ขอบคุณ ปกสวย ๆ จากคุณ ออม รัชต์สารินท์ ออกแบบมาถูกใจมาก ๆ ครับ
...........( รักซ้อน ซ่อนพิษ ).............
ตอนเดิมครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนที่ ๑ https://ppantip.com/topic/38986500
ตอนที่ ๒ https://ppantip.com/topic/39004238
ตอนที่ ๓ https://ppantip.com/topic/39015740
ตอนที่ ๔ https://ppantip.com/topic/39016967
ตอนที่ ๕ https://ppantip.com/topic/39024305
ตอนที่ ๖ https://ppantip.com/topic/39034299
ตอนที่ ๗ https://ppantip.com/topic/39053215
ตอนที่ ๘ https://ppantip.com/topic/39068575
ตอนที่ ๙ https://ppantip.com/topic/39083490
ตอนที่ ๑๐ https://ppantip.com/topic/39093068
ตอนที่ ๑๑ https://ppantip.com/topic/39112509
ตอนที่ ๑๒https://ppantip.com/topic/39125526
ตอนที่ ๑๓ https://ppantip.com/topic/39142340
ตอนที่ ๑๔ https://ppantip.com/topic/39158336
ตอนที่ ๑๕
..........ยามเช้า บนถนนในชนบทแบบนี้ รถที่สัญจรไปมา ส่วนมากจะเป็นรถที่ใช้ในการเกษตร ถนนสองเลน แต่รถสวนกันไปมาได้สบาย เพราะแต่ละคันเคลื่อนไปอย่างไม่รีบเร่ง พอเริ่มสายหน่อย จะมีรถกระบะ บรรทุกคนงานก่อสร้าง พากันไปทำงานในที่ต่าง ๆ ในตัวอำเภอมั่ง ใกล้ ๆ บ้านแถวนี้มั่ง บางคันพาคนเต็มคันรถ ไปลงนา ช่วยกันไถ ช่วยกันดำ ใช้แรงกัน หมุนเวียนไปทีละบ้าน ทำให้มีรถสวนกันไปมา หลายคัน รวมทั้งรถสิบล้อบรรทุกดิน ที่เข้ามาเป็นสีสัน เนื่องจากบ่อดินอยู่ไม่ไกล
แนวต้นไม้สองข้างทางดูร่มรื่น ส่วนใหญ่เป็นต้นคูน ตะแบก ฉำฉา สลับกันไป ขี้เหล็ก และหางนกยูง มีให้เห็นประปราย ถ้าในอนาคต ถนนสายนี้ต้องขยายเป็นสี่ หรือ หกเลน ต้นไม้เหล่านี้คงต้องโดนตัดทิ้งแน่นอน
รถอีแต๋นคันหนึ่ง เลี้ยวตามรถผู้กองติด ๆ แล่นมาช้า ๆ รู้ได้จากเสียงเครื่องที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต้ก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ผู้กองหนุ่ม มองกระจกหลังเห็นควันโขมง คนขับสวมหมวกฟาง ใส่เสื้อสีน้ำเงินเก่า ๆ ที่ชาวนานิยมกันทั่วไป คนนั่งข้าง กับคนท้ายสามสี่คน แต่งตัวแบบเดียวกัน ยืนเกาะคอกข้างรถตัวโยนไปมา เพราะคนขับกำลังเบนหัวออกทำท่าจะแซงรถผู้กองด้วยความเร็วอันจำกัด เห็นดังนั้นผู้กองหนุ่มจึงชะลอรถ แล้วขับชิดขอบทางด้านซ้ายไว้ ตั้งใจให้ชาวบ้านเลยไปก่อน กลัวทุกคนไม่ปลอดภัย
อีกประมาณร้อยเมตรกว่า ๆ จะถึงกลุ่มคนที่ดักอยู่ข้างหน้า รถอีแต๋นเร่งความเร็วตีคู่ขึ้นมา เสียงเร่งเครื่องดังสะท้อนไปทั่วทุ่ง ผู้กองหนุ่ม และเชิด มองเห็นทุกคนที่ยืนมาแต่งชุดชาวนาชัด มีคนหนึ่ง ทำสัญญาณ ให้ผู้กองหันหัวรถมาต่อท้าย และยิ้มกว้างให้ชายหนุ่ม เชิดคุ้นหน้าชายร่างเตี้ย ผิวคล้ำคนนี้ ว่าเป็นคนที่วิ่งไล่เขาขึ้นไปบนเนิน ที่เชียงราย แล้วโดนยันกลิ้งลงไป ลูกน้องพี่เลิศนั่นเอง แต่ไม่ใช่คนที่ขับรถมารับที่บ้านอุ้มวันนั้น และมั่นใจว่าไม่ได้มาร้ายอย่างแน่นอน เพราะโอกาสตอนนี้มีมากมาย ที่จะทำอะไรเขา กับ ผู้กองหนุ่มก็ได้
เมื่อรถอีแต๋นเลยไปสุดคัน ผู้กองหนุ่ม ก็เบนรถออกด้านขวาเข้าต่อท้าย ตามที่คนหลังบอกมา และรถเกษตรคู่ไร่คู่นา ก็ค่อย ๆ ชะลอความเร็วลง ผู้กองหนุ่มหันมองหน้าเชิด ที่ถือปืนไว้ในท่าพร้อมลุย
เจ้าสี่คนที่ยืนอยู่หน้าแผงกั้นไม่ใช่เจ้าหน้าที่ เป็นสมุนแม่เลี้ยงที่ถูกส่งมาเป็นด่านหน้า มีรั้วเหล็ก กับรถตรวจการณ์ที่อาร์มจัดมาเท่านั้นที่เป็นของจริง ตอนแรก อาร์ม ยังลังเล ว่า ผู้กองสุรชาติจะลุยเดี่ยวเข้ามาหรือเปล่า ความเป็นไปได้ยังก้ำกึ่งกันอยู่ จึงวางคนดักหน้าถนนเผื่อไว้ กำลังที่เหลือเน้นในบริเวณบ้านเป็นหลัก และเมื่อนึกถึงกำลังของผู้กองสุรชาติอันน้อยนิด ก็ไม่น่ามีอะไรหนักใจ
ดังนั้นเจ้าหน้าที่ปลอมทั้งสี่ เมื่อเห็นรถผ่านไปมาจึงไม่สนใจ มองหาแต่รถผู้กองหนุ่มตามข้อมูลที่ได้มา และ เมื่อเห็นชัดว่ารถผู้กองเลี้ยวซ้ายจากทางแยก จึงบอกพรรคพวกเตรียมตัวต้อนรับกันขนานใหญ่ ตั้งใจชำระแค้นที่เมื่อคืนเพื่อน ๆ โดนยำเละ ไม่เหลือชิ้นดี จะว่าไปแล้ว คนแค่คนสองคนจะมีอะไรน่ากลัว ต่างคนต่างคิดในใจ
ตอนแรกพวกมันคิดว่าผู้กองจะไม่มา แต่เมื่อเห็นอย่างนี้ต่างจ้องมองตาเขม็ง นึกภาพตอนได้เอาคืนสำเร็จ บางคนแยกเขี้ยวออกมาด้วยความสะใจ แล้ว พากันยืนแยกขายันบนทางลาดต่ำกว่าไหล่ทางลงไป ฝั่งละสองคน กะว่ามีอะไรก็ยังมีที่กำบัง ตาจ้องไปยังรถยนต์ของผู้กองที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาช้า ๆ
ทั้งสี่คนจ้องไปที่ทางแยก ตาแทบไม่กะพริบ กระทั่งรถอีแต๋น แซงรถผู้กองขึ้นมา และผู้กองขับรถเข้าไปหลังรถคันนั้น นาทีต่อมาเสียงรถอีแต๋นที่ดังสนั่นลั่นทุ่งค่อย ๆ เบาลง และตัวรถช้าลง ช้าลง จนหยุดสนิทอยู่กลางเลน ห่างจากสามแยกที่ผ่านมาไม่ไกล
รถที่เลี้ยวซ้ายตามหลังมาจากทางแยก ต่างชะลอรถลง แล้วค่อย ๆ เบนออกขวาทีละคัน และเมื่อเจอกับรถที่ไปจากด่านมุ่งเข้าทางแยก ก็จอดหลบให้กัน มีรถคนงานก่อสร้าง สลับกับรถที่ชาวนานั่งมา และรถขนดิน ซึ่งขนาดที่ใหญ่โตทำให้การจราจรตรงนั้นเริ่มชุลมุน
รถบรรทุกสิบล้อจอดต่อท้ายรถผู้กองหนุ่มสองคันเพื่อรอจังหวะ พอได้ทีก็แซงออกขวาพร้อมกะพริบไฟหน้า ให้รถบรรทุกคน ห้า หกคันที่สวนไปหยุดรอก่อน แถวรถกระบะคนงานต่าง ๆ ตรงนั้น เลยต่อกันมายาว ครู่ใหญ่เมื่อรถสิบล้อทั้งสองคันแซงพ้นแล้วจึงกลับเข้าเลนซ้าย ขบวนรถคนงานก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวตามกันไปช้า ๆ จนถึงสามแยก บางคันก็เลี้ยวขวา บางคันก็เลี้ยวซ้าย ทีละคัน จนหมด ความยุ่งเหยิงบริเวณนั้น จึงกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
เจ้าสี่คนมองไปยังรถอีแต๋น ซึ่งจอดนิ่งสนิท มีเพียงเสียง แต้ก ๆ ๆ ๆ ๆ แผ่ว ๆ ดังอยู่ไม่ขาดระยะ มองไปข้างหลังก็เห็นรถผู้กองจอดต่อท้ายอยู่อย่างเดิม มันหันมองหน้ากัน พากันดึงปืนของตัวเองออกมา ค่อย ๆ ขึ้นมาจากตรงที่ยืนอยู่ เดินช้า ๆ อย่างระวังไปที่รถทั้งสองคัน
เสียงรถที่จอดอยู่ฟังชัดขึ้น เมื่อระยะทางร่นเข้ามาเรื่อย ๆ ทั้งหมดจ้องไปข้างหน้าด้วยใจจดจ่อ ก้าวเท้าไม่หยุด ตามองสองข้างทางไปด้วย มือถือปืนท่าเตรียมพร้อม คิดไว้ในใจ ถ้าเห็นผิดสังเกตนิดหนึ่งเป็นได้ยิงออกไปไม่นับแน่ ควันจากท่อไอเสียของรถเกษตรพุ่งขึ้นตลอดเวลา ส่งกลิ่นคุ้นเคย กระจายไปทั่วบริเวณ
และแล้ว เจ้าคนแรก ก็เข้าไปหยุดยืน อยู่ห่างจากรถอีแต๋นไม่ถึงสามเมตร มองเข้าไปตรงที่นั่งข้างหน้า ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใด ๆ และในกระบะท้ายก็เช่นกัน อีกคนหนึ่งเข้ามาอีกด้าน มองเลยไปที่รถผู้กอง ขยับเดินช้า ๆ ยกปืนเล็งไปข้างหน้าอย่างระวัง อีกสองคนตามหลังมา มองไปที่รถ และกวาดสายตาลงตามไหล่ทางตลอดแนวข้างถนน ทั่วบริเวณนี้ ไม่มีใคร แม้แต่คนเดียว.....
( มีต่อครับ )
..........รักซ้อน ซ่อนพิษ........ตอนที่ ๑๕..........@@ โดย ลุงแผน
...........( รักซ้อน ซ่อนพิษ ).............
ตอนเดิมครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตอนที่ ๑๕
..........ยามเช้า บนถนนในชนบทแบบนี้ รถที่สัญจรไปมา ส่วนมากจะเป็นรถที่ใช้ในการเกษตร ถนนสองเลน แต่รถสวนกันไปมาได้สบาย เพราะแต่ละคันเคลื่อนไปอย่างไม่รีบเร่ง พอเริ่มสายหน่อย จะมีรถกระบะ บรรทุกคนงานก่อสร้าง พากันไปทำงานในที่ต่าง ๆ ในตัวอำเภอมั่ง ใกล้ ๆ บ้านแถวนี้มั่ง บางคันพาคนเต็มคันรถ ไปลงนา ช่วยกันไถ ช่วยกันดำ ใช้แรงกัน หมุนเวียนไปทีละบ้าน ทำให้มีรถสวนกันไปมา หลายคัน รวมทั้งรถสิบล้อบรรทุกดิน ที่เข้ามาเป็นสีสัน เนื่องจากบ่อดินอยู่ไม่ไกล
แนวต้นไม้สองข้างทางดูร่มรื่น ส่วนใหญ่เป็นต้นคูน ตะแบก ฉำฉา สลับกันไป ขี้เหล็ก และหางนกยูง มีให้เห็นประปราย ถ้าในอนาคต ถนนสายนี้ต้องขยายเป็นสี่ หรือ หกเลน ต้นไม้เหล่านี้คงต้องโดนตัดทิ้งแน่นอน
รถอีแต๋นคันหนึ่ง เลี้ยวตามรถผู้กองติด ๆ แล่นมาช้า ๆ รู้ได้จากเสียงเครื่องที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต้ก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ผู้กองหนุ่ม มองกระจกหลังเห็นควันโขมง คนขับสวมหมวกฟาง ใส่เสื้อสีน้ำเงินเก่า ๆ ที่ชาวนานิยมกันทั่วไป คนนั่งข้าง กับคนท้ายสามสี่คน แต่งตัวแบบเดียวกัน ยืนเกาะคอกข้างรถตัวโยนไปมา เพราะคนขับกำลังเบนหัวออกทำท่าจะแซงรถผู้กองด้วยความเร็วอันจำกัด เห็นดังนั้นผู้กองหนุ่มจึงชะลอรถ แล้วขับชิดขอบทางด้านซ้ายไว้ ตั้งใจให้ชาวบ้านเลยไปก่อน กลัวทุกคนไม่ปลอดภัย
อีกประมาณร้อยเมตรกว่า ๆ จะถึงกลุ่มคนที่ดักอยู่ข้างหน้า รถอีแต๋นเร่งความเร็วตีคู่ขึ้นมา เสียงเร่งเครื่องดังสะท้อนไปทั่วทุ่ง ผู้กองหนุ่ม และเชิด มองเห็นทุกคนที่ยืนมาแต่งชุดชาวนาชัด มีคนหนึ่ง ทำสัญญาณ ให้ผู้กองหันหัวรถมาต่อท้าย และยิ้มกว้างให้ชายหนุ่ม เชิดคุ้นหน้าชายร่างเตี้ย ผิวคล้ำคนนี้ ว่าเป็นคนที่วิ่งไล่เขาขึ้นไปบนเนิน ที่เชียงราย แล้วโดนยันกลิ้งลงไป ลูกน้องพี่เลิศนั่นเอง แต่ไม่ใช่คนที่ขับรถมารับที่บ้านอุ้มวันนั้น และมั่นใจว่าไม่ได้มาร้ายอย่างแน่นอน เพราะโอกาสตอนนี้มีมากมาย ที่จะทำอะไรเขา กับ ผู้กองหนุ่มก็ได้
เมื่อรถอีแต๋นเลยไปสุดคัน ผู้กองหนุ่ม ก็เบนรถออกด้านขวาเข้าต่อท้าย ตามที่คนหลังบอกมา และรถเกษตรคู่ไร่คู่นา ก็ค่อย ๆ ชะลอความเร็วลง ผู้กองหนุ่มหันมองหน้าเชิด ที่ถือปืนไว้ในท่าพร้อมลุย
เจ้าสี่คนที่ยืนอยู่หน้าแผงกั้นไม่ใช่เจ้าหน้าที่ เป็นสมุนแม่เลี้ยงที่ถูกส่งมาเป็นด่านหน้า มีรั้วเหล็ก กับรถตรวจการณ์ที่อาร์มจัดมาเท่านั้นที่เป็นของจริง ตอนแรก อาร์ม ยังลังเล ว่า ผู้กองสุรชาติจะลุยเดี่ยวเข้ามาหรือเปล่า ความเป็นไปได้ยังก้ำกึ่งกันอยู่ จึงวางคนดักหน้าถนนเผื่อไว้ กำลังที่เหลือเน้นในบริเวณบ้านเป็นหลัก และเมื่อนึกถึงกำลังของผู้กองสุรชาติอันน้อยนิด ก็ไม่น่ามีอะไรหนักใจ
ดังนั้นเจ้าหน้าที่ปลอมทั้งสี่ เมื่อเห็นรถผ่านไปมาจึงไม่สนใจ มองหาแต่รถผู้กองหนุ่มตามข้อมูลที่ได้มา และ เมื่อเห็นชัดว่ารถผู้กองเลี้ยวซ้ายจากทางแยก จึงบอกพรรคพวกเตรียมตัวต้อนรับกันขนานใหญ่ ตั้งใจชำระแค้นที่เมื่อคืนเพื่อน ๆ โดนยำเละ ไม่เหลือชิ้นดี จะว่าไปแล้ว คนแค่คนสองคนจะมีอะไรน่ากลัว ต่างคนต่างคิดในใจ
ตอนแรกพวกมันคิดว่าผู้กองจะไม่มา แต่เมื่อเห็นอย่างนี้ต่างจ้องมองตาเขม็ง นึกภาพตอนได้เอาคืนสำเร็จ บางคนแยกเขี้ยวออกมาด้วยความสะใจ แล้ว พากันยืนแยกขายันบนทางลาดต่ำกว่าไหล่ทางลงไป ฝั่งละสองคน กะว่ามีอะไรก็ยังมีที่กำบัง ตาจ้องไปยังรถยนต์ของผู้กองที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาช้า ๆ
ทั้งสี่คนจ้องไปที่ทางแยก ตาแทบไม่กะพริบ กระทั่งรถอีแต๋น แซงรถผู้กองขึ้นมา และผู้กองขับรถเข้าไปหลังรถคันนั้น นาทีต่อมาเสียงรถอีแต๋นที่ดังสนั่นลั่นทุ่งค่อย ๆ เบาลง และตัวรถช้าลง ช้าลง จนหยุดสนิทอยู่กลางเลน ห่างจากสามแยกที่ผ่านมาไม่ไกล
รถที่เลี้ยวซ้ายตามหลังมาจากทางแยก ต่างชะลอรถลง แล้วค่อย ๆ เบนออกขวาทีละคัน และเมื่อเจอกับรถที่ไปจากด่านมุ่งเข้าทางแยก ก็จอดหลบให้กัน มีรถคนงานก่อสร้าง สลับกับรถที่ชาวนานั่งมา และรถขนดิน ซึ่งขนาดที่ใหญ่โตทำให้การจราจรตรงนั้นเริ่มชุลมุน
รถบรรทุกสิบล้อจอดต่อท้ายรถผู้กองหนุ่มสองคันเพื่อรอจังหวะ พอได้ทีก็แซงออกขวาพร้อมกะพริบไฟหน้า ให้รถบรรทุกคน ห้า หกคันที่สวนไปหยุดรอก่อน แถวรถกระบะคนงานต่าง ๆ ตรงนั้น เลยต่อกันมายาว ครู่ใหญ่เมื่อรถสิบล้อทั้งสองคันแซงพ้นแล้วจึงกลับเข้าเลนซ้าย ขบวนรถคนงานก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวตามกันไปช้า ๆ จนถึงสามแยก บางคันก็เลี้ยวขวา บางคันก็เลี้ยวซ้าย ทีละคัน จนหมด ความยุ่งเหยิงบริเวณนั้น จึงกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
เจ้าสี่คนมองไปยังรถอีแต๋น ซึ่งจอดนิ่งสนิท มีเพียงเสียง แต้ก ๆ ๆ ๆ ๆ แผ่ว ๆ ดังอยู่ไม่ขาดระยะ มองไปข้างหลังก็เห็นรถผู้กองจอดต่อท้ายอยู่อย่างเดิม มันหันมองหน้ากัน พากันดึงปืนของตัวเองออกมา ค่อย ๆ ขึ้นมาจากตรงที่ยืนอยู่ เดินช้า ๆ อย่างระวังไปที่รถทั้งสองคัน
เสียงรถที่จอดอยู่ฟังชัดขึ้น เมื่อระยะทางร่นเข้ามาเรื่อย ๆ ทั้งหมดจ้องไปข้างหน้าด้วยใจจดจ่อ ก้าวเท้าไม่หยุด ตามองสองข้างทางไปด้วย มือถือปืนท่าเตรียมพร้อม คิดไว้ในใจ ถ้าเห็นผิดสังเกตนิดหนึ่งเป็นได้ยิงออกไปไม่นับแน่ ควันจากท่อไอเสียของรถเกษตรพุ่งขึ้นตลอดเวลา ส่งกลิ่นคุ้นเคย กระจายไปทั่วบริเวณ
และแล้ว เจ้าคนแรก ก็เข้าไปหยุดยืน อยู่ห่างจากรถอีแต๋นไม่ถึงสามเมตร มองเข้าไปตรงที่นั่งข้างหน้า ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใด ๆ และในกระบะท้ายก็เช่นกัน อีกคนหนึ่งเข้ามาอีกด้าน มองเลยไปที่รถผู้กอง ขยับเดินช้า ๆ ยกปืนเล็งไปข้างหน้าอย่างระวัง อีกสองคนตามหลังมา มองไปที่รถ และกวาดสายตาลงตามไหล่ทางตลอดแนวข้างถนน ทั่วบริเวณนี้ ไม่มีใคร แม้แต่คนเดียว.....
( มีต่อครับ )