สวัสดีครับ มาต่อกันที่เรื่องของ Fund Flow ตอนที่ 2 โดยหลังจากที่เราทราบว่ายอดการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติมีผลต่อความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทย ในวันนี้เราจะมาขยายความให้ทุกท่านได้รับรู้ถึงแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับ Fund Flow โดยเริ่มต้นจาก ยอดการซื้อขายของทั้ง 4 กลุ่มในตลาดหุ้นไทย
- พบกับบทความหลักได้ ทุกวันพฤหัสเวลา 17.00 น. ในทุกสัปดาห์ที่ PANTIP
- พบกับเกร็ดความรู้, สรุปข้อมูล Block Trade และแนวโน้มของทุกเช้าทาง Line Square และ Facebook ของพวกเรา
ในวันนี้เราจะพาทุกท่าน มาทำความเข้าใจว่านักลงทุนกลุ่มใดที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นมากที่สุด รวมถึงนักลงทุนกลุ่มใด ที่เป็นตัวชี้นำทิศทางของตลาดในอนาคต นอกจากนี้พวกท่านยังจะได้รับรู้ถึงชะตากรรมของนักลงทุนรายย่อยผ่านบทความนี้
รวมบทความเกี่ยวกับ TFEX และ Block Trade ของพวกเรา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/37751186 >> ผมคิดว่าทุกวันนี้ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนไปแล้ว (อยากให้ทุกคนได้อ่าน)
https://ppantip.com/topic/37767278 >> [ตอนจบ] ผมคิดว่าทุกวันนี้ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนไปแล้ว (อยากให้ทุกคนได้อ่าน)
https://ppantip.com/topic/37784213 >> ภาพลวงตาและความผิดเพี้ยนของปริมาณการซื้อขายสิ้นวัน
https://ppantip.com/topic/37787501 >> นักลงทุนรายย่อยกำลังฆ่าฟันกันเอง และตลาดหุ้นห้ามลงต่อ!
https://ppantip.com/topic/37812688 >> การจัดฉากของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย
https://ppantip.com/topic/37824913 >> ตั้งสติและเตรียมพร้อมรับมือกับสภาวะตลาดด้วยเหตุและผล (อยากให้ทุกคนได้อ่าน)
https://ppantip.com/topic/39077450 >> Block Trade และสงครามค่าธรรมเนียม วิกฤตใหม่ของตลาดหุ้นไทย ตอนที่ 1
https://ppantip.com/topic/39105177 >> รู้ทันรายใหญ่ ! กับการใช้ Block Trade ในการลงทุนหุ้นไทย <<Block Trade ตอนที่ 2>>
https://ppantip.com/topic/39118208 >> วันนี้ คือ จุดวัดใจของนักลงทุน Block Trade ! และแนวโน้มต่อจากนี้ <<บทความเสริม>>
https://ppantip.com/topic/39125303 >> เปิดไพ่ !! บนมือรายใหญ่ กับการใช้ Block Trade ในตลาดหุ้นไทย <<Block Trade Series ตอนที่ 3>>
https://ppantip.com/topic/39144968 >> TFEX โลกใบที่ 2 ของตลาดหุ้นไทยกับบทบาทที่คาดไม่ถึง <<Fund Flow Series ตอนที่ 1>>
Fund Flow เป็น หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนใช้เป็นเข็มทิศชี้นำทิศทางในอนาคต
คงจะปฏิเสธไม่ได้นะครับ ว่ายอดการซื้อขายถือเป็นหนึ่งในหัวข้อหลักที่นักลงทุนนำมาใช้เป็นเหตุผลในการสนทนากันว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวไปในทิศทางใด และอย่างที่ทราบกันว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้แบ่งนักลงทุนออกเป็นทั้งหมด 4 กลุ่ม ดังนี้
1. นักลงทุนสถาบันในประเทศ ที่พวกเราเรียกติดปากกันว่า
“กอง”
2. นักลงทุนบริษัทหลักทรัพย์ ที่มีชื่อเล่นว่า
“ปอบ”
3. นักลงทุนต่างประเทศ ที่เรานิยมเรียกว่า
“หรั่ง”
4. นักลงทุนทั่วไปในประเทศ มีชื่อเรียกอย่างเจ็บช้ำน้ำใจว่า
“เม่า”
ซึ่งแน่นอนว่าการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นย่อมเกิดจากการแรงซื้อ-ขายของกลุ่มคนเหล่านี้ และต่างคนก็ต่างความเชื่อ ต่างศรัทธา ต่างมุมมอง บ้างก็เชื่อว่าผู้กองคือผู้กุมชะตาของปู่ SET เอาไว้ บ้างก็เชื่อว่าต่างชาติเป็นกลุ่มคนที่เข้ามาหอบเงินจากตลาดหุ้น บ้างก็เชื่อปอปต่างหากที่คอยหลอกกินตับนักลงทุนคนอื่นๆ หรือเม่าบางตัวก็คิดว่าเรานี้แหละ ที่เป็นพญาเม่าเอาชนะทุกกลุ่มในตลาด แต่เรื่องราวนั้นจะเป็นเช่นไร พวกเราขออาสานำพวกท่านเข้าสู่โลกแห่งความจริง ด้วยข้อมูลต่อไปนี้ โดยเริ่มจากข้อมูลที่จะบ่งชี้ว่า
นักลงทุนกลุ่มใดที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดมากที่สุด
กองทุนคือผู้ชี้ชะตาทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดในแต่ละวัน ?
สิ่งที่นักลงทุนทุกท่านสมควรจะต้องทราบเป็นอันดับแรก คือการเคลื่อนไหวของตลาดในแต่ละวันนั้นๆ นักลงทุนกลุ่มใดที่เป็นคนกำหนด โดยเราจะทำการทดสอบจากสมมุติฐานดังนี้
ตรวจสอบผลตอบแทนรายวัน (ราคาปิดวันนี้ – ราคาปิดวันก่อน) เพื่อดูว่าเป็นบวกหรือเป็นลบ จากนั้นทำการเทียบกับยอดซื้อขาย ณ สิ้นวันของนักลงทุนทั้ง 4 กลุ่ม ว่าผลเฉลยที่ออกมามีกลุ่มใดบ้างที่มียอดการซื้อขายตรงกับทิศทางของตลาดในวันนั้น
ตัวอย่างเช่น ในวันที่ 13 ส.ค.57 ดัชนี SET50 ปิดที่ระดับ 1038.63 จุด โดยวันทำการก่อนหน้า (8 ส.ค.57) ดัชนีปิดที่ 1018.47 จุด แสดงว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.16 จุด จากนั้นจึงไปพิจารณายอดการซื้อขายสุทธิ ณ สิ้นวัน พบว่า
ต่างชาติ +3,684.79 ล้านบาท กองทุน +2,614.31 ล้านบาท
รายย่อย -6,933.72 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ +634.62 ล้านบาท
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าดัชนีที่เคลื่อนไหวในวันนี้ เคลื่อนไหวตามทิศทาง Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติ สถาบันและบริษัทหลักทรัพย์ เป็นต้น
โดยเราทำการเก็บข้อมูลทั้งหมด 7 ปีย้อนหลัง (พ.ศ.2555-2561) เป็นจำนวน 1708 วันทำการ และได้ข้อสรุปดังตาราง
ตารางแสดงจำนวนวันที่ตลาดปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับยอดการซื้อขายของแต่ละกลุ่ม ณ วันนั้น (วันที่ T)
จากตารางพบว่ายอดการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันมีความสอดคล้องกับทิศทางตลาดในวันนั้นถึง 66% เลยทีเดียว! หรือกว่า 2 ใน 3 โดยแบ่งเป็นขาขึ้น 645 วันและขาลง 490 วัน ในขณะที่รายย่อยกลับมียอดการซื้อขายที่สอดคล้องกับทิศทางตลาดเพียง 25% เท่านั้น นั่นหมายความว่า การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในแต่ละวัน ถูกควบคุมจากยอดการซื้อขายของกองทุนเป็นหลัก นอกจากนี้ยังสังเกตได้อีกว่านักลงทุนทุกกลุ่มมียอดการซื้อขายที่สอดคล้องกับทิศทางตลาดเกิน 50% ซึ่งสวนทางกับรายย่อย และนี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายๆ ท่านสามารถคาดการณ์ปริมาณการซื้อขายได้ถูกต้องเกือบทุกครั้ง ว่าใครเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย เพียงแค่เห็นการเคลื่อนไหวของตลาดในแต่ละวัน
จากสถิตินี้ทำให้พวกท่านรู้สึกอย่างไรบ้างครับ? หลายคนคงรู้สึกหดหู่ใจและเริ่มท้อกับการลงทุนในตลาดหุ้น เพราะดูเหมือนว่านักลงทุนรายย่อยอย่างพวกเรากำลังเป็นแค่เหยื่ออันโอชะที่โดนอีก 3 กลุ่มที่เหลือคอยสลับกันกินเงิน … แต่พวกเราจะทำให้ทุกท่านมีกำลังใจเพิ่มขึ้นมานะครับ โดยการบอกว่า
“สถิตินี้ยังไม่ใช่ข้อสรุปว่ารายย่อยของเราแพ้ให้กับตลาด” เนื่องจากข้อมูลที่เห็นเป็นเพียงข้อมูลที่เกิดขึ้นในวันนั้น (ซึ่งผ่านไปแล้ว)
“ไม่ได้หมายความว่าวันต่อมาตลาดจะสวนทางกับรายย่อย” และคงเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ หากถ้าวันนี้ตลาดปรับตัวลง แล้วรายย่อยเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ แต่ในวันถัดมาตลาดกลับดีดตัวขึ้น ดังนั้น ใครจะเก่งไม่เก่งขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ทิศทางในวันต่อมา โดยพวกท่านสามารถรับรู้ได้จากข้อมูลต่อจากนี้
รายย่อยอย่างพวกเราก็เก่งไม่แพ้ใครในตลาดเช่นกัน !
สำหรับเรื่องที่ 2 เราจะทำการตรวจสอบว่านักลงทุนกลุ่มใด ที่คาดการณ์อนาคตในวันถัดไปได้แม่นยำที่สุด โดยจะทำการเปรียบเทียบยอดการซื้อขายในวันนี้ กับทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาในวันถัดไป ซึ่งผมเชื่อว่านี่คือสิ่งที่นักลงทุนอย่างพวกเราคอยเอาใจช่วยกับคำตอบและหวังว่าจะเข้าทางรายย่อยบ้าง โดยมีสมมุติฐานการทดสอบ ดังนี้
เราจะใช้ยอดการซื้อขายสุทธิในวันนี้ (วันที่ T) เป็นตัวตั้ง และดูว่าในวันต่อมา (T+1) ตลาดจะปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับยอดการซื้อขายของกลุ่มใด โดยใช้ข้อมูลการทดสอบเป็นเวลา 7 ปีเช่นเดิม (พ.ศ.2555-พ.ศ.2561) ซึ่งจะได้ข้อสรุป ดังตาราง
ตารางแสดงจำนวนวันที่ตลาดปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับยอดการซื้อขายของแต่ละกลุ่มในวันถัดไป (วันที่ T+1)
เมื่อพิจารณาจากตาราง ข้อมูลที่น่ายินดีสำหรับนักลงทุนรายย่อย เนื่องจากหากเราเปรียบเทียบข้อมูลในวันถัดไป (T+1) โดยพบว่าการเปลี่ยนแปลงของตลาดปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับยอดการซื้อรายย่อยถึง 51% แซงหน้าทั้งนักลงทุนสถาบันและโบรกเกอร์ ดังนั้น ถ้าเราเห็นรายย่อยซื้อ เรามีโอกาสเห็นหุ้นขึ้นในวันถัดไปไม่ต่างจากกลุ่มอื่นเลย ซึ่งข้อมูลสถิติตัวนี้ คงล้างภาพของใครหลายคนที่กล่าวว่าพอรายย่อยซื้อวันต่อมาจะลง หรือขายแล้ววันต่อมาจะขึ้นได้ และเข้าใจเสียใหม่ว่ารายย่อยก็ไม่ได้แย่กว่ากลุ่มอื่นๆ เพราะตัวเลขที่ออกมานี้ชี้ให้เห็นว่าตลาดหุ้นไม่ได้มีใครที่เก่งกว่าพวกเราไปสักเท่าใดหรอก …
นักลงทุนกลุ่มใดกันแน่ !?! คือผู้ชนะตัวจริงในตลาดหุ้นไทย <<Fund Flow Series ตอนที่ 2>>
- พบกับบทความหลักได้ ทุกวันพฤหัสเวลา 17.00 น. ในทุกสัปดาห์ที่ PANTIP
- พบกับเกร็ดความรู้, สรุปข้อมูล Block Trade และแนวโน้มของทุกเช้าทาง Line Square และ Facebook ของพวกเรา
ในวันนี้เราจะพาทุกท่าน มาทำความเข้าใจว่านักลงทุนกลุ่มใดที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นมากที่สุด รวมถึงนักลงทุนกลุ่มใด ที่เป็นตัวชี้นำทิศทางของตลาดในอนาคต นอกจากนี้พวกท่านยังจะได้รับรู้ถึงชะตากรรมของนักลงทุนรายย่อยผ่านบทความนี้
รวมบทความเกี่ยวกับ TFEX และ Block Trade ของพวกเรา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Fund Flow เป็น หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนใช้เป็นเข็มทิศชี้นำทิศทางในอนาคต
คงจะปฏิเสธไม่ได้นะครับ ว่ายอดการซื้อขายถือเป็นหนึ่งในหัวข้อหลักที่นักลงทุนนำมาใช้เป็นเหตุผลในการสนทนากันว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวไปในทิศทางใด และอย่างที่ทราบกันว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้แบ่งนักลงทุนออกเป็นทั้งหมด 4 กลุ่ม ดังนี้
1. นักลงทุนสถาบันในประเทศ ที่พวกเราเรียกติดปากกันว่า “กอง”
2. นักลงทุนบริษัทหลักทรัพย์ ที่มีชื่อเล่นว่า “ปอบ”
3. นักลงทุนต่างประเทศ ที่เรานิยมเรียกว่า “หรั่ง”
4. นักลงทุนทั่วไปในประเทศ มีชื่อเรียกอย่างเจ็บช้ำน้ำใจว่า “เม่า”
ซึ่งแน่นอนว่าการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นย่อมเกิดจากการแรงซื้อ-ขายของกลุ่มคนเหล่านี้ และต่างคนก็ต่างความเชื่อ ต่างศรัทธา ต่างมุมมอง บ้างก็เชื่อว่าผู้กองคือผู้กุมชะตาของปู่ SET เอาไว้ บ้างก็เชื่อว่าต่างชาติเป็นกลุ่มคนที่เข้ามาหอบเงินจากตลาดหุ้น บ้างก็เชื่อปอปต่างหากที่คอยหลอกกินตับนักลงทุนคนอื่นๆ หรือเม่าบางตัวก็คิดว่าเรานี้แหละ ที่เป็นพญาเม่าเอาชนะทุกกลุ่มในตลาด แต่เรื่องราวนั้นจะเป็นเช่นไร พวกเราขออาสานำพวกท่านเข้าสู่โลกแห่งความจริง ด้วยข้อมูลต่อไปนี้ โดยเริ่มจากข้อมูลที่จะบ่งชี้ว่า นักลงทุนกลุ่มใดที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดมากที่สุด
กองทุนคือผู้ชี้ชะตาทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดในแต่ละวัน ?
สิ่งที่นักลงทุนทุกท่านสมควรจะต้องทราบเป็นอันดับแรก คือการเคลื่อนไหวของตลาดในแต่ละวันนั้นๆ นักลงทุนกลุ่มใดที่เป็นคนกำหนด โดยเราจะทำการทดสอบจากสมมุติฐานดังนี้
ตรวจสอบผลตอบแทนรายวัน (ราคาปิดวันนี้ – ราคาปิดวันก่อน) เพื่อดูว่าเป็นบวกหรือเป็นลบ จากนั้นทำการเทียบกับยอดซื้อขาย ณ สิ้นวันของนักลงทุนทั้ง 4 กลุ่ม ว่าผลเฉลยที่ออกมามีกลุ่มใดบ้างที่มียอดการซื้อขายตรงกับทิศทางของตลาดในวันนั้น
ตัวอย่างเช่น ในวันที่ 13 ส.ค.57 ดัชนี SET50 ปิดที่ระดับ 1038.63 จุด โดยวันทำการก่อนหน้า (8 ส.ค.57) ดัชนีปิดที่ 1018.47 จุด แสดงว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.16 จุด จากนั้นจึงไปพิจารณายอดการซื้อขายสุทธิ ณ สิ้นวัน พบว่า
ต่างชาติ +3,684.79 ล้านบาท กองทุน +2,614.31 ล้านบาท
รายย่อย -6,933.72 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ +634.62 ล้านบาท
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าดัชนีที่เคลื่อนไหวในวันนี้ เคลื่อนไหวตามทิศทาง Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติ สถาบันและบริษัทหลักทรัพย์ เป็นต้น
โดยเราทำการเก็บข้อมูลทั้งหมด 7 ปีย้อนหลัง (พ.ศ.2555-2561) เป็นจำนวน 1708 วันทำการ และได้ข้อสรุปดังตาราง
ตารางแสดงจำนวนวันที่ตลาดปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับยอดการซื้อขายของแต่ละกลุ่ม ณ วันนั้น (วันที่ T)
จากตารางพบว่ายอดการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันมีความสอดคล้องกับทิศทางตลาดในวันนั้นถึง 66% เลยทีเดียว! หรือกว่า 2 ใน 3 โดยแบ่งเป็นขาขึ้น 645 วันและขาลง 490 วัน ในขณะที่รายย่อยกลับมียอดการซื้อขายที่สอดคล้องกับทิศทางตลาดเพียง 25% เท่านั้น นั่นหมายความว่า การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในแต่ละวัน ถูกควบคุมจากยอดการซื้อขายของกองทุนเป็นหลัก นอกจากนี้ยังสังเกตได้อีกว่านักลงทุนทุกกลุ่มมียอดการซื้อขายที่สอดคล้องกับทิศทางตลาดเกิน 50% ซึ่งสวนทางกับรายย่อย และนี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายๆ ท่านสามารถคาดการณ์ปริมาณการซื้อขายได้ถูกต้องเกือบทุกครั้ง ว่าใครเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย เพียงแค่เห็นการเคลื่อนไหวของตลาดในแต่ละวัน
จากสถิตินี้ทำให้พวกท่านรู้สึกอย่างไรบ้างครับ? หลายคนคงรู้สึกหดหู่ใจและเริ่มท้อกับการลงทุนในตลาดหุ้น เพราะดูเหมือนว่านักลงทุนรายย่อยอย่างพวกเรากำลังเป็นแค่เหยื่ออันโอชะที่โดนอีก 3 กลุ่มที่เหลือคอยสลับกันกินเงิน … แต่พวกเราจะทำให้ทุกท่านมีกำลังใจเพิ่มขึ้นมานะครับ โดยการบอกว่า “สถิตินี้ยังไม่ใช่ข้อสรุปว่ารายย่อยของเราแพ้ให้กับตลาด” เนื่องจากข้อมูลที่เห็นเป็นเพียงข้อมูลที่เกิดขึ้นในวันนั้น (ซึ่งผ่านไปแล้ว) “ไม่ได้หมายความว่าวันต่อมาตลาดจะสวนทางกับรายย่อย” และคงเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ หากถ้าวันนี้ตลาดปรับตัวลง แล้วรายย่อยเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ แต่ในวันถัดมาตลาดกลับดีดตัวขึ้น ดังนั้น ใครจะเก่งไม่เก่งขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ทิศทางในวันต่อมา โดยพวกท่านสามารถรับรู้ได้จากข้อมูลต่อจากนี้
รายย่อยอย่างพวกเราก็เก่งไม่แพ้ใครในตลาดเช่นกัน !
สำหรับเรื่องที่ 2 เราจะทำการตรวจสอบว่านักลงทุนกลุ่มใด ที่คาดการณ์อนาคตในวันถัดไปได้แม่นยำที่สุด โดยจะทำการเปรียบเทียบยอดการซื้อขายในวันนี้ กับทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาในวันถัดไป ซึ่งผมเชื่อว่านี่คือสิ่งที่นักลงทุนอย่างพวกเราคอยเอาใจช่วยกับคำตอบและหวังว่าจะเข้าทางรายย่อยบ้าง โดยมีสมมุติฐานการทดสอบ ดังนี้
เราจะใช้ยอดการซื้อขายสุทธิในวันนี้ (วันที่ T) เป็นตัวตั้ง และดูว่าในวันต่อมา (T+1) ตลาดจะปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับยอดการซื้อขายของกลุ่มใด โดยใช้ข้อมูลการทดสอบเป็นเวลา 7 ปีเช่นเดิม (พ.ศ.2555-พ.ศ.2561) ซึ่งจะได้ข้อสรุป ดังตาราง
ตารางแสดงจำนวนวันที่ตลาดปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับยอดการซื้อขายของแต่ละกลุ่มในวันถัดไป (วันที่ T+1)
เมื่อพิจารณาจากตาราง ข้อมูลที่น่ายินดีสำหรับนักลงทุนรายย่อย เนื่องจากหากเราเปรียบเทียบข้อมูลในวันถัดไป (T+1) โดยพบว่าการเปลี่ยนแปลงของตลาดปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับยอดการซื้อรายย่อยถึง 51% แซงหน้าทั้งนักลงทุนสถาบันและโบรกเกอร์ ดังนั้น ถ้าเราเห็นรายย่อยซื้อ เรามีโอกาสเห็นหุ้นขึ้นในวันถัดไปไม่ต่างจากกลุ่มอื่นเลย ซึ่งข้อมูลสถิติตัวนี้ คงล้างภาพของใครหลายคนที่กล่าวว่าพอรายย่อยซื้อวันต่อมาจะลง หรือขายแล้ววันต่อมาจะขึ้นได้ และเข้าใจเสียใหม่ว่ารายย่อยก็ไม่ได้แย่กว่ากลุ่มอื่นๆ เพราะตัวเลขที่ออกมานี้ชี้ให้เห็นว่าตลาดหุ้นไม่ได้มีใครที่เก่งกว่าพวกเราไปสักเท่าใดหรอก …