ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๓๓ วิถีแห่งสัตวญาณ

.
                                                  

บทที่ ๓๓ วิถีแห่งสัตวญาณ

สองพี่น้องร่วมสาบานรับอาหารรอบกองไฟร่วมกับบริวารของพานอิน
แท้จริงแล้วคนเหล่านี้คือทหารประจำกรมกองต่างๆ ของพระเจ้านครอินทร์...

“นายเรือง ก็คือหมื่นเรือง องครักษ์คนสนิทของเรา” พานอินกล่าวแนะนำ และต่อด้วย ๒ บริวารผู้ตามมาสมทบใหม่ “นายราบ คือหมื่นราบ นายกองสอดแนมของเรา ส่วนนายเจต คือพันเจตหัวหน้าหมู่ทหารช่าง...” จากนั้นจึงไล่นามบอกยศของแต่ละคนไป บ้างเป็นลูกน้องของสามคนที่ถูกเอ่ยนามเป็นลำดับแรก บ้างก็มาจากกรมกองอื่น แต่ไม่มีใครจะมียศศักดิ์เกินกว่าหมื่นเรืองและหมื่นราบ

ระหว่างรับอาหาร พานอินเล่าเรื่องราวให้เจ้าทิพฟังถึงการกลับมาของนายราบและนายเจต พร้อมบริวารอีก ๒๐ คนนำเรือเล็ก ๒ ลำตามมาสมทบ เมื่อมาถึงท่าปฏักจึงพบเรือของพานอินพร้อมบริวารที่ทิ้งไว้ให้เฝ้าเรือ จึงขึ้นฝั่งตามมา แต่แล้วก็สวนทางกับทหารปตานีคนหนึ่งจำได้ว่าเป็นผู้ติดตามองค์ชายอัศวเมฆในวันที่เกิดเหตุวิวาทกัน เห็นอาการมีพิรุธจึงเข้าไปล้อมจับกุม

สอบถามและข่มขู่จนได้ความว่าชื่อสิทธาเป็นทหารคนสนิทขององค์ชายอัศวเมฆ ถูกใช้ให้มาส่งหนังสือถึงวราจากพระเจ้าปตานีเพื่อย้ำให้สั่งสอนวิชาแก่เจ้าทิพ แล้วนายราบกับนายเจตจึงปล่อยตัวสิทธาไป

“...เมื่อสองคนมาพบเราก็เป็นตอนพลบค่ำหลังจากที่พสุพาเจ้าไปแล้ว เราฟังเรื่องราวเห็นว่าผิดวิสัยที่พระเจ้าปตานีจะทรงส่งหนังสือตามมา จึงขึ้นไปบนเรือนพักของวราและพบหนังสือตกอยู่ เมื่ออ่านข้อความในหนังสือจึงเห็นประหลาดที่ประกาศนามน้องเราเป็นโอรส ทั้งยังข่มขู่วราหากไม่ยอมสั่งสอน... จึงรีบตามไปยังโรงเก็บงู ก็พบพวกเจ้าสองคนกำลังจะประหัตประหารกันอยู่”

“ท่านพี่มั่นใจว่าเป็นหนังสือที่ปลอมแปลงมาหรือ” เจ้าทิพถามขึ้น แต่ใจหวั่นไหวกับคำตอบที่จะได้ยิน
“เรามั่นใจ ว่าหนังสือนั้นเป็นของปลอม”

เจ้าทิพวางอาหารลง... ไม่สามารถกินอะไรลงคอได้อีกแล้ว ตนนั้นแอบเพ้อฝันว่าบางทีพระบิดาทรงมีความจำเป็นบางประการ ถึงกับทรงปกปิดเรื่องต่างๆ ทรงลอบสั่งให้พราหมณ์กุณฑกัญจมาสั่งสอนวิชาให้กับตน...

“แล้วทำไมพราหมณ์กุณฑกัญจจึงต้องสอนวิชาให้ข้าพเจ้า ทำไมจึงสอนวิชาจากบันทึกที่หายสาบสูญ...”
เสียงที่แผ่วรันทด รำพึงออกมา

พานอินที่เจรจาไปรับอาหารไป ก็หยุดลงเช่นกัน แล้วสั่งให้บริวารเก็บอาหารในส่วนของตนและเจ้าทิพ

“เจ้ารู้ไหม เราก็เคยอยู่ห่างไกลจากพระบิดาของเรา... เราเติบโตที่สุโขทัย”
เจ้าทิพหันมามองหน้าพานอิน ด้วยความสนใจ
“ข้าพเจ้าได้ยินว่าสุโขทัยกับสุพรรณภูมิห่างไกลกันมากนัก ทำไมท่านพี่ต้องไปอยู่ที่สุโขทัยด้วย”

“เชื้อพระวงศ์สุพรรณภูมิและเชื้อพระวงศ์แห่งสุโขทัยนั้นใกล้ชิดกัน พระมารดาของเราเป็นองค์หญิงแห่งสุโขทัย เรามักจะตามเสด็จพระมารดากลับสุโขทัยเนืองๆ พอเกิดสงครามระหว่างอโยธยาและสุโขทัย เราก็ถูกกักตัวไว้ที่สุโขทัย จนพระมารดาเราสิ้นพระชนม์ เราจึงได้ลอบหนีกลับมายังสุพรรณภูมิเมื่อไม่นานมานี้”
“ดูเหมือนชีวิตของท่านพี่จะระหกระเหินกว่าข้าพเจ้ามากนัก”

“สิ่งดีที่สุดที่เราได้จากสุโขทัย คือเราได้พบหญิงคนรัก... นางเป็นพระธิดาขององค์ชายพระองค์หนึ่งในสายวงศ์พระร่วง ส่วนพระมารดาเป็นพระธิดาของพระศรีศรัทธา”
“พระมหาเถรศรีศรัทธาหรือ”

“ใช่ เป็นพระองค์เดียวกับผู้ที่ทรงมอบวิชาการต่อสู้สูงสุดให้กับเมืองปตานีนั่นละ... พระองค์มีพระธิดา ๒ องค์ เมื่อทรงออกผนวชได้ยกพระธิดาองค์หนึ่งให้กษัตริย์เมืองน่าน และอีกองค์หนึ่งซึ่งเป็นองค์โตให้องค์ชายสายวงศ์พระร่วง ซึ่งก็คือพระบิดาของพระนางคนรักของเรา”
“แล้วตอนนี้พระนางยังประทับอยู่สุโขทัยหรือ”

พานอินส่ายศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธ
“เราสองคนรักกัน และพระบิดาของพระนางก็ทรงยินดี ก่อนพระมารดาเราสิ้นพระชนม์ได้จัดพิธีอภิเษกสมรสให้... พระมารดาทรงรู้ว่าเมื่อท่านล่วงลับไป เราจะต้องหนีกลับสุพรรณภูมิ ท่านไม่ทรงต้องการให้เราพรากจากคนรักเหมือนที่ท่านทรงพลัดพรากจากพระบิดา จึงกำหนดให้พระนางอภิเษกสมรสมาอยู่ร่วมกับเราเสียจะได้สะดวกในการพากันหลบหนีออกจากเมืองมา ส่วนพระญาติฝ่ายสุโขทัยก็หวังจะผูกใจเราไว้ ทรงคิดกันว่าเมื่อเราอภิเษกกับพระนางแล้วคงไม่คิดหลบหนีไปไหน”

“ถ้าอย่างนั้นพี่สะใภ้ของข้าพเจ้าก็ประทับอยู่ที่สุพรรณภูมิ”

ครั้งนี้พานอินผงกศีรษะรับคำ
“บางทีสิ่งดีที่สุดที่น้องเราได้จากเมืองนครศรีธรรมราช อาจจะเป็นเช่นเดียวกับเราที่ได้รับจากเมืองสุโขทัย.. ก็เป็นได้”

เป็นคำกล่าวที่ทำให้หัวใจเจ้าทิพพองโต จนอดยิ้มออกมานอกหน้ามิได้...



เรื่องสิทธานำหนังสือปลอมแปลงมอบต่อวราหวังทำร้ายตน เจ้าทิพตัดสินใจมินำเรื่องขึ้นกราบทูลพระเจ้าปตานี ด้วยตัวหลักฐานหนังสือปลอมแปลงมิอาจยืนยันได้ว่าเป็นผู้ใดกระทำ อีกทั้งสิทธาผู้นำหนังสือมาก็ถูกปล่อยตัวไปแล้ว ส่วนวราเองก็มิใยดีกับราชสำนักปตานี มิได้คิดจะช่วยยืนยันสิ่งใด ยิ่งพานอินพี่ชายร่วมสาบานของตน ตนยิ่งมิอาจนำมาเกี่ยวข้องเรื่องราวในครั้งนี้ให้ตัวตนแท้จริงถูกเปิดเผยได้

หากแม้พระเจ้าปตานีจะทรงหยั่งรู้ความจริงได้ด้วยวิถีญาณใด พระองค์จะทรงกระทำเช่นใดหรือ... จะทรงปกป้องเรา และทรงลงทัณฑ์องค์ชายอัศวเมฆกระนั้นหรือ
มิมีทางเป็นเช่นนั้นแน่...

หนทางของเจ้าทิพมีเพียงกลับปตานีไปพร้อมวิชาบังคับอาชาและคชสาร และต้องได้ชัยในพิธีประลองคัดเลือกราชาสิบสองนักษัตร

“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจไม่นำเรื่องหนังสือปลอมแปลงขึ้นกล่าวโทษต่อองค์ชายอัศวเมฆ.. เราก็ขอแนะนำให้เจ้าอย่าได้เปิดเผยผลสำเร็จของการฝึกวิชากับวราต่อผู้ใดเป็นอันขาด แม้กระทั่งกับขุนพลสิงหล” พานอินกล่าวแนะนำ
“เพราะเหตุใดหรือ”

“นอกจากองค์ชายอัศวเมฆแล้ว เราไม่รู้ว่ามีใครอีกที่ต้องการทำลายเจ้า ไม่ยินยอมให้เจ้ามีโอกาสได้ชัยตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตร.. ทุกคนรู้ว่าเจ้ามีจุดอ่อนเรื่องการบังคับม้าขี่ช้าง กลับไปก็จงปล่อยให้พวกเขาเข้าใจตามนั้นเถิด.. บอกเพียงว่าวรามิค่อยเต็มใจจะสั่งสอน แล้วเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าในภายหลัง”

เจ้าทิพตาเป็นประกาย... ใช่แล้ว เราควรจะต้องกระทำดังที่พานอินกล่าว... เพราะมัวแต่คิดวกวนในเรื่องอื่นจึงละเลยเรื่องการกำหนดยุทธวิธี

หากขุนพลสิงหลรู้ องค์ชายอัศวเมฆก็ต้องรู้จากปากของสิงขรผู้เป็นบุตร และก็ต้องหาหนทางอื่นมาเล่นงานเราอีก... บางทีหากเราสามารถเปลี่ยนจุดอ่อนให้กลายเป็นจุดแข็งโดยมิมีผู้ใดล่วงรู้ การระมัดระวังของฝ่ายตรงข้ามย่อมลดลง
และลดลงในจุดที่เรามีเปรียบ...

“ข้าพเจ้าเข้าใจความหมายของท่านพี่แล้ว...”

-----------------------------------

เมื่อเหล่าบริวารกินอาหารกันเสร็จสิ้นแล้ว บริวารคนสนิทก็เข้ามารายล้อมนายของตนในลักษณะคล้ายประชุมอยู่รอบกองไฟ ดูเหมือนหลังจากพานอินฟื้นขึ้นมาจากการรักษาพิษงูก็ยังไม่มีโอกาสได้ปรึกษาหารือกับบริวาร เพราะคอยเฝ้าดูแลเจ้าทิพ

“เจ้าราบ จงเล่าเรื่องที่เราให้สืบเพิ่มเติมมาสิ” ผู้เป็นนายสั่งขึ้น
นายราบหันไปชายตามองเจ้าทิพอยู่เลิ่กลัก พานอินรู้นัย จึงกล่าวสำทับว่า
“เรากับเขาเป็นพี่น้องกันแล้ว เรื่องต่างๆ เกี่ยวข้องกับเมืองของเขา ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง... ไม่แน่วันหนึ่งข้างหน้า เขาอาจจะได้ขึ้นปกครองเมืองปตานีก็เป็นได้”

“ขอรับ” นายราบรับคำ “เรื่องราวในเมืองปตานีนั้น การค้าขายคึกคัก บ้านเมืองสงบสุข ชาวเมืองต่างจงรักภักดีในตัวพระเจ้าฤทธิเทวาราชาแห่งปตานี แต่องค์เจ้าชายอัศวเมฆว่าที่รัชทายาทซึ่งพวกเราพบเจอจนเกิดมีเรื่องมีราวที่ตลาดเก่าหาได้เป็นที่นิยมนับถือของชาวเมืองไม่ ส่วนบุตรอีกคน...”

หันมามองเจ้าทิพอยู่แวบหนึ่งจึงกล่าวต่อ “เกิดแต่พระสนมจันทรา บุตรีช่างชาวเมืองเชียงแสนผู้มาเป็นนายกองช่างหลวงประจำราชสำนักนครศรีธรรมราช แต่เดิมเป็นที่รังเกียจของประชาชน ครั้นพอมีชัยได้เป็นขุนพลฉลูนักษัตร ผู้คนต่างก็เริ่มโน้มเอียงตามคำในหนังสือกราบทูลของพราหมณ์กุณฑกัญจ พราหมณ์ในตระกูลโทณพราหมณ์ผู้สอนวิชา ว่าอาจสามารถตามหาองค์ตุมพะทะนานทองกลับคืนนครปตานี เปลี่ยนจากคำสาปร้ายกลายเป็นดี...”

“เห็นไหมทุกอย่างเริ่มดีขึ้นแล้ว” พานอินกล่าวแทรกพร้อมตบไหล่เจ้าทิพ แล้วกล่าวกับนายราบว่า “เรื่องพื้นเพเจ้าทิพและองค์ชายอัศวเมฆ เจ้าไม่ต้องกล่าวแล้ว เรื่องนี้เราสืบเอาความจากนายทองเย็นตั้งแต่คืนวันที่เกิดเรื่องวิวาทกับองค์ชายอัศวเมฆแล้ว ตอนนั้นเจ้านอนเจ็บพักรักษาตัวอยู่”
“ขอรับ” นายราบรับคำ

เจ้าทิพเพิ่งเข้าใจ ที่แท้หลังจากเกิดเรื่องราว พานอินก็รีบสอบเอาความถึงประวัติของเราและองค์ชายอัศวเมฆจากนายทองเย็นพ่อค้าชาวอโยธยาที่ย้ายมาค้าขายในตลาดเก่าปตานี... มิน่า ตลอดเวลาที่เดินทางมาหมู่บ้านปฏักพี่ชายเราคนนี้จึงเหมือนรู้จักเราดีทีเดียว...

พลันนึกถึงอาจือกง ใช่แล้ว..ท่านอาต้องรู้ว่าพานอินคือพระเจ้านครอินทร์ เพียงแต่ไม่ได้เปิดเผยออกมาตามคำร้องขอของเจ้าตัว ท่านอาจึงชี้แนะให้เรามาพบพานอิน และกล่าวเป็นนัยให้เราเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด... นั่นก็คือถวายความจริงใจให้พระเจ้านครอินทร์นั่นเอง

“พระราชไมตรีระหว่างเมืองปตานีและเมืองนครศรีธรรมราชนั้นแน่นแฟ้นนัก” นายราบเริ่มกล่าวรายงานต่อ “องค์ราชาทั้งสองพระองค์ต่างทรงรักใคร่และชื่นชมเคารพกัน ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองราชวงศ์อาจกำลังผูกสัมพันธ์ลึกซึ้ง เป็นวงศ์ว่านเครือเดียวกัน”
“เจ้าหมายถึงเรื่องอันใด”

“พระเจ้านครฯ นั้นหาได้มีพระราชโอรส มีเพียงพระราชธิดานามว่าองค์หญิงวิสาณี การที่พระเจ้าศรีมหาราชแห่งเมืองนครฯ เสด็จมาชมการประลองคัดเลือกขุนพลฉลูนักษัตรครั้งนี้ ก็เพื่อดูตัวองค์ชายอัศวเมฆตามคำกราบบังคมทูลเชิญของพระเจ้าฤทธิเทวา...”
“เดี๋ยว หยุดก่อน.. เรื่องนี้เจ้ารู้มาได้อย่างไร”

“ท่านเสนาขุนพิทักษ์ ผู้คุมกองเรือของเราได้มีโอกาสร่วมงานเลี้ยงรับรองเป็นการส่วนตัวกับพระคลังเจ้าท่าปตานี ทีแรกก็มิได้ความสิ่งใด จนเมื่อฤทธิ์สุราแรงเข้าจึงกล่าวบอกความที่รู้กันแต่ในราชสำนักปตานี ว่าทั้งสององค์ราชาต่างทรงมุ่งหมายให้ทายาทรุ่นหลังได้อภิเษกสมรสกัน”

สิ่งที่นายราบกล่าวคล้ายฝักดาบที่ฟาดปะทะเข้าตรงกกหู ก่อนที่คมดาบจะกระซวกแทงเข้าปักกลางอก เจ้าทิพทั้งมึนงงและปวดแปลบใจ...

พลันรู้สึกมีแขนข้างหนึ่งเข้ามาโอบรอบแผ่นหลังและไหล่ของตน... เป็นพานอินที่เขยิบมาใกล้แล้วโอบกอดตนไว้ กับคำปลอบประโลมใจ

“ลูกผู้ชาย เรื่องเพียงแค่นี้อย่าเพิ่งยอมแพ้ ...เชิดหน้าไว้ แล้วสู้ต่อไป”

เจ้าทิพฝืนเงยหน้าที่ก้มงุดอยู่ขึ้นให้ตั้งตรง สูดลมหายใจแรง... แม้ว่าตนจะสังหรณ์ใจเรื่องการหมั้นหมายระหว่างพระราชธิดาวิสาณีและองค์ชายอัศวเมฆมาตลอด แต่ก็ไม่เคยมีคำยืนยันใดมาก่อน จนกระทั่งบัดนี้...

“เจ้ากล่าวต่อเถอะ เจ้าราบ”
“ดังนั้นความมั่นคงในพระราชอาณาจักรตอนใต้นับว่าไม่มีใดน่าห่วงเมื่อสองนครใหญ่ต่างปรองดองกัน... จะมีที่น่ากังวลก็คือหัวเมืองทางชายฝั่งตะวันตก คือเมืองไทรบุรี...”

พานอินขมวดคิ้วเมื่อรับฟังนามเมือง “ไทรบุรี” ก่อนที่นายราบจะกล่าวต่อว่า
“เดิมกล่าวกันว่าไทรบุรีคือเมืองท่าฝั่งตะวันตกของแคว้นลังกาสุกะ เป็นเมืองรองรับสนับสนุนการค้าของปตานีกับฝั่งชมพูทวีป... แต่บัดนี้เหตุการณ์กลับเปลี่ยนไป การค้าการขายในเมืองไทรบุรีถูกยึดกุมโดยชาวโจฬะทมิฬที่อพยพมาจากอินเดียตอนใต้ คนกลุ่มนี้ไม่เพียงแต่ควบคุมการค้าแต่ยังมีอิทธิพลกับราชสำนักไทรบุรี และวางกองกำลังทหารของตนไว้ในเมืองด้วย”

“แล้วพระเจ้าไทรบุรีทรงปล่อยให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” พานอินเสียงเข้มขึ้นทันที

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่