เราเชื่อว่าในตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้ว่าตลาดหุ้นไทยมีการเคลื่อนไหวที่ “ไม่ปกติ” โดยไม่ว่าใครจะเป็นมือใหม่สักแค่ไหนก็ดูออกว่า มีนักลงทุนบางกลุ่มจงใจใช้หุ้นบางตัวในการกำหนดทิศทางตลาด (ดัชนีหุ้น) แล้วพวกเขาทำไปทำไม ? ทำไมต้องเป็นหุ้นตัวนี้ ? และที่สำคัญ “ใคร” มีแนวโน้มเป็นคนทำทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ เราขอเชิญทุกท่านมาร่วมหาคำตอบพร้อมกัน ผ่านสมมุติฐานและหลักฐานทั้งหมดในบทความนี้
เมื่อดัชนีหุ้นไม่ได้สะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นอีกต่อไป
ดัชนีหุ้น ถูกสร้างขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อสะท้อนการเคลื่อนไหวโดยรวมของหุ้นทั้งตลาด เพื่อให้ทุกท่านสามารถใช้ประโยชน์ในการเป็น Benchmark อ้างอิงเปรียบเทียบ Performance ของตนเอง หรือของกองทุนที่ลงทุน แต่ในอีกด้าน ดัชนีหุ้นก็เป็น 1 ในสินทรัพย์อ้างอิงสำคัญที่ส่งผลต่อกำไร/ขาดทุนของเครื่องมือการลงทุนสมัยใหม่จำพวกตราสารอนุพันธ์อย่าง DW และ TFEX ซึ่งปัจจุบัน Product เหล่านี้ได้เติบโตขึ้นมาจนมีมูลค่าการซื้อขายหลายหมื่นล้านบาทต่อวัน ทำให้เรากล้าพูดได้เลยว่า
“มันกลายเป็นเหตผลที่สำคัญที่สุด” สำหรับการถูกใช้งานดัชนี ดังนั้น หลายคนจึงพยายามหาวิธีทำราคาดัชนี และในที่สุด ปี 2564 นี้ ก็ได้เกิด “ช่องโหว่” ที่ใหญ่ที่สุด กับปรากฏการณ์ “หุ้นตัวเดียวสามารถกำหนดทิศทางได้ทั้งตลาด” ซึ่งหุ้นตัวนั้นก็กำลังเป็นกระแสอยู่ในทุกวันนี้ …
“DELTA”
ทำไมต้อง DELTA ?
อย่างที่เคยอธิบายไว้ในกระทู้ก่อนหน้าว่า DELTA ถือเป็นหุ้นที่ “โครตพิเศษ” โดยมีมูลค่าตลาด (Market Capitalization) สูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของตลาดหุ้นไทย ทั้ง ๆ เมื่อปีที่แล้ว พวกเขายังไม่ติด 1 ใน 100 เลยเสียด้วยซ้ำ จนหลายคนเชียร์ออกนอกหน้าให้ราคาพุ่งทะยานขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ แซงกลายเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย โดยไม่สนใจพื้นฐาน และบางท่านอาจจะไม่รู้เลยว่าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่ …
“ใหญ่แต่กลวง”
ตามปกติหุ้นในลำดับต้น ๆ ของประเทศมักจะมีกลุ่มผู้ถือหุ้นที่กระจายตัวออกเป็นจำนวนมาก โดยสามารถวัดได้จากข้อมูลการถือครองหุ้นของรายย่อยที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ (Free Float) ซึ่งมีค่าเฉลี่ยประมาณ 50% แต่นี้แหละครับ คือความพิเศษที่เราบอก
เพราะ DELTA กลับมี Flee Float เพียง 22% ! รั้งตำแหน่งท้ายสุดของหุ้นใน SET50 ส่งผลให้ปริมาณหุ้นถูกซื้อ-ขายหมุนเวียนอยู่ในระบบค่อนข้างน้อยมาก ทำให้การใช้เงินเพียงนิดเดียว ก็ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาอย่างผิดปกติเมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกัน โดยพวกท่านสามารถดูตัวอย่างได้ดังนี้
รูปแสดงการเปลี่ยนแปลงราคาและมูลค่าการซื้อขายของหุ้น PTT กับ DELTA ในเดือน ม.ค. 64
จากรูปจะเห็นว่าในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ราคาหุ้น PTT มีการเคลื่อนไหวบวก/ลบเฉลี่ยต่อวันเพียง 1.4% ขณะที่ DELTA กลับแกว่งเฉลี่ยต่อวันมากถึง 8.1% แต่มูลค่าการซื้อขาย PTT กลับสูงกว่าที่ 3,643 ล้านบาทต่อวัน ส่วน DELTA มีการซื้อขายเพียง 1,922 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้น เมื่อทำการเปรียบเทียบแล้วจะเห็นว่า การเคลื่อนไหวของหุ้น PTT 1% จะต้องใช้มูลค่าถึง 3,643 / 1.4 = 2,600 ล้าน แต่ DELTA กลับใช้แค่ 200 กว่าล้านเท่านั้น
โดยมีความแตกต่างกันมากเกินกว่า 10 เท่า ! และเพื่อไม่เป็นการเปรียบเทียบแบบเฉพาะเจาะจงเกินไป เราจึงทำการพิจารณาข้อมูลเพิ่ม โดยเปรียบเทียบกับหุ้น TOP15 ทั้งหมด และใช้ข้อมูลย้อนหลังเป็นของทั้งปีนี้แทน (ม.ค. - พ.ค.) โดยได้ผลลัพธ์ ดังตาราง
ตารางแสดงข้อมูลการซื้อขายเฉลี่ยต่อ 1% ของหุ้นทั้ง 15 ตัวในปี 2021
จากตารางเราได้ Ranking หุ้นทั้ง 15 ตัวตามลำดับมูลค่าตลาด (% MKT. Cap) จากนั้นทำการหาการเปลี่ยนแปลงราคาเฉลี่ยต่อวัน (Avg. Absolute Return) พบว่า DELTA ก็ยังเป็นหุ้นที่แกว่งสูงสุดที่ประมาณ 5.6% ต่อวัน ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง IVL ที่ประมาณ 1.7% อย่างขาดลอย และเมื่อดูจากปริมาณการซื้อขายต่อวันแล้วพบว่า OR, PTT และ KBANK เป็นหุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุดโดยเฉลี่ยประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อวัน ดังนั้น เราจึงประมาณการณ์ได้ว่า หุ้นแต่ละตัวจะต้องใช้เงินจำนวนเท่าไหร่ในการทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงไป 1% (Value : % Chg.) ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ คือ หุ้น DELTA จะให้เงินเพียง 300 ล้านเท่านั้น ตามมาด้วย GULF ที่ต้องใช้เงินถึง 750 ล้านบาท
ซึ่งมากกว่า DELTA เกือบ 3 เท่าตัว
แต่การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นทุกตัว กลับมีผลกระทบต่อดัชนี SET50 ด้วย Logic ที่เหมือนกัน !
นี้แหละครับ คือ Highlight สำคัญ เพราะถึงแม้ว่าหุ้นแต่ละตัวจะใช้เงินในการทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงไปแตกต่างกัน แต่ทุกตัวกลับมีผลต่อดัชนีด้วย Logic เดียวกัน คือ ตามมูลค่าตลาด (เพราะการคำนวณดัชนีในปัจจุบัน จะใช้เกณฑ์ถ่วงน้ำหนักตาม Market Cap โดยไม่สนปัจจัยอื่น เช่น สภาพคล่อง) ดังนั้น หุ้น DELTA ที่หุ้นขนาดใหญ่จึงมี Impact ต่อดัชนีมาก ทั้งที่ตัวเองมีน้ำหนักที่เบากว่าคนอื่น โดยจากตารางด้านขวา (Impact SET50) จะเป็นตัวบอกว่า ทุก ๆ การเปลี่ยนแปลง 1% ของแต่ละตัวส่งผลต่อดัชนีเท่าไหร่ เช่น หาก PTT เปลี่ยนแปลงไป 1% จะส่งผลต่อดัชนี SET50 เท่ากับ 0.929 จุด ดังนั้น เมื่อนำ 2 ข้อมูลมารวมกัน เราจึงประมาณได้ว่า “พวกเขาจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการทำราคาหุ้นแต่ละตัวเพื่อให้ดัชนี SET50 เปลี่ยนแปลงไป 1 จุด“ (Column สุดท้าย) โดยจากผลสรุปจะเห็นว่า
DELTA จะใช้เงินเพียงแค่ 650 ล้านบาทเท่านั้น ทิ้งห่าง AOT อันดับ 2 ที่ต้องใช้ถึง 2000 ล้านบาท ถึง 3 เท่า และทิ้งห่าง OR ที่ต้องใช้กว่า 9000 ล้านบาท ไปหลายสิบเท่า !
ดังนั้น จากข้อมูลทั้งหมดคงเพียงพอที่จะบอกได้แล้วนะครับว่า “ทำไมต้องเป็น DELTA”
จากนั้นมาดูกันต่อมาเป็นฝีมือของใคร ? แน่นอนว่าหากถ้าเป็นตามสมมุติฐานที่คาดเดากันไว้ ว่าเขาทำไปเพื่อหวังผลประโยชน์ในตลาด TFEX ดังนั้น ผู้ต้องสงสัยคงจะต้องมีการ
“สะสมสถานะใน SET50 Futures เอาไว้ล่วงหน้า” เราจึงได้ทำการเก็บข้อมูล ยอดซื้อขายสะสมของนักลงทุนทั้ง 3 กลุ่มมาทำการเปรียบเทียบโดยเริ่มตั้งแต่ปลายเดือน ธ.ค. 63 ที่ DELTA กำลังจะถูกบรรจุเข้ามาเป็น 1 ในหุ้นใน SET50 โดยจะได้รูป ดังนี้
รูปแสดงการเคลื่อนไหวของหุ้น DELTA และยอดสถานะสะสม SET50 Futures ของนักลงทุนทั้ง 3 กลุ่ม
จากรูปจะเห็นว่า เมื่อเรานำการเคลื่อนไหวของหุ้น DELTA มาวางเทียบกับ ยอดสะสม SET50 Futures ของนักลงทุนทั้ง 3 กลุ่ม (ต่างชาติ, สถาบัน, รายย่อย ตามลำดับ) แล้วปรากฏว่า Fund Flow ในตลาด TFEX ของต่างชาติในช่วง 10 วันก่อนหน้า มีรูปแบบการเคลื่อนไหวเหมือนกับของหุ้น DELTA ในช่วงกระชากแรงตอนต้นปี (หมายเลข 1) และในเดือนล่าสุด (หมายเลข 2) แทบทุกประการ นั้นเท่ากับว่าพวกเขาบังเอิญรู้ล่วงหน้าว่าทิศทางของ DELTA จะเป็นอย่างไรในอนาคต จึงจงใจ Take Action SET50 Futures ในทิศทางนั้นดักเอาไว้ ! หากมองอีกมุมมองก็พออนุมานได้ว่า
พวกเขานี้แหละที่เห็นถึงโอกาสและใช้ช่องโหว่นี้ ในการสร้างผลประโยชน์กับ “Money Game” ในรอบนี้
จากข้อมูลทั้งหมดคงทำให้ทุกท่านรับรู้แล้วนะครับ ว่าการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นหรือดัชนีหุ้นไทยมีเรื่องราวที่ลึกมากกว่าที่หลายคนคิด รวมถึงถูกแทรกแซงจากคนบางกลุ่ม จึงทำให้เราอาจไม่สามารถใช้งานหรือดูเปรียบเทียบได้เหมือนเดิม ดังนั้น เราจึงทำการจำลองดัชนีขึ้นมาใหม่ โดยตัดเอาหุ้นตัวที่เป็นปัญหาอย่าง DELTA ออก โดยเราขอเรียกมันว่า “SET49” เพื่อให้ทุกท่านได้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ดังรูป
รูปแสดงการเปรียบเทียบระหว่างดัชนี SET50 กับ SET49 (นำ DELTA ออก) ในช่วงต้นปี - ปัจจุบัน (12 พ.ค.64)
จากรูปเป็นของวันพุธที่ผ่านมา (12 พ.ค. 64) ซึ่งเป็นวันที่หุ้น DELTA ปรับตัวขึ้นแรงกว่า 100 จุดมาปิด 558 บาท โดยดึงให้ดัชนี SET50 ปิดติดลบเพียงแค่ 4 จุดเท่านั้น แต่หากถ้าเราคำนวณดัชนีใหม่โดยแค่นำเอาหุ้น DELTA ออก 1 ตัว (SET49) จะพบว่า
แท้จริงแล้วดัชนีกลับติดลบถึง 14.62 จุด ! และเมื่อเทียบแบบ MTD จะเห็นว่าในเดือน พ.ค.ตลาดหุ้นไทยที่ดูทรงตัว โดยติดลบไปเล็กน้อยแค่ 0.3% เท่านั้น แต่เมื่อนำ DELTA ออกพบว่าติดลบหนักถึง 2.5% ดังนั้นจะเห็นว่าตัวเลขดัชนี SET50 นั้น “หลอกตา” ค่อนข้างชัดเจน เพราะแค่ท่านไม่ได้ถือ DELTA เพียงตัวเดียวก็ไม่สามารถใช้อ้างอิงได้
สรุปแล้วดัชนีหุ้นไทยได้กลายเป็น 1 ในเครื่องมือที่ใช้เก็งกำไร และมีช่องโหว่เกิดขึ้นมาอย่างชัดเจน จึงทำให้ไม่สามารถใช้งานในการ Tracking ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้ทุกคนเห็นภาพที่ถูกต้องอีกครั้ง เราจึงทำตัดสินใจคำนวนดัชนีใหม่ เพื่อเปรียบเทียบอย่างในรูปที่ผ่านมา โดยเราจะรายงาน Templete นี้ในทุกสิ้นวันตอนเย็นผ่านทางสื่อของเรา (Credit ด้านล่าง)
และในทุกเช้าผ่านกระทู้ Pantip <<โพยหุ้น&TFEX ประจำวัน>> เวลา 9.00 น. หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนทุกท่าน และหากถ้ามีความรู้อัพเดทเพิ่มเติม เราก็จะมาแชร์ให้ทุกท่านรับรู้กันอย่างต่อเนื่อง สุดท้าย เราเป็น 1 ในนักลงทุนที่คาดหวังให้ตลาดกลับมาเป็นปกติและเป็น Fair Game อีกครั้ง ขอให้ทุกท่านระมัดระวังและประสบความสำเร็จในในการลงทุน ขอบคุณครับ
Credit :
https://www.facebook.com/tfexforfuture
ร่วมพูดคุยแสดงความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนกันได้นะครับ
Line OpenChat : TFEX For Future
https://line.me/ti/g2/btLW138AZRRYIUeuCe-5GQ
การใช้ DELTA ทำราคาดัชนี ต้องใช้เงินเท่าไหร่ ❓ และใครเป็นผู้ต้องสงสัย <<หลักฐานอยู่ด้านใน>>
เราเชื่อว่าในตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้ว่าตลาดหุ้นไทยมีการเคลื่อนไหวที่ “ไม่ปกติ” โดยไม่ว่าใครจะเป็นมือใหม่สักแค่ไหนก็ดูออกว่า มีนักลงทุนบางกลุ่มจงใจใช้หุ้นบางตัวในการกำหนดทิศทางตลาด (ดัชนีหุ้น) แล้วพวกเขาทำไปทำไม ? ทำไมต้องเป็นหุ้นตัวนี้ ? และที่สำคัญ “ใคร” มีแนวโน้มเป็นคนทำทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ เราขอเชิญทุกท่านมาร่วมหาคำตอบพร้อมกัน ผ่านสมมุติฐานและหลักฐานทั้งหมดในบทความนี้
เมื่อดัชนีหุ้นไม่ได้สะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นอีกต่อไป
ดัชนีหุ้น ถูกสร้างขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อสะท้อนการเคลื่อนไหวโดยรวมของหุ้นทั้งตลาด เพื่อให้ทุกท่านสามารถใช้ประโยชน์ในการเป็น Benchmark อ้างอิงเปรียบเทียบ Performance ของตนเอง หรือของกองทุนที่ลงทุน แต่ในอีกด้าน ดัชนีหุ้นก็เป็น 1 ในสินทรัพย์อ้างอิงสำคัญที่ส่งผลต่อกำไร/ขาดทุนของเครื่องมือการลงทุนสมัยใหม่จำพวกตราสารอนุพันธ์อย่าง DW และ TFEX ซึ่งปัจจุบัน Product เหล่านี้ได้เติบโตขึ้นมาจนมีมูลค่าการซื้อขายหลายหมื่นล้านบาทต่อวัน ทำให้เรากล้าพูดได้เลยว่า “มันกลายเป็นเหตผลที่สำคัญที่สุด” สำหรับการถูกใช้งานดัชนี ดังนั้น หลายคนจึงพยายามหาวิธีทำราคาดัชนี และในที่สุด ปี 2564 นี้ ก็ได้เกิด “ช่องโหว่” ที่ใหญ่ที่สุด กับปรากฏการณ์ “หุ้นตัวเดียวสามารถกำหนดทิศทางได้ทั้งตลาด” ซึ่งหุ้นตัวนั้นก็กำลังเป็นกระแสอยู่ในทุกวันนี้ … “DELTA”
ทำไมต้อง DELTA ?
อย่างที่เคยอธิบายไว้ในกระทู้ก่อนหน้าว่า DELTA ถือเป็นหุ้นที่ “โครตพิเศษ” โดยมีมูลค่าตลาด (Market Capitalization) สูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของตลาดหุ้นไทย ทั้ง ๆ เมื่อปีที่แล้ว พวกเขายังไม่ติด 1 ใน 100 เลยเสียด้วยซ้ำ จนหลายคนเชียร์ออกนอกหน้าให้ราคาพุ่งทะยานขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ แซงกลายเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย โดยไม่สนใจพื้นฐาน และบางท่านอาจจะไม่รู้เลยว่าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่ …
“ใหญ่แต่กลวง”
ตามปกติหุ้นในลำดับต้น ๆ ของประเทศมักจะมีกลุ่มผู้ถือหุ้นที่กระจายตัวออกเป็นจำนวนมาก โดยสามารถวัดได้จากข้อมูลการถือครองหุ้นของรายย่อยที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ (Free Float) ซึ่งมีค่าเฉลี่ยประมาณ 50% แต่นี้แหละครับ คือความพิเศษที่เราบอก เพราะ DELTA กลับมี Flee Float เพียง 22% ! รั้งตำแหน่งท้ายสุดของหุ้นใน SET50 ส่งผลให้ปริมาณหุ้นถูกซื้อ-ขายหมุนเวียนอยู่ในระบบค่อนข้างน้อยมาก ทำให้การใช้เงินเพียงนิดเดียว ก็ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาอย่างผิดปกติเมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกัน โดยพวกท่านสามารถดูตัวอย่างได้ดังนี้
รูปแสดงการเปลี่ยนแปลงราคาและมูลค่าการซื้อขายของหุ้น PTT กับ DELTA ในเดือน ม.ค. 64
จากรูปจะเห็นว่าในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ราคาหุ้น PTT มีการเคลื่อนไหวบวก/ลบเฉลี่ยต่อวันเพียง 1.4% ขณะที่ DELTA กลับแกว่งเฉลี่ยต่อวันมากถึง 8.1% แต่มูลค่าการซื้อขาย PTT กลับสูงกว่าที่ 3,643 ล้านบาทต่อวัน ส่วน DELTA มีการซื้อขายเพียง 1,922 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้น เมื่อทำการเปรียบเทียบแล้วจะเห็นว่า การเคลื่อนไหวของหุ้น PTT 1% จะต้องใช้มูลค่าถึง 3,643 / 1.4 = 2,600 ล้าน แต่ DELTA กลับใช้แค่ 200 กว่าล้านเท่านั้น โดยมีความแตกต่างกันมากเกินกว่า 10 เท่า ! และเพื่อไม่เป็นการเปรียบเทียบแบบเฉพาะเจาะจงเกินไป เราจึงทำการพิจารณาข้อมูลเพิ่ม โดยเปรียบเทียบกับหุ้น TOP15 ทั้งหมด และใช้ข้อมูลย้อนหลังเป็นของทั้งปีนี้แทน (ม.ค. - พ.ค.) โดยได้ผลลัพธ์ ดังตาราง
ตารางแสดงข้อมูลการซื้อขายเฉลี่ยต่อ 1% ของหุ้นทั้ง 15 ตัวในปี 2021
จากตารางเราได้ Ranking หุ้นทั้ง 15 ตัวตามลำดับมูลค่าตลาด (% MKT. Cap) จากนั้นทำการหาการเปลี่ยนแปลงราคาเฉลี่ยต่อวัน (Avg. Absolute Return) พบว่า DELTA ก็ยังเป็นหุ้นที่แกว่งสูงสุดที่ประมาณ 5.6% ต่อวัน ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง IVL ที่ประมาณ 1.7% อย่างขาดลอย และเมื่อดูจากปริมาณการซื้อขายต่อวันแล้วพบว่า OR, PTT และ KBANK เป็นหุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุดโดยเฉลี่ยประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อวัน ดังนั้น เราจึงประมาณการณ์ได้ว่า หุ้นแต่ละตัวจะต้องใช้เงินจำนวนเท่าไหร่ในการทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงไป 1% (Value : % Chg.) ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ คือ หุ้น DELTA จะให้เงินเพียง 300 ล้านเท่านั้น ตามมาด้วย GULF ที่ต้องใช้เงินถึง 750 ล้านบาท ซึ่งมากกว่า DELTA เกือบ 3 เท่าตัว
แต่การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นทุกตัว กลับมีผลกระทบต่อดัชนี SET50 ด้วย Logic ที่เหมือนกัน !
นี้แหละครับ คือ Highlight สำคัญ เพราะถึงแม้ว่าหุ้นแต่ละตัวจะใช้เงินในการทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงไปแตกต่างกัน แต่ทุกตัวกลับมีผลต่อดัชนีด้วย Logic เดียวกัน คือ ตามมูลค่าตลาด (เพราะการคำนวณดัชนีในปัจจุบัน จะใช้เกณฑ์ถ่วงน้ำหนักตาม Market Cap โดยไม่สนปัจจัยอื่น เช่น สภาพคล่อง) ดังนั้น หุ้น DELTA ที่หุ้นขนาดใหญ่จึงมี Impact ต่อดัชนีมาก ทั้งที่ตัวเองมีน้ำหนักที่เบากว่าคนอื่น โดยจากตารางด้านขวา (Impact SET50) จะเป็นตัวบอกว่า ทุก ๆ การเปลี่ยนแปลง 1% ของแต่ละตัวส่งผลต่อดัชนีเท่าไหร่ เช่น หาก PTT เปลี่ยนแปลงไป 1% จะส่งผลต่อดัชนี SET50 เท่ากับ 0.929 จุด ดังนั้น เมื่อนำ 2 ข้อมูลมารวมกัน เราจึงประมาณได้ว่า “พวกเขาจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการทำราคาหุ้นแต่ละตัวเพื่อให้ดัชนี SET50 เปลี่ยนแปลงไป 1 จุด“ (Column สุดท้าย) โดยจากผลสรุปจะเห็นว่า DELTA จะใช้เงินเพียงแค่ 650 ล้านบาทเท่านั้น ทิ้งห่าง AOT อันดับ 2 ที่ต้องใช้ถึง 2000 ล้านบาท ถึง 3 เท่า และทิ้งห่าง OR ที่ต้องใช้กว่า 9000 ล้านบาท ไปหลายสิบเท่า !
ดังนั้น จากข้อมูลทั้งหมดคงเพียงพอที่จะบอกได้แล้วนะครับว่า “ทำไมต้องเป็น DELTA”
จากนั้นมาดูกันต่อมาเป็นฝีมือของใคร ? แน่นอนว่าหากถ้าเป็นตามสมมุติฐานที่คาดเดากันไว้ ว่าเขาทำไปเพื่อหวังผลประโยชน์ในตลาด TFEX ดังนั้น ผู้ต้องสงสัยคงจะต้องมีการ “สะสมสถานะใน SET50 Futures เอาไว้ล่วงหน้า” เราจึงได้ทำการเก็บข้อมูล ยอดซื้อขายสะสมของนักลงทุนทั้ง 3 กลุ่มมาทำการเปรียบเทียบโดยเริ่มตั้งแต่ปลายเดือน ธ.ค. 63 ที่ DELTA กำลังจะถูกบรรจุเข้ามาเป็น 1 ในหุ้นใน SET50 โดยจะได้รูป ดังนี้
รูปแสดงการเคลื่อนไหวของหุ้น DELTA และยอดสถานะสะสม SET50 Futures ของนักลงทุนทั้ง 3 กลุ่ม
จากรูปจะเห็นว่า เมื่อเรานำการเคลื่อนไหวของหุ้น DELTA มาวางเทียบกับ ยอดสะสม SET50 Futures ของนักลงทุนทั้ง 3 กลุ่ม (ต่างชาติ, สถาบัน, รายย่อย ตามลำดับ) แล้วปรากฏว่า Fund Flow ในตลาด TFEX ของต่างชาติในช่วง 10 วันก่อนหน้า มีรูปแบบการเคลื่อนไหวเหมือนกับของหุ้น DELTA ในช่วงกระชากแรงตอนต้นปี (หมายเลข 1) และในเดือนล่าสุด (หมายเลข 2) แทบทุกประการ นั้นเท่ากับว่าพวกเขาบังเอิญรู้ล่วงหน้าว่าทิศทางของ DELTA จะเป็นอย่างไรในอนาคต จึงจงใจ Take Action SET50 Futures ในทิศทางนั้นดักเอาไว้ ! หากมองอีกมุมมองก็พออนุมานได้ว่า พวกเขานี้แหละที่เห็นถึงโอกาสและใช้ช่องโหว่นี้ ในการสร้างผลประโยชน์กับ “Money Game” ในรอบนี้
จากข้อมูลทั้งหมดคงทำให้ทุกท่านรับรู้แล้วนะครับ ว่าการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นหรือดัชนีหุ้นไทยมีเรื่องราวที่ลึกมากกว่าที่หลายคนคิด รวมถึงถูกแทรกแซงจากคนบางกลุ่ม จึงทำให้เราอาจไม่สามารถใช้งานหรือดูเปรียบเทียบได้เหมือนเดิม ดังนั้น เราจึงทำการจำลองดัชนีขึ้นมาใหม่ โดยตัดเอาหุ้นตัวที่เป็นปัญหาอย่าง DELTA ออก โดยเราขอเรียกมันว่า “SET49” เพื่อให้ทุกท่านได้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ดังรูป
รูปแสดงการเปรียบเทียบระหว่างดัชนี SET50 กับ SET49 (นำ DELTA ออก) ในช่วงต้นปี - ปัจจุบัน (12 พ.ค.64)
จากรูปเป็นของวันพุธที่ผ่านมา (12 พ.ค. 64) ซึ่งเป็นวันที่หุ้น DELTA ปรับตัวขึ้นแรงกว่า 100 จุดมาปิด 558 บาท โดยดึงให้ดัชนี SET50 ปิดติดลบเพียงแค่ 4 จุดเท่านั้น แต่หากถ้าเราคำนวณดัชนีใหม่โดยแค่นำเอาหุ้น DELTA ออก 1 ตัว (SET49) จะพบว่าแท้จริงแล้วดัชนีกลับติดลบถึง 14.62 จุด ! และเมื่อเทียบแบบ MTD จะเห็นว่าในเดือน พ.ค.ตลาดหุ้นไทยที่ดูทรงตัว โดยติดลบไปเล็กน้อยแค่ 0.3% เท่านั้น แต่เมื่อนำ DELTA ออกพบว่าติดลบหนักถึง 2.5% ดังนั้นจะเห็นว่าตัวเลขดัชนี SET50 นั้น “หลอกตา” ค่อนข้างชัดเจน เพราะแค่ท่านไม่ได้ถือ DELTA เพียงตัวเดียวก็ไม่สามารถใช้อ้างอิงได้
สรุปแล้วดัชนีหุ้นไทยได้กลายเป็น 1 ในเครื่องมือที่ใช้เก็งกำไร และมีช่องโหว่เกิดขึ้นมาอย่างชัดเจน จึงทำให้ไม่สามารถใช้งานในการ Tracking ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้ทุกคนเห็นภาพที่ถูกต้องอีกครั้ง เราจึงทำตัดสินใจคำนวนดัชนีใหม่ เพื่อเปรียบเทียบอย่างในรูปที่ผ่านมา โดยเราจะรายงาน Templete นี้ในทุกสิ้นวันตอนเย็นผ่านทางสื่อของเรา (Credit ด้านล่าง) และในทุกเช้าผ่านกระทู้ Pantip <<โพยหุ้น&TFEX ประจำวัน>> เวลา 9.00 น. หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนทุกท่าน และหากถ้ามีความรู้อัพเดทเพิ่มเติม เราก็จะมาแชร์ให้ทุกท่านรับรู้กันอย่างต่อเนื่อง สุดท้าย เราเป็น 1 ในนักลงทุนที่คาดหวังให้ตลาดกลับมาเป็นปกติและเป็น Fair Game อีกครั้ง ขอให้ทุกท่านระมัดระวังและประสบความสำเร็จในในการลงทุน ขอบคุณครับ
Credit : https://www.facebook.com/tfexforfuture
ร่วมพูดคุยแสดงความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนกันได้นะครับ
Line OpenChat : TFEX For Future
https://line.me/ti/g2/btLW138AZRRYIUeuCe-5GQ