.
--------------------------------------------
บทที่ ๕ เพลงอาวุธของพระมหาเถระ
--------------------------------------------
รุ่งเช้าพระราชธิดาวิสาณีเสด็จพร้อมมหาอำมาตย์วิษณุยันเพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าฤทธิเทวาพระเจ้าผู้ครองเมืองปตานี ณ ท้องพระโรง การเสด็จมาเยือนครั้งนี้เป็นที่ปิติยินดีแก่องค์ราชาและพระมเหสี โปรดให้จัดคณะนำพระราชธิดาชมเมืองเก่าปตานี มีนางสุชีราบุตรสาวขุนพลสิงหลเป็นผู้ดูแล ส่วนการเตรียมรับเสด็จพระเจ้านครศรีธรรมราชโปรดให้มหาอำมาตย์วิษณุยันทบทวนพิธีการกับมหาอำมาตย์วาสุธีต่อเบื้องพระพักตร์
ครั้นพระราชธิดาวิสาณีเสด็จออกจากท้องพระโรงพร้อมนางข้าหลวงแล้ว ทรงพบขบวนนำชมเมืองเก่าอยู่ด้านนอก มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยร่างสูงสมส่วนผู้หนึ่งยืนเด่นรออยู่หน้าขบวน นางแต่งกายประดับยศเทียบเท่าราชนิกูลของวังปตานี
“ขอเดชะ เกล้ากระหม่อมฉัน สุชีราบุตรีท่านขุนพลสิงหล ขอกราบถวายบังคมพระราชธิดาแห่งเมืองนครศรีธรรมราช เพคะ” กราบทูลขณะนั่งลงพนมมือก้มกราบพระองค์หญิงด้วยกิริยางดงาม
พระธิดาทรงรีบสาวพระบาทเข้าไปฉุดรั้งนางขึ้นมา “ท่านอย่าได้กระทำดังนี้ต่อเราเลย ต่อไปวันหนึ่งข้างหน้าเราอาจต้องเป็นฝ่ายกราบไหว้ท่านแล้ว”
“พระองค์ทรงทราบเรื่องการถวายตัวของเกล้ากระหม่อมฉันด้วยหรือเพคะ”
“ท่านมหาอำมาตย์วิษณุยันได้กราบทูลเราแล้ว เราขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“ท่านนั้นมีบุญนัก อยู่ถึงปตานีแต่ได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าให้เป็นพระสนมองค์พระเจ้าเหนือหัวกรุงอโยธยา... กำหนดเดินทางไปถวายตัวเมื่อใดหรือ”
“วันขึ้น ๑๓ ค่ำที่จะถึงเพคะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็อีก ๕ วัน ดีแล้วจะได้อยู่ชมดูพี่ชายของท่านแสดงฝีมือเข้าร่วมคัดเลือกเป็นขุนพลนักษัตรเมืองปตานี”
“เพคะ”
นางสุชีราเป็นบุตรีของขุนพลสิงหลขุนพลใหญ่แห่งเมืองปตานี มีพี่ชายคือสิงขรขุนทหารราชองครักษ์ นางเป็นหญิงสาวสวยและเฉลียวฉลาด ครั้นพระเจ้าฤทธิเทวามีพระราชประสงค์จะผูกพระทัยพระเจ้ากรุงอโยธยา ทรงตระหนักถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าเหนือหัวซึ่งโปรดการรบการทหารจึงได้ขอนางสุชีราจากท่านขุนพลใหญ่เพื่อนำไปถวาย ทั้งท่านขุนพลและตัวนางเองก็มิได้ขัดข้อง จึงโปรดให้แต่งราชทูตไปเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลพร้อมรูปวาดของนาง จะด้วยเพราะสายเลือดขุนทหารใหญ่หรือเพราะรูปโฉมที่งดงามของนางทำให้องค์กษัตริย์อโยธยาโปรดให้รับตัวนางเพื่อแต่งตั้งเป็นพระสนม รอโปรดเกล้าออกพระนามในวันถวายตัว
เรื่องนี้สร้างความปิติแก่พระเจ้าปตานีเป็นล้นพ้นถึงกับโปรดให้ตราธรรมเนียมปฏิบัติต่อนางสุชีราเสมอด้วยราชนิกูลพระองค์หนึ่งของราชวงศ์แห่งนครปตานี
พระองค์หญิงทรงปฏิสันถารด้วยนางสุชีราเป็นที่ถูกพระอัธยาศัย ประทับวอคนละหลังเคียงข้างกันไปจนถึงประตูวังด้านทิศใต้ ด้านข้างประตูเมืองปรากฏร่างเจ้าทิพยืนม้ารออยู่
“เราจะให้เจ้าทิพไปชมเมืองร่วมกับเราด้วย ท่านคงไม่ลำบากใจกระมัง” พระธิดารับสั่งขึ้น
นางสุชีรานิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนกราบทูลตอบว่า
“หามิได้เพคะ.. เกล้ากระหม่อมฉันทราบดีว่าเจ้าทิพอยู่เมืองนครฯ เป็นที่สนิทสนมดุจพระสหายของพระองค์ ได้เขามาร่วมทางย่อมเป็นการดีต่อเกล้ากระหม่อมฉัน ครั้งนี้มิพักต้องกังวลแล้วว่าจะถวายการดูแลไม่เป็นที่สำราญพระทัยเพคะ”
องค์หญิงทรงแย้มพระสรวล ลอบชมเชยความฉลาดในการกราบทูลตอบของบุตรีท่านขุนพลอยู่ในพระทัย
“ดีแล้ว ท่านไม่ต้องเกรงจะถูกตำหนิเรื่องเจ้าทิพ มีสิ่งใดเกิดขึ้นเราจะรับผิดชอบเอง.. เราอนุญาตให้ท่านกล่าวอ้างว่าตัวท่านได้ทัดทานแล้วเพียงแต่เรามิสนใจฟังคำ”
“มิจำเป็นหรอกเพคะ เกล้ากระหม่อมฉันจะเรียนตามความสัตย์ว่าเป็นพระประสงค์ของพระองค์หญิงซึ่งเรื่องนี้เกล้ากระหม่อมฉันไม่สมควรจะทัดทานด้วยประการทั้งปวง” กราบทูลพลางแย้มยิ้มออกมา ทำให้องค์หญิงวิสาณีพลอยทรงพระสรวลไปด้วย ทรงเห็นในความซื่อตรงและน้ำใสใจจริงของเพื่อนผู้นำทางในวันนี้
นางสุชีราสั่งทหารเปิดทางให้เจ้าทิพเดินม้าเข้ามาร่วมขบวนตรงด้านข้างวอประทับของพระราชธิดา นางสังเกตเห็นบุคคลทั้งสองต่างยิ้มและส่งสายตาให้กันอย่างมีความสุขที่สุด
“องค์หญิงบรรทมสนิทดีหรือไม่ พระเจ้าค่ะ” เจ้าทิพกราบทูลถามด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“เรานอนไม่ใคร่สบาย เมื่อคืนมีแมวตัวหนึ่งโจนเข้ามาในห้องเรา พอไล่มันออกไปแล้วกลับทำให้เราว้าวุ่นจนนอนไม่หลับ” พระนางเอ่ยเป็นนัยรู้กันเพียงสองคน
“เพราะเหตุใดหรือพระเจ้าค่ะ”
“แมวตัวนั้นฉลาดปราดเปรียวน่ารัก เราประสงค์ใคร่จะได้เป็นเจ้าของเลี้ยงไว้ แต่พอมันออกจากห้องไปแล้วเรากลับกังวลใจว่าพระบิดาจะโปรดให้เราเลี้ยงดูมันหรือไม่”
“พระองค์ทรงเกรงเช่นนั้นจริงๆ หรือ” เจ้าทิพกราบทูลถาม เสียงคล้ายจะผิดหวัง
“แปลกจังที่มีแมวเข้าไปในพระตำหนักของพระองค์ ปกติเจ้าพนักงานก็กวดขันไม่ให้มีสุนัขหรือแมวไปเพ่นพ่านในเขตพระราชฐาน หรืออาจจะเป็นแมวทรงเลี้ยงจากพระตำหนักใดหลงมาก็ได้เพคะ” นางสุชีรากราบทูลขึ้นด้วยความสงสัย
“คงเป็นแมวในวังที่เจ้าของเขาไม่เลี้ยง เลยกลายเป็นทั้งแมววังและแมวจรจัด” เจ้าทิพอดกล่าวประชดด้วยความน้อยใจไม่ได้ แต่กลับเรียกเสียงหัวเราะจากทั้งสองดรุณี
“ท่านนี่ช่างน่าขำจริงๆ แมวในวังอะไรจะอนาถาเช่นนั้น” นางสุชีรากล่าวปนขำในคำของชายหนุ่ม หารู้ไม่ว่าเจ้าทิพหาได้สนุกด้วย
“ถ้าแมวตัวนั้นกลับมาอีก ถึงจะกลัวพระบิดาอย่างไรเราก็คงยืนกรานจะเลี้ยงมันให้ได้” พระนางรับสั่งด้วยทรงหยั่งรู้อารมณ์ของเจ้าทิพ “ท่านว่าดีไหม พี่เจ้า”
เจ้าทิพแย้มยิ้มออกมาทันที มิตอบกระไร
“จะให้เกล้ากระหม่อมฉันไปสืบดูไหมเพคะว่าเป็นแมวจากตำหนักใด” นางสุชีรากราบทูลถามด้วยซื่อ
พระองค์หญิงทรงเบือนไปสบตาชายหนุ่มแล้วอดทรงพระสรวลและหัวเราะไปพร้อมกันมิได้...
การเดินทางระหว่างเมืองปตานีใหม่และตัวเมืองเก่าซึ่งอยู่ทางทิศใต้สามารถกระทำได้ทั้งทางน้ำและทางบก มีคลองขุดถึงสองคลองเชื่อมโยงคูรอบกำแพงเมืองใหม่เข้าสู่คูด้านหน้าของกำแพงเมืองเก่าและมีถนนเชื่อมระหว่างเมือง เนื่องเพราะต้องการชมบ้านเรือนและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนนางสุชีราจึงนำเสด็จทางถนน
เมื่อออกจากกำแพงวังด้านทิศใต้ข้ามคูเมืองออกมาจะเห็นบ้านเรือนและร้านรวงตลอดรายทาง ชาวเมืองและผู้สัญจรไปมาต่างหยุดนั่งลงข้างทางและเฝ้าแหนชมขบวนเสด็จของพระราชธิดาเมืองนครฯ อย่างตื่นเต้นคึกคัก มีทหารประจำขบวนคอยเดินกันระยะของฝูงชนไว้มิให้เข้าใกล้นัก ได้ยินเสียงชาวเมืองกล่าวชมความงามของสองดรุณีจากสองเมืองกันเซ็งแซ่
ข่าวการเสด็จชมเมืองเก่าแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานยิ่งพบเห็นผู้คนเข้ามาออรายรอบตลอดทางมากขึ้นไป จนบางครั้งนางสุชีราที่คอยกราบทูลบรรยายประวัติย่านร้านค้าและวัดวาอารามที่เสด็จผ่านกระทำได้ไม่ถนัดนักเพราะเสียงฝูงชนที่กล่าวชมสรรเสริญความงดงามของพระราชธิดาดังอื้ออึง
“ช่างงามแท้ เป็นบุญของข้านัก” เสียงหนึ่งดังขึ้น
“ข้าว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นนางคนไหน จะสวยเท่าพระราชธิดาเมืองนครฯ”
ในบรรดาเสียงชื่นชมพระสิริโฉม ยังมีบางเสียงที่ไม่ใคร่น่ารับฟังนัก
“พ่อจ๊ะ หนุ่มคนที่เดินม้าอยู่ข้างๆ นะใคร ช่างดูสง่างามนัก”
“เฮ้ย เอ็งอย่าพูดไป เดี๋ยวจะพลอยติดเสนียดไปด้วย”
“หะ นี่คือเจ้าทิพที่เค้าเล่าลือกันหรือพ่อ”
“ก็ใช่นะสิ สองปีก่อนข้าไปเจอที่ตลาดตะวันตก ตอนนั้นไม่รู้เลยหลงไปพูดคุยด้วย”
“ตายล่ะ แล้วมาอยู่ในขบวนได้อย่างไรนี่”
“จะไปรู้เรอะ เห็นว่าถูกเนรเทศไปอยู่เมืองนครฯ แต่คนที่นั่นเค้าก็ไม่ใคร่รังเกียจ เค้าว่าเจ้าทิพเป็นเสนียดเฉพาะแต่เมืองเกิด”
“ไม่จริงละมังพ่อ เค้าว่าไปอยู่ที่ไหนก็จะทำให้แผ่นดินที่นั่นวิบัติ”
เสียงที่ลอดมากระทบโสต อดทำให้เจ้าทิพแสลงใจไม่ได้ นี่เราไปทำอะไรมานักหรือ จึงได้ก่นสาปและรังเกียจกันถึงปานนี้ คิดแล้วได้แต่ชักม้าตั้งคอมองตรงไปข้างหน้าไม่กล้าสบตาผู้คนที่รายรอบแต่อย่างใด
เดินทางได้สักครึ่งชั่วยามก็ถึงกำแพงเมืองเก่าลักษณะเป็นคันดินสูงและมีคูน้ำเช่นเดียวกับเมืองใหม่ ผิดกันแต่คูน้ำจะขุดเพียงสามด้านทางทิศเหนือ ทิศตะวันออกและทิศใต้ หาได้ขุดล้อมเป็นสภาพเกาะเหมือนเมืองใหม่ อีกทั้งมีป้อมมุมเมืองเพียงสองแห่ง สภาพพื้นที่โดยรอบกำแพงกว้างใหญ่กว่าเมืองใหม่ถึงสี่เท่า เมื่อผ่านเข้าไปภายในกำแพงจึงพบเห็นวัดวาอารามจำนวนมาก
“เมืองเก่านี้มีอายุหลายร้อยปีเพคะ ทำให้มีวัดและสถูปต่างๆ ปลูกสร้างสะสมอยู่มากมาย” นางสุชีราบรรยายสภาพเมืองถวาย
“ได้ยินว่าเหตุที่ย้ายเมืองเพราะถูกพวกชวาบุกเข้ามาโจมตี”
“เพคะ เมื่อก่อนเมืองเก่าเจริญรุ่งเรืองมาก จนเมื่อราว ๘๐ ปีก่อน เหล่าเมืองในแคว้นลังกาสุกะต่างแตกแยกมิรวมเป็นหนึ่ง ทำให้กองทัพชาวชวาบุกมารุกราน ตีได้เมืองปะหัง กลันตัง สายบุรี จนถึงปตานีเมืองเรา... ตอนนั้นเมืองนครฯ ของพระองค์หญิงทรงอำนาจอยู่ทางด้านเหนือ พระเจ้าปตานีจึงได้กราบทูลขอกำลังทหารมาช่วยเหลือจนสามารถขับไล่กองทัพชวาออกไปจากคาบสมุทรได้อย่างสิ้นเชิง แต่ก็ทิ้งสภาพยับเยินไว้ที่เมืองเก่าปตานีอันเป็นสมรภูมิสู้รบ จนพระเจ้าปตานีต้องทรงสร้างเมืองใหม่ขึ้น ณ บริเวณปัจจุบันเพคะ”
หัวข้อสนทนาของสองดรุณีมักเป็นเรื่องประวัติเมืองและประวัติวัดต่างๆ เมื่อมาถึงวัดใหญ่แห่งหนึ่งใกล้สระน้ำขนาดใหญ่ใจกลางเมืองจึงได้หยุดขบวนลงให้พระองค์หญิงได้ทรงกราบไหว้สักการะและทรงพักอิริยาบถ
--------------------------------------------------
“ทำได้ดีมากพระเจ้าค่ะ” เสียงขุนพลสิงหลดังขึ้น ทูลชมเชยองค์ชายอัศวเมฆที่อยู่กลางลานประลองด้านล่าง
สนามซึ่งจัดเตรียมไว้ในพิธีประลองขุนพลนักษัตรบัดนี้ถูกใช้สำหรับการฝึกซ้อมขององค์ชายอัศวเมฆ กลางลานเป็นพื้นที่โล่งกว้างรูปวงกลมล้อมรอบด้วยเชิงเทินที่ปลูกสูงสักสองวามีแผ่นไม้ตีกั้นเป็นผนัง ถัดจากเชิงเทินขึ้นไปโดยรอบเป็นอัฒจันทร์ที่นั่งไล่ลำดับยกสูงเป็นชั้นๆ สำหรับผู้เข้าชมพิธี
“ยิงได้ทั้งหมดเจ็ดป้ายพระเจ้าค่ะ” สิงขรผู้บุตรตะโกนทูลบอกจำนวนป้ายนักษัตรที่แขวนไว้รอบลานประลองซึ่งองค์ชายทรงยิงลูกธนูเข้าไปปักตรึง
“เราปรารถนาจะยิงให้ได้สัก ๑๐ ป้าย แต่ เหอะ... มาพลาดท่าถูกลูกธนูยิงใส่ตัวเสียก่อน”
องค์ชายอัศวเมฆทรงสวมหน้ากากหวายและชุดเกราะมิดชิดสำหรับป้องกันพระองค์รับสั่งขึ้นด้วยขัดพระทัย พร้อมทรงดำเนินตรงเข้าใกล้ขุนพลใหญ่ผู้ยืนอยู่ด้านบนเชิงเทิน
“พระองค์มิต้องทรงกังวลไปหรอก ผู้ที่สามารถใช้ธนูยิงป้ายนักษัตรได้เกินกึ่งหนึ่งนั้นนับว่าหายากนัก” ขุนพลสิงหลทูลปลอบพระทัยองค์ชายผู้ทรงกรุ่นด้วยโทสะ
“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว เราจะฝึกอย่างอื่นต่อ”
ตรัสพลางโบกหัตถ์ไปยังเชิงเทินด้านบนที่มีมือธนู ๑๒ คนรายล้อมอยู่ เป็นสัญญาณให้ออกไป
ในการประลองยิงธนูไปยังป้ายนักษัตรที่แขวนไว้บน ๑๒ เสารอบสนามจะมีมือธนู ๑๒ คนคอยยิงสกัดจากบนเชิงเทินลงมา ถ้าลูกธนูจำนวน ๒๐ ดอกของผู้เข้าประลองถูกใช้จนหมดหรือพลาดท่าถูกลูกธนูสกัดยิงโดนร่างให้ถือเป็นอันยุติและนับจำนวนลูกธนูที่ยิงโดนป้ายนักษัตร ดังนั้นการประลองด่านแรกจึงไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย
“มา.. เราจะฝึกดาบคู่กับสิงขรล่ะ” รับสั่งพลางถอดชุดเกราะเดิมออก สักครู่จึงมีทหารรีบเข้าไปช่วยจัดแจงเปลี่ยนเป็นชุดเกราะหนังอ่อน พร้อมถวายดาบคู่
ฝ่ายสิงขรในชุดเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้วก็เดินอ้อมลงจากเชิงเทินสู่ลานประลองพร้อมดาบคู่ที่เปลือยออกจากฝัก เมื่อมาประจันกันเบื้องล่างจึงทูลว่า
“องค์ชายน่าจะทรงหยุดพักสักครู่ก่อนดีไหม พระเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้อง เรามีลางสังหรณ์ว่าวันนี้จะต้องรีบออกไปไล่ตีเจ้าแมวขโมย” พลางขยับดาบเตรียมพร้อม “มา.. มาเริ่มกันเลย”
องค์ชายทรงจรดดาบคู่รออยู่ เมื่ออีกฝ่ายพร้อมแล้วทรงกราดฟาดดาบขวาเข้าใส่อย่างแรง คล้ายดั่งทรงต้องการระบายโทสะที่อัดอั้น
สิงขรถอยกายเบี่ยงหลบทางซ้าย ดาบในมือพุ่งเข้าใส่ตามหลังวงดาบที่วาดผ่านไป ทั้งเร็วและรุนแรง ครั้นคมดาบไล่ปะทะสันดาบขององค์ชายจึงดีดสะบัดส่งแรงให้เหวี่ยงต่อไป จากนั้นหันเหทิศทางแทงเข้าสู่วงพักตร์ทันที
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๕
--------------------------------------------
บทที่ ๕ เพลงอาวุธของพระมหาเถระ
--------------------------------------------
รุ่งเช้าพระราชธิดาวิสาณีเสด็จพร้อมมหาอำมาตย์วิษณุยันเพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าฤทธิเทวาพระเจ้าผู้ครองเมืองปตานี ณ ท้องพระโรง การเสด็จมาเยือนครั้งนี้เป็นที่ปิติยินดีแก่องค์ราชาและพระมเหสี โปรดให้จัดคณะนำพระราชธิดาชมเมืองเก่าปตานี มีนางสุชีราบุตรสาวขุนพลสิงหลเป็นผู้ดูแล ส่วนการเตรียมรับเสด็จพระเจ้านครศรีธรรมราชโปรดให้มหาอำมาตย์วิษณุยันทบทวนพิธีการกับมหาอำมาตย์วาสุธีต่อเบื้องพระพักตร์
ครั้นพระราชธิดาวิสาณีเสด็จออกจากท้องพระโรงพร้อมนางข้าหลวงแล้ว ทรงพบขบวนนำชมเมืองเก่าอยู่ด้านนอก มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยร่างสูงสมส่วนผู้หนึ่งยืนเด่นรออยู่หน้าขบวน นางแต่งกายประดับยศเทียบเท่าราชนิกูลของวังปตานี
“ขอเดชะ เกล้ากระหม่อมฉัน สุชีราบุตรีท่านขุนพลสิงหล ขอกราบถวายบังคมพระราชธิดาแห่งเมืองนครศรีธรรมราช เพคะ” กราบทูลขณะนั่งลงพนมมือก้มกราบพระองค์หญิงด้วยกิริยางดงาม
พระธิดาทรงรีบสาวพระบาทเข้าไปฉุดรั้งนางขึ้นมา “ท่านอย่าได้กระทำดังนี้ต่อเราเลย ต่อไปวันหนึ่งข้างหน้าเราอาจต้องเป็นฝ่ายกราบไหว้ท่านแล้ว”
“พระองค์ทรงทราบเรื่องการถวายตัวของเกล้ากระหม่อมฉันด้วยหรือเพคะ”
“ท่านมหาอำมาตย์วิษณุยันได้กราบทูลเราแล้ว เราขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“ท่านนั้นมีบุญนัก อยู่ถึงปตานีแต่ได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าให้เป็นพระสนมองค์พระเจ้าเหนือหัวกรุงอโยธยา... กำหนดเดินทางไปถวายตัวเมื่อใดหรือ”
“วันขึ้น ๑๓ ค่ำที่จะถึงเพคะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็อีก ๕ วัน ดีแล้วจะได้อยู่ชมดูพี่ชายของท่านแสดงฝีมือเข้าร่วมคัดเลือกเป็นขุนพลนักษัตรเมืองปตานี”
“เพคะ”
นางสุชีราเป็นบุตรีของขุนพลสิงหลขุนพลใหญ่แห่งเมืองปตานี มีพี่ชายคือสิงขรขุนทหารราชองครักษ์ นางเป็นหญิงสาวสวยและเฉลียวฉลาด ครั้นพระเจ้าฤทธิเทวามีพระราชประสงค์จะผูกพระทัยพระเจ้ากรุงอโยธยา ทรงตระหนักถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าเหนือหัวซึ่งโปรดการรบการทหารจึงได้ขอนางสุชีราจากท่านขุนพลใหญ่เพื่อนำไปถวาย ทั้งท่านขุนพลและตัวนางเองก็มิได้ขัดข้อง จึงโปรดให้แต่งราชทูตไปเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลพร้อมรูปวาดของนาง จะด้วยเพราะสายเลือดขุนทหารใหญ่หรือเพราะรูปโฉมที่งดงามของนางทำให้องค์กษัตริย์อโยธยาโปรดให้รับตัวนางเพื่อแต่งตั้งเป็นพระสนม รอโปรดเกล้าออกพระนามในวันถวายตัว
เรื่องนี้สร้างความปิติแก่พระเจ้าปตานีเป็นล้นพ้นถึงกับโปรดให้ตราธรรมเนียมปฏิบัติต่อนางสุชีราเสมอด้วยราชนิกูลพระองค์หนึ่งของราชวงศ์แห่งนครปตานี
พระองค์หญิงทรงปฏิสันถารด้วยนางสุชีราเป็นที่ถูกพระอัธยาศัย ประทับวอคนละหลังเคียงข้างกันไปจนถึงประตูวังด้านทิศใต้ ด้านข้างประตูเมืองปรากฏร่างเจ้าทิพยืนม้ารออยู่
“เราจะให้เจ้าทิพไปชมเมืองร่วมกับเราด้วย ท่านคงไม่ลำบากใจกระมัง” พระธิดารับสั่งขึ้น
นางสุชีรานิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนกราบทูลตอบว่า
“หามิได้เพคะ.. เกล้ากระหม่อมฉันทราบดีว่าเจ้าทิพอยู่เมืองนครฯ เป็นที่สนิทสนมดุจพระสหายของพระองค์ ได้เขามาร่วมทางย่อมเป็นการดีต่อเกล้ากระหม่อมฉัน ครั้งนี้มิพักต้องกังวลแล้วว่าจะถวายการดูแลไม่เป็นที่สำราญพระทัยเพคะ”
องค์หญิงทรงแย้มพระสรวล ลอบชมเชยความฉลาดในการกราบทูลตอบของบุตรีท่านขุนพลอยู่ในพระทัย
“ดีแล้ว ท่านไม่ต้องเกรงจะถูกตำหนิเรื่องเจ้าทิพ มีสิ่งใดเกิดขึ้นเราจะรับผิดชอบเอง.. เราอนุญาตให้ท่านกล่าวอ้างว่าตัวท่านได้ทัดทานแล้วเพียงแต่เรามิสนใจฟังคำ”
“มิจำเป็นหรอกเพคะ เกล้ากระหม่อมฉันจะเรียนตามความสัตย์ว่าเป็นพระประสงค์ของพระองค์หญิงซึ่งเรื่องนี้เกล้ากระหม่อมฉันไม่สมควรจะทัดทานด้วยประการทั้งปวง” กราบทูลพลางแย้มยิ้มออกมา ทำให้องค์หญิงวิสาณีพลอยทรงพระสรวลไปด้วย ทรงเห็นในความซื่อตรงและน้ำใสใจจริงของเพื่อนผู้นำทางในวันนี้
นางสุชีราสั่งทหารเปิดทางให้เจ้าทิพเดินม้าเข้ามาร่วมขบวนตรงด้านข้างวอประทับของพระราชธิดา นางสังเกตเห็นบุคคลทั้งสองต่างยิ้มและส่งสายตาให้กันอย่างมีความสุขที่สุด
“องค์หญิงบรรทมสนิทดีหรือไม่ พระเจ้าค่ะ” เจ้าทิพกราบทูลถามด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“เรานอนไม่ใคร่สบาย เมื่อคืนมีแมวตัวหนึ่งโจนเข้ามาในห้องเรา พอไล่มันออกไปแล้วกลับทำให้เราว้าวุ่นจนนอนไม่หลับ” พระนางเอ่ยเป็นนัยรู้กันเพียงสองคน
“เพราะเหตุใดหรือพระเจ้าค่ะ”
“แมวตัวนั้นฉลาดปราดเปรียวน่ารัก เราประสงค์ใคร่จะได้เป็นเจ้าของเลี้ยงไว้ แต่พอมันออกจากห้องไปแล้วเรากลับกังวลใจว่าพระบิดาจะโปรดให้เราเลี้ยงดูมันหรือไม่”
“พระองค์ทรงเกรงเช่นนั้นจริงๆ หรือ” เจ้าทิพกราบทูลถาม เสียงคล้ายจะผิดหวัง
“แปลกจังที่มีแมวเข้าไปในพระตำหนักของพระองค์ ปกติเจ้าพนักงานก็กวดขันไม่ให้มีสุนัขหรือแมวไปเพ่นพ่านในเขตพระราชฐาน หรืออาจจะเป็นแมวทรงเลี้ยงจากพระตำหนักใดหลงมาก็ได้เพคะ” นางสุชีรากราบทูลขึ้นด้วยความสงสัย
“คงเป็นแมวในวังที่เจ้าของเขาไม่เลี้ยง เลยกลายเป็นทั้งแมววังและแมวจรจัด” เจ้าทิพอดกล่าวประชดด้วยความน้อยใจไม่ได้ แต่กลับเรียกเสียงหัวเราะจากทั้งสองดรุณี
“ท่านนี่ช่างน่าขำจริงๆ แมวในวังอะไรจะอนาถาเช่นนั้น” นางสุชีรากล่าวปนขำในคำของชายหนุ่ม หารู้ไม่ว่าเจ้าทิพหาได้สนุกด้วย
“ถ้าแมวตัวนั้นกลับมาอีก ถึงจะกลัวพระบิดาอย่างไรเราก็คงยืนกรานจะเลี้ยงมันให้ได้” พระนางรับสั่งด้วยทรงหยั่งรู้อารมณ์ของเจ้าทิพ “ท่านว่าดีไหม พี่เจ้า”
เจ้าทิพแย้มยิ้มออกมาทันที มิตอบกระไร
“จะให้เกล้ากระหม่อมฉันไปสืบดูไหมเพคะว่าเป็นแมวจากตำหนักใด” นางสุชีรากราบทูลถามด้วยซื่อ
พระองค์หญิงทรงเบือนไปสบตาชายหนุ่มแล้วอดทรงพระสรวลและหัวเราะไปพร้อมกันมิได้...
การเดินทางระหว่างเมืองปตานีใหม่และตัวเมืองเก่าซึ่งอยู่ทางทิศใต้สามารถกระทำได้ทั้งทางน้ำและทางบก มีคลองขุดถึงสองคลองเชื่อมโยงคูรอบกำแพงเมืองใหม่เข้าสู่คูด้านหน้าของกำแพงเมืองเก่าและมีถนนเชื่อมระหว่างเมือง เนื่องเพราะต้องการชมบ้านเรือนและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนนางสุชีราจึงนำเสด็จทางถนน
เมื่อออกจากกำแพงวังด้านทิศใต้ข้ามคูเมืองออกมาจะเห็นบ้านเรือนและร้านรวงตลอดรายทาง ชาวเมืองและผู้สัญจรไปมาต่างหยุดนั่งลงข้างทางและเฝ้าแหนชมขบวนเสด็จของพระราชธิดาเมืองนครฯ อย่างตื่นเต้นคึกคัก มีทหารประจำขบวนคอยเดินกันระยะของฝูงชนไว้มิให้เข้าใกล้นัก ได้ยินเสียงชาวเมืองกล่าวชมความงามของสองดรุณีจากสองเมืองกันเซ็งแซ่
ข่าวการเสด็จชมเมืองเก่าแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานยิ่งพบเห็นผู้คนเข้ามาออรายรอบตลอดทางมากขึ้นไป จนบางครั้งนางสุชีราที่คอยกราบทูลบรรยายประวัติย่านร้านค้าและวัดวาอารามที่เสด็จผ่านกระทำได้ไม่ถนัดนักเพราะเสียงฝูงชนที่กล่าวชมสรรเสริญความงดงามของพระราชธิดาดังอื้ออึง
“ช่างงามแท้ เป็นบุญของข้านัก” เสียงหนึ่งดังขึ้น
“ข้าว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นนางคนไหน จะสวยเท่าพระราชธิดาเมืองนครฯ”
ในบรรดาเสียงชื่นชมพระสิริโฉม ยังมีบางเสียงที่ไม่ใคร่น่ารับฟังนัก
“พ่อจ๊ะ หนุ่มคนที่เดินม้าอยู่ข้างๆ นะใคร ช่างดูสง่างามนัก”
“เฮ้ย เอ็งอย่าพูดไป เดี๋ยวจะพลอยติดเสนียดไปด้วย”
“หะ นี่คือเจ้าทิพที่เค้าเล่าลือกันหรือพ่อ”
“ก็ใช่นะสิ สองปีก่อนข้าไปเจอที่ตลาดตะวันตก ตอนนั้นไม่รู้เลยหลงไปพูดคุยด้วย”
“ตายล่ะ แล้วมาอยู่ในขบวนได้อย่างไรนี่”
“จะไปรู้เรอะ เห็นว่าถูกเนรเทศไปอยู่เมืองนครฯ แต่คนที่นั่นเค้าก็ไม่ใคร่รังเกียจ เค้าว่าเจ้าทิพเป็นเสนียดเฉพาะแต่เมืองเกิด”
“ไม่จริงละมังพ่อ เค้าว่าไปอยู่ที่ไหนก็จะทำให้แผ่นดินที่นั่นวิบัติ”
เสียงที่ลอดมากระทบโสต อดทำให้เจ้าทิพแสลงใจไม่ได้ นี่เราไปทำอะไรมานักหรือ จึงได้ก่นสาปและรังเกียจกันถึงปานนี้ คิดแล้วได้แต่ชักม้าตั้งคอมองตรงไปข้างหน้าไม่กล้าสบตาผู้คนที่รายรอบแต่อย่างใด
เดินทางได้สักครึ่งชั่วยามก็ถึงกำแพงเมืองเก่าลักษณะเป็นคันดินสูงและมีคูน้ำเช่นเดียวกับเมืองใหม่ ผิดกันแต่คูน้ำจะขุดเพียงสามด้านทางทิศเหนือ ทิศตะวันออกและทิศใต้ หาได้ขุดล้อมเป็นสภาพเกาะเหมือนเมืองใหม่ อีกทั้งมีป้อมมุมเมืองเพียงสองแห่ง สภาพพื้นที่โดยรอบกำแพงกว้างใหญ่กว่าเมืองใหม่ถึงสี่เท่า เมื่อผ่านเข้าไปภายในกำแพงจึงพบเห็นวัดวาอารามจำนวนมาก
“เมืองเก่านี้มีอายุหลายร้อยปีเพคะ ทำให้มีวัดและสถูปต่างๆ ปลูกสร้างสะสมอยู่มากมาย” นางสุชีราบรรยายสภาพเมืองถวาย
“ได้ยินว่าเหตุที่ย้ายเมืองเพราะถูกพวกชวาบุกเข้ามาโจมตี”
“เพคะ เมื่อก่อนเมืองเก่าเจริญรุ่งเรืองมาก จนเมื่อราว ๘๐ ปีก่อน เหล่าเมืองในแคว้นลังกาสุกะต่างแตกแยกมิรวมเป็นหนึ่ง ทำให้กองทัพชาวชวาบุกมารุกราน ตีได้เมืองปะหัง กลันตัง สายบุรี จนถึงปตานีเมืองเรา... ตอนนั้นเมืองนครฯ ของพระองค์หญิงทรงอำนาจอยู่ทางด้านเหนือ พระเจ้าปตานีจึงได้กราบทูลขอกำลังทหารมาช่วยเหลือจนสามารถขับไล่กองทัพชวาออกไปจากคาบสมุทรได้อย่างสิ้นเชิง แต่ก็ทิ้งสภาพยับเยินไว้ที่เมืองเก่าปตานีอันเป็นสมรภูมิสู้รบ จนพระเจ้าปตานีต้องทรงสร้างเมืองใหม่ขึ้น ณ บริเวณปัจจุบันเพคะ”
หัวข้อสนทนาของสองดรุณีมักเป็นเรื่องประวัติเมืองและประวัติวัดต่างๆ เมื่อมาถึงวัดใหญ่แห่งหนึ่งใกล้สระน้ำขนาดใหญ่ใจกลางเมืองจึงได้หยุดขบวนลงให้พระองค์หญิงได้ทรงกราบไหว้สักการะและทรงพักอิริยาบถ
--------------------------------------------------
“ทำได้ดีมากพระเจ้าค่ะ” เสียงขุนพลสิงหลดังขึ้น ทูลชมเชยองค์ชายอัศวเมฆที่อยู่กลางลานประลองด้านล่าง
สนามซึ่งจัดเตรียมไว้ในพิธีประลองขุนพลนักษัตรบัดนี้ถูกใช้สำหรับการฝึกซ้อมขององค์ชายอัศวเมฆ กลางลานเป็นพื้นที่โล่งกว้างรูปวงกลมล้อมรอบด้วยเชิงเทินที่ปลูกสูงสักสองวามีแผ่นไม้ตีกั้นเป็นผนัง ถัดจากเชิงเทินขึ้นไปโดยรอบเป็นอัฒจันทร์ที่นั่งไล่ลำดับยกสูงเป็นชั้นๆ สำหรับผู้เข้าชมพิธี
“ยิงได้ทั้งหมดเจ็ดป้ายพระเจ้าค่ะ” สิงขรผู้บุตรตะโกนทูลบอกจำนวนป้ายนักษัตรที่แขวนไว้รอบลานประลองซึ่งองค์ชายทรงยิงลูกธนูเข้าไปปักตรึง
“เราปรารถนาจะยิงให้ได้สัก ๑๐ ป้าย แต่ เหอะ... มาพลาดท่าถูกลูกธนูยิงใส่ตัวเสียก่อน”
องค์ชายอัศวเมฆทรงสวมหน้ากากหวายและชุดเกราะมิดชิดสำหรับป้องกันพระองค์รับสั่งขึ้นด้วยขัดพระทัย พร้อมทรงดำเนินตรงเข้าใกล้ขุนพลใหญ่ผู้ยืนอยู่ด้านบนเชิงเทิน
“พระองค์มิต้องทรงกังวลไปหรอก ผู้ที่สามารถใช้ธนูยิงป้ายนักษัตรได้เกินกึ่งหนึ่งนั้นนับว่าหายากนัก” ขุนพลสิงหลทูลปลอบพระทัยองค์ชายผู้ทรงกรุ่นด้วยโทสะ
“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว เราจะฝึกอย่างอื่นต่อ”
ตรัสพลางโบกหัตถ์ไปยังเชิงเทินด้านบนที่มีมือธนู ๑๒ คนรายล้อมอยู่ เป็นสัญญาณให้ออกไป
ในการประลองยิงธนูไปยังป้ายนักษัตรที่แขวนไว้บน ๑๒ เสารอบสนามจะมีมือธนู ๑๒ คนคอยยิงสกัดจากบนเชิงเทินลงมา ถ้าลูกธนูจำนวน ๒๐ ดอกของผู้เข้าประลองถูกใช้จนหมดหรือพลาดท่าถูกลูกธนูสกัดยิงโดนร่างให้ถือเป็นอันยุติและนับจำนวนลูกธนูที่ยิงโดนป้ายนักษัตร ดังนั้นการประลองด่านแรกจึงไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย
“มา.. เราจะฝึกดาบคู่กับสิงขรล่ะ” รับสั่งพลางถอดชุดเกราะเดิมออก สักครู่จึงมีทหารรีบเข้าไปช่วยจัดแจงเปลี่ยนเป็นชุดเกราะหนังอ่อน พร้อมถวายดาบคู่
ฝ่ายสิงขรในชุดเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้วก็เดินอ้อมลงจากเชิงเทินสู่ลานประลองพร้อมดาบคู่ที่เปลือยออกจากฝัก เมื่อมาประจันกันเบื้องล่างจึงทูลว่า
“องค์ชายน่าจะทรงหยุดพักสักครู่ก่อนดีไหม พระเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้อง เรามีลางสังหรณ์ว่าวันนี้จะต้องรีบออกไปไล่ตีเจ้าแมวขโมย” พลางขยับดาบเตรียมพร้อม “มา.. มาเริ่มกันเลย”
องค์ชายทรงจรดดาบคู่รออยู่ เมื่ออีกฝ่ายพร้อมแล้วทรงกราดฟาดดาบขวาเข้าใส่อย่างแรง คล้ายดั่งทรงต้องการระบายโทสะที่อัดอั้น
สิงขรถอยกายเบี่ยงหลบทางซ้าย ดาบในมือพุ่งเข้าใส่ตามหลังวงดาบที่วาดผ่านไป ทั้งเร็วและรุนแรง ครั้นคมดาบไล่ปะทะสันดาบขององค์ชายจึงดีดสะบัดส่งแรงให้เหวี่ยงต่อไป จากนั้นหันเหทิศทางแทงเข้าสู่วงพักตร์ทันที
(มีต่อ)