ต่อเนื่องจาก 3 กระทู้เก่า
https://ppantip.com/topic/37751186 >> ผมคิดว่าทุกวันนี้ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนไปแล้ว (อยากให้ทุกคนได้อ่าน)
https://ppantip.com/topic/37767278 >> [ตอนจบ] ผมคิดว่าทุกวันนี้ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนไปแล้ว (อยากให้ทุกคนได้อ่าน)
https://ppantip.com/topic/37784213 >> ภาพลวงตาและความผิดเพี้ยนของปริมาณการซื้อขายสิ้นวัน
ปัจจุบันผมคิดว่าตลาดการลงทุนของประเทศไทยยังคงมีคำถามอีกหลายเรื่องที่นักลงทุนต้องค้นหาคำตอบและต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด โดยทางทีมงานของเราจะพยายามนำประเด็นที่สำคัญเหล่านั้นมาทำการตั้งสมมุติฐานและแปรเปลี่ยนเป็นผลลัพธ์ให้นักลงทุนทุกท่านได้รับรู้ สำหรับวันนี้เราหยิบยกประเด็นที่เป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งและยังคงตอบกับพฤติกรรมที่น่าสงสัยเหล่านี้ไม่ได้ นั้นก็คือ
มุมมองของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย ซึ่งผลลัพธ์จะเป็นไปตามที่หลายคนคาดคิดไว้หรือไม่ แล้วมิติต่าง ๆ ของการลงทุนจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ท่านสามารถพิจารณาได้จากบทความนี้
นักลงทุนต่างชาติเป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญที่ใครหลายคนหยิบยกให้เป็นผู้เล่นที่เก่งเป็นอันดับ 1 ของตลาดหุ้นไทย ถึงขนาดที่มีบางท่านใช้ข้อมูลการซื้อ-ขายของต่างชาติเป็นปัจจัยหลักในการสร้าง Logic การซื้อ-ขายหุ้นของตนเอง บ้างก็สมหวังมองว่าเพราะต่างชาติถูกเสมอ บ้างก็ผิดหวังและแอบรู้สึกอยากทบทวนความคิดตัวเองว่ายังคงเชื่อถือแนวคิดนี้ได้หรือไม่ หรือบ้างก็ถึงขนาดด่าทอว่าต่างชาติกลายเป็นกลุ่มที่ไร้น้ำยาและมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยน้อยที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งสุดท้ายแนวคิดไหนจะเป็นฝ่ายถูก ผมอยากให้ทุกคนลองคาดการณ์คำตอบกันก่อนที่ผมจะแชร์มุมมองความคิดของตนเอง
ผมเป็นหนึ่งในคนที่ให้เครดิตกับนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างมากตลอดช่วงชีวิตการลงทุนของตัวเอง โดยหากย้อนกลับไปเมื่อ 7-8 ปีก่อน คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติส่งผลกระทบต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก แต่มาในช่วง 3-4 ปีหลัง ผมกลับมีความรู้สึกว่านัยสำคัญนั้นเริ่มเจือจางลง และมีหลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าพวกเขา “แพ้” ให้กับนักลงทุนกลุ่มอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งรายย่อยที่ดูเหมือนจะเป็นผู้เล่นที่น่าจะเสียผลประโยชน์มากที่สุด จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักลงทุนที่ถูกมองว่าเป็นอันดับ 1 ในอดีตกลับกลายเป็นนักลงทุนที่หลายคนเริ่มหมดศรัทธา จึงพยายามรวบรวมข้อมูลเพื่อหาคำตอบเรื่องนี้ขึ้นมา และออกมาแชร์ให้ทุกท่านได้รับรู้ผ่านเนื้อหาต่อไปนี้
เริ่มต้นกันด้วยการตั้งสมมุติฐานการทดสอบ
แน่นอนว่าก่อนจะทำการวิจัยเรื่องใดสักเรื่องหนึ่ง เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจตรงกันกับมุมมองที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ สิ่งสำคัญคือทุกคนต้องคิดอยู่บนหลักการและตรรกะเดียวกัน ดังนั้นผมขออนุญาตแชร์ข้อมูลให้ทุกคนได้รับรู้ตามสมมุติฐานที่ผมตั้งขึ้นไว้
หากต่างชาติเก่งจริงทุกครั้งที่ตลาดขึ้น-ลงเขาควรซื้อหรือขายหุ้นไว้ก่อนหน้านั้น
ในมุมมองของผมหากนักลงทุนกลุ่มใดที่สามารถคาดการณ์ทิศทางตลาดได้ถูกต้องและทำกำไรในตลาดได้จริง
พวกเขาต้องมีการซื้อ-ขายหุ้นจริง ๆ เก็บไว้ก่อนหน้าในทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ใช่เพียงแค่ทำให้หุ้นขึ้นหรือลงเพียงวันใดวันหนึ่ง และเพื่อให้บทความชิ้นนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง จึงคิดว่าข้อมูลที่ควรใช้คือข้อมูลการซื้อขายที่สะสมมาในช่วงก่อนหน้ามากกว่าการดูยอด ณ สิ้นวันของวันนั้น แล้วบอกว่าใครมีอิทธิพลกับตลาดมากที่สุด ดังนั้นทางเราจึงกำหนดสมมุติฐานไว้ 2 ประการ ดังนี้
สมมุติฐานที่ 1 กำหนดนิยามการเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญของตลาด
เป็นเรื่องปกติที่ตลาดหุ้นจะมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปในทุกวันทำการ และเพื่อป้องกันการใช้ข้อมูลการเคลื่อนไหวขึ้น-ลงเพียงเล็กน้อยมาเป็นตัวตัดสินความสามารถของกลุ่มนักลงทุน เราจึงหยิบยกเฉพาะเหตุการณ์การเคลื่อนไหวขึ้น-ลงเป็นรอบ ๆ ที่มีนัยสำคัญ โดยทางเราขอกำหนดรอบการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญด้วยเงื่อนไข คือ
ต้องขึ้นหรือลงมากกว่า 3% เมื่อเทียบกับ 10 วันทำการก่อนหน้า
*หากมีการขึ้นหรือลงต่อเนื่องทางเราจะนับเฉพาะวันสุดท้ายที่มีการเปลี่ยนแปลงสูงสุดในรอบนั้น
รูปแสดงตัวอย่างรอบการเคลื่อนไหวที่มากกว่า 3% ในช่วง 10 วันทำการของปี 2018
จากรูป
หมายเลข 1 ในวันที่ 5/1/18 ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นจากวันที่ 22/12/17 (10 วันทำกานก่อน) เป็นจำนวน 3.06%
หมายเลข 2 ในวันที่ 9/3/18 ดัชนีปรับลดลงจากวันที่ 26/2/18 (10 วันทำกานก่อน) เป็นจำนวน -3.25%
หมายเลข 3 ในวันที่ 20/4/18 ดัชนีปรับลดลงจากวันที่ 5/4/18 (10 วันทำกานก่อน) เป็นจำนวน 3.53%
สมมุติฐานที่ 2 กำหนดนิยามการซื้อขายสะสมที่ผ่านมา
หลังจากที่เราเก็บข้อมูลรอบการเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญแล้ว สิ่งต่อมาเราต้องกำหนดระยะเวลาการซื้อขายสะสมก่อนหน้า โดยทางเราขอกำหนดระยะเวลาสะสมก่อนหน้า คือผลรวมของยอดการซื้อ-ขายสุทธิจำนวน 20 วันทำการก่อนวันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
รูปแสดงผลรวมสะสมของปริมาณการซื้อขายสุทธิในตลาดหุ้นของ 20 วันทำการก่อนหน้า
*เพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน ทางเราต้องการทดสอบให้เห็นถึงข้อสรุป โดยไม่มีเจตนาหาค่าที่ดีที่สุด จึงกำหนดค่าต่าง ๆ ด้วยเป็นตัวเลขกลม โดยทุกคนสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อหาค่าที่ดีที่สุดได้ตามสมมุติฐานของแต่ละท่าน
ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นมีการเคลื่อนไหวขึ้น-ลงอย่างนัยสำคัญกว่า 150 ครั้ง
นี่คงเป็นอีก 1 คำถามที่นักลงทุนอยากรู้ว่าการขึ้น-ลงของตลาดหุ้นไทยมีพฤติกรรมเป็นอย่างไร โดยจากสมมุติฐานที่ทางเรากำหนดขึ้นมา สามารถให้ข้อสรุปได้ ดังรูป
จากรูปพบว่าในช่วง 12 ปีที่ผ่านมาดัชนี SET มีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่า 3% เทียบกับ 10 วันทำการก่อนหน้า ทั้งหมด 145 ครั้ง ตกเฉลี่ยประมาณเดือนละ 1 ครั้ง โดยมีสถิติที่น่าสนใจของพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาเบื้องต้น ดังนี้
- เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 78 ครั้ง (54%) และลง 67 ครั้ง (46%) บ่งบอกได้ว่าการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นมีแนวโน้มขาขึ้นบ่อยครั้ง กว่าแนวโน้มขาลง
- ค่าเฉลี่ยการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อรอบจากกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 5.09% ส่วนค่าเฉลี่ยการปรับตัวลดลงต่อรอบจากกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ -6.65% แสดงให้เห็นถึงความลึกของรอบแนวโน้มขาลงที่รุนแรงกว่ารอบขาขึ้น
ผมเชื่อว่าหลายคนคงมีข้อสงสัยว่าหากจำเป็นต้องเลือกเก็งกำไรเพียงฝั่งใดฝั่งหนึ่งระหว่าง Long กับ Short ฝั่งไหนดีกว่ากัน และหลายคนคงให้คำตอบว่า การเล่นขาลงนั้นดูเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า แต่จากสถิติพบว่าตลาดหุ้นไทยมี “โอกาส” ที่จะเป็นขาขึ้นบ่อยครั้งกว่าขาลง เพียงแต่ความเด่นชัดของรอบขาลงทำให้ได้กำไร “เป็นกอบเป็นกำ” มากกว่าขาขึ้น จึงกลายเป็นจุดโฟกัสให้นักลงทุนรู้สึกว่าทำกำไรได้ง่ายกว่า เช่นเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ (มิ.ย.18) เราลองมาพิจารณาในแง่มุมอื่น ๆ กันต่อ
- ปี 2009 มีการเคลื่อนไหวของดัชนีอย่างมีนัยสำคัญตามสมมุติฐานมากครั้งที่สุด เป็นจำนวน 17 ครั้ง และปี 2017 น้อยที่สุดเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น ซึ่งถ้าใครจำได้จะรู้ว่าปีที่แล้ว (2017) เป็นปีที่ยากลำบากที่สุดของนักลงทุนสาย Trend Follow เนื่องตลาดมีการปรับตัวขึ้นแค่ช่วงต้นเดือนแรก จากนั้น sideways อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 8 เดือน
- ตลาดมีการปรับตัวทั้งเพิ่มขึ้นและลดลงแรงสุดในช่วงปี 2008 โดยเป็นการปรับตัวลงถึง 21.18% ก่อนจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.64% ในปีเดียวกัน
จากสถิติดังกล่าวพบว่าในช่วงอดีตตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนที่สูงกว่าปัจจุบัน โดยมีการปรับตัวเกินกว่า 10% ในรอบ 10 วันทำการอยู่ให้เห็นบ่อยครั้ง แต่ในปัจจุบันถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ค่อนข้างยาก
ข้อมูลเหล่านี้ยังไม่ใช่ประเด็นหลักของเราในบทความ (เราจะกล่าวถึงเรื่องพวกนี้อย่างละเอียดในบทความถัด ๆ ไป) โดยสิ่งที่เราต้องการให้พวกท่านได้รับรู้กันคือ
แล้วในช่วงก่อนหน้าวันทำการเหล่านั้นนักลงทุนต่างชาติเขาซื้อ-ขายสุทธิสะสมฝั่งใดในปริมาณเท่าไร ? เพื่อจะได้รู้ว่านักลงทุนต่างชาติมีการคาดการณ์หรือมีผลต่อการกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นหรือไม่ และเพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างอดีตกับปัจจุบัน เราจึงทำการแบ่งช่วงการทดสอบออกเป็น 2 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 (ในอดีต) เป็นการทดสอบตั้งแต่ปี 2007 – 2012 เป็นจำนวน 6 ปี (ครึ่งบนของตาราง)
ช่วงที่ 2 (ในปัจจุบัน) เป็นการทดสอบตั้งแต่ปี 2013 – 2018 เป็นจำนวน 5.5 ปี (ครึ่งล่างของตาราง)
โดยเริ่มจากการทดสอบทางฝั่งขาขึ้น จะได้ผลลัพธ์ดังตาราง
รูปแสดงผลลัพธ์การซื้อ-ขายหุ้นสุทธิสะสมในรอบ 20 วันทำการก่อนหน้าวันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญขาขึ้นในช่วงที่ 1
จากรูปจะเห็นว่าใน
ช่วงที่ 1 ตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ทั้งหมด 47 ครั้ง โดยมีค่าเฉลี่ยการขึ้นต่อรอบประมาณ 5.61% และพบว่ามีข้อมูลที่น่าสนใจคือผลรวมของการซื้อ-ขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในรอบ 20 วันทำการก่อนหน้า
มีการซื้อสุทธิถึง 31 ครั้ง ซึ่งคิดเป็น 70% ของทั้งหมด บ่งบอกได้ว่านักลงทุนต่างชาติมีบทบาทต่อตลาดหุ้นค่อนข้างมาก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ซื้อสุทธิในทุกครั้งที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่โดยภาพรวมต้องถือว่าพวกเขาเป็นนักลงทุนที่คาดการณ์ได้ถูกต้องและได้รับประโยชน์บ่อยครั้งที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น (หรืออาจพูดได้ว่าพวกเขามีแนวโน้มในการกำหนดทิศทางราคาตลาดหุ้นไทย)
แสดงว่านักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติกำลังเดินมาถูกทางแล้ว
การจัดฉากของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย
https://ppantip.com/topic/37751186 >> ผมคิดว่าทุกวันนี้ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนไปแล้ว (อยากให้ทุกคนได้อ่าน)
https://ppantip.com/topic/37767278 >> [ตอนจบ] ผมคิดว่าทุกวันนี้ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนไปแล้ว (อยากให้ทุกคนได้อ่าน)
https://ppantip.com/topic/37784213 >> ภาพลวงตาและความผิดเพี้ยนของปริมาณการซื้อขายสิ้นวัน
ปัจจุบันผมคิดว่าตลาดการลงทุนของประเทศไทยยังคงมีคำถามอีกหลายเรื่องที่นักลงทุนต้องค้นหาคำตอบและต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด โดยทางทีมงานของเราจะพยายามนำประเด็นที่สำคัญเหล่านั้นมาทำการตั้งสมมุติฐานและแปรเปลี่ยนเป็นผลลัพธ์ให้นักลงทุนทุกท่านได้รับรู้ สำหรับวันนี้เราหยิบยกประเด็นที่เป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งและยังคงตอบกับพฤติกรรมที่น่าสงสัยเหล่านี้ไม่ได้ นั้นก็คือมุมมองของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย ซึ่งผลลัพธ์จะเป็นไปตามที่หลายคนคาดคิดไว้หรือไม่ แล้วมิติต่าง ๆ ของการลงทุนจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ท่านสามารถพิจารณาได้จากบทความนี้
นักลงทุนต่างชาติเป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญที่ใครหลายคนหยิบยกให้เป็นผู้เล่นที่เก่งเป็นอันดับ 1 ของตลาดหุ้นไทย ถึงขนาดที่มีบางท่านใช้ข้อมูลการซื้อ-ขายของต่างชาติเป็นปัจจัยหลักในการสร้าง Logic การซื้อ-ขายหุ้นของตนเอง บ้างก็สมหวังมองว่าเพราะต่างชาติถูกเสมอ บ้างก็ผิดหวังและแอบรู้สึกอยากทบทวนความคิดตัวเองว่ายังคงเชื่อถือแนวคิดนี้ได้หรือไม่ หรือบ้างก็ถึงขนาดด่าทอว่าต่างชาติกลายเป็นกลุ่มที่ไร้น้ำยาและมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยน้อยที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งสุดท้ายแนวคิดไหนจะเป็นฝ่ายถูก ผมอยากให้ทุกคนลองคาดการณ์คำตอบกันก่อนที่ผมจะแชร์มุมมองความคิดของตนเอง
ผมเป็นหนึ่งในคนที่ให้เครดิตกับนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างมากตลอดช่วงชีวิตการลงทุนของตัวเอง โดยหากย้อนกลับไปเมื่อ 7-8 ปีก่อน คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติส่งผลกระทบต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก แต่มาในช่วง 3-4 ปีหลัง ผมกลับมีความรู้สึกว่านัยสำคัญนั้นเริ่มเจือจางลง และมีหลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าพวกเขา “แพ้” ให้กับนักลงทุนกลุ่มอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งรายย่อยที่ดูเหมือนจะเป็นผู้เล่นที่น่าจะเสียผลประโยชน์มากที่สุด จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักลงทุนที่ถูกมองว่าเป็นอันดับ 1 ในอดีตกลับกลายเป็นนักลงทุนที่หลายคนเริ่มหมดศรัทธา จึงพยายามรวบรวมข้อมูลเพื่อหาคำตอบเรื่องนี้ขึ้นมา และออกมาแชร์ให้ทุกท่านได้รับรู้ผ่านเนื้อหาต่อไปนี้
เริ่มต้นกันด้วยการตั้งสมมุติฐานการทดสอบ
แน่นอนว่าก่อนจะทำการวิจัยเรื่องใดสักเรื่องหนึ่ง เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจตรงกันกับมุมมองที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ สิ่งสำคัญคือทุกคนต้องคิดอยู่บนหลักการและตรรกะเดียวกัน ดังนั้นผมขออนุญาตแชร์ข้อมูลให้ทุกคนได้รับรู้ตามสมมุติฐานที่ผมตั้งขึ้นไว้
หากต่างชาติเก่งจริงทุกครั้งที่ตลาดขึ้น-ลงเขาควรซื้อหรือขายหุ้นไว้ก่อนหน้านั้น
ในมุมมองของผมหากนักลงทุนกลุ่มใดที่สามารถคาดการณ์ทิศทางตลาดได้ถูกต้องและทำกำไรในตลาดได้จริง พวกเขาต้องมีการซื้อ-ขายหุ้นจริง ๆ เก็บไว้ก่อนหน้าในทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ใช่เพียงแค่ทำให้หุ้นขึ้นหรือลงเพียงวันใดวันหนึ่ง และเพื่อให้บทความชิ้นนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง จึงคิดว่าข้อมูลที่ควรใช้คือข้อมูลการซื้อขายที่สะสมมาในช่วงก่อนหน้ามากกว่าการดูยอด ณ สิ้นวันของวันนั้น แล้วบอกว่าใครมีอิทธิพลกับตลาดมากที่สุด ดังนั้นทางเราจึงกำหนดสมมุติฐานไว้ 2 ประการ ดังนี้
สมมุติฐานที่ 1 กำหนดนิยามการเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญของตลาด
เป็นเรื่องปกติที่ตลาดหุ้นจะมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปในทุกวันทำการ และเพื่อป้องกันการใช้ข้อมูลการเคลื่อนไหวขึ้น-ลงเพียงเล็กน้อยมาเป็นตัวตัดสินความสามารถของกลุ่มนักลงทุน เราจึงหยิบยกเฉพาะเหตุการณ์การเคลื่อนไหวขึ้น-ลงเป็นรอบ ๆ ที่มีนัยสำคัญ โดยทางเราขอกำหนดรอบการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญด้วยเงื่อนไข คือ ต้องขึ้นหรือลงมากกว่า 3% เมื่อเทียบกับ 10 วันทำการก่อนหน้า
*หากมีการขึ้นหรือลงต่อเนื่องทางเราจะนับเฉพาะวันสุดท้ายที่มีการเปลี่ยนแปลงสูงสุดในรอบนั้น
รูปแสดงตัวอย่างรอบการเคลื่อนไหวที่มากกว่า 3% ในช่วง 10 วันทำการของปี 2018
จากรูป หมายเลข 1 ในวันที่ 5/1/18 ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นจากวันที่ 22/12/17 (10 วันทำกานก่อน) เป็นจำนวน 3.06%
หมายเลข 2 ในวันที่ 9/3/18 ดัชนีปรับลดลงจากวันที่ 26/2/18 (10 วันทำกานก่อน) เป็นจำนวน -3.25%
หมายเลข 3 ในวันที่ 20/4/18 ดัชนีปรับลดลงจากวันที่ 5/4/18 (10 วันทำกานก่อน) เป็นจำนวน 3.53%
สมมุติฐานที่ 2 กำหนดนิยามการซื้อขายสะสมที่ผ่านมา
หลังจากที่เราเก็บข้อมูลรอบการเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญแล้ว สิ่งต่อมาเราต้องกำหนดระยะเวลาการซื้อขายสะสมก่อนหน้า โดยทางเราขอกำหนดระยะเวลาสะสมก่อนหน้า คือผลรวมของยอดการซื้อ-ขายสุทธิจำนวน 20 วันทำการก่อนวันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
รูปแสดงผลรวมสะสมของปริมาณการซื้อขายสุทธิในตลาดหุ้นของ 20 วันทำการก่อนหน้า
*เพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน ทางเราต้องการทดสอบให้เห็นถึงข้อสรุป โดยไม่มีเจตนาหาค่าที่ดีที่สุด จึงกำหนดค่าต่าง ๆ ด้วยเป็นตัวเลขกลม โดยทุกคนสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อหาค่าที่ดีที่สุดได้ตามสมมุติฐานของแต่ละท่าน
ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นมีการเคลื่อนไหวขึ้น-ลงอย่างนัยสำคัญกว่า 150 ครั้ง
นี่คงเป็นอีก 1 คำถามที่นักลงทุนอยากรู้ว่าการขึ้น-ลงของตลาดหุ้นไทยมีพฤติกรรมเป็นอย่างไร โดยจากสมมุติฐานที่ทางเรากำหนดขึ้นมา สามารถให้ข้อสรุปได้ ดังรูป
จากรูปพบว่าในช่วง 12 ปีที่ผ่านมาดัชนี SET มีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่า 3% เทียบกับ 10 วันทำการก่อนหน้า ทั้งหมด 145 ครั้ง ตกเฉลี่ยประมาณเดือนละ 1 ครั้ง โดยมีสถิติที่น่าสนใจของพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาเบื้องต้น ดังนี้
- เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 78 ครั้ง (54%) และลง 67 ครั้ง (46%) บ่งบอกได้ว่าการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นมีแนวโน้มขาขึ้นบ่อยครั้ง กว่าแนวโน้มขาลง
- ค่าเฉลี่ยการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อรอบจากกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 5.09% ส่วนค่าเฉลี่ยการปรับตัวลดลงต่อรอบจากกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ -6.65% แสดงให้เห็นถึงความลึกของรอบแนวโน้มขาลงที่รุนแรงกว่ารอบขาขึ้น
ผมเชื่อว่าหลายคนคงมีข้อสงสัยว่าหากจำเป็นต้องเลือกเก็งกำไรเพียงฝั่งใดฝั่งหนึ่งระหว่าง Long กับ Short ฝั่งไหนดีกว่ากัน และหลายคนคงให้คำตอบว่า การเล่นขาลงนั้นดูเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า แต่จากสถิติพบว่าตลาดหุ้นไทยมี “โอกาส” ที่จะเป็นขาขึ้นบ่อยครั้งกว่าขาลง เพียงแต่ความเด่นชัดของรอบขาลงทำให้ได้กำไร “เป็นกอบเป็นกำ” มากกว่าขาขึ้น จึงกลายเป็นจุดโฟกัสให้นักลงทุนรู้สึกว่าทำกำไรได้ง่ายกว่า เช่นเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ (มิ.ย.18) เราลองมาพิจารณาในแง่มุมอื่น ๆ กันต่อ
- ปี 2009 มีการเคลื่อนไหวของดัชนีอย่างมีนัยสำคัญตามสมมุติฐานมากครั้งที่สุด เป็นจำนวน 17 ครั้ง และปี 2017 น้อยที่สุดเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น ซึ่งถ้าใครจำได้จะรู้ว่าปีที่แล้ว (2017) เป็นปีที่ยากลำบากที่สุดของนักลงทุนสาย Trend Follow เนื่องตลาดมีการปรับตัวขึ้นแค่ช่วงต้นเดือนแรก จากนั้น sideways อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 8 เดือน
- ตลาดมีการปรับตัวทั้งเพิ่มขึ้นและลดลงแรงสุดในช่วงปี 2008 โดยเป็นการปรับตัวลงถึง 21.18% ก่อนจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.64% ในปีเดียวกัน
จากสถิติดังกล่าวพบว่าในช่วงอดีตตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนที่สูงกว่าปัจจุบัน โดยมีการปรับตัวเกินกว่า 10% ในรอบ 10 วันทำการอยู่ให้เห็นบ่อยครั้ง แต่ในปัจจุบันถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ค่อนข้างยาก
ข้อมูลเหล่านี้ยังไม่ใช่ประเด็นหลักของเราในบทความ (เราจะกล่าวถึงเรื่องพวกนี้อย่างละเอียดในบทความถัด ๆ ไป) โดยสิ่งที่เราต้องการให้พวกท่านได้รับรู้กันคือ แล้วในช่วงก่อนหน้าวันทำการเหล่านั้นนักลงทุนต่างชาติเขาซื้อ-ขายสุทธิสะสมฝั่งใดในปริมาณเท่าไร ? เพื่อจะได้รู้ว่านักลงทุนต่างชาติมีการคาดการณ์หรือมีผลต่อการกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นหรือไม่ และเพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างอดีตกับปัจจุบัน เราจึงทำการแบ่งช่วงการทดสอบออกเป็น 2 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 (ในอดีต) เป็นการทดสอบตั้งแต่ปี 2007 – 2012 เป็นจำนวน 6 ปี (ครึ่งบนของตาราง)
ช่วงที่ 2 (ในปัจจุบัน) เป็นการทดสอบตั้งแต่ปี 2013 – 2018 เป็นจำนวน 5.5 ปี (ครึ่งล่างของตาราง)
โดยเริ่มจากการทดสอบทางฝั่งขาขึ้น จะได้ผลลัพธ์ดังตาราง
รูปแสดงผลลัพธ์การซื้อ-ขายหุ้นสุทธิสะสมในรอบ 20 วันทำการก่อนหน้าวันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญขาขึ้นในช่วงที่ 1
จากรูปจะเห็นว่าในช่วงที่ 1 ตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ทั้งหมด 47 ครั้ง โดยมีค่าเฉลี่ยการขึ้นต่อรอบประมาณ 5.61% และพบว่ามีข้อมูลที่น่าสนใจคือผลรวมของการซื้อ-ขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในรอบ 20 วันทำการก่อนหน้า มีการซื้อสุทธิถึง 31 ครั้ง ซึ่งคิดเป็น 70% ของทั้งหมด บ่งบอกได้ว่านักลงทุนต่างชาติมีบทบาทต่อตลาดหุ้นค่อนข้างมาก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ซื้อสุทธิในทุกครั้งที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่โดยภาพรวมต้องถือว่าพวกเขาเป็นนักลงทุนที่คาดการณ์ได้ถูกต้องและได้รับประโยชน์บ่อยครั้งที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น (หรืออาจพูดได้ว่าพวกเขามีแนวโน้มในการกำหนดทิศทางราคาตลาดหุ้นไทย) แสดงว่านักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติกำลังเดินมาถูกทางแล้ว