.
---------------------------------------
บทที่ ๗ ความตั้งใจของเจ้าทิพ
---------------------------------------
ช่วงเย็นหลังพิธีต้อนรับพระเจ้าศรีมหาราช องค์หญิงวิสาณีได้เสด็จกลับมายังพระตำหนักรับรอง ในขณะที่พระราชบิดาของพระนางเสด็จไปชมคลังสินค้าของเมืองปตานีพร้อมด้วยพระเจ้าฤทธิเทวา ก่อนจะทรงแยกกันพระนางได้กราบทูลเรื่องเจ้าทิพถูกองค์ชายอัศวเมฆทำร้ายบาดเจ็บ ซึ่งพระเจ้าเมืองนครฯ มีพระราชวินิจฉัยว่า...
ในเมื่อเจ้าทิพเข้าร่วมประลองขุนพลฉลูนักษัตร เท่ากับเป็นการยืนยันความเป็นคนในปกครองของราชสำนักปตานี การจะถูกทุบตีด้วยเจ้านายในราชสำนักอีกทั้งกระทำในเมืองปตานี เราจะไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้...
พระราชดำรัสดังกล่าวยิ่งทำให้พระนางทรงหวั่นพระทัยถึงเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้นในการประลองขุนพลฉลูนักษัตร
บัดนี้องค์หญิงวิสาณีประทับอยู่บนพระตำหนัก ทรงคอยสอดส่ายสายพระเนตรมายังด้านล่างด้วยพระอาการกระวนกระวาย สักครู่จึงปรากฏร่างหญิงสาวสองคนเดินคล่องแคล่วว่องไวขึ้นพระตำหนักมา คนหนึ่งเป็นข้าหลวงของพระนางชื่อว่าราตรี ส่วนอีกคนเป็นบ่าวคนสนิทของนางสุชีราซึ่งมาคอยช่วยติดต่อประสานงานให้กับคณะของพระราชธิดา
“เป็นอย่างไรบ้าง พบตัวเจ้าทิพหรือยัง” เสียงพระธิดาตรัสถามทันทีด้วยทรงกังวล
“ยังไม่พบตัวเลยเพคะ หม่อมฉันไปทั้งเรือนพักคณะทูตจากกรุงจีน ทั้งเรือนรับรองที่เจ้าทิพพักอยู่... ลองถามตามร้านค้าต่างๆ ในตลาดก็ไม่มีใครพบเห็นว่าเจ้าทิพไปแห่งไหน” นางข้าหลวงราตรีกราบทูลละล่ำละลักด้วยความเหนื่อยหอบที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับมา
“แล้ว นี่เขาไปไหนกันนะ” พระนางทรงรำพึงด้วยร้อนพระทัย
“หม่อมฉันถามที่บ้านท่านทูตจีน เห็นคนล่ามบอกว่าท่านทูตใหญ่ก็กำลังตามหาเจ้าทิพอยู่เหมือนกัน เห็นว่าตกใจเรื่องเจ้าทิพจะเข้าร่วมประลองอาวุธเพคะ” นางข้าหลวงยังคงเรียกคณะของเซียงจือกงว่าเป็นทูต ตามความเข้าใจของนาง
“นี่เขาเจตนาจะหลบหน้าไปเฉยๆ หรือ...” ทรงเบือนพระพักตร์พร้อมรับสั่งถามไปทางบ่าวชาวเมืองปตานีบ้าง “แล้วเจ้าล่ะ พอจะรู้ไหมว่าปกติเจ้าทิพมักไปอยู่แห่งใด”
บ่าวที่ดูคล่องแคล่วจนนางสุชีราไว้ใจส่งให้มารับใช้คณะของพระราชธิดากลับต้องอ้ำอึ้งในพระดำรัสถามถึงเจ้าทิพ
“เรื่องนี้.. คือ... เกล้ากระหม่อมฉันอาจต้องขอพระราชทานอภัยด้วยเพคะ... คือเจ้าทิพไม่ค่อยได้มาอยู่ปตานี มาครั้งนึงก็เพียง ๗ วัน ๑๐ วัน มักเก็บตัวไม่ค่อยไปไหนหรือสุงสิงกับใคร นอกจากไปพักกับท่านเซียงจือกงแล้วก็อยู่แต่ที่พักเพคะ”
องค์หญิงทรงสดับฟังแล้วยิ่งว้าวุ่นพระทัย พลันทรงทบทวนถึงวันที่เสด็จชมเมืองเก่าพร้อมเจ้าทิพ แม้ชายคนรักจะสามารถบอกเล่าเรื่องราวของสถานที่ได้บ้าง แต่ทรงสังเกตได้ชัดว่าไม่มีความคุ้นเคยกับสถานที่ใดเลย เหมือนคนรู้เรื่องของสถานที่จากคำบอกเล่าและเพิ่งจะได้เห็นเป็นครั้งแรก ร้านรวงต่างๆ ในตลาดก็ไม่คุ้นเคย ทรงนึกไปถึงคำพูดคำจาของผู้คนในตลาดที่แสดงอาการรังเกียจชายหนุ่มทั้งที่ไม่ได้รู้จักตัวตน เพียงได้ยินนามเจ้าทิพก็รู้สึกเป็นอัปมงคลแล้ว
“มิน่า เขาถึงไม่เคยออกไปไหนเลย” พระองค์หญิงทรงรำพึงอยู่ในพระทัย รู้สึกเจ็บแปลบพระทรวงขึ้นมาทันที ภาพของชายคนรักถูกองค์ชายอัศวเมฆทรงทำร้ายที่วัดกลางเมืองเก่าผุดขึ้นมา พร้อมทรงหวนรำลึกได้ว่า... ทุกครั้งที่เจ้าทิพเดินทางมาปตานี พอกลับไปจะต้องมีบาดแผลตามแขนขาหรือลำตัวแทบทุกครั้ง โดยบอกว่าเป็นอุบัติเหตุ
“นี่เขาโดนทำร้ายทุกครั้งที่กลับเมืองมาหรือ...” พระทัยของพระนางแทบจะสลายเมื่อทรงนึกถึงความขมขื่นที่ชายคนรักได้รับ “แล้วเขายังจะกลับมาปตานีเพื่ออะไร...”
ในห้วงคำนึง พลันทรงระลึกได้...
“สถูปพระสนมจันทรา” ทรงอุทานขึ้นในบัดดล “เจ้าทิพกลับมาปตานี เพราะมาทำบุญให้พระมารดา...ใช่แล้ว ถ้าไม่อยู่ที่พักเขาต้องอยู่ที่สถูปของพระนาง”
ทันทีที่พระราชธิดาทรงชายพระเนตรเป็นเชิงขอความเห็น บ่าวชาวเมืองปตานีรีบกราบทูลขึ้นว่า
“เห็นจะเป็นไปได้เพคะ เคยได้ยินมาว่าเจ้าทิพมักจะแวะเวียนไปทำความสะอาดตกแต่งสถูปของพระมารดา บางครั้งก็มาเบิกเครื่องมือจากกองช่างหลวงไป นอกจากที่นี่คงไม่มีที่อื่นแล้วเพคะ... จากที่นี่ไป แม้ระยะทางเพียงม้าวิ่งครึ่งชั่วยามแต่ต้องหาเรือข้ามฝากไปยังฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปตานี... ถ้าอย่างไรเกล้ากระหม่อมฉันจะจัดให้คนเดินทางไปที่สถูปของพระสนมจันทรา กว่าจะไปถึงคงจะใกล้ค่ำ หรือบางทีอาจจะพบเจอเจ้าทิพระหว่างที่เดินทางกลับมาก็เป็นได้ เพคะ”
“ขอบใจเจ้าที่เป็นธุระ ไม่ว่าจะมืดค่ำอย่างไร เราต้องเจอตัวเขาให้ได้”
พระองค์หญิงรับสั่งเด็ดเดี่ยว ด้วยทรงมุ่งมั่นจะยับยั้งมิให้เจ้าทิพเข้าประลองอาวุธในวันพรุ่งนี้...
--------------------------------------------------
แม่น้ำปตานีไหลจากทิศใต้ขึ้นทิศเหนือสู่อ่าวปตานี
ริมขอบฝั่งปกคลุมด้วยแมกไม้ยืนต้นเป็นเงาครึ้มไปตลอดลำน้ำ สายลมยามเย็นโชยเอื่อยขึ้นฝั่งกระทบใบไม้แกว่งไกว มิได้มีแรงโยกสั่นถึงกิ่งก้าน
ใต้ไทรต้นใหญ่บนเนินริมฝั่งปรากฏร่างของชายหนุ่มนั่งอยู่บนขอนไม้ สีหน้าเหม่อลอยไปยังท้องน้ำ ด้านซ้ายมีสถูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดสูงสองวาครึ่งปลูกตั้งอยู่ เสียดปลายแหลมขึ้นไปถึงระดับยอดหมู่ไม้ ตัวสถูปเพิ่งผ่านการเช็ดถูทำความสะอาด หญ้าและวัชพืชโดยรอบถูกถางเก็บกวาดจนเป็นพื้นลานโล่ง เครื่องมือขุดถางและเศษผ้ายังวางอยู่ข้างตัวชายหนุ่ม
เจ้าทิพลุกจากขอนไม้ หยิบดอกไม้ ธูปเทียนและชุดไฟที่เตรียมมาไปยังด้านหน้าของสถูปซึ่งหันสู่ลำน้ำ เมื่อจุดธูปเทียนพร้อมวางดอกไม้ถวายแล้วจึงพนมมือภาวนาคำบูชาคุณพระพุทธเจ้าและคุณพระมารดา จากนั้นเอื้อนวาจาบอกกล่าวต่อดวงพระวิญญาณของพระสนมจันทรา...
“ข้าแต่ท่านแม่ ลูกเกิดมาใต้ฤกษ์ยามอัปมงคล จนทำให้ชีวิตของท่านแม่พลอยสิ้นไปด้วย... พรุ่งนี้คือวันประลองอาวุธคัดเลือกขุนพลนักษัตรของเมืองเรา ลูกเพียงหวังได้มีโอกาสทำคุณให้แผ่นดิน ลบล้างความผิดที่ติดตัวมาแต่กำเนิด หากแม้ต้องบาดเจ็บหรือตายไป ลูกก็ยินดี... ที่จะได้พบเจอท่านแม่ในสัมปรายภพ” กล่าวพลางมีน้ำไหลคลอออกจากดวงตา เพียงอึดใจเดียวก็ถูกหลังมือปาดแห้งไป กัดฟันก้มหน้านิ่ง...
เจ้าทิพนั่งเฝ้าอยู่หน้าสถูปจนใกล้ค่ำ แสงสว่างรำไรใกล้หมดสิ้น ได้ยินเสียงเรียกของคนพายเรือร้องดังมาแต่ไกล จึงไหว้ลาสถูปของพระมารดา เก็บข้าวของเครื่องมือแล้วเดินลงจากเนินลานสถูปซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำสักสองช่วงตัวคนมายังริมขอบตลิ่งด้านล่างที่เรือมาเทียบรออยู่
“เป็นอย่างไรบ้างละพ่อ เรียบร้อยดีไหม”
เสียงลุงทาถามขึ้นทันทีที่เจ้าทิพก้าวขึ้นมาบนเรือของแก ลุงทาเป็นชาวบ้านซึ่งทำไร่และเรือกสวนอยู่ริมแม่น้ำด้านทิศตะวันออก ฝั่งตรงข้ามที่ตั้งสถูป ความที่เป็นคนบ้านนอกไม่ได้สุงสิงกับใครจิตใจจึงไม่ใคร่เหมือนคนในตัวเมือง ความชังในตัวเจ้าทิพแทบไม่เคยปรากฏออกมาเลย ชายหนุ่มให้เงินลุงทาเป็นค่าใช้สอยดูแลรักษาความเรียบร้อยขององค์สถูปและบริเวณโดยรอบ ทั้งคอยจัดหาดอกไม้มาไหว้องค์สถูปทุกวันขึ้น ๑ ค่ำของทุกเดือน ซึ่งเป็นวันสิ้นพระชนม์ของพระสนมจันทรา
เงินที่เจ้าทิพมอบให้ลุงทามาจากเงินเบี้ยหลวงประจำปี ถ้าถือตามศักดิ์เจ้าทิพควรได้เงินในอัตราลูกหลวง แต่เพราะพระเจ้าปตานีไม่โปรดจึงได้รับเสมอเพียงหลานหลวงเป็นจำนวนไม่มากไว้เลี้ยงตัว เงินนี้แม้เป็นชายเติบใหญ่ขึ้น มีศักดินากินบ้านกินแขวงหรือมีรายได้จากรับราชการ หรือเมื่ออายุพ้น ๒๐ ปีจึงโปรดให้งด ถ้าเป็นหญิงแม้ออกเรือนหรือมีผู้เลี้ยงดูจึงให้งด เมื่อเปรียบกับองค์ชายอัศวเมฆที่บัดนี้ได้บรรดาศักดิ์ใหญ่โตโปรดให้รับจังกอบอากร (ภาษี) ของสินค้าผ่านด่านไทรบุรีทั้งหมด นับว่าเปรียบเมล็ดข้าวบนฝ่ามือกับเมล็ดข้าวในยุ้งฉางเลยทีเดียว
“ลุงให้หญ้าให้น้ำม้ากินแล้วหรือยัง” เจ้าทิพไม่ตอบคำ แต่ถามกลับเรื่องม้าของตนที่ฝากไว้กับลุงทา
“โอ้ย ลุงทั้งอาบน้ำแปรงขนและเอาหญ้าเอาน้ำให้กินจนอิ่มไปแล้ว” ลุงแกตอบด้วยอารมณ์ดี ไม่ได้ถือสาที่เจ้าทิพไม่ได้ตอบคำถามแก ด้วยรู้นิสัยชายหนุ่มที่ชอบเก็บตัว หลบผู้คน
--------------------------------------------------
เมื่อเจ้าทิพกลับมาถึงเรือนพักของตนก็เป็นเวลามืดค่ำใกล้สิ้นยามหนึ่ง ยังไม่ทันได้ขึ้นเรือนก็สังเกตเห็นแสงไฟส่องสว่างอยู่ บนเรือนนอกชานมีพระคลังเจ้าท่าเมืองนครฯ นั่งเด่น ครั้นเห็นตนก็รีบลุกขึ้นมารอที่หัวบันได
“ท่านอากลับมาพักที่เรือนหลังนี้แล้วหรือ” เจ้าทิพกล่าวถามขณะก้าวขึ้นบนเรือนมา
“ไม่ใช่หรอก เดี๋ยวก็จะกลับไปพักที่เรือนข้างตำหนักหลวง จะมาพาเจ้าไปเฝ้าพระธิดาตามที่พระองค์มีรับสั่ง”
ตำหนักหลวงที่ท่านพระคลังเจ้าท่ากล่าวถึงก็คือพระตำหนักที่พระเจ้าศรีมหาราชและพระราชธิดาประทับอยู่
“รับสั่งให้หาตัวข้าพเจ้าด้วยเรื่องอันใดหรือท่านอา”
“เจ้าก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าเพราะเรื่องอะไร รีบไปกันเถิด เข้าเฝ้าดึกไปจะไม่งาม” ท่านเจ้ากรมไม่รอให้เจ้าทิพกล่าวกระไรอีก ก็เดินนำลงบันได เจ้าทิพจึงมีแต่ต้องเดินตามลงไป
ระหว่างทางท่านเจ้ากรมไม่ได้ซักถามว่าชายหนุ่มไปไหนหรือเรื่องอันใดเลย คล้ายเกรงว่าการสนทนาจะทำให้การเดินทางไปเฝ้าพระราชธิดาล่าช้า หรืออาจเกรงว่าชายหนุ่มจะหาเรื่องบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตามไป ฝ่ายเจ้าทิพเองในหัวมีความคิดหลากหลายเรื่องประดังมา หาได้สนใจรับรู้สิ่งใดไม่ จึงเห็นคนทั้งสองเดินตามกันไป คนหนึ่งตามองเขม็งไปเบื้องหน้า อีกคนเดินก้มหน้าตามหลังอยู่หนึ่งก้าว นอกจากเสียงฝีเท้าแล้วไม่มีเสียงอื่นใดอีก จนล่วงมาถึงตำหนักหลวง
บนพระตำหนัก พระราชธิดาประทับอยู่บนพระแท่นใหญ่รายล้อมด้วยเหล่านางข้าหลวง ทันทีที่ทอดพระเนตรเห็นพระคลังเจ้าท่านำเจ้าทิพขึ้นมาเฝ้า พระพักตร์ซึ่งหม่นหมองโทมนัสก็กลับปิติโดยพลัน
“ขอบใจท่านเจ้ากรมเป็นอย่างมากที่เป็นธุระพาตัวเจ้าทิพมาเฝ้าเรา นี่ก็มืดค่ำเรารบกวนท่านเจ้ากรมมากไปแล้ว” พระนางตรัสขอบพระทัยและเป็นนัยขอรับสั่งธุระเฉพาะกับเจ้าทิพ
“เป็นเรื่องเล็กน้อยพระเจ้าค่ะ ขอเพียงพระองค์มีรับสั่งมาเกล้ากระหม่อมยินดีถวายงานด้วยความเต็มใจ... บัดนี้เรื่องก็เรียบร้อยแล้ว เกล้ากระหม่อมขอกราบทูลลาเลย พระเจ้าค่ะ” เจ้ากรมทำความเคารพแล้วก็ลุกขึ้นจากตั่งที่นั่ง กลับไปยังเรือนพำนักของบรรดาอำมาตย์ซึ่งอยู่ถัดไป
องค์หญิงวิสาณีประทับนิ่งไม่รับสั่งกระไร ทอดพระเนตรมายังเจ้าทิพแล้วเบือนพระพักตร์หนี ส่วนเจ้าทิพที่นั่งราบอยู่บนพื้นก็ได้แต่ก้มหน้านิ่งอยู่ สุดท้ายพระนางทรงอดรนทนไม่ไหว รับสั่งขึ้น
“นี่ท่านจะไม่อธิบายหน่อยหรือ ว่ากำลังคิดจะทำสิ่งใดอยู่”
“ทรงหมายถึงเรื่องที่เกล้ากระหม่อมเข้าร่วมพิธีประลองหรือพระเจ้าค่ะ”
“ก็ใช่นะสิ.. นี่ท่านคิดอะไรอยู่กันแน่ จะพาตัวเข้าไปหาความตายเพื่อประชดพระบิดาของท่าน.. หรือต้องการเรียกร้องความสนใจจากใครอยู่” พระนางตรัสด้วยพระอารมณ์ขุ่นมัว ครั้นเห็นเจ้าทิพนั่งนิ่ง ก็ยิ่งกริ้วเข้าไปอีกจนอดตรัสเป็นเชิงหยันไม่ได้ว่า
“ท่านคิดว่าจะมีใครมาสนใจท่านหรือ ต่อให้ท่านตายไปคนทั้งเมืองอาจจะดีใจก็ได้ จะได้หมดสิ่งอัปมงคลไป”
“คงเป็นดั่งเช่นพระองค์รับสั่ง หากเกล้ากระหม่อมตายไปคงมีแต่คนยินดี ถ้ากระนั้นแล้วเรื่องที่เกล้ากระหม่อมเข้าร่วมประลองอาวุธคงจะไม่เป็นโทษแก่ผู้ใด หากเป็นเรื่องน่ายินดีถ่ายเดียว”
พระองค์หญิงทรงระลึกได้ว่ารับสั่งผิดไป ครั้นจะให้รับสั่งออดอ้อนใดๆ ก็กริ่งเกรงนางข้าหลวงที่หมอบเฝ้ารับใช้อยู่จะเอาไปพูดให้เสื่อมพระเกียรติยศ จึงรับสั่งไปกลางๆ ว่า
“คนเมืองปตานีไม่ห่วงใยท่าน แล้วคนเมืองนครฯ ซึ่งดูแลจนท่านเติบใหญ่ล่ะ... ท่านอาเซียงจือกงของท่านก็อีกคน... ท่านจะไม่สนใจว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นห่วงท่านมากแค่ไหนเลยหรือ ท่านจะทำอะไรก็ควรคิดถึงพวกเขาบ้าง ไม่ใช่หุนหันทำอะไรโดยไม่คิดถึงตัวเอง... ไม่คิดถึงคนที่รักท่าน”
เจ้าทิพก้มหน้านิ่ง ไม่กล่าวตอบโต้ พระธิดาจึงตรัสว่า
“เราขอร้องท่าน... ไม่ว่าอย่างไรพรุ่งนี้ท่านอย่าได้เข้าร่วมประลองอาวุธเป็นอันขาด ท่านไปแจ้งถอนตัวต่อท่านขุนพลสิงหลเถอะ”
เจ้าทิพยังนั่งนิ่ง คล้ายไม่ยอมสนองพระประสงค์ของพระราชธิดา จนพระนางตรัสซ้ำ
“อย่างน้อย เราขอให้ท่านทำเพื่อเรา”
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๗ ความตั้งใจของเจ้าทิพ
---------------------------------------
บทที่ ๗ ความตั้งใจของเจ้าทิพ
---------------------------------------
ช่วงเย็นหลังพิธีต้อนรับพระเจ้าศรีมหาราช องค์หญิงวิสาณีได้เสด็จกลับมายังพระตำหนักรับรอง ในขณะที่พระราชบิดาของพระนางเสด็จไปชมคลังสินค้าของเมืองปตานีพร้อมด้วยพระเจ้าฤทธิเทวา ก่อนจะทรงแยกกันพระนางได้กราบทูลเรื่องเจ้าทิพถูกองค์ชายอัศวเมฆทำร้ายบาดเจ็บ ซึ่งพระเจ้าเมืองนครฯ มีพระราชวินิจฉัยว่า...
ในเมื่อเจ้าทิพเข้าร่วมประลองขุนพลฉลูนักษัตร เท่ากับเป็นการยืนยันความเป็นคนในปกครองของราชสำนักปตานี การจะถูกทุบตีด้วยเจ้านายในราชสำนักอีกทั้งกระทำในเมืองปตานี เราจะไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้...
พระราชดำรัสดังกล่าวยิ่งทำให้พระนางทรงหวั่นพระทัยถึงเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้นในการประลองขุนพลฉลูนักษัตร
บัดนี้องค์หญิงวิสาณีประทับอยู่บนพระตำหนัก ทรงคอยสอดส่ายสายพระเนตรมายังด้านล่างด้วยพระอาการกระวนกระวาย สักครู่จึงปรากฏร่างหญิงสาวสองคนเดินคล่องแคล่วว่องไวขึ้นพระตำหนักมา คนหนึ่งเป็นข้าหลวงของพระนางชื่อว่าราตรี ส่วนอีกคนเป็นบ่าวคนสนิทของนางสุชีราซึ่งมาคอยช่วยติดต่อประสานงานให้กับคณะของพระราชธิดา
“เป็นอย่างไรบ้าง พบตัวเจ้าทิพหรือยัง” เสียงพระธิดาตรัสถามทันทีด้วยทรงกังวล
“ยังไม่พบตัวเลยเพคะ หม่อมฉันไปทั้งเรือนพักคณะทูตจากกรุงจีน ทั้งเรือนรับรองที่เจ้าทิพพักอยู่... ลองถามตามร้านค้าต่างๆ ในตลาดก็ไม่มีใครพบเห็นว่าเจ้าทิพไปแห่งไหน” นางข้าหลวงราตรีกราบทูลละล่ำละลักด้วยความเหนื่อยหอบที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับมา
“แล้ว นี่เขาไปไหนกันนะ” พระนางทรงรำพึงด้วยร้อนพระทัย
“หม่อมฉันถามที่บ้านท่านทูตจีน เห็นคนล่ามบอกว่าท่านทูตใหญ่ก็กำลังตามหาเจ้าทิพอยู่เหมือนกัน เห็นว่าตกใจเรื่องเจ้าทิพจะเข้าร่วมประลองอาวุธเพคะ” นางข้าหลวงยังคงเรียกคณะของเซียงจือกงว่าเป็นทูต ตามความเข้าใจของนาง
“นี่เขาเจตนาจะหลบหน้าไปเฉยๆ หรือ...” ทรงเบือนพระพักตร์พร้อมรับสั่งถามไปทางบ่าวชาวเมืองปตานีบ้าง “แล้วเจ้าล่ะ พอจะรู้ไหมว่าปกติเจ้าทิพมักไปอยู่แห่งใด”
บ่าวที่ดูคล่องแคล่วจนนางสุชีราไว้ใจส่งให้มารับใช้คณะของพระราชธิดากลับต้องอ้ำอึ้งในพระดำรัสถามถึงเจ้าทิพ
“เรื่องนี้.. คือ... เกล้ากระหม่อมฉันอาจต้องขอพระราชทานอภัยด้วยเพคะ... คือเจ้าทิพไม่ค่อยได้มาอยู่ปตานี มาครั้งนึงก็เพียง ๗ วัน ๑๐ วัน มักเก็บตัวไม่ค่อยไปไหนหรือสุงสิงกับใคร นอกจากไปพักกับท่านเซียงจือกงแล้วก็อยู่แต่ที่พักเพคะ”
องค์หญิงทรงสดับฟังแล้วยิ่งว้าวุ่นพระทัย พลันทรงทบทวนถึงวันที่เสด็จชมเมืองเก่าพร้อมเจ้าทิพ แม้ชายคนรักจะสามารถบอกเล่าเรื่องราวของสถานที่ได้บ้าง แต่ทรงสังเกตได้ชัดว่าไม่มีความคุ้นเคยกับสถานที่ใดเลย เหมือนคนรู้เรื่องของสถานที่จากคำบอกเล่าและเพิ่งจะได้เห็นเป็นครั้งแรก ร้านรวงต่างๆ ในตลาดก็ไม่คุ้นเคย ทรงนึกไปถึงคำพูดคำจาของผู้คนในตลาดที่แสดงอาการรังเกียจชายหนุ่มทั้งที่ไม่ได้รู้จักตัวตน เพียงได้ยินนามเจ้าทิพก็รู้สึกเป็นอัปมงคลแล้ว
“มิน่า เขาถึงไม่เคยออกไปไหนเลย” พระองค์หญิงทรงรำพึงอยู่ในพระทัย รู้สึกเจ็บแปลบพระทรวงขึ้นมาทันที ภาพของชายคนรักถูกองค์ชายอัศวเมฆทรงทำร้ายที่วัดกลางเมืองเก่าผุดขึ้นมา พร้อมทรงหวนรำลึกได้ว่า... ทุกครั้งที่เจ้าทิพเดินทางมาปตานี พอกลับไปจะต้องมีบาดแผลตามแขนขาหรือลำตัวแทบทุกครั้ง โดยบอกว่าเป็นอุบัติเหตุ
“นี่เขาโดนทำร้ายทุกครั้งที่กลับเมืองมาหรือ...” พระทัยของพระนางแทบจะสลายเมื่อทรงนึกถึงความขมขื่นที่ชายคนรักได้รับ “แล้วเขายังจะกลับมาปตานีเพื่ออะไร...”
ในห้วงคำนึง พลันทรงระลึกได้...
“สถูปพระสนมจันทรา” ทรงอุทานขึ้นในบัดดล “เจ้าทิพกลับมาปตานี เพราะมาทำบุญให้พระมารดา...ใช่แล้ว ถ้าไม่อยู่ที่พักเขาต้องอยู่ที่สถูปของพระนาง”
ทันทีที่พระราชธิดาทรงชายพระเนตรเป็นเชิงขอความเห็น บ่าวชาวเมืองปตานีรีบกราบทูลขึ้นว่า
“เห็นจะเป็นไปได้เพคะ เคยได้ยินมาว่าเจ้าทิพมักจะแวะเวียนไปทำความสะอาดตกแต่งสถูปของพระมารดา บางครั้งก็มาเบิกเครื่องมือจากกองช่างหลวงไป นอกจากที่นี่คงไม่มีที่อื่นแล้วเพคะ... จากที่นี่ไป แม้ระยะทางเพียงม้าวิ่งครึ่งชั่วยามแต่ต้องหาเรือข้ามฝากไปยังฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปตานี... ถ้าอย่างไรเกล้ากระหม่อมฉันจะจัดให้คนเดินทางไปที่สถูปของพระสนมจันทรา กว่าจะไปถึงคงจะใกล้ค่ำ หรือบางทีอาจจะพบเจอเจ้าทิพระหว่างที่เดินทางกลับมาก็เป็นได้ เพคะ”
“ขอบใจเจ้าที่เป็นธุระ ไม่ว่าจะมืดค่ำอย่างไร เราต้องเจอตัวเขาให้ได้”
พระองค์หญิงรับสั่งเด็ดเดี่ยว ด้วยทรงมุ่งมั่นจะยับยั้งมิให้เจ้าทิพเข้าประลองอาวุธในวันพรุ่งนี้...
--------------------------------------------------
แม่น้ำปตานีไหลจากทิศใต้ขึ้นทิศเหนือสู่อ่าวปตานี
ริมขอบฝั่งปกคลุมด้วยแมกไม้ยืนต้นเป็นเงาครึ้มไปตลอดลำน้ำ สายลมยามเย็นโชยเอื่อยขึ้นฝั่งกระทบใบไม้แกว่งไกว มิได้มีแรงโยกสั่นถึงกิ่งก้าน
ใต้ไทรต้นใหญ่บนเนินริมฝั่งปรากฏร่างของชายหนุ่มนั่งอยู่บนขอนไม้ สีหน้าเหม่อลอยไปยังท้องน้ำ ด้านซ้ายมีสถูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดสูงสองวาครึ่งปลูกตั้งอยู่ เสียดปลายแหลมขึ้นไปถึงระดับยอดหมู่ไม้ ตัวสถูปเพิ่งผ่านการเช็ดถูทำความสะอาด หญ้าและวัชพืชโดยรอบถูกถางเก็บกวาดจนเป็นพื้นลานโล่ง เครื่องมือขุดถางและเศษผ้ายังวางอยู่ข้างตัวชายหนุ่ม
เจ้าทิพลุกจากขอนไม้ หยิบดอกไม้ ธูปเทียนและชุดไฟที่เตรียมมาไปยังด้านหน้าของสถูปซึ่งหันสู่ลำน้ำ เมื่อจุดธูปเทียนพร้อมวางดอกไม้ถวายแล้วจึงพนมมือภาวนาคำบูชาคุณพระพุทธเจ้าและคุณพระมารดา จากนั้นเอื้อนวาจาบอกกล่าวต่อดวงพระวิญญาณของพระสนมจันทรา...
“ข้าแต่ท่านแม่ ลูกเกิดมาใต้ฤกษ์ยามอัปมงคล จนทำให้ชีวิตของท่านแม่พลอยสิ้นไปด้วย... พรุ่งนี้คือวันประลองอาวุธคัดเลือกขุนพลนักษัตรของเมืองเรา ลูกเพียงหวังได้มีโอกาสทำคุณให้แผ่นดิน ลบล้างความผิดที่ติดตัวมาแต่กำเนิด หากแม้ต้องบาดเจ็บหรือตายไป ลูกก็ยินดี... ที่จะได้พบเจอท่านแม่ในสัมปรายภพ” กล่าวพลางมีน้ำไหลคลอออกจากดวงตา เพียงอึดใจเดียวก็ถูกหลังมือปาดแห้งไป กัดฟันก้มหน้านิ่ง...
เจ้าทิพนั่งเฝ้าอยู่หน้าสถูปจนใกล้ค่ำ แสงสว่างรำไรใกล้หมดสิ้น ได้ยินเสียงเรียกของคนพายเรือร้องดังมาแต่ไกล จึงไหว้ลาสถูปของพระมารดา เก็บข้าวของเครื่องมือแล้วเดินลงจากเนินลานสถูปซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำสักสองช่วงตัวคนมายังริมขอบตลิ่งด้านล่างที่เรือมาเทียบรออยู่
“เป็นอย่างไรบ้างละพ่อ เรียบร้อยดีไหม”
เสียงลุงทาถามขึ้นทันทีที่เจ้าทิพก้าวขึ้นมาบนเรือของแก ลุงทาเป็นชาวบ้านซึ่งทำไร่และเรือกสวนอยู่ริมแม่น้ำด้านทิศตะวันออก ฝั่งตรงข้ามที่ตั้งสถูป ความที่เป็นคนบ้านนอกไม่ได้สุงสิงกับใครจิตใจจึงไม่ใคร่เหมือนคนในตัวเมือง ความชังในตัวเจ้าทิพแทบไม่เคยปรากฏออกมาเลย ชายหนุ่มให้เงินลุงทาเป็นค่าใช้สอยดูแลรักษาความเรียบร้อยขององค์สถูปและบริเวณโดยรอบ ทั้งคอยจัดหาดอกไม้มาไหว้องค์สถูปทุกวันขึ้น ๑ ค่ำของทุกเดือน ซึ่งเป็นวันสิ้นพระชนม์ของพระสนมจันทรา
เงินที่เจ้าทิพมอบให้ลุงทามาจากเงินเบี้ยหลวงประจำปี ถ้าถือตามศักดิ์เจ้าทิพควรได้เงินในอัตราลูกหลวง แต่เพราะพระเจ้าปตานีไม่โปรดจึงได้รับเสมอเพียงหลานหลวงเป็นจำนวนไม่มากไว้เลี้ยงตัว เงินนี้แม้เป็นชายเติบใหญ่ขึ้น มีศักดินากินบ้านกินแขวงหรือมีรายได้จากรับราชการ หรือเมื่ออายุพ้น ๒๐ ปีจึงโปรดให้งด ถ้าเป็นหญิงแม้ออกเรือนหรือมีผู้เลี้ยงดูจึงให้งด เมื่อเปรียบกับองค์ชายอัศวเมฆที่บัดนี้ได้บรรดาศักดิ์ใหญ่โตโปรดให้รับจังกอบอากร (ภาษี) ของสินค้าผ่านด่านไทรบุรีทั้งหมด นับว่าเปรียบเมล็ดข้าวบนฝ่ามือกับเมล็ดข้าวในยุ้งฉางเลยทีเดียว
“ลุงให้หญ้าให้น้ำม้ากินแล้วหรือยัง” เจ้าทิพไม่ตอบคำ แต่ถามกลับเรื่องม้าของตนที่ฝากไว้กับลุงทา
“โอ้ย ลุงทั้งอาบน้ำแปรงขนและเอาหญ้าเอาน้ำให้กินจนอิ่มไปแล้ว” ลุงแกตอบด้วยอารมณ์ดี ไม่ได้ถือสาที่เจ้าทิพไม่ได้ตอบคำถามแก ด้วยรู้นิสัยชายหนุ่มที่ชอบเก็บตัว หลบผู้คน
--------------------------------------------------
เมื่อเจ้าทิพกลับมาถึงเรือนพักของตนก็เป็นเวลามืดค่ำใกล้สิ้นยามหนึ่ง ยังไม่ทันได้ขึ้นเรือนก็สังเกตเห็นแสงไฟส่องสว่างอยู่ บนเรือนนอกชานมีพระคลังเจ้าท่าเมืองนครฯ นั่งเด่น ครั้นเห็นตนก็รีบลุกขึ้นมารอที่หัวบันได
“ท่านอากลับมาพักที่เรือนหลังนี้แล้วหรือ” เจ้าทิพกล่าวถามขณะก้าวขึ้นบนเรือนมา
“ไม่ใช่หรอก เดี๋ยวก็จะกลับไปพักที่เรือนข้างตำหนักหลวง จะมาพาเจ้าไปเฝ้าพระธิดาตามที่พระองค์มีรับสั่ง”
ตำหนักหลวงที่ท่านพระคลังเจ้าท่ากล่าวถึงก็คือพระตำหนักที่พระเจ้าศรีมหาราชและพระราชธิดาประทับอยู่
“รับสั่งให้หาตัวข้าพเจ้าด้วยเรื่องอันใดหรือท่านอา”
“เจ้าก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าเพราะเรื่องอะไร รีบไปกันเถิด เข้าเฝ้าดึกไปจะไม่งาม” ท่านเจ้ากรมไม่รอให้เจ้าทิพกล่าวกระไรอีก ก็เดินนำลงบันได เจ้าทิพจึงมีแต่ต้องเดินตามลงไป
ระหว่างทางท่านเจ้ากรมไม่ได้ซักถามว่าชายหนุ่มไปไหนหรือเรื่องอันใดเลย คล้ายเกรงว่าการสนทนาจะทำให้การเดินทางไปเฝ้าพระราชธิดาล่าช้า หรืออาจเกรงว่าชายหนุ่มจะหาเรื่องบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตามไป ฝ่ายเจ้าทิพเองในหัวมีความคิดหลากหลายเรื่องประดังมา หาได้สนใจรับรู้สิ่งใดไม่ จึงเห็นคนทั้งสองเดินตามกันไป คนหนึ่งตามองเขม็งไปเบื้องหน้า อีกคนเดินก้มหน้าตามหลังอยู่หนึ่งก้าว นอกจากเสียงฝีเท้าแล้วไม่มีเสียงอื่นใดอีก จนล่วงมาถึงตำหนักหลวง
บนพระตำหนัก พระราชธิดาประทับอยู่บนพระแท่นใหญ่รายล้อมด้วยเหล่านางข้าหลวง ทันทีที่ทอดพระเนตรเห็นพระคลังเจ้าท่านำเจ้าทิพขึ้นมาเฝ้า พระพักตร์ซึ่งหม่นหมองโทมนัสก็กลับปิติโดยพลัน
“ขอบใจท่านเจ้ากรมเป็นอย่างมากที่เป็นธุระพาตัวเจ้าทิพมาเฝ้าเรา นี่ก็มืดค่ำเรารบกวนท่านเจ้ากรมมากไปแล้ว” พระนางตรัสขอบพระทัยและเป็นนัยขอรับสั่งธุระเฉพาะกับเจ้าทิพ
“เป็นเรื่องเล็กน้อยพระเจ้าค่ะ ขอเพียงพระองค์มีรับสั่งมาเกล้ากระหม่อมยินดีถวายงานด้วยความเต็มใจ... บัดนี้เรื่องก็เรียบร้อยแล้ว เกล้ากระหม่อมขอกราบทูลลาเลย พระเจ้าค่ะ” เจ้ากรมทำความเคารพแล้วก็ลุกขึ้นจากตั่งที่นั่ง กลับไปยังเรือนพำนักของบรรดาอำมาตย์ซึ่งอยู่ถัดไป
องค์หญิงวิสาณีประทับนิ่งไม่รับสั่งกระไร ทอดพระเนตรมายังเจ้าทิพแล้วเบือนพระพักตร์หนี ส่วนเจ้าทิพที่นั่งราบอยู่บนพื้นก็ได้แต่ก้มหน้านิ่งอยู่ สุดท้ายพระนางทรงอดรนทนไม่ไหว รับสั่งขึ้น
“นี่ท่านจะไม่อธิบายหน่อยหรือ ว่ากำลังคิดจะทำสิ่งใดอยู่”
“ทรงหมายถึงเรื่องที่เกล้ากระหม่อมเข้าร่วมพิธีประลองหรือพระเจ้าค่ะ”
“ก็ใช่นะสิ.. นี่ท่านคิดอะไรอยู่กันแน่ จะพาตัวเข้าไปหาความตายเพื่อประชดพระบิดาของท่าน.. หรือต้องการเรียกร้องความสนใจจากใครอยู่” พระนางตรัสด้วยพระอารมณ์ขุ่นมัว ครั้นเห็นเจ้าทิพนั่งนิ่ง ก็ยิ่งกริ้วเข้าไปอีกจนอดตรัสเป็นเชิงหยันไม่ได้ว่า
“ท่านคิดว่าจะมีใครมาสนใจท่านหรือ ต่อให้ท่านตายไปคนทั้งเมืองอาจจะดีใจก็ได้ จะได้หมดสิ่งอัปมงคลไป”
“คงเป็นดั่งเช่นพระองค์รับสั่ง หากเกล้ากระหม่อมตายไปคงมีแต่คนยินดี ถ้ากระนั้นแล้วเรื่องที่เกล้ากระหม่อมเข้าร่วมประลองอาวุธคงจะไม่เป็นโทษแก่ผู้ใด หากเป็นเรื่องน่ายินดีถ่ายเดียว”
พระองค์หญิงทรงระลึกได้ว่ารับสั่งผิดไป ครั้นจะให้รับสั่งออดอ้อนใดๆ ก็กริ่งเกรงนางข้าหลวงที่หมอบเฝ้ารับใช้อยู่จะเอาไปพูดให้เสื่อมพระเกียรติยศ จึงรับสั่งไปกลางๆ ว่า
“คนเมืองปตานีไม่ห่วงใยท่าน แล้วคนเมืองนครฯ ซึ่งดูแลจนท่านเติบใหญ่ล่ะ... ท่านอาเซียงจือกงของท่านก็อีกคน... ท่านจะไม่สนใจว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นห่วงท่านมากแค่ไหนเลยหรือ ท่านจะทำอะไรก็ควรคิดถึงพวกเขาบ้าง ไม่ใช่หุนหันทำอะไรโดยไม่คิดถึงตัวเอง... ไม่คิดถึงคนที่รักท่าน”
เจ้าทิพก้มหน้านิ่ง ไม่กล่าวตอบโต้ พระธิดาจึงตรัสว่า
“เราขอร้องท่าน... ไม่ว่าอย่างไรพรุ่งนี้ท่านอย่าได้เข้าร่วมประลองอาวุธเป็นอันขาด ท่านไปแจ้งถอนตัวต่อท่านขุนพลสิงหลเถอะ”
เจ้าทิพยังนั่งนิ่ง คล้ายไม่ยอมสนองพระประสงค์ของพระราชธิดา จนพระนางตรัสซ้ำ
“อย่างน้อย เราขอให้ท่านทำเพื่อเรา”
(มีต่อ)