทาวเวอร์, สุขุมวิท 21, คลองเตยเหนือ, วัฒนา กรุงเทพฯ โทร: 02-258-3063-64
อีเมล์ : info.bkk@vfshelpline.com เว็บ:vfsglobal.com/india/
วันและเวลาทำการ
:วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 08.30 น. - 14.00 น. สำหรับ ยื่นวีซ่า
:วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 16.30 น. - 17.30 น. สำหรับรับหนังสือ เดินทางคืน
ข้อควรทราบ
- ตอนนี้ที่ศูนย์ ไม่มีรับกรอก visa application form ที่มีคนเคยรีวิว แล้วบอกว่าเสียค่ากรอก 250 บาทแล้วนะค่ะ ต้องกรอกจากในคอมพิวเตอร์แล้วปรินท์ไปเอง
- ปากกาเซนต์ใช้หมึกสีไรก็ได้ค่ะ น้ำเงิน หรือดำได้หมด
- ระยะเวลายื่นวีซ่า ปกติคือ 7 วันทำการ ไม่นับวันที่ยื่นนะค่ะ สำหรับ จขกทไปยื่น 30 มี.ค. วันรุ่งขึ้นก็ได้แล้วค่ะ
- สำคัญมาก INNER LINE PERMIT สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะไปเที่ยว NUBRA หรือ PAGONG ที่ VFSglobal ไม่รับทำนะค่ะ ต้องให้ agency local ที่ Leh Ladakh ช่วยทำให้ จขกทให้ local agency ทำให้ค่ะ หรือ คนที่เค้าจะขับรถพาเราเที่ยวลองถามเค้าดูนะค่ะ cost Inner Line Permit ประมาณ INR 380 / person แต่ส่วนใหญ่จะ charge เราที่ INR 500-1,000 / person
- ตอนนี้วีซ่า tourist เป็น multiple แล้วนะค่ะ หมายความว่า เราสามารถเข้าออกอินเดียได้ 2 ครั้งใน 6 เดือน
ขั้นตอนการยื่น
- VSFglobal อยู่ที่ P.S.Tower อโศก มีที่จอดรถแต่ที่จอดแอบน่ากัว เพราะมันดูมืดๆ ร้างๆ กด lift ไปที่ชั้น 10 น่ะค่ะ
- เตรียมเอกสารข้างต้นทั้งหมด (สำเนาจะเซนต์ไม่เซนต์ก็ได้ค่ะ จขกทไม่ได้เซนต์ไป เพราะลืม แหะแหะ ก็ไม่มีปห.แต่อย่างใด)
- ต่อคิวตรวจเอกสารทั้งหมดจากเจ้าหน้าที่ก่อนนะค่ะ ตรวจเอกสารเรียบร้อย ให้บัตรคิว สำหรับยื่นวีซ่ามา
- ตอนนี้จขกทไปรอคิวประมาณ 5 นาทีก็เรียกยื่นเอกสารแล้วค่ะ ค่าใช้จ่ายมารับวีซ่าเอกประมาณ 1,700 กว่าๆ จำบ่ได้ แต่ถ้าให้ส่ง EMS ที่บ้านประมาณ 1,900 กว่าๆ ถ้าใครไม่มีเวลาให้ส่งที่บ้านดีกว่าค่ะ เพราะเพื่อนคนที่ต้องการให้ส่ง EMS ได้พาสปอร์ตคืนวันเดียวกับที่เค้าแจ้งเราไปรับเล่มเลย
- เจ้าหน้าที่ไม่ได้ถามอะไรเยอะ เลยจริงๆไม่ต้องมีทั้งตั๋วเครื่องบิน itinerary หรือที่พักเลย (จิงๆๆๆๆๆๆๆ เพราะตอนจขกทไปยื่น รอตั๋วคอนเฟริม์แลกไมล์อยู่ค่ะก็ไม่มีตั๋วเดินทาง)
-ใช้เวลาตั้งแต่ยื่นเอกสารจนทำวีซ่าเสร็จประมาณ 30 นาที รวดเร็วมาก แต่วันที่จขกทไป ไม่ค่อยมีคนเห็นเค้าบอกกันนะค่ะ
TIPS สำหรับการมา Leh Ladakh ครั้งนี้นะค่ะ ขอรวบรวมไว้ที่นี่ค่ะ
1. จองอะไรก็แล้วแต่ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเครื่องบิน โรงแรม ต้องปรินท์เป็นกระดาษทั้งหมดเพื่อยื่นให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดูค่ะ เค้าจะไม่ดูผ่านมือถือนะค่ะ
2. ทานยา Diamox ก่อนล่วงหน้า 48 ชม. และทานต่อเนื่องอีก 2 วันพอมาถึง Leh เพื่อปรับสภาพร่างกาย เมื่อมาอยู่ที่สูงกว่า่ระดับน้ำทะเลเยอะๆ (ปรึกษาหมอก่อนนะค่ะ)
3. ไม่ต้องจองรร.ผ่าน agoda / booking หรือ website อะไรเลย ให้มาจองที่นี่โดยตรง ราคาจะถูกกว่าประมาณ INR 500 - 4,000 / night
4. ไม่ต้องจอง sight seeing tour ล่วงหน้าให้มาเดินหา agent ที่ Main bazaarได้เลยเพราะราคาจะถูกกว่า agency ที่ได้จาก net เยอะมาก อย่างเราเช็คราคาก่อนมา ค่าทัวร์ 4 วัน INR 35,000 - 40,000 (รวมค่า line permission) พอมาหาเองที่นี่ราคา INR 26,400 (รวมค่า line permission แล้วด้วย)
5. ส่วนตัวคิดว่าาจองโรงแรมใกล้ main bazaar ดีที่สุด เพราะเมืองเล็กๆ ศูนย์กลางทุกอย่างอยู่ที่ตลาดทั้งหมด จะได้เดินไม่ไกล (จริงๆเค้าก็มี taxi ทั่วเมืองค่ะ)
6. วันแรกที่มาถึงให้พักผ่อนมากๆ ทานน้ำเยอะ ห้ามวิ่ง อย่าซ่า เพื่อปรับระดับ ความดัน ในร่างกายเพราะเราเป็นคนพื้นราบ
7. O2 กระป๋องไม่ต้องพกมามีขายตามร้านขายยาในตลาดราคากระป๋องล่ะประมาณ 200 - 300 บาทค่ะ
8. สนามบิน Leh ladakh ตอนเดินลงจากเครื่อง และขึ้นเครื่องงดถ่ายภาพนะค่ะ
9. ต่อราคาของในตลาดให้ต่อประมาณ 50% เป็นอย่างน้อยนะค่ะ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Day 1 : BKK - New Delhi
จขกท แลกไมล์การบินไทย แปลว่าไปฟรีจ๊ะ เสียค่าภาษี 2 พันกว่าบาท สำบายไปอีกทริปนะค่ะ
เครื่องออกจากกทม.ประมาณ 23.30 น. ถึงเดลลี ตอนตี 2 กว่าๆ
Day 2 : New Delhi - Leh Ladakh - Hemis Monastery
รอต่อเครื่องเข้า Leh Ladakh flight ประมาณตี 5 ใช้สายการบิน Air India
โชคดีที่จขกทเดินทางด้วย Air India ไม่ต้องย้าย Terminal ให้ยุ่งยากเพราะ Air india ไม่ใช่สายการบิน Low cost จึงขึ้น ลงที่ Terminal 3 เช่นเดียวกับสายการบิน Thai Airways ที่ลงจอดที่ Terminal 3 ค่ะ
แต่จขกทต้องผ่าน custom ออกมาก่อน โดยยื่นเอกสาร print ticket ให้กับทหารเพื่อขอเข้าไปเช็คอินอีกรอบที่ ชั้น 2 หรือ 3 ไม่แน่ใจ
มีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยตอนเดินผ่านcustom เจ้าหน้าที่อินเดียหาเรื่อง มันบอกว่าให้หยุดไม่ให้เข้าประเทศมัน เพราะพกกล้องมาเยอะเกิน (มีกล้อง DSLR 2 ตัว เลนส์อีก 4 สำหรับคน 2 คน) มันบอกว่าต้องมีใบ guarantee หรือ permission ว่าเป็นช่างภาพขออนุญาตพกกล้อง คือหัวเสียมากต่อว่าและเถึยงเรื่องเหตุผลไปว่าทำไมไม่แจ้งสถานฑูตในเมื่อตอนขอวีซ่าระบุแล้วว่าอาชีพคือ "ช่างภาพ" เถียงนานกว่า 40 นาทีก่อนจะได้ปล่อยตัว เพราะบอกว่า ยูกำลังทำไอตกเครื่องใครจะรับผิดชอบจะให้บอกตำรวจไหมี ยื่นนาฬิกาให้ดูบอกว่าเนี่ย boarding time แล้ว มันเลยปล่อยตัวออกมา (จริงๆลืมปรับนาฬิกาที่ไทยเร็วกว่า 2 ชม. 555) แปลว่ามันหาเรื่องจริง
New Delhi - Leh Ladakh ใช้เวลาบินประมาณ 1.25 ชม.
ภาพแรกที่ถ่ายจากมือถือคือภาพนี้สวยมากกกกกกกกกกกกก กล้านตัว
TIP : ขาไป Leh Ladakh นั่งฝั่งซ้ายมือของคนขับเครื่องบินค่ะ อันนี้จองช้าหน่อยเลยติดปีกเครื่องบิน
วันนี้เราพักที่ Hotel Nezer Inn : เจอเจ้าของโรงแรมพอดี คุยเรื่อง private ทัวร์ที่จะอยู่ต่ออีก 4-5 วัน และพบว่าตัดสินใจถูกแล้วที่มาเจรจาที่นี่ เพราะคุยผ่าน agent 3-4 รายก่อนมา ราคาแพงกว่าเกือบ INR 10,000
นอนพักตั้งแต่เที่ยงถึงบ่าย 4 โมง เดินจากที่พักมาถึง main bazaar ประมาณ 350 ม. แต่ เดินไปหอบแบบหายใจไม่ทัน วันนี้เป็นวันอาทิตย์ตลาดเลยไม่ค่อยคึกครื้นน่ะค่ะ
ตลาดที่สวยที่สุดในโลก มี Lucky Flag ห้อยระโยงระยางต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา
เดินต่อมาจนสุดตลาดมาเจอ monastery ที่หนึ่ง ตะกายเดินขึ้นมาเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงหอบและการหายใจไม่ทัน (จริงๆไม่ไกลเลยแต่เป็นเพราะอากาศที่บางทำให้เราเหนื่อยมากกกกก) แต่พอเจอวิวแบบนี้คือมันหายเหนือยยยยยยยยยยยยยย สตั้นไป 10 วิ เมื่อเจอวิวนี้
Day 3 : Sight Seeing Leh Ladakh
Sightseeing of Sangam, Magetic Hill, Gurudwara, Spituk Monastery, Lamayuru Monastery, Shanti Stupa, Alchi Monastery, Likir Gompa
วันนี้เบาๆ เที่ยวรอบๆก่อนนะค่ะ ยังต้องการการปรับตัวกับอากาศอยู่
ตอนเช้าเราให้รถช่วยไปส่งที่ The Auspicious Hotel คืนนี้เราก็จองมาจากไทยอีกเช่นกัน แต่พอไปถึง ต้องผงะกับสภาพทางเข้า และโรงแรม จึงเจรจาขอคืนเงินกับเค้าเพราะเค้าไม่มีห้องตามที่เราจองมา ซึ่งคน Leh น่ารักมากกกกกก ยอมคืนเงินให้เพราะไม่สามารถให้ห้องเราได้
เมื่อวานทางไปตลาดผ่านโรงแรม Hotel Singge Palace ถือเป็น 4 ดาวของที่นี่ แต่เราได้ราคาเหมือน 2.5 ดาวเลยค่ะ เพราะโชคดีที่เจอ GM ลยได้ราคาพิเศษ และที่พิเศษกว่าคือราคาถูกกว่าตามหน้า web ต่างๆ ถ้าใครอยากรู้ IB มานะค่ะ จะบอก contact ให้ค่ะ คือน่ารักมากกก ลดแล้วลดอีก
ช่วงที่มาเป็นความโชคร้ายในรอบ 15 ปีที่คน Leh บอกว่าหิมะถล่มหนักมากเมื่อ 3-4 วันก่อนมาทำให้ระบบโทรศัพท์ internet ถูกตัด และทางไป Pangong Lake and Nubra Valley ก็ปิด เราต้องคอยลุ้นกันพรุ่งนี้ค่ะ เพราะพรุ่งนี้ตามแผนแล้วต้องไป Nubra เนื่องจากจขกทจ่ายตังค์ผ่าน agent ที่ไทยไปแล้ว เดี๋ยวต้องลุ้นกันค่ะ ว่าทางวันพรุ่งนี้จะเปิดไหม๊
Requested รถเป็น TOYOTA INNOVA เพราะเวลาเดินทางไกลจะได้ปรับเบาะนอนสบายหน่อย
เราเริ่มต้นกันที่ปั้มนี้นะค่ะ เค้าเคลมกันว่าปั้มน้ำมันที่ Leh เป็นปั้มที่สูงที่สุดในโลก
นั่งรถไปไม่ไกลมาก เรามาเจอกับจุดนี้จุดแรก Sangam Point จุดที่ แม่น้ำ Indus & Zanskar ไหลมาบรรจบกัน สวยมากกก กล้านตัวอีกแล้วววววว
จุดนี้เป็นจุดสิ้นสุดเวลาเล่น rafting ในฤดูร้อนคือประมาณ มิ.ย. - ก.ค. ค่ะ