ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๔/๒



---------------------------------------
บทที่ ๔ องค์หญิงวิสาณี   (ต่อ)
---------------------------------------

ขึ้น ๗ ค่ำเดือน ๑ ดวงจันทร์ส่องสว่างเพียงครึ่ง กลุ่มดาวแม้ปรากฏเลือนลางแต่บางดวงกลับสุกใสแวววับประดับม่านฟ้า

บนชานเรือนรับรองพระคลังนายท่าแห่งเมืองนครฯ ยามนี้เงียบงันด้วยมีร่างของเจ้าทิพยืนลำพังเพียงผู้เดียว ทุกครั้งที่ชายหนุ่มติดตามท่านขุนนางเมืองนครฯ กลับเมืองปตานีก็ได้ร่วมพักอาศัยอยู่ด้วยกันในเรือนหลังนี้จนเสร็จสิ้นภารกิจ

ด้านล่างเรือนปรากฏเงาตะคุ่มของทหารนายหนึ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา ครั้นหยุดลงเบื้องล่างตรงหน้าชายหนุ่ม จึงได้ยินเสียงกล่าวดังว่า
“เจ้าทิพ... ท่านพระคลังให้มาแจ้งว่าคืนนี้ตัวท่านจะนอนค้างกับท่านมหาอำมาตย์วิษณุยันที่เรือนรับรองของคณะใหญ่ ขอให้ท่านมิต้องเป็นกังวล”
ที่แท้คือทหารอารักขาของพระคลังนายท่า ชายหนุ่มเพียงผงกศีรษะเป็นเชิงรับทราบ  

รอจนทหารนายนั้นย้อนกลับไปแล้ว เจ้าทิพจึงเข้าไปในห้องพัก จัดการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดทหารยืนยามเมืองนครฯ หยิบกล่องผ้าแพรที่ตนได้รับจากเซียงจือกงออกมา พันหุ้มอีกชั้นด้วยผ้ามิดชิดแล้วสอดรัดเข้าไปใต้เสื้อด้านหลัง เจียนผ้าคาดไว้ก่อนดึงเสื้อลงมาคลุม จากนั้นจึงหยิบของสิ่งหนึ่งลักษณะคล้ายดาบพร้อมฝัก ดับไต้ที่ตามไฟไว้แล้วเดินออกจากเรือนพักไปเงียบๆ

จากบริเวณเรือนพักด้านใต้เจ้าทิพเดินลัดเลาะแฝงตัวตามพุ่มไม้หลบทหารเดินยาม อ้อมพระราชฐานชั้นในจนมาถึงด้านทิศเหนือของวังซึ่งเป็นเขตพระตำหนักรับรองปลูกรายรอบบ่อน้ำขนาดใหญ่ เรือนหลังหน้าคือที่พักของมหาอำมาตย์วิษณุยัน มีทหารเมืองนครฯ ห้อมล้อมอารักขาอยู่แน่นหนาไปตลอดถึงพระตำหนักด้านใน เจ้าทิพอ้อมไปหลบหลังเงาพุ่มไม้ใกล้หัวมุมพระตำหนัก ในใจเริ่มสั่นไหวแต่มิใช่เพราะนึกหวาดสิ่งใด หากสะท้านใจที่จะได้เจอพระนางผู้เป็นที่รัก

รออยู่เนิ่นนานจึงได้ยินเสียงกลองตีทุ้มหนักๆ ดังขึ้น เป็นสัญญาณสิ้นยามหนึ่งเริ่มยามสอง (เวลา ๒๑ นาฬิกา) เหล่าทหารต่างเตรียมตัวเปลี่ยนเวรยาม สักครู่จึงมีกองทหารชุดใหม่เดินผ่านมา นายทหารที่เดินนำหัวแถวถือคบไฟส่องทาง เมื่อเดินผ่านจุดที่เจ้าทิพซ่อนกายแถวทหารก็เลี้ยวซ้ายตรงหัวมุมพระตำหนักแล้วเดินขนานไปตามแนวผนัง แสงจากคบไฟหัวแถวหายลับไปทิ้งท้ายแถวที่เคลื่อนตามตกอยู่ในความมืดชั่วขณะ ซึ่งก็เพียงพอให้เจ้าหนุ่มรีบลุกออกจากที่ซ่อนเข้าไปเดินต่อท้ายขบวนอย่างเงียบกริบ

แถวทหารใหม่เดินไปถึงจุดยืนยาม ทหารกลุ่มเดิมซึ่งรอออกเวรจึงสลับออกมาตั้งแถวแล้วนายหมู่จึงรับคบไฟนำเดินออกไป ชายหนุ่มอาศัยจังหวะขณะสับเปลี่ยนผลัดลอบแฝงตัวไปต่ออยู่ท้ายแถวที่ตั้งขึ้นใหม่อีกครั้ง เมื่อแถวทหารออกเวรเดินไปถึงกลางแนวพระตำหนัก เห็นห้องหนึ่งเปิดบานพระบัญชรแต่มิได้ตามไฟ เจ้าทิพรีบปลีกเร้นกายออกจากแถวไปหลบกับเสาเรือนใต้พระตำหนัก

สิ่งที่คล้ายดาบพร้อมฝักพลันถูกรวบดึงด้ามชักออกมา แทนที่จะเป็นตัวดาบกลับกลายเป็นเชือกฟั่นขนาดหนึ่งนิ้วผูกกับท่อนเหล็กสั้นที่ติดตรึงอยู่กับด้ามดาบ ชายหนุ่มหมุนบิดข้อด้ามดาบให้หลุดออก เห็นเป็นหัวตะขอเหล็กซ่อนอยู่ ที่แท้คือเชือกที่ผูกยึดกับตะขอเหล็ก ตัวเชือกซ่อนอยู่ในฝักส่วนตะขอเหล็กหมุนเกลียวซ่อนอยู่ภายในด้าม เจ้าทิพล้วงเศษผ้าชิ้นเล็กจากชายพก (ริมผ้านุ่งที่รวบขึ้นมาเหน็บรอบเอวจนมีลักษณะคล้ายถุงใส่สิ่งของพกพา) ขึ้นมาพันทบตะขอเหล็ก เสร็จแล้วรีบเอาเปลือกด้ามและฝักซุกไว้กับเสาเรือน

เพียงครู่ต่อมา ตัวตะขอก็ถูกตวัดโยนขึ้นไปเกี่ยวขอบพระบัญชรอย่างแม่นยำและแผ่วเบา เศษผ้าที่พันตะขอเหล็กช่วยป้องกันเสียงกระทบ
จังหวะนั้นแถวทหารที่ชายหนุ่มผละออกมาเดินเข้าใกล้จุดยืนยามถัดไป อาศัยแสงคบไฟผู้เดินนำส่องจ้าจนผู้ยืนยามด้านหน้ามิอาจเห็นฉากเบื้องหลังแสงคบไฟได้ถนัด เจ้าทิพบัดนี้ไต่เชือกดึงร่างขึ้นอย่างเร็วล่วงเข้าสู่พระบัญชรไปแล้ว

นี่คือห้องบรรทมขององค์หญิงวิสาณีที่เจ้าทิพลอบสอบได้ความมาขณะขบวนเสด็จเข้าพำนักเมื่อช่วงเย็น...

ในห้องเงียบสงัด เห็นพระวิสูตร (ม่านมุ้ง) โบกไหวตามแรงลมที่พัดเอื่อยเข้ามา เจ้าทิพก้าวย่างไปถึงพระแท่นบรรทมเลิกพระวิสูตรออกแต่ไม่พบผู้ใด ขณะชะงักงันได้กลิ่นพระสุคนธ์ (น้ำหอม) อบร่ำอันคุ้นเคยโชยมาเบาบาง

เมื่อหันหลังกลับเห็นร่างหนึ่งแนบแอบในเงามืดของฝาผนังข้างพระบัญชรที่ตนเพิ่งปีนป่ายเข้ามา แสงจันทร์สลัวพลันส่องต้องมืองามข้างหนึ่งซึ่งยื่นออกมาวางบนขอบพระบัญชร เมื่อร่างนั้นขยับเคลื่อนเข้าหาแสงจันทร์รำไรเผยเห็นเรียวแขนจรดไหล่ เพียงอึดใจที่แสนยาวนานดวงหน้าของหญิงผู้เป็นที่รักก็ปรากฏเด่นชัดต่อสายตา งามประดุจเทพธิดาจากฟากฟ้า

“องค์หญิง...” เจ้าทิพรำพึงเรียกดั่งเพ้อ ครั้นเห็นพระนางแย้มพระสรวลละไมจึงค่อยกุมสติได้ กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นไฟในห้องบรรทมไม่ได้จุดตามไว้... นึกว่าน้องท่านบรรทมหลับไปแล้ว”

“ทำไมหรือ.. ถ้าเรามิได้หลับไปท่านจะไม่เข้ามาหรือ”
“มิใช่เช่นนั้น ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็ต้องมาพบเจรจากับน้องท่านให้ได้”
“ช่างกล้าพูดนะว่าจะพบเรา... ตอนเย็นท่านทำเราน้อยใจ อุตส่าห์มารออยู่ตรงโค้งน้ำแต่พอเราขึ้นฝั่งกลับไม่มีใจกล้าพอจะเข้ามาต้อนรับ” กล่าวพลางทรงพระดำเนินช้าๆ ไปประทับบนพระแท่นบรรทม

ชายหนุ่มย้อนไปเก็บตะขอและเชือกออกจากขอบพระบัญชรก่อนก้าวเข้ามาคุกเข่านั่งราบลงกับพื้นอยู่ข้างพระธิดา
ทั้งสองถูกเลี้ยงดูให้เจริญวัยมาด้วยกันตั้งแต่เยาว์ คำเรียกหาระหว่างกันยามมิมีผู้ใดจึงสนิทสนมไร้ซึ่งสรรพนามตามธรรมเนียมของราชสำนัก

“ข้าพเจ้าเคยบอกน้องท่านก่อนแล้ว เมื่อท่านเข้าเมืองปตานี ท่านคือพระราชธิดาผู้สูงศักดิ์ของนครใหญ่ซึ่งปกครอง ๑๒ รัฐ ทางราชสำนักคงจัดขบวนรับเสด็จและกำหนดเฉพาะผู้ทรงเกียรติยศเข้าเฝ้าต้อนรับท่าน ส่วนข้าพเจ้าหาได้มีศักดิ์ฐานะใดไม่ มิอาจถูกระบุนามอยู่ในขบวนพิธีได้”
“เราก็เคยบอกท่านก่อนแล้ว เรามาเมืองท่านเมื่อใดจะให้ท่านมาต้อนรับเราให้จงได้”

พระนางตรัสย้อน แต่แล้วทรงสังเกตเห็นชายหนุ่มนั่งก้มหน้านิ่งทอดถอนใจจึงรับสั่งปลอบขึ้น
“พี่เจ้า... ท่านอย่าได้กังวลใจเลย เกียรติศักดิ์อยู่ภายในตัวของท่าน ผู้ใดจะมาริดรอนหรือบั่นทอนไม่ได้หรอกนอกเสียจากท่านจะดูแคลนตัวท่านเอง”

ผู้อื่นเรียกขาน “เจ้าทิพ” มีแต่พระองค์หญิงที่ทรงเรียก “พี่เจ้า” คล้ายดั่ง “เจ้า” คือส่วนหนึ่งของชื่อชายหนุ่ม
เจ้าตัวสดับแล้วเงยหน้าขึ้น แม้องค์หญิงจะมีพระชันษาอ่อนกว่าตน แต่มักรับสั่งปลุกปลอบให้กำลังใจตนเสมอมา แม้จะซาบซึ้งในน้ำพระทัยแต่ก็อดสะท้อนใจไม่ได้ รำพึงขึ้นว่า
“เกียรติศักดิ์อยู่ภายใน แต่ยศศักดิ์คือสิ่งเชิดหน้าชูตาให้ผู้คนยกย่อง... ข้าพเจ้าหาได้มีไม่”

“ท่านนี่ ดูช่างกระไร... ทำไมต้องไปมุ่งหวังกับบุคคลอื่น ทำไมต้องหวังให้คนอื่นยกย่องเชิดชูด้วย” ตรัสพลางแสร้งเบือนพระพักตร์หนีไป
ชายหนุ่มจับพระหัตถ์ข้างหนึ่งที่วางอยู่บนพระชานุขึ้นมาแล้วซบหน้าแนบลง กล่าวเบาๆ
“ข้าพเจ้าเกิดมาพร้อมคำสาปและความเกลียดชัง หากไม่ยกตนขึ้นจนผู้คนสรรเสริญ ไหนเลยจะลบล้างคำตำหนิได้.. อย่าว่าแต่น้องท่านเป็นถึงพระราชธิดาของพระเจ้าผู้เป็นใหญ่ตลอดทั้งคาบสมุทร เรา.. ไหนเลยจะ..”

กล่าวได้เพียงเท่านั้น คำ “เราไหนเลยจะคู่ควร” ไม่อาจล่วงออกมาได้...
องค์ขัตติยนารีเองก็คล้ายไม่โปรดจะรับฟังให้บั่นทอนพระหฤทัย ครั้นแล้วรับสั่งเปลี่ยนเรื่องว่า
“พี่เจ้า พรุ่งนี้ทางคณะต้อนรับจะนำเราชมเมืองเก่าปตานี เราอยากให้ท่านไปร่วมชมเมืองกับเราด้วย”

เจ้าทิพนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกราบทูลด้วยน้ำเสียงลำบากใจ
“ข้าพเจ้าไม่ใช่บุคคลที่ชาวเมืองปตานีจะยินดีนัก ให้ร่วมขบวนชมเมืองไปกับท่านเกรงจะไม่เหมาะ”
“ใครว่าไม่เหมาะ.. ท่านลองคิดดู ตัวท่านเกิดที่เมืองปตานีแต่พักอยู่อาศัยนับรวมได้เพียงร้อยกว่าวัน ไม่ถึงปี เวลาที่เหลือของชีวิตท่านอยู่ในเมืองของเรา ในเมื่อเราเดินทางมาปตานีท่านจึงเป็นคนที่สมควรมาต้อนรับเรามากที่สุด... หรือจะมีชาวปตานีคนใดไปอาศัยใบบุญอยู่เมืองนครฯ มากกว่าตัวท่านบ้าง”

เจ้าทิพได้แต่ส่ายหน้า ไม่อยากโต้แย้งกับพระนาง แล้วเอื้อมมือปลดห่อผ้าที่ซ่อนสะพายอยู่ข้างหลังออกมา บรรจงวางลงบนพระเพลา (ตัก)
“ของที่น้องท่านปรารถนา ข้าพเจ้าได้ขอให้ท่านอาจือกงนำมาให้ท่านแล้ว” กล่าวพลางคลี่ผ้าห่อคลุมออก

พระธิดาทรงฉงนในพระทัยจนพระขนงขมวดมุ่น ทอดพระเนตรเห็นในห่อผ้าเป็นกล่องขนาดครึ่งฝ่ามือความยาวหนึ่งศอกบุหุ้มด้วยแพรเนื้อนุ่ม แสงจันทร์กระจ่างฟ้าด้านนอกสาดเข้ามาทางช่องพระบัญชร ปรากฏประกายเลื่อมของดิ้นเงินดิ้นทองเป็นลายพรรณไม้ชูดอกใบ
“งามยิ่งนัก...”
“น้องท่านลองเปิดดูภายในเถิด”

พระองค์หญิงทรงคลำหาสลักแล้วง้างเปิดฝากล่องออก ทรงหยิบผ้าแพรพับที่อยู่ภายในกล่องออกมาคลี่ทอดพระเนตรดูด้วยพระอาการตื่นเต้นเพลิดเพลินพระทัย ผิวผ้าที่ทรงสัมผัสเรียบนุ่มพระหัตถ์ เมื่อทรงยกผืนผ้าขึ้นกางทาบกับแสงที่สาดเข้ามา ลายปักดิ้นเงินดิ้นทองพลันวูบวาบปรากฏเป็นรูปฝูงหงส์นวยนาดชมพฤกษา ลวดลายทั้งหมดเสมือนมีชีวิตจริง

พระนางทรงแย้มพระโอษฐ์ด้วยพระอาการอิ่มเอม รับสั่งละล่ำละลัก “ท่านหาแพรหงส์ชมบุปผามา.. มาให้เราจริงๆ.. พี่ท่าน...” แล้วทรงโน้มพระวรองค์ลงมาซบพระพักตร์กับไหล่เจ้าทิพ พระกรข้างหนึ่งตะกองกอดชายหนุ่มไว้แน่น
“เราเพียงแต่พูดลอยๆ ไปเมื่อปีก่อน พี่ท่านกลับถือเป็นจริงเป็นจังปานนี้หรือ”

“แม้น้องท่านจะรับสั่งเป็นเงื่อนไขให้องค์ชายอัศวเมฆลำบากหทัย แต่ข้าพเจ้าทราบว่าน้องท่านก็ประสงค์จะได้แพรหงส์ชมบุปผา จึงลองพยายามแสวงหาดู”
“ท่านช่างดีต่อเรานัก” พระนางตรัสขึ้นด้วยพระทัยตื้นตันต่อน้ำใจของชายหนุ่ม... ชายผู้ปราศจากยศและสมบัติ แต่พร้อมจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างถวายแด่พระนาง

องค์หญิงวิสาณีทรงยกพระพักตร์ขึ้นจากไหล่ที่ทอดซบ สายพระเนตรแวววาวจับจ้องทั่วใบหน้าของชายหนุ่ม ทรงทาบฝ่าพระหัตถ์ลงบนแก้ม ปลายนิ้วพระหัตถ์สื่อสัมผัสถึงความรักอันลึกซึ้ง ทรงลูบไล้มาถึงริมฝีปากบางของชายหนุ่ม
“เราอยากปฏิบัติต่อท่าน ตามคำที่เคยเอ่ยไว้... ลวดลายของผ้าแพร เรา.. เราถูกใจ...” รับสั่งด้วยพระอาการเขินอาย

“น้องท่านเอ่ยเรื่องอันใด ข้าพเจ้ามิเข้าใจ” เจ้าทิพกล่าวด้วยความงุนงง
“ท่านช่างใช้ไม่ได้เลย อ่านใจเราออกว่าต้องการผ้าแพร แต่เงื่อนไขที่เราบอกกลับจำไม่ได้...”

เจ้าทิพพลันหวนรำลึกถึงครั้งองค์ชายอัศวเมฆเสด็จเมืองนครฯ เมื่อปีก่อน ครั้งหนึ่งองค์ชายทรงพยายามเกี้ยวพาราสีพระนางและหาเรื่องทำร้ายตน ทรงประกาศจะหาสิ่งของที่พระนางทรงประสงค์มาถวายให้ทุกอย่าง พระนางทรงบ่ายเบี่ยงให้ไปหาแพรหงส์ชมบุปผาจากราชสำนักกรุงจีน หากได้ “ลวดลายที่พระนางพอพระทัย” จึงจะทรงผูกสมัครรักใคร่...

เป็นเงื่อนไขที่ยากจะมีผู้ใดกระทำได้ เพราะขึ้นกับ “ความพอพระทัย” ของพระนาง...

เจ้าทิพพลันสะดุ้งขึ้น กล่าวพลุ่งพล่านด้วยหัวใจพองโต
“ตกลง น้องท่าน.. รับน้ำใจรักของข้าพเจ้า...”
องค์หญิงวิสาณีทรงเม้มพระโอษฐ์ พยักพระพักตร์เป็นเชิงตอบรับ สายพระเนตรจับจ้องเจ้าทิพอย่างลึกซึ้ง

ชายหนุ่มพลันรู้สึกโลกนี้ช่างกระจ่างสวยงามกระไร อยากกล่าวขอบคุณทุกสิ่งอย่างซึ่งบันดาลสิ่งดีที่สุดมาให้กับชีวิตตน
“ข้าพเจ้าขอสัญญา.. จะรักและภักดีท่านด้วยชีวิต.. เพียงคนเดียวในชั่วชีวิตนี้”

เจ้าทิพรักมั่นในตัวพระองค์หญิงเสมอมา แม้ทั้งสองจะใกล้ชิดผูกพันกันแต่ชายหนุ่มมิได้มั่นใจในท่าทีของพระนาง ทุกครั้งที่ตนเอ่ยปากขอความรักพระนางไม่ทรงสนองตอบ ปล่อยให้ตนเก้อไปเสียทุกครั้ง

“เราไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะได้แต่งกับท่านหรือไม่ เราไม่คิดอะไรอีกแล้ว.. รู้แต่ใจนี้มีแต่ท่านเท่านั้น” พระนางรับสั่งพลางทรงลุกลงจากพระแท่นบรรทม โผเข้ากอดเจ้าทิพที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องพระพักตร์

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่