------------------------------------
บทที่ ๓ เหตุจากท้องพระโรง
------------------------------------
ยามบ่ายบริเวณถนนนอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตกคราคร่ำไปด้วยผู้คน ข่าวกองเรือสินค้าจากเมืองจีนมาเทียบท่าช่วยปลุกตลาดและร้านค้าให้คึกคักมาตั้งแต่เช้า แม้สินค้าจะยังมิได้นำลงจากเรือแต่ผู้คนก็เริ่มต้นติดต่อสอบถามและสั่งจองขอซื้อล่วงหน้า
นอกกำแพงเมืองย่านนี้คือเขตการค้าหลักเพราะอยู่บนแนวถนนเชื่อมท่าพระวังเข้าสู่ตัวเมือง สินค้าเข้าออกที่ท่าเทียบสินค้าอ่าวปตานีมักถูกเปลี่ยนถ่ายลงเรือเล็กแล้วล่องผ่านแม่น้ำปตานีมาขึ้นท่าพระวัง บรรดาพ่อค้านายวาณิชเองก็มักมาปลูกเรือนพักอาศัยแถบย่านนี้ มีทั้งพ่อค้าชาวเมือง ชาวจีน อินเดีย แขกอาหรับ จาม ชวาและมลายู ส่วนชาวเมืองที่มิได้ทำการค้ามักจะปลูกเรือนอาศัยอยู่กันหนาแน่นนอกกำแพงเมืองด้านทิศใต้ซึ่งอยู่ในแนวถนนเชื่อมตัวเมืองเก่าปตานีที่ห่างลงไปทางใต้ราว ๒ โยชน์ (๓.๒ กิโลเมตร)
ครั้นเสร็จสิ้นการเข้าเฝ้าพระเจ้าฤทธิเทวาและงานเลี้ยงพระกระยาหารมื้อเที่ยงแล้ว เซียงจือกงได้เดินทางสู่ที่พักของไต้ซีหง ซึ่งเป็นโรงพักสินค้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่บริเวณถนนเชื่อมสู่ท่าพระวังเช่นกัน แม้ท่านมหาอำมาตย์วาสุธีจะขอเชิญไปสนทนาต่อยังที่พำนักของท่านแต่เพราะเป็นวันแรกที่ขึ้นฝั่งจึงขอตัวปรึกษางานกับไต้ซีหงก่อน
“เราประหลาดใจ ไฉนพระเจ้านครศรีธรรมราชจึงเสด็จมาทอดพระเนตรการคัดเลือกขุนพลตัวแทนของเมืองปตานี” เซียงจือกงกล่าวขึ้น หลังจากเข้ามานั่งพักผ่อนในเรือนตามลำพังกับไต้ซีหง
“เรื่องที่พระเจ้าเมืองนครฯ จะเสด็จมาข้าน้อยก็เพิ่งรู้พร้อมท่าน แต่ที่ทราบมาเรื่องนี้อาจเกียวเนื่องด้วยพระราชธิดาของพระองค์”
เมื่อเห็นเซียงจือกงขมวดคิ้วนิ่งด้วยความสนใจ ไต้เท้าผู้แทนประจำเมืองจึงกล่าวต่อ
“พระเจ้านครศรีธรรมราชมีพระราชธิดาพระองค์เดียวคือองค์หญิงวิสาณี ว่ากันว่าทรงพระสิริโฉมงดงามยิ่งนัก บรรดาเจ้าเมืองต่างๆ หมายพระทัยจะได้พระนางมาเป็นคู่หรือสู่ขอให้กับพระราชบุตรของพระองค์...”
“รวมทั้งพระเจ้าฤทธิเทวาแห่งปตานีด้วย.. ใช่หรือไม่”
“ไม่ผิดขอรับ นายท่านคงทราบดีว่าพระเจ้าเมืองนครฯ ไร้พระราชบุตรที่จะสืบราชบัลลังก์ต่อจากพระองค์ ผู้ใดได้อภิเษกสมรสกับพระราชธิดาก็ย่อมมีโอกาสได้ขึ้นครองราชย์ครอบครองอาณาจักรตามพรลิงค์ต่อไป”
“แต่ก็ต้องได้รับความยินยอมจากพระเจ้าเหนือหัวเมืองอโยธยา ผู้ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจเหนืออาณาจักรตามพรลิงค์” นายกองเรือผู้รอบรู้ความสัมพันธ์ของแต่ละแผ่นดินและน่านน้ำกล่าวขึ้น
“ขอรับนายท่าน ตามพรลิงค์เป็นเมืองประเทศราชของอโยธยา การที่ผู้ใดจะได้สืบทอดตำแหน่งกษัตริย์ย่อมต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากพระเจ้าเหนือหัวอโยธยาเป็นสำคัญ แต่ข้าน้อยเชื่อว่าหากบรรดาขุนนางอำมาตย์และเชื้อพระวงศ์พร้อมใจกันยกพระราชบุตรเขยขึ้นสืบราชสมบัติต่อไป ทางราชสำนักอโยธยาคงจะมิขัดข้องเป็นแน่ขอรับ”
เซียงจือกงมิสนับสนุนหรือแย้งความคิดดังกล่าว
“เราทราบว่าพระเจ้านครฯ มีพระอนุชาต่างพระมารดาอยู่องค์หนึ่งคือพระวังสา ท่านไม่คิดว่าราชสมบัติจะตกแก่พระอนุชาหรือ”
ไต้ซีหงซึ่งประจำอยู่ในดินแดนแถบนี้ มิเพียงดูแลการค้าแต่ยังทำหน้าที่สืบค้นข้อราชการงานเมืองและบทบาทของบุคคลสำคัญให้กับราชสำนักกรุงจีนอีกด้วยผ่านช่องทางการค้า
“ข้าน้อยเคยมีโอกาสเข้าเฝ้าพร้อมเสนอเงื่อนไขการค้าแด่พระอนุชาองค์นี้ พบว่าพระองค์ทรงไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน หากแต่ทรงลุ่มหลงในสุรานารีจนขุนนางคนสำคัญพากันออกห่าง ในความเห็นของข้าน้อยนับว่ายากจะได้รับการสนับสนุนจากเหล่าอำมาตย์และบรรดาเชื้อพระวงศ์ขอรับ”
“ลุ่มหลงในสุรานารีหรือ” นายกองเรือผู้มากประสบการณ์ขมวดคิ้วหนาใหญ่ คำนึงขึ้น... บุคคลสำคัญเสมือนหนึ่งเป็นอุปราชกลับประพฤติตนเหลวไหลเยี่ยงนี้ หากมิใช่ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มคนที่แสวงผลประโยชน์ ก็มักกระทำเพื่อกลบเกลื่อนความมักใหญ่ใฝ่สูงและแผนการใหญ่... ความคิดเพียงแล่นชั่ววูบได้ยินไต้ซีหงกล่าวเพิ่มว่า
“ครั้งนี้ข้าน้อยคาดว่าพระเจ้าปตานีเชิญเสด็จพระเจ้าศรีมหาราชเพื่อมาทอดพระเนตรพระปรีชาสามารถขององค์ชายอัศวเมฆซึ่งทรงเข้าร่วมประลองอาวุธชิงตำแหน่งขุนพลฉลูนักษัตร ในขณะที่พระเจ้าศรีมหาราชเองก็อาจทรงกำลังพิจารณาหาผู้เหมาะสมกับพระราชธิดาและการสืบราชบัลลังก์ขอรับ”
ตำแหน่งขุนพลฉลูนักษัตรที่กล่าวถึงคือผู้ชนะได้เป็นตัวแทนของเมืองปตานี ถือตราฉลูนักษัตรเข้าสู่เวทีประลองคัดเลือกราชาสิบสองนักษัตรต่อไป
“องค์ชายอัศวเมฆทรงมีความสามารถในเชิงรบปานนั้นหรือ” เซียงจือกงกล่าวถามด้วยความสนใจ
“ในเมืองปตานีนี้ ต่างนับถือกันว่าผู้เก่งกล้าในเชิงอาวุธคือขุนพลสิงหลแม่ทัพใหญ่ของเมืองและบุตรชายของท่านที่ชื่อ “สิงขร” ส่วนองค์ชายอัศวเมฆทรงเป็นศิษย์ท่านขุนพลสิงหล มีฝีมือกล้าแข็งเป็นรองก็แต่สิงขรเท่านั้นขอรับ ตามกฎผู้เข้าประลองชิงตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรต้องเป็นชายหนุ่มอายุไม่เกิน ๓๐ ปี ดังนั้นผู้ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะชนะเป็นตัวแทนของเมืองคือสิงขร ส่วนเจ้าอัศวเมฆน่าจะทรงยืนหยัดจนถึงการชิงชัยในรอบสองคนสุดท้าย... ซึ่งก็เพียงพอสำหรับการแสดงความสามารถในเชิงรบให้พระเจ้าเมืองนครฯ พอพระราชหฤทัยแล้วขอรับ”
“มีเหตุผล” เซียงจือกงพยักหน้า พลันครุ่นคิดพิเคราะห์... แม้ตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรจะทรงเกียรติ ผู้ชนะได้รับการสถาปนาขึ้นเทียบเท่าพระราชาพระองค์หนึ่งแต่ก็ทรงแบกภาระอันหนักหน่วงพร้อมภยันตรายใหญ่หลวงในการออกตามหา “สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด” ที่สูญหายกลับคืนมา อย่างไรเสียย่อมไม่เหมาะกับการที่องค์ชายใหญ่แห่งเมืองหนึ่งจะทรงกระทำ... และบางทีการต่อสู้กับสิงขรในรอบชิงชัยอาจเป็นเพียงแค่การจัดฉากห่ำหั่นโดยซักซ้อมเตรียมการกันมาก่อนก็เป็นได้...
ไต้ซีหงยิ้มร่าดีใจที่นายใหญ่เห็นพ้อง กล่าวย้ำความคิดของตนต่อว่า
“อันที่จริงทั่วทั้งคาบสมุทรสุวรรณภูมิคงมีแต่ราชสำนักเมืองปตานีจึงจะเหมาะสมทัดเทียมกับราชสำนักเมืองนครฯ แม้ปตานีถูกผนวกรวมอยู่ในเมือง ๑๒ นักษัตรภายใต้การปกครองของเมืองนครฯ แต่ก็เป็นเอกโดดเด่นเหนือเมืองใด เป็นเมืองเจ้าแคว้นลังกาสุกะเดิม... การที่พระเจ้านครศรีธรรมราชทรงรับคำกราบบังคมทูลเชิญพร้อมพระราชธิดานับว่า “โอกาส” ขององค์ชายอัศวเมฆมีสูงมากทีเดียวขอรับ”
ความเห็นดังกล่าวนำมาซึ่งอาการทอดถอนหายใจของผู้เป็นนาย จึงอดถามออกไปมิได้
“นายท่านมีเรื่องใดให้กังวลหรือขอรับ”
“เราเพียงสะท้อนใจ... เป็นห่วงเจ้าทิพนัก” น้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมส่ายหน้า
ไต้ซีหงได้แต่นิ่งเงียบ รู้ดีว่าผู้เป็นนายรักผูกพันเจ้าทิพประดุจหลานชายแท้ๆ ตลอดเวลาสิบปีที่นำเรือขึ้นเทียบท่า ชาวปตานีคนแรกที่ท่านพบหน้าและเป็นคนสุดท้ายที่ร่ำลาก่อนออกเรือคือเจ้าทิพ
“บางทีนายท่าน อาจต้องบอกเจ้าทิพแล้ว... อย่าได้หวังสิ่งใดเกินตัวนักเลย” ไต้ซีหงกล่าวอึกอัก ลำบากใจ
เซียงจือกงมองปราดไปยังผู้พูด สายตาแวววาว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ กล่าวเสียงเบาในลำคอ
“ท่านก็รู้ เรามีวิชาดูลักษณะคน ตลอดหลายปีที่ผ่านมามิเคยดูผู้ใดผิดพลาด... หลานเราคนนี้มีลักษณะของคนผู้จะเป็นใหญ่ เป็นบุคคลเรืองนามเจ็ดย่านน้ำ... แต่ทำไมชะตาที่เป็นอยู่ตอนนี้จึงดูอาภัพยากแค้นนัก”
“ขออภัยเถอะนายท่าน บางทีการใช้ตำราของพวกเราชาวจีนกับคนสายเลือดผสมอาจจะไม่ใคร่เที่ยงตรงนักก็เป็นได้” ไต้ซีหงกล่าวเป็นเชิงแย้งด้วยความระมัดระวัง ท่านรู้ว่าเจ้าทิพมีมารดาเป็นคนสายเลือดเชียงแสนจึงนำมาเป็นประเด็นหักล้างความคิดของผู้ถืออาญาสิทธิ์เป็นใหญ่เหนือท้องน้ำนอกอาณาจักรกรุงจีน
“นายท่านลองตรองดู คนที่ไม่ได้ฝึกฝีมือการสู้รบ ไม่ได้เรียนวิชาการเมืองการปกครอง วันๆ ได้แต่ฝึกฝีมือการช่างจะยกฐานะขึ้นเป็นคนเหนือคนได้อย่างไร”
“เท่าที่เราสังเกตดู เจ้าทิพเหมือนจะรู้เรื่องการเมืองการปกครองอยู่บ้าง”
“แต่ที่ข้าน้อยสืบทราบมา เจ้าทิพเรียนวิชาจากพราหมณ์เฉพาะเรื่องไตรเวท เรียนวิชาช่างและงานศิลป์จากตาของตนจนได้ยินว่ามีฝีมือโดดเด่นนัก... ถ้าต่อไปจะเป็นนายช่างงานศิลป์ผู้เรืองนาม อาจเป็นไปได้” กล่าวแล้วสังเกตเห็นท่าทีนายกองขบวนเรืออ่อนลง จึงเสนอแนะต่อว่า
“บางทีนายท่านอาจต้องเปลี่ยนท่าทีต่อองค์ชายอัศวเมฆ... เพราะคือบุคคลที่ฝ่ายเราต้องประสานสัมพันธไมตรีในอนาคต นายท่านควรยอมอ่อนข้อให้กับองค์ชายบ้าง”
เพียงได้ยินชื่อองค์ชายอัศวเมฆพร้อมคำแนะนำให้อ่อนน้อมยอมตน ผู้บัญชาการกองเรือสินค้าคล้ายโดนตบหน้าเข้าฉาดใหญ่
“บังอาจ เจ้ารู้ตัวว่ากำลังกล่าวอะไรออกมาหรือไม่” เซียงจือกงตวาดลั่นจนไต้ซีหงตกใจรีบก้มลงหมอบราบกับพื้น
“นายท่านโปรดเมตตา ตัวข้าน้อยกล่าวด้วยสัตย์ซื่อ หาได้มีสิ่งใดแอบแฝงไม่” เสียงสั่นรัว ตัวสั่นงันงกอยู่แทบเท้าจอมคนผู้ได้รับพระราชอำนาจเต็มจากองค์พระจักรพรรดิกรุงจีน
“แม้เราอาจดูอนาคตผู้คนไม่ถูกต้อง แต่เราไม่เคยดูลักษณะคนผิด... ยกไปไม่ต้องกล่าวถึงเจ้าทิพ ตัวองค์ชายอัศวเมฆลักษณะหยาบช้า แม้ได้ขึ้นครองเมืองเป็นใหญ่แต่ไม่ครองใจผู้คน จะนำความวิบัติมาสู่พระองค์เองและผู้คนแวดล้อม บุคคลเช่นนี้มีแต่ต้องระวังและห่างไว้...” แล้วกล่าวคาดโทษถึงตัวไต้ซีหง “ตัวท่านเป็นถึงผู้แทนองค์พระจักรพรรดิประจำเมืองท่าปตานี มีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ของเมืองเราตลอดคาบสมุทรและเกาะสุวรรณทวีป.. แต่นี่กลับลดตัวไปประจบสอพลอองค์ชายอัศวเมฆ มิน่าถึงทรงดูแคลนข้าราชสำนักกรุงจีน กระทั่งกับเราก็ทรงกล้าเหิมเกริมหมิ่นประมาทต่อหน้า.. เจ้าทำเช่นนั้นใช่หรือไม่”
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว ได้โปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วย”
เพียงคำพูดโน้มน้าวประโยคเดียวก็ถูกเซียงจือกงจับพิรุธพฤติกรรมได้ มีหรือไต้ซีหงจะกล้าแก้ตัว ได้แต่วิงวอนสำนึกผิด ใจนั้นขลาดกลัวต่ออาญาสิทธิ์ในมือของจอมพลเรือยิ่งกว่าสิ่งใด
เซียงจือกงถือสานักเรื่องการวางตนในฐานะผู้แทนประเทศ...
--------------------------------------------------
“บังอาจนัก เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากระทำสิ่งใดลงไป” พระสุรเสียงตวาดของพระเจ้าฤทธิเทวาแผดก้องพระตำหนักที่ประทับ
“หม่อมฉันผิดไปแล้ว พระบิดาทรงอภัยให้ด้วยเถิด” องค์ชายอัศวเมฆทรงคุกชานุ (เข่า) สำนึกผิดอยู่แทบพระบาท
“เจ้าคิดว่ากรุงจีนต้องมาง้อเราขึ้นเทียบท่าหรือ เจ้าคิดว่าเซียงจือกงเป็นแค่คนเดินเรือหรือ... ความรู้เจ้านี่มันน้อยนิดนัก ทั้งยังสิ้นคิดตัดอนาคตตัวเองอีก”
พระเจ้าปตานีตรัสบริภาษองค์ชายเป็นการใหญ่เมื่อประทับเพียงลำพังกันสามพระองค์
พระมเหสีทรงสงสารพระราชบุตร รับสั่งวิงวอนว่า
“ลูกเรายังเยาว์นัก ทำไปเพราะไม่รู้ความ ทรงให้อภัยสักครั้งเถิดเพคะ”
“ยังเยาว์อยู่หรือ ไม่ใช่เพราะมัวแต่เที่ยวเล่นไม่เป็นประสา จึงทำเรื่องผิดพลาดน่าอับอายปานนี้ บ้านอื่นเมืองอื่นองค์ชายแม้พระชันษาเพียง ๑๖ ก็รู้จักรบรู้จักปกครองแล้ว... แต่เจ้านี่...” ทรงขบพระทนต์คำรามด้วยกริ้วโกรธยิ่งนัก “เจ้ารู้หรือไม่ ทุกเมืองในแว่นแคว้นนี้ต่างก็หมายการสนับสนุนจากพระเจ้ากรุงจีน ทั้งด้านการค้าการเมืองเพื่อส่งเสริมให้รุ่งเรือง การที่กรุงจีนเงียบไปไม่มีบทบาทในช่วงสิบปีที่ผ่านมาเพราะมีศึกผลัดแผ่นดิน บัดนี้ภายในสงบจึงเริ่มเปิดประเทศอีกครั้ง มีแต่ทุกเมืองต้องการเป็นมหามิตร แต่เจ้ากลับทำประหนึ่งต้องการขับไล่พวกเขาออกไป... เจ้าคงเห็นไต้ซีหงมาหว่านล้อมประจบเอาใจ จึงประมาทนึกว่าเมืองจีนอยู่ในอุ้งมือเจ้าเสียอย่างนั้นหรือ”
ตรัสนามผู้แทนการค้าจีนที่เข้าออกในวังองค์ชาย แล้วทรงส่ายพระพักตร์
“ถ้าเจ้ามองเมืองจีนผ่านการกระทำของไต้ซีหงนับว่าเจ้าคิดผิดและเบาปัญญามาก... จำไว้เมืองท่าชายทะเลอย่างเรา เซียงจือกงคือกรุงจีน กรุงจีนคือเซียงจือกง"
“บุตร...ไม่เข้าใจ... ทรงหมายถึงอะไร” องค์ชายอัศวเมฆรับสั่งถามด้วยพระอาการงุนงงใคร่รู้ แต่ในหทัยทรงเริ่มคลายกังวล เพราะเมื่อใดที่พระเจ้าฤทธิเทวาตรัสมาเป็นเชิงสั่งสอนเท่ากับพระองค์ทรงเริ่มคลายพระโทสะลงบ้างแล้ว
“เซียงจือกงเป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริงมิเช่นนั้นคงไม่ได้เป็นนายกองใหญ่บัญชาการกองเรือสินค้าถึงสองยุคสองราชวงศ์ เป็นตำแหน่งที่พระจักรพรรดิกรุงจีนทรงไว้วางพระราชหฤทัยมากที่สุดให้ทำหน้าที่ต่างพระเนตรพระกรรณในดินแดนนอกอาณาเขตแผ่นดินจีน สรุปแล้ว... ความคิดและการกระทำของเซียงจือกงแทบจะเป็นการใช้พระราชอำนาจโดยตรงเลยทีเดียว มิต้องรอคำสั่งใดจากราชสำนักกรุงจีน”
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๓ / เหตุพิพาทขณะเข้าเฝ้าพระเจ้านครปตานี นายกองเรือสินค้าจากกรุงจีนจะทำเยี่ยงไร..
บทที่ ๓ เหตุจากท้องพระโรง
------------------------------------
ยามบ่ายบริเวณถนนนอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตกคราคร่ำไปด้วยผู้คน ข่าวกองเรือสินค้าจากเมืองจีนมาเทียบท่าช่วยปลุกตลาดและร้านค้าให้คึกคักมาตั้งแต่เช้า แม้สินค้าจะยังมิได้นำลงจากเรือแต่ผู้คนก็เริ่มต้นติดต่อสอบถามและสั่งจองขอซื้อล่วงหน้า
นอกกำแพงเมืองย่านนี้คือเขตการค้าหลักเพราะอยู่บนแนวถนนเชื่อมท่าพระวังเข้าสู่ตัวเมือง สินค้าเข้าออกที่ท่าเทียบสินค้าอ่าวปตานีมักถูกเปลี่ยนถ่ายลงเรือเล็กแล้วล่องผ่านแม่น้ำปตานีมาขึ้นท่าพระวัง บรรดาพ่อค้านายวาณิชเองก็มักมาปลูกเรือนพักอาศัยแถบย่านนี้ มีทั้งพ่อค้าชาวเมือง ชาวจีน อินเดีย แขกอาหรับ จาม ชวาและมลายู ส่วนชาวเมืองที่มิได้ทำการค้ามักจะปลูกเรือนอาศัยอยู่กันหนาแน่นนอกกำแพงเมืองด้านทิศใต้ซึ่งอยู่ในแนวถนนเชื่อมตัวเมืองเก่าปตานีที่ห่างลงไปทางใต้ราว ๒ โยชน์ (๓.๒ กิโลเมตร)
ครั้นเสร็จสิ้นการเข้าเฝ้าพระเจ้าฤทธิเทวาและงานเลี้ยงพระกระยาหารมื้อเที่ยงแล้ว เซียงจือกงได้เดินทางสู่ที่พักของไต้ซีหง ซึ่งเป็นโรงพักสินค้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่บริเวณถนนเชื่อมสู่ท่าพระวังเช่นกัน แม้ท่านมหาอำมาตย์วาสุธีจะขอเชิญไปสนทนาต่อยังที่พำนักของท่านแต่เพราะเป็นวันแรกที่ขึ้นฝั่งจึงขอตัวปรึกษางานกับไต้ซีหงก่อน
“เราประหลาดใจ ไฉนพระเจ้านครศรีธรรมราชจึงเสด็จมาทอดพระเนตรการคัดเลือกขุนพลตัวแทนของเมืองปตานี” เซียงจือกงกล่าวขึ้น หลังจากเข้ามานั่งพักผ่อนในเรือนตามลำพังกับไต้ซีหง
“เรื่องที่พระเจ้าเมืองนครฯ จะเสด็จมาข้าน้อยก็เพิ่งรู้พร้อมท่าน แต่ที่ทราบมาเรื่องนี้อาจเกียวเนื่องด้วยพระราชธิดาของพระองค์”
เมื่อเห็นเซียงจือกงขมวดคิ้วนิ่งด้วยความสนใจ ไต้เท้าผู้แทนประจำเมืองจึงกล่าวต่อ
“พระเจ้านครศรีธรรมราชมีพระราชธิดาพระองค์เดียวคือองค์หญิงวิสาณี ว่ากันว่าทรงพระสิริโฉมงดงามยิ่งนัก บรรดาเจ้าเมืองต่างๆ หมายพระทัยจะได้พระนางมาเป็นคู่หรือสู่ขอให้กับพระราชบุตรของพระองค์...”
“รวมทั้งพระเจ้าฤทธิเทวาแห่งปตานีด้วย.. ใช่หรือไม่”
“ไม่ผิดขอรับ นายท่านคงทราบดีว่าพระเจ้าเมืองนครฯ ไร้พระราชบุตรที่จะสืบราชบัลลังก์ต่อจากพระองค์ ผู้ใดได้อภิเษกสมรสกับพระราชธิดาก็ย่อมมีโอกาสได้ขึ้นครองราชย์ครอบครองอาณาจักรตามพรลิงค์ต่อไป”
“แต่ก็ต้องได้รับความยินยอมจากพระเจ้าเหนือหัวเมืองอโยธยา ผู้ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจเหนืออาณาจักรตามพรลิงค์” นายกองเรือผู้รอบรู้ความสัมพันธ์ของแต่ละแผ่นดินและน่านน้ำกล่าวขึ้น
“ขอรับนายท่าน ตามพรลิงค์เป็นเมืองประเทศราชของอโยธยา การที่ผู้ใดจะได้สืบทอดตำแหน่งกษัตริย์ย่อมต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากพระเจ้าเหนือหัวอโยธยาเป็นสำคัญ แต่ข้าน้อยเชื่อว่าหากบรรดาขุนนางอำมาตย์และเชื้อพระวงศ์พร้อมใจกันยกพระราชบุตรเขยขึ้นสืบราชสมบัติต่อไป ทางราชสำนักอโยธยาคงจะมิขัดข้องเป็นแน่ขอรับ”
เซียงจือกงมิสนับสนุนหรือแย้งความคิดดังกล่าว
“เราทราบว่าพระเจ้านครฯ มีพระอนุชาต่างพระมารดาอยู่องค์หนึ่งคือพระวังสา ท่านไม่คิดว่าราชสมบัติจะตกแก่พระอนุชาหรือ”
ไต้ซีหงซึ่งประจำอยู่ในดินแดนแถบนี้ มิเพียงดูแลการค้าแต่ยังทำหน้าที่สืบค้นข้อราชการงานเมืองและบทบาทของบุคคลสำคัญให้กับราชสำนักกรุงจีนอีกด้วยผ่านช่องทางการค้า
“ข้าน้อยเคยมีโอกาสเข้าเฝ้าพร้อมเสนอเงื่อนไขการค้าแด่พระอนุชาองค์นี้ พบว่าพระองค์ทรงไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน หากแต่ทรงลุ่มหลงในสุรานารีจนขุนนางคนสำคัญพากันออกห่าง ในความเห็นของข้าน้อยนับว่ายากจะได้รับการสนับสนุนจากเหล่าอำมาตย์และบรรดาเชื้อพระวงศ์ขอรับ”
“ลุ่มหลงในสุรานารีหรือ” นายกองเรือผู้มากประสบการณ์ขมวดคิ้วหนาใหญ่ คำนึงขึ้น... บุคคลสำคัญเสมือนหนึ่งเป็นอุปราชกลับประพฤติตนเหลวไหลเยี่ยงนี้ หากมิใช่ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มคนที่แสวงผลประโยชน์ ก็มักกระทำเพื่อกลบเกลื่อนความมักใหญ่ใฝ่สูงและแผนการใหญ่... ความคิดเพียงแล่นชั่ววูบได้ยินไต้ซีหงกล่าวเพิ่มว่า
“ครั้งนี้ข้าน้อยคาดว่าพระเจ้าปตานีเชิญเสด็จพระเจ้าศรีมหาราชเพื่อมาทอดพระเนตรพระปรีชาสามารถขององค์ชายอัศวเมฆซึ่งทรงเข้าร่วมประลองอาวุธชิงตำแหน่งขุนพลฉลูนักษัตร ในขณะที่พระเจ้าศรีมหาราชเองก็อาจทรงกำลังพิจารณาหาผู้เหมาะสมกับพระราชธิดาและการสืบราชบัลลังก์ขอรับ”
ตำแหน่งขุนพลฉลูนักษัตรที่กล่าวถึงคือผู้ชนะได้เป็นตัวแทนของเมืองปตานี ถือตราฉลูนักษัตรเข้าสู่เวทีประลองคัดเลือกราชาสิบสองนักษัตรต่อไป
“องค์ชายอัศวเมฆทรงมีความสามารถในเชิงรบปานนั้นหรือ” เซียงจือกงกล่าวถามด้วยความสนใจ
“ในเมืองปตานีนี้ ต่างนับถือกันว่าผู้เก่งกล้าในเชิงอาวุธคือขุนพลสิงหลแม่ทัพใหญ่ของเมืองและบุตรชายของท่านที่ชื่อ “สิงขร” ส่วนองค์ชายอัศวเมฆทรงเป็นศิษย์ท่านขุนพลสิงหล มีฝีมือกล้าแข็งเป็นรองก็แต่สิงขรเท่านั้นขอรับ ตามกฎผู้เข้าประลองชิงตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรต้องเป็นชายหนุ่มอายุไม่เกิน ๓๐ ปี ดังนั้นผู้ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะชนะเป็นตัวแทนของเมืองคือสิงขร ส่วนเจ้าอัศวเมฆน่าจะทรงยืนหยัดจนถึงการชิงชัยในรอบสองคนสุดท้าย... ซึ่งก็เพียงพอสำหรับการแสดงความสามารถในเชิงรบให้พระเจ้าเมืองนครฯ พอพระราชหฤทัยแล้วขอรับ”
“มีเหตุผล” เซียงจือกงพยักหน้า พลันครุ่นคิดพิเคราะห์... แม้ตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรจะทรงเกียรติ ผู้ชนะได้รับการสถาปนาขึ้นเทียบเท่าพระราชาพระองค์หนึ่งแต่ก็ทรงแบกภาระอันหนักหน่วงพร้อมภยันตรายใหญ่หลวงในการออกตามหา “สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด” ที่สูญหายกลับคืนมา อย่างไรเสียย่อมไม่เหมาะกับการที่องค์ชายใหญ่แห่งเมืองหนึ่งจะทรงกระทำ... และบางทีการต่อสู้กับสิงขรในรอบชิงชัยอาจเป็นเพียงแค่การจัดฉากห่ำหั่นโดยซักซ้อมเตรียมการกันมาก่อนก็เป็นได้...
ไต้ซีหงยิ้มร่าดีใจที่นายใหญ่เห็นพ้อง กล่าวย้ำความคิดของตนต่อว่า
“อันที่จริงทั่วทั้งคาบสมุทรสุวรรณภูมิคงมีแต่ราชสำนักเมืองปตานีจึงจะเหมาะสมทัดเทียมกับราชสำนักเมืองนครฯ แม้ปตานีถูกผนวกรวมอยู่ในเมือง ๑๒ นักษัตรภายใต้การปกครองของเมืองนครฯ แต่ก็เป็นเอกโดดเด่นเหนือเมืองใด เป็นเมืองเจ้าแคว้นลังกาสุกะเดิม... การที่พระเจ้านครศรีธรรมราชทรงรับคำกราบบังคมทูลเชิญพร้อมพระราชธิดานับว่า “โอกาส” ขององค์ชายอัศวเมฆมีสูงมากทีเดียวขอรับ”
ความเห็นดังกล่าวนำมาซึ่งอาการทอดถอนหายใจของผู้เป็นนาย จึงอดถามออกไปมิได้
“นายท่านมีเรื่องใดให้กังวลหรือขอรับ”
“เราเพียงสะท้อนใจ... เป็นห่วงเจ้าทิพนัก” น้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมส่ายหน้า
ไต้ซีหงได้แต่นิ่งเงียบ รู้ดีว่าผู้เป็นนายรักผูกพันเจ้าทิพประดุจหลานชายแท้ๆ ตลอดเวลาสิบปีที่นำเรือขึ้นเทียบท่า ชาวปตานีคนแรกที่ท่านพบหน้าและเป็นคนสุดท้ายที่ร่ำลาก่อนออกเรือคือเจ้าทิพ
“บางทีนายท่าน อาจต้องบอกเจ้าทิพแล้ว... อย่าได้หวังสิ่งใดเกินตัวนักเลย” ไต้ซีหงกล่าวอึกอัก ลำบากใจ
เซียงจือกงมองปราดไปยังผู้พูด สายตาแวววาว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ กล่าวเสียงเบาในลำคอ
“ท่านก็รู้ เรามีวิชาดูลักษณะคน ตลอดหลายปีที่ผ่านมามิเคยดูผู้ใดผิดพลาด... หลานเราคนนี้มีลักษณะของคนผู้จะเป็นใหญ่ เป็นบุคคลเรืองนามเจ็ดย่านน้ำ... แต่ทำไมชะตาที่เป็นอยู่ตอนนี้จึงดูอาภัพยากแค้นนัก”
“ขออภัยเถอะนายท่าน บางทีการใช้ตำราของพวกเราชาวจีนกับคนสายเลือดผสมอาจจะไม่ใคร่เที่ยงตรงนักก็เป็นได้” ไต้ซีหงกล่าวเป็นเชิงแย้งด้วยความระมัดระวัง ท่านรู้ว่าเจ้าทิพมีมารดาเป็นคนสายเลือดเชียงแสนจึงนำมาเป็นประเด็นหักล้างความคิดของผู้ถืออาญาสิทธิ์เป็นใหญ่เหนือท้องน้ำนอกอาณาจักรกรุงจีน
“นายท่านลองตรองดู คนที่ไม่ได้ฝึกฝีมือการสู้รบ ไม่ได้เรียนวิชาการเมืองการปกครอง วันๆ ได้แต่ฝึกฝีมือการช่างจะยกฐานะขึ้นเป็นคนเหนือคนได้อย่างไร”
“เท่าที่เราสังเกตดู เจ้าทิพเหมือนจะรู้เรื่องการเมืองการปกครองอยู่บ้าง”
“แต่ที่ข้าน้อยสืบทราบมา เจ้าทิพเรียนวิชาจากพราหมณ์เฉพาะเรื่องไตรเวท เรียนวิชาช่างและงานศิลป์จากตาของตนจนได้ยินว่ามีฝีมือโดดเด่นนัก... ถ้าต่อไปจะเป็นนายช่างงานศิลป์ผู้เรืองนาม อาจเป็นไปได้” กล่าวแล้วสังเกตเห็นท่าทีนายกองขบวนเรืออ่อนลง จึงเสนอแนะต่อว่า
“บางทีนายท่านอาจต้องเปลี่ยนท่าทีต่อองค์ชายอัศวเมฆ... เพราะคือบุคคลที่ฝ่ายเราต้องประสานสัมพันธไมตรีในอนาคต นายท่านควรยอมอ่อนข้อให้กับองค์ชายบ้าง”
เพียงได้ยินชื่อองค์ชายอัศวเมฆพร้อมคำแนะนำให้อ่อนน้อมยอมตน ผู้บัญชาการกองเรือสินค้าคล้ายโดนตบหน้าเข้าฉาดใหญ่
“บังอาจ เจ้ารู้ตัวว่ากำลังกล่าวอะไรออกมาหรือไม่” เซียงจือกงตวาดลั่นจนไต้ซีหงตกใจรีบก้มลงหมอบราบกับพื้น
“นายท่านโปรดเมตตา ตัวข้าน้อยกล่าวด้วยสัตย์ซื่อ หาได้มีสิ่งใดแอบแฝงไม่” เสียงสั่นรัว ตัวสั่นงันงกอยู่แทบเท้าจอมคนผู้ได้รับพระราชอำนาจเต็มจากองค์พระจักรพรรดิกรุงจีน
“แม้เราอาจดูอนาคตผู้คนไม่ถูกต้อง แต่เราไม่เคยดูลักษณะคนผิด... ยกไปไม่ต้องกล่าวถึงเจ้าทิพ ตัวองค์ชายอัศวเมฆลักษณะหยาบช้า แม้ได้ขึ้นครองเมืองเป็นใหญ่แต่ไม่ครองใจผู้คน จะนำความวิบัติมาสู่พระองค์เองและผู้คนแวดล้อม บุคคลเช่นนี้มีแต่ต้องระวังและห่างไว้...” แล้วกล่าวคาดโทษถึงตัวไต้ซีหง “ตัวท่านเป็นถึงผู้แทนองค์พระจักรพรรดิประจำเมืองท่าปตานี มีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ของเมืองเราตลอดคาบสมุทรและเกาะสุวรรณทวีป.. แต่นี่กลับลดตัวไปประจบสอพลอองค์ชายอัศวเมฆ มิน่าถึงทรงดูแคลนข้าราชสำนักกรุงจีน กระทั่งกับเราก็ทรงกล้าเหิมเกริมหมิ่นประมาทต่อหน้า.. เจ้าทำเช่นนั้นใช่หรือไม่”
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว ได้โปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วย”
เพียงคำพูดโน้มน้าวประโยคเดียวก็ถูกเซียงจือกงจับพิรุธพฤติกรรมได้ มีหรือไต้ซีหงจะกล้าแก้ตัว ได้แต่วิงวอนสำนึกผิด ใจนั้นขลาดกลัวต่ออาญาสิทธิ์ในมือของจอมพลเรือยิ่งกว่าสิ่งใด
เซียงจือกงถือสานักเรื่องการวางตนในฐานะผู้แทนประเทศ...
--------------------------------------------------
“บังอาจนัก เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากระทำสิ่งใดลงไป” พระสุรเสียงตวาดของพระเจ้าฤทธิเทวาแผดก้องพระตำหนักที่ประทับ
“หม่อมฉันผิดไปแล้ว พระบิดาทรงอภัยให้ด้วยเถิด” องค์ชายอัศวเมฆทรงคุกชานุ (เข่า) สำนึกผิดอยู่แทบพระบาท
“เจ้าคิดว่ากรุงจีนต้องมาง้อเราขึ้นเทียบท่าหรือ เจ้าคิดว่าเซียงจือกงเป็นแค่คนเดินเรือหรือ... ความรู้เจ้านี่มันน้อยนิดนัก ทั้งยังสิ้นคิดตัดอนาคตตัวเองอีก”
พระเจ้าปตานีตรัสบริภาษองค์ชายเป็นการใหญ่เมื่อประทับเพียงลำพังกันสามพระองค์
พระมเหสีทรงสงสารพระราชบุตร รับสั่งวิงวอนว่า
“ลูกเรายังเยาว์นัก ทำไปเพราะไม่รู้ความ ทรงให้อภัยสักครั้งเถิดเพคะ”
“ยังเยาว์อยู่หรือ ไม่ใช่เพราะมัวแต่เที่ยวเล่นไม่เป็นประสา จึงทำเรื่องผิดพลาดน่าอับอายปานนี้ บ้านอื่นเมืองอื่นองค์ชายแม้พระชันษาเพียง ๑๖ ก็รู้จักรบรู้จักปกครองแล้ว... แต่เจ้านี่...” ทรงขบพระทนต์คำรามด้วยกริ้วโกรธยิ่งนัก “เจ้ารู้หรือไม่ ทุกเมืองในแว่นแคว้นนี้ต่างก็หมายการสนับสนุนจากพระเจ้ากรุงจีน ทั้งด้านการค้าการเมืองเพื่อส่งเสริมให้รุ่งเรือง การที่กรุงจีนเงียบไปไม่มีบทบาทในช่วงสิบปีที่ผ่านมาเพราะมีศึกผลัดแผ่นดิน บัดนี้ภายในสงบจึงเริ่มเปิดประเทศอีกครั้ง มีแต่ทุกเมืองต้องการเป็นมหามิตร แต่เจ้ากลับทำประหนึ่งต้องการขับไล่พวกเขาออกไป... เจ้าคงเห็นไต้ซีหงมาหว่านล้อมประจบเอาใจ จึงประมาทนึกว่าเมืองจีนอยู่ในอุ้งมือเจ้าเสียอย่างนั้นหรือ”
ตรัสนามผู้แทนการค้าจีนที่เข้าออกในวังองค์ชาย แล้วทรงส่ายพระพักตร์
“ถ้าเจ้ามองเมืองจีนผ่านการกระทำของไต้ซีหงนับว่าเจ้าคิดผิดและเบาปัญญามาก... จำไว้เมืองท่าชายทะเลอย่างเรา เซียงจือกงคือกรุงจีน กรุงจีนคือเซียงจือกง"
“บุตร...ไม่เข้าใจ... ทรงหมายถึงอะไร” องค์ชายอัศวเมฆรับสั่งถามด้วยพระอาการงุนงงใคร่รู้ แต่ในหทัยทรงเริ่มคลายกังวล เพราะเมื่อใดที่พระเจ้าฤทธิเทวาตรัสมาเป็นเชิงสั่งสอนเท่ากับพระองค์ทรงเริ่มคลายพระโทสะลงบ้างแล้ว
“เซียงจือกงเป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริงมิเช่นนั้นคงไม่ได้เป็นนายกองใหญ่บัญชาการกองเรือสินค้าถึงสองยุคสองราชวงศ์ เป็นตำแหน่งที่พระจักรพรรดิกรุงจีนทรงไว้วางพระราชหฤทัยมากที่สุดให้ทำหน้าที่ต่างพระเนตรพระกรรณในดินแดนนอกอาณาเขตแผ่นดินจีน สรุปแล้ว... ความคิดและการกระทำของเซียงจือกงแทบจะเป็นการใช้พระราชอำนาจโดยตรงเลยทีเดียว มิต้องรอคำสั่งใดจากราชสำนักกรุงจีน”
(มีต่อ)