..........( รักซ้อน ซ่อนพิษ )..........
ตอนเดิมครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/38986500
ตอนที่ ๒
..........ชายหนุ่มยิ้มกว้างเห็นฟันขาวสะอาดเรียงเป็นระเบียบ มองทั้งสองด้วยตาเป็นประกาย นังนุชคิดในใจว่า นี่ขนาดไม่สบายอยู่นะ ยังหล่อขนาดนี้ โอย อยู่ไม่ได้แล้วใจจะวาย ว่าแล้วก็ลาเจ้าของบ้านกลับ ตามองเจ้าหนุ่มไม่หันดูทางเดินชนโต๊ะ ชนถังกะละมังเสียงดังกราว เดินถึงหน้าบ้านแถมขอบประตูอีกปังหนึ่ง จนออกไปแล้วนั่นแหละจึงได้ยินเสียง โอย ลั่น
สองวันแล้วที่ชายหนุ่มเข้ามาอยู่ในบ้าน เขาเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายซึ่งน่าจะเป็นนิสัยส่วนตัว เพราะไม่เคยพูดอะไรเมื่อเห็นกับข้าว และเสื้อผ้าที่หม้ายสาวจัดไว้ให้ อีกอย่างที่ทำให้อุ่นใจ เขาไม่เคยทำท่าทางเจ้าชู้ หรือถือโอกาสถูกเนื้อต้องตัวเธอแม้แต่ครั้งเดียว
จริง ๆ แล้วหม้ายสาวยามปกติเป็นแม่บ้านที่คล่องแคล่วคนหนึ่ง กับข้าวกับปลา งานบ้านงานเรือนเธอทำได้เรียบร้อยไม่มีที่ติ และที่รุ่นน้อง รวมทั้งคนในหมู่บ้าน พร้อมใจกันเรียก เจ๊แตง ทั้งที่อายุเธอเพิ่งจะย่างสามสิบสี่น่าจะเป็นเพราะความมีน้ำใจของเธอ
ใครเดือดร้อนอะไรมาถ้าไม่เกินกำลัง ขอให้บอกเจ๊แตงไทย ข้าวสาร น้ำปลาไม่มีมาเอาไปก่อน แล้วไม่เคยทวงไม่เคยเอ่ยปากถาม ใครจะใช้คืนช้าไปไม่ว่าให้ช้ำใจสักคำ คนบ้านไหนเจ็บป่วยเงินทองไม่ค่อยจะมีเจ๊วิ่งไปให้ถึงบ้าน ถ้าบังเอิญได้ข่าวแต่ติดธุระอยู่ก็ฝากคนอื่นไป
แต่นิสัยโผงผาง ทำอะไรเร็ว ไม่ลังเล พูดตรงไปตรงมานี้เป็นเรื่องธรรมดา หลายคนมองว่ามันขัดกับรูปร่างหน้าตาที่ดูอ่อนกว่าวัยของเธอ หม้ายสาวเป็นคนตัวเล็ก ๆ มองเผิน ๆ ใครก็ทายอายุไม่ถูก ผิวขาว หน้ากลม ผมสั้นแค่คอ ตาโต ริมฝีปากเอิบอิ่มได้รูป บางคนบอกว่า เจ๊ทำตัวห้าว ๆ เพราะต้องการปิดกั้นตัวเอง จากอะไรก็ตามที่จะเข้ามาทำให้ช้ำใจ
“ว่าไงจ๊ะ เชิด ดีขึ้นมั่งหรือยัง” หม้ายสาวเรียกชื่อนี้แทนชื่อเดิมเจ้าตัว ซึ่งเขาไม่ว่าอะไร ยังดีกว่าไม่มีชื่อเลย ชายหนุ่มหน้าตายังอิดโรยแต่ไม่ได้ทำให้ความคมเข้มน้อยลงไปอย่างใด เขาพยักหน้ายิ้มให้เธอ
“เบาปวดแล้วพี่ แต่ยังนึกอะไรไม่ออกเลย” น้ำเสียงแผ่ว ๆ
“น่า ช่างมันเหอะ พักอีกหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้นเองแหละ” เจ๊ปลอบใจเมื่อเห็นสีหน้ากังวลของเขา
“ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวพี่ต้มข้าวต้มให้กิน” ชายหนุ่มกลับเข้าไปในห้อง คว้าผ้าเช็ดตัวออกมาแล้วเดินไปทางห้องน้ำอย่างว่าง่าย
หม้ายสาวมองตามหลัง คิดไม่ตก ว่าจะทำยังไงต่อไป จะพาไปส่งก็ไม่มีข้อมูลอะไรแม้แต่นิด จะปล่อยไปคนเดียวใจยังไม่ดำพอ สะเปะสะปะเดินไปไม่ดูเหนือดูใต้ รถชนโครมคราวนี้ได้ตายจริงแน่
นึกถึงเมื่อวันก่อนยังแปลกใจตัวเองไม่หาย ทำไมพาเข้ามาในบ้านทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักกัน ถ้าเป็นพวกมิจฉาชีพจะทำยังไง แต่ดูจากสภาพในวันนั้นแล้ว ถ้าคนตั้งใจมาหลอกคงไม่ลงทุนกลิ้งลงเนินมาให้ตัวถลอกปอกเปิกหัวหูปูดอย่างนั้นหรอกมั้ง ดีไม่ดีจังหวะนอนอยู่แทนที่จะเป็นคนเดินมาเจอ กลายเป็นพี่หมีเข้าจะผิดแผนอย่างแรง
คิดแล้วถอนใจเบา ๆ เอาน่ะ ลูกนกลูกกาหมูหมายังช่วยได้ นี่คนทั้งคนจะเป็นไรไป ว่าแล้วเดินไปเปิดตู้เย็น ค้นเครื่องเตรียมทำข้าวต้มให้เจ้าหนุ่ม ได้ครบแล้วเดินไปทางครัวหลังบ้าน ของง่าย ๆ ข้าวมีแล้ว หมูสับหน่อย หอมผักชี ตั้งฉ่าย ตั้งน้ำพอเดือด ใส่ผงปรุงรส ตามด้วยหมูสับปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ ลงไป พอสุกดี เติมข้าว ตั้งฉ่าย สักเดี๋ยวยกลง หอมผักชีซอยโรยหน้า น้ำปลาเหยาะนิดพริกไทยหน่อยเป็นเสร็จพิธี ได้สองถ้วยเต็ม ๆ
ข้าวต้มเสร็จพอดีกับเสียงน้ำจากฝักบัวหยุดไหล กลิ่นสบู่อ่อน ๆ หอมลอยมา ตามด้วยเสียงปิดประตูห้องนอนดังกึงเบา ๆ เจ๊แตงยกข้าวต้มมาวางบนโต๊ะ เตรียมช้อนวางไว้ข้างชามเรียบร้อย
นานแล้วที่ไม่ได้ทำกับข้าวให้ใคร การอยู่คนเดียวเรื่องกินไม่ใช่เรื่องยาก ทำอะไรง่าย ๆ แค่นิดหน่อย บางวันเข้าไปในตลาดมีให้เลือกเยอะแยะ บางครั้งค่ำมาข้าวไม่แตะเลยยังได้ ขนมห่อสองห่อ นั่งกินไปดูหนังไปเพลิน ๆ ง่วงก็นอน ชีวิตตัวคนเดียวมันก็ดีนะ ถ้าไม่กลัวความเหงา
ชายหนุ่มเดินมานั่งเก้าอี้ตรงข้ามเจ๊แตงไทย เสื้อยืดกับกางเกงที่ใส่อยู่ขนาดกำลังพอดี บังเอิญหม้ายสาวชอบใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ นอน เพราะสบายดี เลยมีเสื้อขนาดนี้อยู่ในตู้หลายตัว
ทั้งสองนั่งกินเงียบ ๆ การมีเพื่อนนั่งกินข้าวทำให้บรรยากาศในบ้านเปลี่ยนไป เสียงช้อนกระทบชามดังกรุ๊กกริ๊กไม่ขาดตอน ชายหนุ่มท่าทางจะหิว ตักขึ้นมาเป่า ๆ สองทีส่งเข้าปากเคี้ยว ๆ กลืน มือตักขึ้นไปรอตรงปากเป่า ๆ แล้วใส่ปากเคี้ยวกลืน เจ๊แตงมัวมองเพลินจนข้าวเจ้าหนุ่มหมดชามแล้วของตัวเองยังไม่ยุบเลย
ชายหนุ่มวางช้อนลงมองเจ๊แตงยิ้ม ๆ เจ้าตัวรีบก้มหน้าหยิบช้อนตักข้าวแทบไม่ทัน
“ถ้าผมหายดี กลับบ้านไปจะได้กินฝีมือพี่อีกหรือเปล่านะ” เขาพูดเบา ๆ
“อยากมาเมื่อไหร่ก็มาสิ กลัวแต่ว่า พอเจอคนที่บ้าน ก็ลืมที่นี่แล้วละ”ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพูดออกไปแบบนั้น หม้ายสาวเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มซึ่งจ้องอยู่ก่อนแล้ว
แววตาซื่อ ๆ มองหม้ายสาวนิ่ง เธอมองตอบไม่หลบสายตา พยายามค้นให้ลึกเข้าไปถึงในใจ ว่าจริง ๆ แล้ว เขาเริ่มจำอะไรได้หรือยัง
“ผมไม่รู้ว่าผมมีใครหรือเปล่า เช่น พ่อ แม่ หรือ...” เขาหยุดไปถอนหายใจเบา ๆ “...คนรัก” คำสุดท้ายหลุดมาอย่างยากเย็น หม้ายสาววางช้อนลง ใจหายเมื่อได้ยินคำนี้
“ไปพักก่อนเถอะเชิด ไว้หายดีค่อยว่ากัน”
“แล้วถ้าผมไม่หายล่ะพี่” เธอมองหน้าชายหนุ่มนิ่ง ไม่พูดอะไรยกชามซ้อนกันถือเดินเข้าไปในครัว
ถ้าเค้าเป็นอย่างนี้ไปตลอด นึกอะไรไม่ได้ ไม่เหลือความทรงจำเรื่องทุกอย่างที่ผ่านมา จะเป็นยังไงนะ แล้วถ้าวันหนึ่งเขานึกได้หายดีล่ะ ใคร จะเป็นคนแรกที่เขาคิดถึง คิดพลางคว่ำชามที่ล้างแล้วลงตะกร้า เช็ดมือกับผ้าใจลอยถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ จนมีเสียงคนเรียกซื้อของหน้าร้าน เธอจึงตอบรับแล้วเดินออกไป..........
.......... “เฮ้ย ขนาดนั้นเชียว” หนึ่งในกลุ่มซึ่งนั่งอยู่บนม้ายาวใต้ต้นฉำฉาอุทานออกมาทำท่าจะลุกขึ้นยืนจนนมหลุดออกจากปากเจ้าตัวเล็กที่นอนคาตักอยู่ พอรู้ตัวรีบนั่งลงจับยัดใส่ปากเจ้าหนูที่เตรียมแหกปากได้ทันเวลาพอดี
“เออ กล้ามนี่นะ หูยยย อย่าให้พูด ผิวเนียน สูง อกตันตึ้ก หน้าคมกริ๊บ คิ้วนี้แม่เอ๊ย ข้าเป็นผู้หญิงยังอายเลย”
“เอ็งมั่วหรือเปล่า นังนุช” นังแอ๋วเพื่อนรุ่นเดียวกันสอดขึ้นมา
“ข้าเห็นมากะตา นังแอ๋ว ไม่เชื่อเอ็งไปดูด้วยกันมะ”
“บ้า เจ๊แกจะได้แหก อกเอาประไร” จริง ๆ แล้วเจ๊แตงไทยไม่ใช่คนใจร้ายอะไรหรอกนะ น่าจะเป็นบัญชีรายเดือนที่เปิดให้เซ็นเป็นบางรายนี่แหละที่ทำให้หลายคนเกรงใจ
“ว่าแต่ว่า เค้าจำอะไรไม่ได้จริงหรือเปล่า” นังดวง ตั้งข้อสังเกต
“เออ ใช่ ๆ” หลายเสียงเออออไปด้วย
“ถ้าไม่จริง แก นังนุช แก โดนเจ๊อำ” เสียงย้ำปนเยาะเย้ยหนักแน่นทุกคำ ทั้งวงเงียบกริบ
“แต่ ” นังดวงหยุด ทำให้มีคนกลั้นหายใจรอฟัง
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มันต้องมีคนออกตามหาสิวะ”
“เออ ใช่ ๆ”
“ใช่อย่างเดียวเลย ช่วยกันคิดสิเว้ยจะเอายังไง” นังดวงแกล้งหงุดหงิดใส่เพื่อนแต่ได้ผล
ต่างคนหันซ้ายหันขวาไม่รู้จะเริ่มยังไงก่อน หันไปทางนังเล็กกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาดูโทรศัพท์ สักเดี๋ยวยกขึ้นถ่ายรูปตัวเอง เอียงคอทำแก้มป่อง ๆ ชูสองนิ้วแนบแก้ม พอกดเสร็จลดมือลงก็เห็นตาหลายคู่จ้องมา
“นังเล็ก”
“ว้าย” เจ้าตัวตกใจจริง “โห ตะโกนซะ”
“ก็แก เค้าคุยอะไรกันอยู่ ไม่รู้เลย”
“รู้สิ เรื่องผัวใหม่เจ๊แตงใช่มั้ย”
“ยัง ยังก่อน เจ๊เค้าบอกว่าไม่ได้มีอะไรกัน ตอนนี้อยากรู้แค่ว่า เค้าคือใคร อยู่ที่ไหน ไปมายังไง” น้ำเสียงนังดวงจริงจัง
“แล้วเลิกซะทีเหอะอีท่านี้น่ะ เปิดเฟซมาเจอแต่หน้าแก” นังเล็กบ่นอุบอิบ ยัดโทรศัพท์เข้ากระเป๋า หันมองเพื่อน ๆ
“แล้วจะให้ชั้นทำยังไงล่ะ” ถามด้วยความสงสัย
“ก็แก อยู่กับโทรศัพท์ทั้งวัน ดูสิวะ เค้าตามหาคนหายกันมั่งมั้ย เรื่องนี้คนเค้าชอบแชร์กัน” นังดวงบอกทางให้
“เห็นทุกวันแหละ แต่ส่วนมากจะเป็นเด็กผู้หญิง”
นังเล็กพูดจริง ประกาศคนหายส่วนใหญ่จะเป็นเด็กสาว แล้วก็แชร์วนกันไปซ้ำไปซ้ำมา บางทีเรื่องเป็นปีสองปีจนหากันเจอกลับบ้านไปนานแล้วยังมานั่งแชร์กันก็มี
“แล้วเราจะรู้ไปทำไมล่ะเพื่อน” นังเล็กยังไม่วายสงสัย
“อ้าว” เสียงทั้งวงดังพร้อมกัน
“แกลืมไปแล้วเหรอ นังนี่” เสียงถามกลั้วหัวเราะ และเสียงประสานก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เรื่องชาวบ้าน คืองานของเรา”...........
มีต่อครับ
..........รักซ้อน ซ่อนพิษ........ตอนที่ ๒..........@@ โดย ลุงแผน
ตอนที่ ๒
..........ชายหนุ่มยิ้มกว้างเห็นฟันขาวสะอาดเรียงเป็นระเบียบ มองทั้งสองด้วยตาเป็นประกาย นังนุชคิดในใจว่า นี่ขนาดไม่สบายอยู่นะ ยังหล่อขนาดนี้ โอย อยู่ไม่ได้แล้วใจจะวาย ว่าแล้วก็ลาเจ้าของบ้านกลับ ตามองเจ้าหนุ่มไม่หันดูทางเดินชนโต๊ะ ชนถังกะละมังเสียงดังกราว เดินถึงหน้าบ้านแถมขอบประตูอีกปังหนึ่ง จนออกไปแล้วนั่นแหละจึงได้ยินเสียง โอย ลั่น
สองวันแล้วที่ชายหนุ่มเข้ามาอยู่ในบ้าน เขาเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายซึ่งน่าจะเป็นนิสัยส่วนตัว เพราะไม่เคยพูดอะไรเมื่อเห็นกับข้าว และเสื้อผ้าที่หม้ายสาวจัดไว้ให้ อีกอย่างที่ทำให้อุ่นใจ เขาไม่เคยทำท่าทางเจ้าชู้ หรือถือโอกาสถูกเนื้อต้องตัวเธอแม้แต่ครั้งเดียว
จริง ๆ แล้วหม้ายสาวยามปกติเป็นแม่บ้านที่คล่องแคล่วคนหนึ่ง กับข้าวกับปลา งานบ้านงานเรือนเธอทำได้เรียบร้อยไม่มีที่ติ และที่รุ่นน้อง รวมทั้งคนในหมู่บ้าน พร้อมใจกันเรียก เจ๊แตง ทั้งที่อายุเธอเพิ่งจะย่างสามสิบสี่น่าจะเป็นเพราะความมีน้ำใจของเธอ
ใครเดือดร้อนอะไรมาถ้าไม่เกินกำลัง ขอให้บอกเจ๊แตงไทย ข้าวสาร น้ำปลาไม่มีมาเอาไปก่อน แล้วไม่เคยทวงไม่เคยเอ่ยปากถาม ใครจะใช้คืนช้าไปไม่ว่าให้ช้ำใจสักคำ คนบ้านไหนเจ็บป่วยเงินทองไม่ค่อยจะมีเจ๊วิ่งไปให้ถึงบ้าน ถ้าบังเอิญได้ข่าวแต่ติดธุระอยู่ก็ฝากคนอื่นไป
แต่นิสัยโผงผาง ทำอะไรเร็ว ไม่ลังเล พูดตรงไปตรงมานี้เป็นเรื่องธรรมดา หลายคนมองว่ามันขัดกับรูปร่างหน้าตาที่ดูอ่อนกว่าวัยของเธอ หม้ายสาวเป็นคนตัวเล็ก ๆ มองเผิน ๆ ใครก็ทายอายุไม่ถูก ผิวขาว หน้ากลม ผมสั้นแค่คอ ตาโต ริมฝีปากเอิบอิ่มได้รูป บางคนบอกว่า เจ๊ทำตัวห้าว ๆ เพราะต้องการปิดกั้นตัวเอง จากอะไรก็ตามที่จะเข้ามาทำให้ช้ำใจ
“ว่าไงจ๊ะ เชิด ดีขึ้นมั่งหรือยัง” หม้ายสาวเรียกชื่อนี้แทนชื่อเดิมเจ้าตัว ซึ่งเขาไม่ว่าอะไร ยังดีกว่าไม่มีชื่อเลย ชายหนุ่มหน้าตายังอิดโรยแต่ไม่ได้ทำให้ความคมเข้มน้อยลงไปอย่างใด เขาพยักหน้ายิ้มให้เธอ
“เบาปวดแล้วพี่ แต่ยังนึกอะไรไม่ออกเลย” น้ำเสียงแผ่ว ๆ
“น่า ช่างมันเหอะ พักอีกหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้นเองแหละ” เจ๊ปลอบใจเมื่อเห็นสีหน้ากังวลของเขา
“ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวพี่ต้มข้าวต้มให้กิน” ชายหนุ่มกลับเข้าไปในห้อง คว้าผ้าเช็ดตัวออกมาแล้วเดินไปทางห้องน้ำอย่างว่าง่าย
หม้ายสาวมองตามหลัง คิดไม่ตก ว่าจะทำยังไงต่อไป จะพาไปส่งก็ไม่มีข้อมูลอะไรแม้แต่นิด จะปล่อยไปคนเดียวใจยังไม่ดำพอ สะเปะสะปะเดินไปไม่ดูเหนือดูใต้ รถชนโครมคราวนี้ได้ตายจริงแน่
นึกถึงเมื่อวันก่อนยังแปลกใจตัวเองไม่หาย ทำไมพาเข้ามาในบ้านทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักกัน ถ้าเป็นพวกมิจฉาชีพจะทำยังไง แต่ดูจากสภาพในวันนั้นแล้ว ถ้าคนตั้งใจมาหลอกคงไม่ลงทุนกลิ้งลงเนินมาให้ตัวถลอกปอกเปิกหัวหูปูดอย่างนั้นหรอกมั้ง ดีไม่ดีจังหวะนอนอยู่แทนที่จะเป็นคนเดินมาเจอ กลายเป็นพี่หมีเข้าจะผิดแผนอย่างแรง
คิดแล้วถอนใจเบา ๆ เอาน่ะ ลูกนกลูกกาหมูหมายังช่วยได้ นี่คนทั้งคนจะเป็นไรไป ว่าแล้วเดินไปเปิดตู้เย็น ค้นเครื่องเตรียมทำข้าวต้มให้เจ้าหนุ่ม ได้ครบแล้วเดินไปทางครัวหลังบ้าน ของง่าย ๆ ข้าวมีแล้ว หมูสับหน่อย หอมผักชี ตั้งฉ่าย ตั้งน้ำพอเดือด ใส่ผงปรุงรส ตามด้วยหมูสับปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ ลงไป พอสุกดี เติมข้าว ตั้งฉ่าย สักเดี๋ยวยกลง หอมผักชีซอยโรยหน้า น้ำปลาเหยาะนิดพริกไทยหน่อยเป็นเสร็จพิธี ได้สองถ้วยเต็ม ๆ
ข้าวต้มเสร็จพอดีกับเสียงน้ำจากฝักบัวหยุดไหล กลิ่นสบู่อ่อน ๆ หอมลอยมา ตามด้วยเสียงปิดประตูห้องนอนดังกึงเบา ๆ เจ๊แตงยกข้าวต้มมาวางบนโต๊ะ เตรียมช้อนวางไว้ข้างชามเรียบร้อย
นานแล้วที่ไม่ได้ทำกับข้าวให้ใคร การอยู่คนเดียวเรื่องกินไม่ใช่เรื่องยาก ทำอะไรง่าย ๆ แค่นิดหน่อย บางวันเข้าไปในตลาดมีให้เลือกเยอะแยะ บางครั้งค่ำมาข้าวไม่แตะเลยยังได้ ขนมห่อสองห่อ นั่งกินไปดูหนังไปเพลิน ๆ ง่วงก็นอน ชีวิตตัวคนเดียวมันก็ดีนะ ถ้าไม่กลัวความเหงา
ชายหนุ่มเดินมานั่งเก้าอี้ตรงข้ามเจ๊แตงไทย เสื้อยืดกับกางเกงที่ใส่อยู่ขนาดกำลังพอดี บังเอิญหม้ายสาวชอบใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ นอน เพราะสบายดี เลยมีเสื้อขนาดนี้อยู่ในตู้หลายตัว
ทั้งสองนั่งกินเงียบ ๆ การมีเพื่อนนั่งกินข้าวทำให้บรรยากาศในบ้านเปลี่ยนไป เสียงช้อนกระทบชามดังกรุ๊กกริ๊กไม่ขาดตอน ชายหนุ่มท่าทางจะหิว ตักขึ้นมาเป่า ๆ สองทีส่งเข้าปากเคี้ยว ๆ กลืน มือตักขึ้นไปรอตรงปากเป่า ๆ แล้วใส่ปากเคี้ยวกลืน เจ๊แตงมัวมองเพลินจนข้าวเจ้าหนุ่มหมดชามแล้วของตัวเองยังไม่ยุบเลย
ชายหนุ่มวางช้อนลงมองเจ๊แตงยิ้ม ๆ เจ้าตัวรีบก้มหน้าหยิบช้อนตักข้าวแทบไม่ทัน
“ถ้าผมหายดี กลับบ้านไปจะได้กินฝีมือพี่อีกหรือเปล่านะ” เขาพูดเบา ๆ
“อยากมาเมื่อไหร่ก็มาสิ กลัวแต่ว่า พอเจอคนที่บ้าน ก็ลืมที่นี่แล้วละ”ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพูดออกไปแบบนั้น หม้ายสาวเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มซึ่งจ้องอยู่ก่อนแล้ว
แววตาซื่อ ๆ มองหม้ายสาวนิ่ง เธอมองตอบไม่หลบสายตา พยายามค้นให้ลึกเข้าไปถึงในใจ ว่าจริง ๆ แล้ว เขาเริ่มจำอะไรได้หรือยัง
“ผมไม่รู้ว่าผมมีใครหรือเปล่า เช่น พ่อ แม่ หรือ...” เขาหยุดไปถอนหายใจเบา ๆ “...คนรัก” คำสุดท้ายหลุดมาอย่างยากเย็น หม้ายสาววางช้อนลง ใจหายเมื่อได้ยินคำนี้
“ไปพักก่อนเถอะเชิด ไว้หายดีค่อยว่ากัน”
“แล้วถ้าผมไม่หายล่ะพี่” เธอมองหน้าชายหนุ่มนิ่ง ไม่พูดอะไรยกชามซ้อนกันถือเดินเข้าไปในครัว
ถ้าเค้าเป็นอย่างนี้ไปตลอด นึกอะไรไม่ได้ ไม่เหลือความทรงจำเรื่องทุกอย่างที่ผ่านมา จะเป็นยังไงนะ แล้วถ้าวันหนึ่งเขานึกได้หายดีล่ะ ใคร จะเป็นคนแรกที่เขาคิดถึง คิดพลางคว่ำชามที่ล้างแล้วลงตะกร้า เช็ดมือกับผ้าใจลอยถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ จนมีเสียงคนเรียกซื้อของหน้าร้าน เธอจึงตอบรับแล้วเดินออกไป..........
.......... “เฮ้ย ขนาดนั้นเชียว” หนึ่งในกลุ่มซึ่งนั่งอยู่บนม้ายาวใต้ต้นฉำฉาอุทานออกมาทำท่าจะลุกขึ้นยืนจนนมหลุดออกจากปากเจ้าตัวเล็กที่นอนคาตักอยู่ พอรู้ตัวรีบนั่งลงจับยัดใส่ปากเจ้าหนูที่เตรียมแหกปากได้ทันเวลาพอดี
“เออ กล้ามนี่นะ หูยยย อย่าให้พูด ผิวเนียน สูง อกตันตึ้ก หน้าคมกริ๊บ คิ้วนี้แม่เอ๊ย ข้าเป็นผู้หญิงยังอายเลย”
“เอ็งมั่วหรือเปล่า นังนุช” นังแอ๋วเพื่อนรุ่นเดียวกันสอดขึ้นมา
“ข้าเห็นมากะตา นังแอ๋ว ไม่เชื่อเอ็งไปดูด้วยกันมะ”
“บ้า เจ๊แกจะได้แหก อกเอาประไร” จริง ๆ แล้วเจ๊แตงไทยไม่ใช่คนใจร้ายอะไรหรอกนะ น่าจะเป็นบัญชีรายเดือนที่เปิดให้เซ็นเป็นบางรายนี่แหละที่ทำให้หลายคนเกรงใจ
“ว่าแต่ว่า เค้าจำอะไรไม่ได้จริงหรือเปล่า” นังดวง ตั้งข้อสังเกต
“เออ ใช่ ๆ” หลายเสียงเออออไปด้วย
“ถ้าไม่จริง แก นังนุช แก โดนเจ๊อำ” เสียงย้ำปนเยาะเย้ยหนักแน่นทุกคำ ทั้งวงเงียบกริบ
“แต่ ” นังดวงหยุด ทำให้มีคนกลั้นหายใจรอฟัง
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มันต้องมีคนออกตามหาสิวะ”
“เออ ใช่ ๆ”
“ใช่อย่างเดียวเลย ช่วยกันคิดสิเว้ยจะเอายังไง” นังดวงแกล้งหงุดหงิดใส่เพื่อนแต่ได้ผล
ต่างคนหันซ้ายหันขวาไม่รู้จะเริ่มยังไงก่อน หันไปทางนังเล็กกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาดูโทรศัพท์ สักเดี๋ยวยกขึ้นถ่ายรูปตัวเอง เอียงคอทำแก้มป่อง ๆ ชูสองนิ้วแนบแก้ม พอกดเสร็จลดมือลงก็เห็นตาหลายคู่จ้องมา
“นังเล็ก”
“ว้าย” เจ้าตัวตกใจจริง “โห ตะโกนซะ”
“ก็แก เค้าคุยอะไรกันอยู่ ไม่รู้เลย”
“รู้สิ เรื่องผัวใหม่เจ๊แตงใช่มั้ย”
“ยัง ยังก่อน เจ๊เค้าบอกว่าไม่ได้มีอะไรกัน ตอนนี้อยากรู้แค่ว่า เค้าคือใคร อยู่ที่ไหน ไปมายังไง” น้ำเสียงนังดวงจริงจัง
“แล้วเลิกซะทีเหอะอีท่านี้น่ะ เปิดเฟซมาเจอแต่หน้าแก” นังเล็กบ่นอุบอิบ ยัดโทรศัพท์เข้ากระเป๋า หันมองเพื่อน ๆ
“แล้วจะให้ชั้นทำยังไงล่ะ” ถามด้วยความสงสัย
“ก็แก อยู่กับโทรศัพท์ทั้งวัน ดูสิวะ เค้าตามหาคนหายกันมั่งมั้ย เรื่องนี้คนเค้าชอบแชร์กัน” นังดวงบอกทางให้
“เห็นทุกวันแหละ แต่ส่วนมากจะเป็นเด็กผู้หญิง”
นังเล็กพูดจริง ประกาศคนหายส่วนใหญ่จะเป็นเด็กสาว แล้วก็แชร์วนกันไปซ้ำไปซ้ำมา บางทีเรื่องเป็นปีสองปีจนหากันเจอกลับบ้านไปนานแล้วยังมานั่งแชร์กันก็มี
“แล้วเราจะรู้ไปทำไมล่ะเพื่อน” นังเล็กยังไม่วายสงสัย
“อ้าว” เสียงทั้งวงดังพร้อมกัน
“แกลืมไปแล้วเหรอ นังนี่” เสียงถามกลั้วหัวเราะ และเสียงประสานก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เรื่องชาวบ้าน คืองานของเรา”...........
มีต่อครับ