.
บทที่ ๔๒ พิธีชุมนุม ๑๒ นักษัตร
เวลาแห่งการรอคอยมักจะยาวนานกว่าปกติ...
เสียงกลองทุ้มหนักดังขึ้นสามครั้ง บอกเวลาสิ้นยามหนึ่งเข้าสู่ยามสอง ได้เวลาเปลี่ยนเวรยามทหารรักษาพระตำหนักที่ประทับ
เจ้าทิพแฝงกายอยู่ในพุ่มไม้ ใช้จิตสื่อสัมพันธ์กับแมลงปีกแข็งต่างๆ ให้ขัดปีกและส่งเสียงดังระงม เมื่อแถวทหารชุดใหม่เดินลัดเลาะเลียบพระตำหนักใกล้เข้ามา เสียงจักจั่นหรีดหริ่งเรไรพลันเบาลง ตามลักษณะธรรมชาติของแมลงเมื่อมีคนกล้ำกรายเข้าใกล้ ยิ่งทำให้บรรดาทหารชะล่าใจเชื่อว่ามิมีผู้ใดหลบซ่อนอยู่ในบริเวณ จึงมิได้ใส่ใจระแวดระวังนัก
สักพักเห็นกระรอกโผล่ออกมาจากแนวไม้แล้วกระโดดเกาะเกี่ยวกิ่งไม้แซงหน้าพวกตนไป ทั้งหมดได้แต่มองตามด้วยความเอ็นดูหารู้ไม่ว่าเจ้าทิพแอบมาเดินต่อท้ายแถวพวกตนแล้ว จนแถวมาถึงริมห้องบรรทมขององค์หญิงวิสาณีชายหนุ่มจึงแฝงกายหลบหายไป
จันทร์ในคืนขึ้น ๕ ค่ำเห็นเป็นเสี้ยว ผืนฟ้าสีเทาส่องกระจ่างด้วยดวงดารา
องค์หญิงวิสาณีทรงยืนอยู่ริมพระบัญชร ทรงชื่นชมแสงดาวระยิบระยับบนฟากฟ้า พลันมีสัตว์เล็กๆ คล้ายหนูกระโดดพุ่งมาเกาะขอบพระบัญชร ทรงตกพระทัยถอยพระวรองค์กลับเข้าไปด้านใน
เจ้าสัตว์ตัวเล็กนั้นคล้ายจ้องมองมายังพระนาง แล้วกระโดดพุ่งลงมา เห็นปลายหางเป็นพู่สะบัดตามร่างที่โผกระโจนผ่านพระวรองค์ขึ้นไปบนพระแท่นบรรทมที่อยู่ด้านในห้อง
“กระรอก” องค์หญิงวิสาณีทรงรำพึงคลายพระทัย สายพระเนตรเพ่งไปยังพระแท่นบรรทมแต่มิทรงเห็นสิ่งใดชัดเจนนัก ด้วยในห้องมิได้ตามไฟไว้
สักครู่จึงเห็นแววตาวาวของกระรอก และเงาตะคุ่มน้อยๆ ของมัน
ทรงสาวพระบาทไปยังพระแท่นบรรทม ทอดพระเนตรกระรอกน้อยในเงาสลัวที่ยกเท้าคู่หน้าขึ้นกวักไหวๆ ทรงใคร่จะเอื้อมพระหัตถ์ไปลูบจับตัวแต่กริ่งเกรงจะโดนกัดและข่วน
พลันสัมผัสหนึ่งเข้ามากระทบท่อนพระกร (ท่อนแขน) ทรงสะดุ้งแล้วรีบหันพระวรองค์กลับไปด้านหลังทันที
เงาตะคุ่มสูงยืนบดบังแสงดาวที่ส่องลอดพระบัญชรเข้ามา
“เป็นข้าพเจ้าเอง องค์หญิง”
เป็นเสียงนุ่มนวลของเจ้าทิพ...
เป็นเสียงที่ทำให้องค์หญิงวิสาณีทรงปิติวูบวาบเข้าไปในดวงหทัย
เป็นเงาร่างที่ทำให้พระองค์ทรงโผเข้าซบและทรงโอบกอดรัดแน่นด้วยพระกรทั้งสอง
“ข้าพเจ้ามาหาท่านแล้ว...” เสียงชายในดวงใจดังขึ้นเบาๆ
“เราต่างหากที่มาหาท่าน... ท่านช่างใจร้ายเหลือเกิน ไม่ไปรับเราที่ท่าพระวัง แม้ยามเย็นยามค่ำ ยามเลี้ยงพระกระยาหารก็ไม่ไปให้เห็นหน้า” ทรงร่ำร้องขึ้นด้วยน้อยพระทัย
“ข้าพเจ้าต้องรีบเร่งฝึกเพลงอาวุธบนหลังม้าและช้าง สัตว์ทั้งสองข้าพเจ้าเพิ่งจะได้มายังมิเคยควบขับพร้อมเพลงทวนเพลงง้าวเลย”
กราบทูลแล้วจึงสูดกลิ่นหอมจากเกศาของพระนางอันเป็นที่รัก คร่ำครวญรำพันต่อว่า
“ข้าพเจ้านี้ปวดใจนัก ใคร่อยากไปพบพักตร์น้องท่าน แต่มิอาจไปได้... หากแม้นไปก็เกรงจะห้ามใจมิไหว เผลอเข้าไปโอบกอดน้องท่านให้สมที่ใจปรารถนา”
องค์หญิงวิสาณีทรงซุกพระพักตร์แนบอกชายคนรัก พระหัตถ์ยึดแขนเจ้าทิพไว้ประหนึ่งเกรงจะสูญเสียชายผู้อยู่ตรงหน้าไป
“ท่านรู้ไหม เราไม่ได้เห็นท่านแต่ได้ยินชื่อท่านตลอดเวลา เรายิ่งเจ็บปวดใจ”
“มีเรื่องอันใดหรือ” เสียงกระซิบถามด้วยความแปลกใจ
“ตั้งแต่ขึ้นจากเรือที่ท่าพระวัง จนถึงท้องพระโรงก็มีแต่เรื่องการประลองสิบสองนักษัตรที่พระบิดารับสั่งถาม ผู้รับเสด็จต่างกราบทูลถึงเรื่องที่พี่ท่านสามารถยิงธนูหยุดคมดาบของแม่ทัพใหญ่ไทรบุรี ช่วยชีวิตท่านขุนพลสิงหลไว้ได้ แม้แต่พระราชาและเจ้าเมืองนักษัตรต่างๆ ก็ตรัสถึงพี่ท่านเช่นกัน ว่าจะเป็นผู้เข้าชิงชัยสองคนสุดท้าย... ท่านเข้าใจหรือไม่ เราไม่ได้พบหน้าพี่ท่านก็ผิดหวังพออยู่แล้ว ยังต้องมาได้ยินผู้คนสนทนาถึงตัวท่านอีก... เหมือนจงใจแกล้งให้ทรมานในดวงใจ” ทรงคร่ำครวญด้วยพระทัยรัก
เจ้าทิพได้ฟังยิ่งรักและเอ็นดูพระองค์หญิง กลิ่นพระวรกายที่หอมจรุงใจทำให้ชายหนุ่มรำพันคำในดวงใจออกมา
“ข้าพเจ้ารักท่านมาก เพียงได้โอบกอดเชยชมท่านก็เป็นบุญของข้าพเจ้ามากแล้ว”
เจ้าทิพบรรจงจุมพิตพระนลาฏ (หน้าผาก) ด้วยความรักทะนุถนอม
สักครู่หนึ่ง องค์หญิงก็ทรงผละออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่มที่เจริญชันษาร่วมกันมา รับสั่งขึ้น
“พอเถอะ เท่านี้ก็เกินงามแล้ว”
เจ้าทิพอาลัยในรสสัมผัสนัก ยังคงเอื้อมมือไปกุมพระหัตถ์อันนุ่มนิ่มของพระนาง
“ถ้าเช่นนั้นขอให้ข้าพเจ้าได้กุมพระหัตถ์แห่งความรักของพระองค์ไว้เถิด”
กราบทูลแล้วพลันเห็นกระรอกบนพระแท่นบรรทมเบื้องพระปฤษฎางค์ จึงเอื้อมมือหนึ่งออก เจ้ากระรอกก็กระโจนขึ้นมาบนมือ
“ท่านชอบหรือไม่” พลางนำกระรอกจากในมือวางลงบนพระหัตถ์
“มีคนบอกเราว่าท่านไปเรียนวิชาบังคับสัตว์ที่สายบุรี..แต่มิสำเร็จวิชา ทั้งยังได้แผลกลับมาอีก... แล้วไฉนท่านจึงสั่งกระรอกนี้ได้”
เจ้าทิพได้แต่ยิ้มมิกล่าวตอบคำ สั่งให้กระรอกไต่ไปที่ข้อพระกร (ข้อมือ) ทำท่าจะกระโจนสู่ช่วงบนพระวรองค์
“อย่านะ”
พระองค์หญิงร้องขึ้น เบี่ยงพระวรองค์หลบออก กระรอกน้อยมิได้พุ่งใส่ กลับเป็นชายหนุ่มที่ฉวยจังหวะถลันเข้าประชิด ทั้งร่างทั้งใบหน้าแนบสนิท
มิมีสิ่งใดเกินงาม เมื่อมีความรัก...
ชายหนุ่มบรรจงจูบไปทั่ววงพักตร์ สอดแขนข้างหนึ่งโอบรัดพระวรองค์ไว้ ไม่นานกระรอกน้อยก็สะบัดตัวลงกับพื้นแล้วจากไป ทิ้งพระนางไว้ในวงแขนของชายคนรัก
ครู่หนึ่งจึงเห็นพระกรสอดรัดรอบกายชายหนุ่มดุจเดียวกัน ทรงปล่อยพระองค์ดังอยู่ในความฝัน... ฝันที่รอคอยสัมผัสแห่งรัก
ดวงพักตร์งามเงยรับความชุ่มชื้นแห่งจุมพิต ทุกสัมผัสคือความรัก ความทะนุถนอมและหัวใจที่มอบให้...
“ท่านจะไม่ยอมพูดยอมจาบ้างเลยหรือ ไปอยู่ป่ากลับมาพาลทำนิสัยเถื่อนต่อเรา”
“มิใช่นิสัยจากป่าหรอก ต่อให้ข้าพเจ้าไปอยู่เมืองไหน กลับมาก็จะกระทำดังนี้ต่อน้องท่านเสมอ” กราบทูลแล้วก็ประทับริมฝีปากบางกับพระปราง (แก้ม) สูดกลิ่นหอมและสัมผัสนวลปรางไปจนถึงข้างพระกรรณ (หู)
พระองค์หญิงทรงหวั่นไหว ผลักชายหนุ่มให้ห่างออกไป
“พอได้แล้ว.. ท่านจะกลั่นแกล้งเราไปถึงไหน”
“เมื่อสามเดือนก่อนน้องท่านหลบซ่อนในเงามืดแกล้งให้เราประหลาดใจ ครั้งนี้ข้าพเจ้าจึงขอแกล้งท่านคืน”
“ปึก” เสียงดังทึบๆ เมื่อพระหัตถ์ข้างหนึ่งทุบลงบนอกของเจ้าทิพ
“ท่านเอาเปรียบเรามากไปแล้ว”
สิ่งที่ยาก..ในห้วงอารมณ์รัก คือการหักห้ามใจ
ไม่นานคู่หนุ่มสาวจึงคลายออกจากอ้อมกอดของกันและกัน
ทั้งสองต่างเจรจาหยอกเย้า เล่าเรื่องราวแลกเปลี่ยนกันฟัง องค์หญิงวิสาณีประทับบนพระแท่นบรรทมโดยมีชายหนุ่มผู้บัดนี้ได้กุมพระทัยทั้งหมดของพระนางนั่งอยู่แทบพระบาทซบหน้าเกยคางกับพระเพลา (ตัก)
จนสิ้นยามสามเจ้าทิพจึงลาจากด้วยอาลัย...
-----------------------------------
ยามเช้า...รอบพระตำหนักชั้นในของพระมเหสีเนรัญวีเต็มไปด้วยโขลนนางในที่ถวายการอารักขาเข้มงวด บรรยากาศระแวดระวัง
ภายในมีเพียงองค์พระมเหสีและองค์ชายผู้บุตร
“ครั้งนี้ท่านแม่ทรงวางแผนไว้ดีนัก แม้มิอาจเอาชีวิตเจ้าเลือดชั่วได้ แต่ก็ทำให้มันบาดเจ็บกลับมาทั้งวิชาก็ร่ำเรียนไม่สำเร็จ... เมื่อค่ำวานที่ท่านแม่รับสั่งห่วงใยถึงตัวมัน ป่านนี้ทุกเมืองคู่แข่งขันคงรับรู้จุดอ่อนของมันหมดสิ้นแล้ว” องค์ชายอัศวเมฆทรงหัวเราะขึ้นหลังกราบทูลพระมารดา
ที่แท้เป็นสิงขรที่รายงานอาการบาดเจ็บของเจ้าทิพต่อองค์ชาย และเป็นพระมเหสีที่รับสั่งถึงอาการบาดเจ็บดังกล่าวเพื่อป่าวประกาศจุดอ่อนของเจ้าทิพท่ามกลางงานเลี้ยงถวายพระกระยาหารต้อนรับพระเจ้านครศรีธรรมราชพร้อมองค์ราชาจาก ๑๒ เมืองนักษัตร
“มันคงยังโง่งม ไม่รู้ตัวว่าแท้จริงแล้ววราตั้งใจให้มันถูกช้างป่าทำร้ายถึงตาย... เสียดายที่วรากระทำพลาด”
“อย่าได้ทรงกังวลเลยท่านแม่... ปล่อยให้มันมาอับอายกลายเป็นเดนคนต่อหน้าชาวเมือง ย่อมดีเสียกว่าให้มันตายลงอย่างเงียบๆ ในป่า”
ครู่หนึ่ง จึงเห็นสิงขรเดินผ่านพระทวารเข้ามาท่าทีระมัดระวัง ด้านหลังติดตามด้วยชายผู้หนึ่ง ทั้งสองทรุดกายเดินเข่าเข้ามาถวายบังคมต่อเบื้องพระพักตร์
“เจ้าหรือคือหมอหลวงที่รักษาอาการบาดเจ็บให้เจ้าทิพตอนนี้”
“พระเจ้าค่ะ ข้าพระองค์ปุญญา เป็นหมอที่ทำการรักษาแผลที่ชายโครงของเจ้าทิพ พระเจ้าค่ะ” หมอหลวงที่ลักษณะศีรษะกลม ผมบาง จมูกและคางเล็ก อายุราว ๔๕ ปีกราบทูล
“สิงขรคงแจ้งท่านแล้วว่าเราประสงค์สิ่งใด”
หมอหลวงปุญญาปรายตาไปมองสิงขรด้วยอาการหวาดๆ ก่อนจะรับพระดำรัส
“พระเจ้าค่ะ.. ข้าพระองค์ยินดีรับสนองพระประสงค์ของพระมเหสี พระเจ้าค่ะ”
“ดีแล้ว เราต้องการให้เจ้าวางยาเจ้าทิพให้ได้รับความเจ็บปวด อย่าได้ขยับกายเคลื่อนไหวได้สะดวก ให้มันพ่ายแพ้อับอายในการประลองคัดเลือกราชาสิบสองนักษัตร”
“ขอเดชะ ข้าพระองค์มีตัวยาชนิดหนึ่ง เมื่อทาลงบนแผลของผู้ใดในช่วงเย็น พอรุ่งเช้าตื่นขึ้นมาเจ้าตัวจะค่อยๆ เริ่มปวดชาเล็กน้อย จนเมื่อได้ผสานกับกลิ่นกำยานของตัวยาอีกชนิดจึงจะเริ่มออกฤทธิ์ ครั้นเจ้าตัวใช้กำลังกายออกไปจะเจ็บปวดแผลแสนสาหัสกระทั่งขยับร่างกายแถบนั้นมิได้...
เจ้าทิพเป็นแผลที่ชายโครงอยู่กลางลำตัว หากต้องตัวยานี้มิเพียงจะหมุนเอนกายมิได้ แม้แต่บ่าไหล่ก็ไม่สามารถบังคับยกแขนหรือหมุนศีรษะได้... ฤทธิ์ยาจะกำเริบอยู่ราวชั่วหนึ่งก้านธูป ซึ่งก็เพียงพอให้ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว พระเจ้าค่ะ”
“ดีมาก” องค์ชายอัศวเมฆรับสั่ง พลางสาวบาทมายังหมอหลวงปุญญา ในหัตถ์มีห่อผ้าขนาดเล็กอยู่ห่อหนึ่ง “เจ้ารับไป หลังจากทุกอย่างสำเร็จตามแผนที่วางไว้ เราจะประทานเงินทองให้มากกว่านี้อีกเท่าตัว”
รับสั่งแล้วทรงหัวเราะ ประทานห่อผ้าให้หมอปุญญา
“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ”
เมื่อพาหมอหลวงหลบออกจากพระตำหนักในแล้ว สิงขรก็กล่าวขึ้นว่า
“เรื่องนี้เจ้าห้ามแพร่งพรายออกไป และต้องกระทำอย่าให้ผู้ใดสงสัยเป็นอันขาด”
“ข้าพอกยารักษาตอนเย็นแต่พิษกำเริบในตอนสายของวันรุ่งขึ้น อีกทั้งฤทธิ์ยาสลายไปในชั่วก้านธูปคงลดความระแวงสงสัยมาถึงตัวข้าแล้ว แต่ท่านเองก็อย่าพลาดในเรื่องรมกำยานพรุ่งนี้เช้าเหมือนกัน...” กล่าวพลางมองไปยังสิงขร ท่าทีที่เคยหวั่นหวาดองครักษ์หนุ่มในตอนแรกค่อยเลือนหายไป “เออ...ว่าแต่ท่านเถอะ ไม่รู้สึกกระไรเลยหรือที่ต้องทำให้เมืองเราพลาดตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรในครั้งนี้”
สิงขรตาลุกโพลง หันมาจ้องหมอปุญญาเขม็ง จนตัวหมอหลวงสะท้านขึ้นอีกครา รีบก้มศีรษะหลบสายตา
องค์รักษ์ประจำองค์ราชบุตรแห่งปตานีมิกล่าวกระไร แต่ก็แค่นเสียงหนักในลำคอด้วยความไม่พอใจ ตนนั้นทั้งริษยาเจ้าทิพแต่ก็รักเมืองปตานียิ่งนัก ครั้งนี้เหตุเพราะตนไปรายงานกราบทูลเรื่องทั้งหมดต่อองค์ชายอัศวเมฆ รวมถึงเรื่องที่บิดาตนเชิญหมอหลวงปุญญามารักษาบาดแผลให้เจ้าทิพ จนทำให้พระมเหสีและองค์ชายทรงวางแผนร้ายขึ้นมา...
สิงขรเคยกราบทูลทักท้วงองค์ชายอัศวเมฆไว้...
“หากเจ้าทิพได้เป็นราชาสิบสองนักษัตร อย่างไรเสียก็ต้องออกจากเมืองรอนแรมไปทั่ว ใยพระองค์ทรงต้องกระทำถึงเพียงนี้”
“พระมารดาและเราไม่ต้องการให้มันได้รับเกียรติยศชื่อเสียงใด เราต้องการให้มันพ่ายแพ้ถูกสักหน้าเนรเทศออกจากดินแดนสิบสองนักษัตร”
นั่นคือประกาศิตที่ทำให้บุตรขุนพลใหญ่ต้องจำนนด้วยความปวดร้าวในหัวใจ...
-----------------------------------
สายแล้ว เหล่าวิหคต่างโผผินบินวนอยู่บนฟ้า ยามมองลงมายังพื้นเบื้องล่างจะเห็นสิ่งปลูกสร้างคล้ายรังนกขนาดใหญ่มหึมา ตั้งอยู่ทางทิศเหนือนอกกำแพงเมืองปตานี
รังนกใหญ่บัดนี้มีผู้คนมากมายเข้าไปนั่งอยู่รวมกันรอบด้าน ทิ้งพื้นลานตรงกลางโล่งไว้ไม่มีผู้คน
ครั้นบินวนเวียนดูอยู่ครู่หนึ่งจึงเห็นขบวนคนเดินเข้ามากลางลาน พร้อมเสียงตีกลองประโคมลั่นจนเหล่านกแตกตื่นบินกระจายห่างหายไป
พิธีชุมนุมสิบสองนักษัตรเริ่มขึ้นแล้ว...
สิ่งก่อสร้างคล้ายรังนกขนาดใหญ่คือสนามจัดพิธีประลองคัดเลือกราชาสิบสองนักษัตรพระองค์ใหม่
ผู้เดินนำแถวกองทหารอยู่กลางสนามคือขุนพลสิงหล และเป็นผู้นำถวายบังคมแด่องค์กษัตริย์ ราชาและเจ้าผู้ครองนครซึ่งกำลังทยอยเสด็จเข้าสู่ปะรำที่ประทับทางด้านทิศเหนือ
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๔๒ พิธีชุมนุม ๑๒ นักษัตร
บทที่ ๔๒ พิธีชุมนุม ๑๒ นักษัตร
เวลาแห่งการรอคอยมักจะยาวนานกว่าปกติ...
เสียงกลองทุ้มหนักดังขึ้นสามครั้ง บอกเวลาสิ้นยามหนึ่งเข้าสู่ยามสอง ได้เวลาเปลี่ยนเวรยามทหารรักษาพระตำหนักที่ประทับ
เจ้าทิพแฝงกายอยู่ในพุ่มไม้ ใช้จิตสื่อสัมพันธ์กับแมลงปีกแข็งต่างๆ ให้ขัดปีกและส่งเสียงดังระงม เมื่อแถวทหารชุดใหม่เดินลัดเลาะเลียบพระตำหนักใกล้เข้ามา เสียงจักจั่นหรีดหริ่งเรไรพลันเบาลง ตามลักษณะธรรมชาติของแมลงเมื่อมีคนกล้ำกรายเข้าใกล้ ยิ่งทำให้บรรดาทหารชะล่าใจเชื่อว่ามิมีผู้ใดหลบซ่อนอยู่ในบริเวณ จึงมิได้ใส่ใจระแวดระวังนัก
สักพักเห็นกระรอกโผล่ออกมาจากแนวไม้แล้วกระโดดเกาะเกี่ยวกิ่งไม้แซงหน้าพวกตนไป ทั้งหมดได้แต่มองตามด้วยความเอ็นดูหารู้ไม่ว่าเจ้าทิพแอบมาเดินต่อท้ายแถวพวกตนแล้ว จนแถวมาถึงริมห้องบรรทมขององค์หญิงวิสาณีชายหนุ่มจึงแฝงกายหลบหายไป
จันทร์ในคืนขึ้น ๕ ค่ำเห็นเป็นเสี้ยว ผืนฟ้าสีเทาส่องกระจ่างด้วยดวงดารา
องค์หญิงวิสาณีทรงยืนอยู่ริมพระบัญชร ทรงชื่นชมแสงดาวระยิบระยับบนฟากฟ้า พลันมีสัตว์เล็กๆ คล้ายหนูกระโดดพุ่งมาเกาะขอบพระบัญชร ทรงตกพระทัยถอยพระวรองค์กลับเข้าไปด้านใน
เจ้าสัตว์ตัวเล็กนั้นคล้ายจ้องมองมายังพระนาง แล้วกระโดดพุ่งลงมา เห็นปลายหางเป็นพู่สะบัดตามร่างที่โผกระโจนผ่านพระวรองค์ขึ้นไปบนพระแท่นบรรทมที่อยู่ด้านในห้อง
“กระรอก” องค์หญิงวิสาณีทรงรำพึงคลายพระทัย สายพระเนตรเพ่งไปยังพระแท่นบรรทมแต่มิทรงเห็นสิ่งใดชัดเจนนัก ด้วยในห้องมิได้ตามไฟไว้
สักครู่จึงเห็นแววตาวาวของกระรอก และเงาตะคุ่มน้อยๆ ของมัน
ทรงสาวพระบาทไปยังพระแท่นบรรทม ทอดพระเนตรกระรอกน้อยในเงาสลัวที่ยกเท้าคู่หน้าขึ้นกวักไหวๆ ทรงใคร่จะเอื้อมพระหัตถ์ไปลูบจับตัวแต่กริ่งเกรงจะโดนกัดและข่วน
พลันสัมผัสหนึ่งเข้ามากระทบท่อนพระกร (ท่อนแขน) ทรงสะดุ้งแล้วรีบหันพระวรองค์กลับไปด้านหลังทันที
เงาตะคุ่มสูงยืนบดบังแสงดาวที่ส่องลอดพระบัญชรเข้ามา
“เป็นข้าพเจ้าเอง องค์หญิง”
เป็นเสียงนุ่มนวลของเจ้าทิพ...
เป็นเสียงที่ทำให้องค์หญิงวิสาณีทรงปิติวูบวาบเข้าไปในดวงหทัย
เป็นเงาร่างที่ทำให้พระองค์ทรงโผเข้าซบและทรงโอบกอดรัดแน่นด้วยพระกรทั้งสอง
“ข้าพเจ้ามาหาท่านแล้ว...” เสียงชายในดวงใจดังขึ้นเบาๆ
“เราต่างหากที่มาหาท่าน... ท่านช่างใจร้ายเหลือเกิน ไม่ไปรับเราที่ท่าพระวัง แม้ยามเย็นยามค่ำ ยามเลี้ยงพระกระยาหารก็ไม่ไปให้เห็นหน้า” ทรงร่ำร้องขึ้นด้วยน้อยพระทัย
“ข้าพเจ้าต้องรีบเร่งฝึกเพลงอาวุธบนหลังม้าและช้าง สัตว์ทั้งสองข้าพเจ้าเพิ่งจะได้มายังมิเคยควบขับพร้อมเพลงทวนเพลงง้าวเลย”
กราบทูลแล้วจึงสูดกลิ่นหอมจากเกศาของพระนางอันเป็นที่รัก คร่ำครวญรำพันต่อว่า
“ข้าพเจ้านี้ปวดใจนัก ใคร่อยากไปพบพักตร์น้องท่าน แต่มิอาจไปได้... หากแม้นไปก็เกรงจะห้ามใจมิไหว เผลอเข้าไปโอบกอดน้องท่านให้สมที่ใจปรารถนา”
องค์หญิงวิสาณีทรงซุกพระพักตร์แนบอกชายคนรัก พระหัตถ์ยึดแขนเจ้าทิพไว้ประหนึ่งเกรงจะสูญเสียชายผู้อยู่ตรงหน้าไป
“ท่านรู้ไหม เราไม่ได้เห็นท่านแต่ได้ยินชื่อท่านตลอดเวลา เรายิ่งเจ็บปวดใจ”
“มีเรื่องอันใดหรือ” เสียงกระซิบถามด้วยความแปลกใจ
“ตั้งแต่ขึ้นจากเรือที่ท่าพระวัง จนถึงท้องพระโรงก็มีแต่เรื่องการประลองสิบสองนักษัตรที่พระบิดารับสั่งถาม ผู้รับเสด็จต่างกราบทูลถึงเรื่องที่พี่ท่านสามารถยิงธนูหยุดคมดาบของแม่ทัพใหญ่ไทรบุรี ช่วยชีวิตท่านขุนพลสิงหลไว้ได้ แม้แต่พระราชาและเจ้าเมืองนักษัตรต่างๆ ก็ตรัสถึงพี่ท่านเช่นกัน ว่าจะเป็นผู้เข้าชิงชัยสองคนสุดท้าย... ท่านเข้าใจหรือไม่ เราไม่ได้พบหน้าพี่ท่านก็ผิดหวังพออยู่แล้ว ยังต้องมาได้ยินผู้คนสนทนาถึงตัวท่านอีก... เหมือนจงใจแกล้งให้ทรมานในดวงใจ” ทรงคร่ำครวญด้วยพระทัยรัก
เจ้าทิพได้ฟังยิ่งรักและเอ็นดูพระองค์หญิง กลิ่นพระวรกายที่หอมจรุงใจทำให้ชายหนุ่มรำพันคำในดวงใจออกมา
“ข้าพเจ้ารักท่านมาก เพียงได้โอบกอดเชยชมท่านก็เป็นบุญของข้าพเจ้ามากแล้ว”
เจ้าทิพบรรจงจุมพิตพระนลาฏ (หน้าผาก) ด้วยความรักทะนุถนอม
สักครู่หนึ่ง องค์หญิงก็ทรงผละออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่มที่เจริญชันษาร่วมกันมา รับสั่งขึ้น
“พอเถอะ เท่านี้ก็เกินงามแล้ว”
เจ้าทิพอาลัยในรสสัมผัสนัก ยังคงเอื้อมมือไปกุมพระหัตถ์อันนุ่มนิ่มของพระนาง
“ถ้าเช่นนั้นขอให้ข้าพเจ้าได้กุมพระหัตถ์แห่งความรักของพระองค์ไว้เถิด”
กราบทูลแล้วพลันเห็นกระรอกบนพระแท่นบรรทมเบื้องพระปฤษฎางค์ จึงเอื้อมมือหนึ่งออก เจ้ากระรอกก็กระโจนขึ้นมาบนมือ
“ท่านชอบหรือไม่” พลางนำกระรอกจากในมือวางลงบนพระหัตถ์
“มีคนบอกเราว่าท่านไปเรียนวิชาบังคับสัตว์ที่สายบุรี..แต่มิสำเร็จวิชา ทั้งยังได้แผลกลับมาอีก... แล้วไฉนท่านจึงสั่งกระรอกนี้ได้”
เจ้าทิพได้แต่ยิ้มมิกล่าวตอบคำ สั่งให้กระรอกไต่ไปที่ข้อพระกร (ข้อมือ) ทำท่าจะกระโจนสู่ช่วงบนพระวรองค์
“อย่านะ”
พระองค์หญิงร้องขึ้น เบี่ยงพระวรองค์หลบออก กระรอกน้อยมิได้พุ่งใส่ กลับเป็นชายหนุ่มที่ฉวยจังหวะถลันเข้าประชิด ทั้งร่างทั้งใบหน้าแนบสนิท
มิมีสิ่งใดเกินงาม เมื่อมีความรัก...
ชายหนุ่มบรรจงจูบไปทั่ววงพักตร์ สอดแขนข้างหนึ่งโอบรัดพระวรองค์ไว้ ไม่นานกระรอกน้อยก็สะบัดตัวลงกับพื้นแล้วจากไป ทิ้งพระนางไว้ในวงแขนของชายคนรัก
ครู่หนึ่งจึงเห็นพระกรสอดรัดรอบกายชายหนุ่มดุจเดียวกัน ทรงปล่อยพระองค์ดังอยู่ในความฝัน... ฝันที่รอคอยสัมผัสแห่งรัก
ดวงพักตร์งามเงยรับความชุ่มชื้นแห่งจุมพิต ทุกสัมผัสคือความรัก ความทะนุถนอมและหัวใจที่มอบให้...
“ท่านจะไม่ยอมพูดยอมจาบ้างเลยหรือ ไปอยู่ป่ากลับมาพาลทำนิสัยเถื่อนต่อเรา”
“มิใช่นิสัยจากป่าหรอก ต่อให้ข้าพเจ้าไปอยู่เมืองไหน กลับมาก็จะกระทำดังนี้ต่อน้องท่านเสมอ” กราบทูลแล้วก็ประทับริมฝีปากบางกับพระปราง (แก้ม) สูดกลิ่นหอมและสัมผัสนวลปรางไปจนถึงข้างพระกรรณ (หู)
พระองค์หญิงทรงหวั่นไหว ผลักชายหนุ่มให้ห่างออกไป
“พอได้แล้ว.. ท่านจะกลั่นแกล้งเราไปถึงไหน”
“เมื่อสามเดือนก่อนน้องท่านหลบซ่อนในเงามืดแกล้งให้เราประหลาดใจ ครั้งนี้ข้าพเจ้าจึงขอแกล้งท่านคืน”
“ปึก” เสียงดังทึบๆ เมื่อพระหัตถ์ข้างหนึ่งทุบลงบนอกของเจ้าทิพ
“ท่านเอาเปรียบเรามากไปแล้ว”
สิ่งที่ยาก..ในห้วงอารมณ์รัก คือการหักห้ามใจ
ไม่นานคู่หนุ่มสาวจึงคลายออกจากอ้อมกอดของกันและกัน
ทั้งสองต่างเจรจาหยอกเย้า เล่าเรื่องราวแลกเปลี่ยนกันฟัง องค์หญิงวิสาณีประทับบนพระแท่นบรรทมโดยมีชายหนุ่มผู้บัดนี้ได้กุมพระทัยทั้งหมดของพระนางนั่งอยู่แทบพระบาทซบหน้าเกยคางกับพระเพลา (ตัก)
จนสิ้นยามสามเจ้าทิพจึงลาจากด้วยอาลัย...
-----------------------------------
ยามเช้า...รอบพระตำหนักชั้นในของพระมเหสีเนรัญวีเต็มไปด้วยโขลนนางในที่ถวายการอารักขาเข้มงวด บรรยากาศระแวดระวัง
ภายในมีเพียงองค์พระมเหสีและองค์ชายผู้บุตร
“ครั้งนี้ท่านแม่ทรงวางแผนไว้ดีนัก แม้มิอาจเอาชีวิตเจ้าเลือดชั่วได้ แต่ก็ทำให้มันบาดเจ็บกลับมาทั้งวิชาก็ร่ำเรียนไม่สำเร็จ... เมื่อค่ำวานที่ท่านแม่รับสั่งห่วงใยถึงตัวมัน ป่านนี้ทุกเมืองคู่แข่งขันคงรับรู้จุดอ่อนของมันหมดสิ้นแล้ว” องค์ชายอัศวเมฆทรงหัวเราะขึ้นหลังกราบทูลพระมารดา
ที่แท้เป็นสิงขรที่รายงานอาการบาดเจ็บของเจ้าทิพต่อองค์ชาย และเป็นพระมเหสีที่รับสั่งถึงอาการบาดเจ็บดังกล่าวเพื่อป่าวประกาศจุดอ่อนของเจ้าทิพท่ามกลางงานเลี้ยงถวายพระกระยาหารต้อนรับพระเจ้านครศรีธรรมราชพร้อมองค์ราชาจาก ๑๒ เมืองนักษัตร
“มันคงยังโง่งม ไม่รู้ตัวว่าแท้จริงแล้ววราตั้งใจให้มันถูกช้างป่าทำร้ายถึงตาย... เสียดายที่วรากระทำพลาด”
“อย่าได้ทรงกังวลเลยท่านแม่... ปล่อยให้มันมาอับอายกลายเป็นเดนคนต่อหน้าชาวเมือง ย่อมดีเสียกว่าให้มันตายลงอย่างเงียบๆ ในป่า”
ครู่หนึ่ง จึงเห็นสิงขรเดินผ่านพระทวารเข้ามาท่าทีระมัดระวัง ด้านหลังติดตามด้วยชายผู้หนึ่ง ทั้งสองทรุดกายเดินเข่าเข้ามาถวายบังคมต่อเบื้องพระพักตร์
“เจ้าหรือคือหมอหลวงที่รักษาอาการบาดเจ็บให้เจ้าทิพตอนนี้”
“พระเจ้าค่ะ ข้าพระองค์ปุญญา เป็นหมอที่ทำการรักษาแผลที่ชายโครงของเจ้าทิพ พระเจ้าค่ะ” หมอหลวงที่ลักษณะศีรษะกลม ผมบาง จมูกและคางเล็ก อายุราว ๔๕ ปีกราบทูล
“สิงขรคงแจ้งท่านแล้วว่าเราประสงค์สิ่งใด”
หมอหลวงปุญญาปรายตาไปมองสิงขรด้วยอาการหวาดๆ ก่อนจะรับพระดำรัส
“พระเจ้าค่ะ.. ข้าพระองค์ยินดีรับสนองพระประสงค์ของพระมเหสี พระเจ้าค่ะ”
“ดีแล้ว เราต้องการให้เจ้าวางยาเจ้าทิพให้ได้รับความเจ็บปวด อย่าได้ขยับกายเคลื่อนไหวได้สะดวก ให้มันพ่ายแพ้อับอายในการประลองคัดเลือกราชาสิบสองนักษัตร”
“ขอเดชะ ข้าพระองค์มีตัวยาชนิดหนึ่ง เมื่อทาลงบนแผลของผู้ใดในช่วงเย็น พอรุ่งเช้าตื่นขึ้นมาเจ้าตัวจะค่อยๆ เริ่มปวดชาเล็กน้อย จนเมื่อได้ผสานกับกลิ่นกำยานของตัวยาอีกชนิดจึงจะเริ่มออกฤทธิ์ ครั้นเจ้าตัวใช้กำลังกายออกไปจะเจ็บปวดแผลแสนสาหัสกระทั่งขยับร่างกายแถบนั้นมิได้...
เจ้าทิพเป็นแผลที่ชายโครงอยู่กลางลำตัว หากต้องตัวยานี้มิเพียงจะหมุนเอนกายมิได้ แม้แต่บ่าไหล่ก็ไม่สามารถบังคับยกแขนหรือหมุนศีรษะได้... ฤทธิ์ยาจะกำเริบอยู่ราวชั่วหนึ่งก้านธูป ซึ่งก็เพียงพอให้ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว พระเจ้าค่ะ”
“ดีมาก” องค์ชายอัศวเมฆรับสั่ง พลางสาวบาทมายังหมอหลวงปุญญา ในหัตถ์มีห่อผ้าขนาดเล็กอยู่ห่อหนึ่ง “เจ้ารับไป หลังจากทุกอย่างสำเร็จตามแผนที่วางไว้ เราจะประทานเงินทองให้มากกว่านี้อีกเท่าตัว”
รับสั่งแล้วทรงหัวเราะ ประทานห่อผ้าให้หมอปุญญา
“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ”
เมื่อพาหมอหลวงหลบออกจากพระตำหนักในแล้ว สิงขรก็กล่าวขึ้นว่า
“เรื่องนี้เจ้าห้ามแพร่งพรายออกไป และต้องกระทำอย่าให้ผู้ใดสงสัยเป็นอันขาด”
“ข้าพอกยารักษาตอนเย็นแต่พิษกำเริบในตอนสายของวันรุ่งขึ้น อีกทั้งฤทธิ์ยาสลายไปในชั่วก้านธูปคงลดความระแวงสงสัยมาถึงตัวข้าแล้ว แต่ท่านเองก็อย่าพลาดในเรื่องรมกำยานพรุ่งนี้เช้าเหมือนกัน...” กล่าวพลางมองไปยังสิงขร ท่าทีที่เคยหวั่นหวาดองครักษ์หนุ่มในตอนแรกค่อยเลือนหายไป “เออ...ว่าแต่ท่านเถอะ ไม่รู้สึกกระไรเลยหรือที่ต้องทำให้เมืองเราพลาดตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรในครั้งนี้”
สิงขรตาลุกโพลง หันมาจ้องหมอปุญญาเขม็ง จนตัวหมอหลวงสะท้านขึ้นอีกครา รีบก้มศีรษะหลบสายตา
องค์รักษ์ประจำองค์ราชบุตรแห่งปตานีมิกล่าวกระไร แต่ก็แค่นเสียงหนักในลำคอด้วยความไม่พอใจ ตนนั้นทั้งริษยาเจ้าทิพแต่ก็รักเมืองปตานียิ่งนัก ครั้งนี้เหตุเพราะตนไปรายงานกราบทูลเรื่องทั้งหมดต่อองค์ชายอัศวเมฆ รวมถึงเรื่องที่บิดาตนเชิญหมอหลวงปุญญามารักษาบาดแผลให้เจ้าทิพ จนทำให้พระมเหสีและองค์ชายทรงวางแผนร้ายขึ้นมา...
สิงขรเคยกราบทูลทักท้วงองค์ชายอัศวเมฆไว้...
“หากเจ้าทิพได้เป็นราชาสิบสองนักษัตร อย่างไรเสียก็ต้องออกจากเมืองรอนแรมไปทั่ว ใยพระองค์ทรงต้องกระทำถึงเพียงนี้”
“พระมารดาและเราไม่ต้องการให้มันได้รับเกียรติยศชื่อเสียงใด เราต้องการให้มันพ่ายแพ้ถูกสักหน้าเนรเทศออกจากดินแดนสิบสองนักษัตร”
นั่นคือประกาศิตที่ทำให้บุตรขุนพลใหญ่ต้องจำนนด้วยความปวดร้าวในหัวใจ...
-----------------------------------
สายแล้ว เหล่าวิหคต่างโผผินบินวนอยู่บนฟ้า ยามมองลงมายังพื้นเบื้องล่างจะเห็นสิ่งปลูกสร้างคล้ายรังนกขนาดใหญ่มหึมา ตั้งอยู่ทางทิศเหนือนอกกำแพงเมืองปตานี
รังนกใหญ่บัดนี้มีผู้คนมากมายเข้าไปนั่งอยู่รวมกันรอบด้าน ทิ้งพื้นลานตรงกลางโล่งไว้ไม่มีผู้คน
ครั้นบินวนเวียนดูอยู่ครู่หนึ่งจึงเห็นขบวนคนเดินเข้ามากลางลาน พร้อมเสียงตีกลองประโคมลั่นจนเหล่านกแตกตื่นบินกระจายห่างหายไป
พิธีชุมนุมสิบสองนักษัตรเริ่มขึ้นแล้ว...
สิ่งก่อสร้างคล้ายรังนกขนาดใหญ่คือสนามจัดพิธีประลองคัดเลือกราชาสิบสองนักษัตรพระองค์ใหม่
ผู้เดินนำแถวกองทหารอยู่กลางสนามคือขุนพลสิงหล และเป็นผู้นำถวายบังคมแด่องค์กษัตริย์ ราชาและเจ้าผู้ครองนครซึ่งกำลังทยอยเสด็จเข้าสู่ปะรำที่ประทับทางด้านทิศเหนือ
(มีต่อ)