.
บทที่ ๒๗ หอคัมภีร์พระมหาเถรศรีศรัทธา
อาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า เป็นเวลาใกล้เที่ยงวัน
ชายหนุ่มที่รับบาดเจ็บเริ่มลืมตาขึ้น ครั้งนี้ปวดแปลบแผลบริเวณชายโครง จนรู้สึกตึงรั้งตลอดซีกขวาของร่างกาย
“เป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกปวดแผลบ้างไหม” เสียงกล่าวภาษาจีนดังขึ้นจากมุมห้อง
“องค์หญิง... เสด็จไปแล้วหรือ” ทันทีที่เจ้าทิพประคองสติได้ สิ่งแรกที่ถามหาคือพระนางผู้เป็นดั่งดวงใจ
เซียงจือกงถอนหายใจ กล่าวว่า
“ขบวนเสด็จของพระเจ้าศรีมหาราช ได้ออกจากนครปตานีไปแต่เช้าตรู่แล้ว พระนางก็ประทับอยู่ในขบวนด้วย”
เจ้าทิพรู้สึกเจ็บแปลบสะท้อนในใจ จนไม่รู้สึกสิ่งใดกับแผลกาย สายตาเหม่อลอยไปเบื้องบน ผู้เป็นอาเห็นอาการแล้ว กล่าวปลอบว่า
“เจ้าอย่าเพิ่งคิดอะไรมากไปเลย เร่งรักษาตนให้หาย อย่าลืมว่าพระนางทรงเป็นห่วงในตัวเจ้ามาก ทรงหวังว่าสักวันเจ้าจะทำทุกอย่างได้สำเร็จและรีบกลับมาหาพระนาง... หรือเจ้าจะนอนทอดอาลัยในห้องนี้ตลอดไป”
เจ้าทิพมองตาผู้เป็นอาแล้วรู้สึกละอาย ดูจากสภาพอิดโรยของท่านคงต้องอดหลับอดนอนเฝ้ารักษาอาการบาดเจ็บของตน
“หลานขอโทษ... หลานไม่ควรมีความคิดท้อแท้” ว่าแล้วพยายามพยุงกายลุกขึ้นนั่ง
“ดีแล้ว... เป็นอย่างไรเจ็บปวดแผลมากไหม”
เจ้าทิพพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ
“อาการของเจ้าดีขึ้นแล้ว เลือดที่เคยคั่งก็ไหลเวียนเป็นปกติ บริเวณบาดแผลจึงเป็นแผลสดอย่างดีพร้อมที่จะสมานหายต่อไป ส่วนที่เจ้ารู้สึกเจ็บมากเพราะเราหยุดฝังเข็มให้เจ้าแล้ว เพื่อให้ร่างกายได้ทำงานด้วยกลไกตามธรรมชาติ หลังจากนี้เจ้าต้องอดทนกับแผลสดภายในกาย หมั่นกินยาและพอกสมุนไพร อีกไม่นานเกิน ๓ วันคงลุกขึ้นได้”
“ขอบพระคุณท่านอาจือกง บุญคุณของท่านอา ผู้หลานไม่รู้จะทดแทนอย่างไร ทั้งช่วยให้หลานได้ชัยและยังช่วยรักษาชีวิตของหลานไว้อีก”
เซียงจือกงหัวเราะชอบใจ เป็นครั้งแรกที่ท่านหัวเราะขึ้นมาหลังจากเจ้าทิพล้มเจ็บ เสียงหัวเราะย่อมทำให้จิตใจของชายหนุ่มเบิกบานไปด้วย
“ชัยชนะของเจ้า นับว่าถูกใจเรานัก... จงจำไว้ ฝีมือการต่อสู้แม้เป็นพื้นฐานที่สำคัญ แต่การใช้ปัญญากำหนดยุทธวิธีในการต่อสู้จะทำให้เจ้าชนะเมื่อเจ้าเสียเปรียบ และจะทำให้เจ้าออกแรงน้อยที่สุดเมื่อเจ้ามีเปรียบ”
“ครั้งนี้หลานนับว่าได้ประสบการณ์และความมั่นใจมากมาย... หลานจะจำไว้ ทุกอย่างสำคัญที่จิตใจ ทุกอย่างเริ่มต้นที่จิตใจ”
-----------------------------------
๓ วันต่อมา เจ้าทิพและเซียงจือกงได้เดินทางมายังเรือนพักของมหาอำมาตย์วาสุธี ณ ที่นั้นมีขุนพลสิงหล ผู้เป็นน้องชายแท้ๆ ของท่านมหาอำมาตย์อยู่ด้วย
“ต้องขอบใจท่านผู้บัญชาการกองเรือ ที่ให้เกียรติมาตามคำเชื้อเชิญของเรา”
“มิเป็นไรๆ แม้ท่านไม่เชิญ เราคงต้องหาโอกาสมาสนทนากับท่านมหาอำมาตย์เป็นการส่วนตัวอยู่ดี”
แล้วทั้งสองก็หัวเราะด้วยไมตรีให้กัน ผู้เป็นเจ้าเรือนเชื้อเชิญให้ทุกคนขึ้นเรือนแล้วนั่งบนตั่งที่ตระเตรียมไว้
“เจ้าทิพล่ะ อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง เราให้คนไปคอยสอบถามเมื่อรู้ว่าพอจะทุเลาบ้างแล้ว จึงรีบเชิญมาเพื่อจะได้ปรึกษากัน”
“อาการของข้าพเจ้าแทบหายเป็นปกติ แต่หมอหลวงยังสั่งให้กินยาต่อไปจนครบ ๑๐ วัน” เจ้าทิพกล่าวตอบอย่างนอบน้อม
“อืม นับว่าเป็นข่าวดี ตอนนี้เจ้าคือขุนพลฉลูนักษัตรแล้ว สิ่งเร่งด่วนที่ต้องกระทำคือการเตรียมพร้อมเข้าสู่พิธีประลองคัดเลือกราชาสิบสองนักษัตร ที่จะมีขึ้นในอีก ๓ เดือนข้างหน้า”
คำว่าราชาสิบสองนักษัตร ทำให้บรรยากาศการสนทนาที่ผ่อนคลาย กลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
มหาอำมาตย์หันไปทางเซียงจือกง กล่าวว่า
“ท่านผู้บัญชาการกองเรือ ท่านคงสงสัยว่าเราเชิญท่านมาด้วยทำไม เราขอกล่าวตามตรง ถ้าขุนพลฉลูนักษัตรไม่ใช่เจ้าทิพ เราคงไม่บังอาจรบกวนเชื้อเชิญท่านมาในครั้งนี้ด้วยหรอก” เว้นสักครู่ แล้วรินน้ำชาส่งให้ “เรารู้ว่าท่านรักใคร่ในตัวเจ้าทิพดุจหลานชายแท้ๆ และหวังให้เขาประสบความสำเร็จ จึงอยากจะขอปัญญาของท่านช่วยชี้แนะต่อไป เช่นเดียวกับที่ท่านได้ชี้แนะให้เจ้าทิพมีชัยในการประลองด่านสุดท้าย”
เซียงจือกงรับฟังแล้วก็หัวเราะ กล่าวบ่ายเบี่ยงมิรับคำชม
“ท่านอย่าได้ปฏิเสธเลย เรารู้ว่าด้วยสภาพของเจ้าทิพตอนนั้น ไม่มีทางเอาชนะสิงขรได้” มหาอำมาตย์ยืนกราน แล้วกล่าวหนักแน่น “ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เจ้าทิพคงไม่สามารถเอาชนะกัมพะทมิฬ ตัวแทนเมืองไทรบุรีได้ ถ้าท่านไม่ช่วย”
“กัมพะทมิฬ... เป็นนักรบชาวทมิฬที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่เมืองไทรบุรีหรือ” เซียงจือกงกล่าวทวน
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ คิดว่าท่านคงพอจะทราบมาบ้างแล้ว” ครั้งนี้เป็นขุนพลสิงหลที่เอ่ยวาจา
“เราทราบมาว่า ราชวงศ์โจฬะทมิฬที่ยิ่งใหญ่อยู่บริเวณตอนใต้ของชมพูทวีปหลังพ่ายแพ้ต่อราชวงศ์ปัญญาก็แทบสิ้นแผ่นดิน ครั้นราชวงศ์คาลจีซึ่งเป็นชาวมุสลิมพิชิตราชวงศ์ปัญญาและดินแดนชมพูทวีปไว้ได้เกือบทั้งหมด ชาวโจฬะทมิฬจึงเริ่มตั้งหลักใหม่ได้อีกครั้ง ส่วนหนึ่งเข้ายึดครองเกาะลังกาทางตอนบน อีกส่วนเดินเรือมาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองไทรบุรี ก่อตั้งสถานีการค้าข้ามมหาสมุทรอินเดียเพื่อสะสมทุนทรัพย์”
“ท่านผู้บัญชาการกองเรือนับว่ารู้เรื่องราวในดินแดนต่างๆ กระจ่างดุจหงายฝ่ามือ” ขุนทัพปตานีกล่าวชื่นชม
“เรื่องการประลองอาวุธ.. มีความสัมพันธ์ระหว่างกัมพะทมิฬ และสิงขรเกิดขึ้นใช่หรือไม่”
คำถามตรงจุดของเซียงจือกงทำเอาแม่ทัพใหญ่ปตานีถึงกับนิ่งอึ้ง ก่อนข่มใจอธิบายเรื่องราวให้ฟัง
“
ใช่... เมื่อ ๒ ปีก่อน ทั้งสองคนเคยต่อสู้กัน โดยกัมพะทมิฬเป็นฝ่ายเอาชนะด้วยฝีมือที่เหนือกว่ามาก จากนั้นทั้งสองต่างแลกเปลี่ยนวิชาฝีมือต่อกัน... แนววิชาของโจฬะทมิฬนั้นใช้ธาตุไฟเป็นจิต เช่นเดียวกับที่พวกเขาบูชาไฟ ใช้ธาตุน้ำกำหนดจังหวะ เมื่อเปรียบเทียบกับเจ้าทิพที่ใช้ธาตุน้ำเป็นจิต ตามหลักของชาวศรีวิชัยที่อาศัยผืนน้ำเป็นหลัก ใช้ธาตุไฟเป็นจังหวะ... นับว่าเป็น ๒ ขั้วที่หักล้างกันอย่างรุนแรง ทั้งสองแนวมีข้อเหมือนกันคือการกำหนดธาตุดินเป็นความแข็งแกร่ง ธาตุลมเป็นความเร็ว
...แต่ระดับความรุดหน้าของกัมพะทมิฬ ดูเหมือนจะเหนือกว่าเจ้าทิพอยู่ ๒ ขั้น”
“ท่านว่าแลกเปลี่ยนวิชากัน... สิงขรนำอะไรไปแลกเปลี่ยน”
“๑ กระบวนเพลงดาบซึ่งมี ๘ ท่าจู่โจม”
เซียงจือกงนิ่งใคร่ครวญ ก่อนถามว่า
“ตอนอยู่บนปะรำที่ประทับ ท่านกราบทูลองค์กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ว่าเจ้าทิพฝึกฝนจนถึงขั้นที่ ๙ ซึ่งเป็นขั้นแรกของระดับภวังค์สำนึก ถ้าอย่างนั้นกัมพะทมิฬมิอยู่ระดับขั้นที่ ๑๑ แล้วหรือ”
“มิใช่...” แม่ทัพใหญ่แห่งปตานีส่ายหน้า กล่าวต่อด้วยความมั่นใจ
“ฟังจากที่สิงขรอธิบาย ข้าพเจ้าเชื่อว่าวิชาของกัมพะทมิฬในวันนี้คงอยู่ในระดับขั้นที่ ๙ เท่ากับเจ้าทิพ... เพียงแต่วิชาของโจฬะทมิฬเป็นแนวมืด สามารถบังคับธาตุได้ตั้งแต่ระดับขั้นที่ ๗ จึงมีความรุดหน้ามาถึง ๒ ระดับขั้นแล้ว ในขณะที่แนววิชาของเจ้าทิพต้องรอถึงระดับขั้นที่ ๙ จึงเริ่มต้นบังคับธาตุได้”
“อืม เรานับว่าเข้าใจแล้ว... เรื่องวิชาในแนวมืดเราเคยได้ยินว่า ผู้ฝึกจะประสบความสำเร็จในเวลาอันสั้น แต่สุดท้ายสภาพร่างกายจะทรุดโทรมในภายหลัง จุดด้อยอีกข้อหนึ่งคือไม่สามารถทำการสู้รบได้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน”
“ท่านเซียงจือกงเข้าใจถูกแล้ว เพราะวิชาแนวนี้ไม่ได้มุ่งเน้นความเพียรในการฝึกฝนจนเกิดผลสำเร็จ ดังนั้นจึงก่อผลเสียต่อเนื่องตามมามากมาย รวมถึงครอบงำจิตใจให้ฝักใฝ่ในกิเลสตัณหา จึงเรียกกันว่า... วิชาแนวมืด”
“หากระดับฝีมือห่างกันถึง ๒ ระดับขั้น นับว่ายากนักที่เจ้าทิพจะเอาชัยได้จริงๆ” เซียงจือกงพึมพำด้วยความหนักใจ
“แล้วถ้าเจ้าทิพสามารถฝึกฝนจนถึงระดับขั้นที่ ๑๐ ท่านเชื่อว่าเจ้าทิพยังจะพอมีโอกาสได้ชัยชนะบ้างหรือไม่” มหาอำมาตย์ถามขึ้น
เซียงจือกงพยักหน้า เป็นเชิงตอบรับ ถามกลับไปว่า
“ดูเหมือนท่านทั้งสองจะมีความมั่นใจว่าสามารถฝึกฝนเจ้าทิพให้มีฝีมือรุดหน้าได้ในเร็ววันนี้”
“เรามิอาจพูดว่ามีความมั่นใจเต็มที่ แต่เชื่อว่าบันทึกวิชาของพระมหาเถรศรีศรัทธา น่าจะช่วยเจ้าทิพได้มากทีเดียว”
มหาอำมาตย์กล่าวแล้ว ขุนพลผู้น้องก็เล่าอธิบายว่า
“เมื่อครั้งพระมหาเถรศรีศรัทธาทรงเขียนบันทึกวิชาการต่อสู้มอบไว้ให้ มีบันทึกทั้งหมด ๓ เล่มพร้อมจดหมายปิดผนึก ๑ ฉบับ บันทึกเล่มแรกคือวิชาเพลงอาวุธดาบสองมือ ดาบมือเดียว ทวนและง้าว อย่างละ ๙ กระบวนเพลง จากท่าจู่โจมที่ ๑ ถึงท่าจู่โจมที่ ๘... ท่านทรงมอบบันทึกเล่มแรกไว้กับบิดาของเรา ซึ่งขณะนั้นเป็นขุนพลใหญ่เมืองปตานี เพื่อให้ฝึกฝนนักรบเข้าสู่การประลองอาวุธคัดเลือกเป็นขุนพลฉลูนักษัตร”
“ท่านก็ได้เรียนรู้วิชาต่อสู้จากบันทึกเล่มนี้” เซียงจือกงกล่าวถาม
“ถูกต้อง นอกจากขุนพลบิดาจะสอนให้เราแล้ว ยังมีศิษย์อื่นๆ อีก รวมถึงวายุ ผู้ต่อมาขึ้นเป็นราชาสิบสองนักษัตรในการประลองเมื่อ ๑๓ ปีก่อน”
“วายุราชา ผู้หายสาบสูญไปในการค้นหาองค์ตุมพะทะนานทอง...”
“ใช่ หายตัวไปพร้อมปริศนาต่างๆ มากมาย” ขุนพลใหญ่รับคำ แล้วอธิบายต่อ
“ส่วนบันทึกเล่มที่สอง คือวิชาอาวุธที่เหลือ... ท่าจู่โจมที่ ๙ ของ ๙ กระบวนเพลงจาก ๔ อาวุธ รวมทั้งหมด ๓๖ ท่าจู่โจม ซึ่งเป็นสุดยอดวิชาพิฆาตรุนแรง ทั้งยังสลับเปลี่ยนแปลงไปมาระหว่างกันได้อีก... เนื่องเพราะเป็นท่าจู่โจมสังหารอำมหิต พระมหาเถระทรงจำกัดให้ถ่ายทอดเฉพาะขุนพลฉลูนักษัตรเท่านั้น... แต่น่าเสียดาย บันทึกเล่มนี้ได้ถูกคนร้ายลักลอบขโมยไปพร้อมจดหมายปิดผนึก ก่อนที่จะมีผู้ใดได้เคยฝึกและเปิดอ่าน”
“วิชาที่ท่านระบุว่าเจ้าทิพได้เรียนรู้ถึง ๕ ใน ๙ ท่าจู่โจม”
ขุนพลสิงหลมองดูเจ้าทิพ กล่าวช้าๆ
“ใช่ เราก็ไม่รู้ว่าทำไมพราหมณ์กุณฑกัญจจึงรู้วิชาเหล่านี้... ยิ่งไปกว่านั้น ทหารของเราที่ติดตามส่งเสด็จพระเจ้าศรีมหาราชจนถึงเมืองนครฯ ได้กลับมารายงานเราเมื่อเช้าวันนี้ บอกว่าท่านพราหมณ์ได้เดินทางออกจากเมืองนครฯ ตั้งแต่วันที่พระเจ้าศรีมหาราชเสด็จมาเมืองปตานีแล้ว เพียงทิ้งจดหมายกราบทูลลาไว้ด้วยข้อความสั้นๆ ไม่ได้ระบุถึงเหตุผลชัดเจนหรือจุดหมายที่จะเดินทางไป”
เรื่องของพราหมณ์กุณฑกัญจทำให้ทุกคนนิ่งงัน สับสน แม้แต่ตัวเจ้าทิพเองก็ไม่เข้าใจ
“ส่วนบันทึกเล่มที่ ๓ คือการฝึกจิตเข้าสู่สุญญตา พระมหาเถระระบุว่า สามารถช่วยเคลื่อนย้ายระดับจิต จากระดับจิตสำนึกสู่ระดับภวังค์สำนึก และจากระดับภวังค์สำนึกสู่ระดับขั้นที่สูงขึ้นไป บันทึกเล่มนี้ยังคงเก็บอยู่ในหอคัมภีร์เก่า... และอาจเป็นบันทึกเล่มนี้ ที่ช่วยให้วายุมีชัยได้เป็นราชาสิบสองนักษัตรเมื่อ ๑๓ ปีที่แล้ว”
เซียงจือกงครุ่นคิด แล้วกล่าวเสียงหนักๆ ขึ้น
“การกำหนดวิธีเอาชัยชนะเหนือกัมพะทมิฬคงต้องใช้เวลาตรึกตรองสักระยะ แต่มีเรื่องสำคัญที่สุดซึ่งต้องเร่งกระทำ... คือต้องหาครูฝึกผู้สามารถสั่งช้างสั่งม้า มาสอนเจ้าทิพ”
“ต้องถึงระดับสั่งสัตว์ได้เลยหรือ”
“ใช่ หากว่าเราต้องการเพิ่มความมั่นใจในชัยชนะ... อย่าลืมว่าเจ้าทิพแอบฝึกวิชาอยู่ในเมืองนครฯ แม้จะฝึกฝนเพลงอาวุธได้แคล่วคล่อง แต่การฝึกบังคับม้าแทงทวนและไสช้างฟาดของ้าว นับว่ากระทำได้จำกัดนัก... หากเขามีเปรียบเรื่องการขี่ม้าและช้าง บางทีเมื่อผสมกับเพลงอาวุธของพระมหาเถระ เจ้าทิพอาจมีเปรียบในด้านจังหวะและด้านความแข็งแกร่งขึ้นมาก็เป็นได้”
สองพี่น้องมหาอำมาตย์และขุนพลต่างนิ่งงัน มองตากันด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ...
“ท่านไม่มีคนผู้มีความสามารถปานนั้นมาเป็นครูสอนเจ้าทิพหรือ” เซียงจือกงถามย้ำ
ขุนพลสิงหลไม่ตอบคำโดยตรง แต่กล่าวคล้ายพึมพำกับพี่ชายผู้เป็นอำมาตย์ใหญ่
“หรือว่าถึงเวลาที่เราต้องไปขอโทษต่อเขาแล้ว...”
“เวลา ๑๕ ปีแล้วสินะ...”
เสียงของมหาอำมาตย์เอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอย
-----------------------------------
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๒๗ หอคัมภีร์พระมหาเถรศรีศรัทธา
บทที่ ๒๗ หอคัมภีร์พระมหาเถรศรีศรัทธา
อาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า เป็นเวลาใกล้เที่ยงวัน
ชายหนุ่มที่รับบาดเจ็บเริ่มลืมตาขึ้น ครั้งนี้ปวดแปลบแผลบริเวณชายโครง จนรู้สึกตึงรั้งตลอดซีกขวาของร่างกาย
“เป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกปวดแผลบ้างไหม” เสียงกล่าวภาษาจีนดังขึ้นจากมุมห้อง
“องค์หญิง... เสด็จไปแล้วหรือ” ทันทีที่เจ้าทิพประคองสติได้ สิ่งแรกที่ถามหาคือพระนางผู้เป็นดั่งดวงใจ
เซียงจือกงถอนหายใจ กล่าวว่า
“ขบวนเสด็จของพระเจ้าศรีมหาราช ได้ออกจากนครปตานีไปแต่เช้าตรู่แล้ว พระนางก็ประทับอยู่ในขบวนด้วย”
เจ้าทิพรู้สึกเจ็บแปลบสะท้อนในใจ จนไม่รู้สึกสิ่งใดกับแผลกาย สายตาเหม่อลอยไปเบื้องบน ผู้เป็นอาเห็นอาการแล้ว กล่าวปลอบว่า
“เจ้าอย่าเพิ่งคิดอะไรมากไปเลย เร่งรักษาตนให้หาย อย่าลืมว่าพระนางทรงเป็นห่วงในตัวเจ้ามาก ทรงหวังว่าสักวันเจ้าจะทำทุกอย่างได้สำเร็จและรีบกลับมาหาพระนาง... หรือเจ้าจะนอนทอดอาลัยในห้องนี้ตลอดไป”
เจ้าทิพมองตาผู้เป็นอาแล้วรู้สึกละอาย ดูจากสภาพอิดโรยของท่านคงต้องอดหลับอดนอนเฝ้ารักษาอาการบาดเจ็บของตน
“หลานขอโทษ... หลานไม่ควรมีความคิดท้อแท้” ว่าแล้วพยายามพยุงกายลุกขึ้นนั่ง
“ดีแล้ว... เป็นอย่างไรเจ็บปวดแผลมากไหม”
เจ้าทิพพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ
“อาการของเจ้าดีขึ้นแล้ว เลือดที่เคยคั่งก็ไหลเวียนเป็นปกติ บริเวณบาดแผลจึงเป็นแผลสดอย่างดีพร้อมที่จะสมานหายต่อไป ส่วนที่เจ้ารู้สึกเจ็บมากเพราะเราหยุดฝังเข็มให้เจ้าแล้ว เพื่อให้ร่างกายได้ทำงานด้วยกลไกตามธรรมชาติ หลังจากนี้เจ้าต้องอดทนกับแผลสดภายในกาย หมั่นกินยาและพอกสมุนไพร อีกไม่นานเกิน ๓ วันคงลุกขึ้นได้”
“ขอบพระคุณท่านอาจือกง บุญคุณของท่านอา ผู้หลานไม่รู้จะทดแทนอย่างไร ทั้งช่วยให้หลานได้ชัยและยังช่วยรักษาชีวิตของหลานไว้อีก”
เซียงจือกงหัวเราะชอบใจ เป็นครั้งแรกที่ท่านหัวเราะขึ้นมาหลังจากเจ้าทิพล้มเจ็บ เสียงหัวเราะย่อมทำให้จิตใจของชายหนุ่มเบิกบานไปด้วย
“ชัยชนะของเจ้า นับว่าถูกใจเรานัก... จงจำไว้ ฝีมือการต่อสู้แม้เป็นพื้นฐานที่สำคัญ แต่การใช้ปัญญากำหนดยุทธวิธีในการต่อสู้จะทำให้เจ้าชนะเมื่อเจ้าเสียเปรียบ และจะทำให้เจ้าออกแรงน้อยที่สุดเมื่อเจ้ามีเปรียบ”
“ครั้งนี้หลานนับว่าได้ประสบการณ์และความมั่นใจมากมาย... หลานจะจำไว้ ทุกอย่างสำคัญที่จิตใจ ทุกอย่างเริ่มต้นที่จิตใจ”
-----------------------------------
๓ วันต่อมา เจ้าทิพและเซียงจือกงได้เดินทางมายังเรือนพักของมหาอำมาตย์วาสุธี ณ ที่นั้นมีขุนพลสิงหล ผู้เป็นน้องชายแท้ๆ ของท่านมหาอำมาตย์อยู่ด้วย
“ต้องขอบใจท่านผู้บัญชาการกองเรือ ที่ให้เกียรติมาตามคำเชื้อเชิญของเรา”
“มิเป็นไรๆ แม้ท่านไม่เชิญ เราคงต้องหาโอกาสมาสนทนากับท่านมหาอำมาตย์เป็นการส่วนตัวอยู่ดี”
แล้วทั้งสองก็หัวเราะด้วยไมตรีให้กัน ผู้เป็นเจ้าเรือนเชื้อเชิญให้ทุกคนขึ้นเรือนแล้วนั่งบนตั่งที่ตระเตรียมไว้
“เจ้าทิพล่ะ อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง เราให้คนไปคอยสอบถามเมื่อรู้ว่าพอจะทุเลาบ้างแล้ว จึงรีบเชิญมาเพื่อจะได้ปรึกษากัน”
“อาการของข้าพเจ้าแทบหายเป็นปกติ แต่หมอหลวงยังสั่งให้กินยาต่อไปจนครบ ๑๐ วัน” เจ้าทิพกล่าวตอบอย่างนอบน้อม
“อืม นับว่าเป็นข่าวดี ตอนนี้เจ้าคือขุนพลฉลูนักษัตรแล้ว สิ่งเร่งด่วนที่ต้องกระทำคือการเตรียมพร้อมเข้าสู่พิธีประลองคัดเลือกราชาสิบสองนักษัตร ที่จะมีขึ้นในอีก ๓ เดือนข้างหน้า”
คำว่าราชาสิบสองนักษัตร ทำให้บรรยากาศการสนทนาที่ผ่อนคลาย กลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
มหาอำมาตย์หันไปทางเซียงจือกง กล่าวว่า
“ท่านผู้บัญชาการกองเรือ ท่านคงสงสัยว่าเราเชิญท่านมาด้วยทำไม เราขอกล่าวตามตรง ถ้าขุนพลฉลูนักษัตรไม่ใช่เจ้าทิพ เราคงไม่บังอาจรบกวนเชื้อเชิญท่านมาในครั้งนี้ด้วยหรอก” เว้นสักครู่ แล้วรินน้ำชาส่งให้ “เรารู้ว่าท่านรักใคร่ในตัวเจ้าทิพดุจหลานชายแท้ๆ และหวังให้เขาประสบความสำเร็จ จึงอยากจะขอปัญญาของท่านช่วยชี้แนะต่อไป เช่นเดียวกับที่ท่านได้ชี้แนะให้เจ้าทิพมีชัยในการประลองด่านสุดท้าย”
เซียงจือกงรับฟังแล้วก็หัวเราะ กล่าวบ่ายเบี่ยงมิรับคำชม
“ท่านอย่าได้ปฏิเสธเลย เรารู้ว่าด้วยสภาพของเจ้าทิพตอนนั้น ไม่มีทางเอาชนะสิงขรได้” มหาอำมาตย์ยืนกราน แล้วกล่าวหนักแน่น “ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เจ้าทิพคงไม่สามารถเอาชนะกัมพะทมิฬ ตัวแทนเมืองไทรบุรีได้ ถ้าท่านไม่ช่วย”
“กัมพะทมิฬ... เป็นนักรบชาวทมิฬที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่เมืองไทรบุรีหรือ” เซียงจือกงกล่าวทวน
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ คิดว่าท่านคงพอจะทราบมาบ้างแล้ว” ครั้งนี้เป็นขุนพลสิงหลที่เอ่ยวาจา
“เราทราบมาว่า ราชวงศ์โจฬะทมิฬที่ยิ่งใหญ่อยู่บริเวณตอนใต้ของชมพูทวีปหลังพ่ายแพ้ต่อราชวงศ์ปัญญาก็แทบสิ้นแผ่นดิน ครั้นราชวงศ์คาลจีซึ่งเป็นชาวมุสลิมพิชิตราชวงศ์ปัญญาและดินแดนชมพูทวีปไว้ได้เกือบทั้งหมด ชาวโจฬะทมิฬจึงเริ่มตั้งหลักใหม่ได้อีกครั้ง ส่วนหนึ่งเข้ายึดครองเกาะลังกาทางตอนบน อีกส่วนเดินเรือมาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองไทรบุรี ก่อตั้งสถานีการค้าข้ามมหาสมุทรอินเดียเพื่อสะสมทุนทรัพย์”
“ท่านผู้บัญชาการกองเรือนับว่ารู้เรื่องราวในดินแดนต่างๆ กระจ่างดุจหงายฝ่ามือ” ขุนทัพปตานีกล่าวชื่นชม
“เรื่องการประลองอาวุธ.. มีความสัมพันธ์ระหว่างกัมพะทมิฬ และสิงขรเกิดขึ้นใช่หรือไม่”
คำถามตรงจุดของเซียงจือกงทำเอาแม่ทัพใหญ่ปตานีถึงกับนิ่งอึ้ง ก่อนข่มใจอธิบายเรื่องราวให้ฟัง
“ใช่... เมื่อ ๒ ปีก่อน ทั้งสองคนเคยต่อสู้กัน โดยกัมพะทมิฬเป็นฝ่ายเอาชนะด้วยฝีมือที่เหนือกว่ามาก จากนั้นทั้งสองต่างแลกเปลี่ยนวิชาฝีมือต่อกัน... แนววิชาของโจฬะทมิฬนั้นใช้ธาตุไฟเป็นจิต เช่นเดียวกับที่พวกเขาบูชาไฟ ใช้ธาตุน้ำกำหนดจังหวะ เมื่อเปรียบเทียบกับเจ้าทิพที่ใช้ธาตุน้ำเป็นจิต ตามหลักของชาวศรีวิชัยที่อาศัยผืนน้ำเป็นหลัก ใช้ธาตุไฟเป็นจังหวะ... นับว่าเป็น ๒ ขั้วที่หักล้างกันอย่างรุนแรง ทั้งสองแนวมีข้อเหมือนกันคือการกำหนดธาตุดินเป็นความแข็งแกร่ง ธาตุลมเป็นความเร็ว
...แต่ระดับความรุดหน้าของกัมพะทมิฬ ดูเหมือนจะเหนือกว่าเจ้าทิพอยู่ ๒ ขั้น”
“ท่านว่าแลกเปลี่ยนวิชากัน... สิงขรนำอะไรไปแลกเปลี่ยน”
“๑ กระบวนเพลงดาบซึ่งมี ๘ ท่าจู่โจม”
เซียงจือกงนิ่งใคร่ครวญ ก่อนถามว่า
“ตอนอยู่บนปะรำที่ประทับ ท่านกราบทูลองค์กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ว่าเจ้าทิพฝึกฝนจนถึงขั้นที่ ๙ ซึ่งเป็นขั้นแรกของระดับภวังค์สำนึก ถ้าอย่างนั้นกัมพะทมิฬมิอยู่ระดับขั้นที่ ๑๑ แล้วหรือ”
“มิใช่...” แม่ทัพใหญ่แห่งปตานีส่ายหน้า กล่าวต่อด้วยความมั่นใจ
“ฟังจากที่สิงขรอธิบาย ข้าพเจ้าเชื่อว่าวิชาของกัมพะทมิฬในวันนี้คงอยู่ในระดับขั้นที่ ๙ เท่ากับเจ้าทิพ... เพียงแต่วิชาของโจฬะทมิฬเป็นแนวมืด สามารถบังคับธาตุได้ตั้งแต่ระดับขั้นที่ ๗ จึงมีความรุดหน้ามาถึง ๒ ระดับขั้นแล้ว ในขณะที่แนววิชาของเจ้าทิพต้องรอถึงระดับขั้นที่ ๙ จึงเริ่มต้นบังคับธาตุได้”
“อืม เรานับว่าเข้าใจแล้ว... เรื่องวิชาในแนวมืดเราเคยได้ยินว่า ผู้ฝึกจะประสบความสำเร็จในเวลาอันสั้น แต่สุดท้ายสภาพร่างกายจะทรุดโทรมในภายหลัง จุดด้อยอีกข้อหนึ่งคือไม่สามารถทำการสู้รบได้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน”
“ท่านเซียงจือกงเข้าใจถูกแล้ว เพราะวิชาแนวนี้ไม่ได้มุ่งเน้นความเพียรในการฝึกฝนจนเกิดผลสำเร็จ ดังนั้นจึงก่อผลเสียต่อเนื่องตามมามากมาย รวมถึงครอบงำจิตใจให้ฝักใฝ่ในกิเลสตัณหา จึงเรียกกันว่า... วิชาแนวมืด”
“หากระดับฝีมือห่างกันถึง ๒ ระดับขั้น นับว่ายากนักที่เจ้าทิพจะเอาชัยได้จริงๆ” เซียงจือกงพึมพำด้วยความหนักใจ
“แล้วถ้าเจ้าทิพสามารถฝึกฝนจนถึงระดับขั้นที่ ๑๐ ท่านเชื่อว่าเจ้าทิพยังจะพอมีโอกาสได้ชัยชนะบ้างหรือไม่” มหาอำมาตย์ถามขึ้น
เซียงจือกงพยักหน้า เป็นเชิงตอบรับ ถามกลับไปว่า
“ดูเหมือนท่านทั้งสองจะมีความมั่นใจว่าสามารถฝึกฝนเจ้าทิพให้มีฝีมือรุดหน้าได้ในเร็ววันนี้”
“เรามิอาจพูดว่ามีความมั่นใจเต็มที่ แต่เชื่อว่าบันทึกวิชาของพระมหาเถรศรีศรัทธา น่าจะช่วยเจ้าทิพได้มากทีเดียว”
มหาอำมาตย์กล่าวแล้ว ขุนพลผู้น้องก็เล่าอธิบายว่า
“เมื่อครั้งพระมหาเถรศรีศรัทธาทรงเขียนบันทึกวิชาการต่อสู้มอบไว้ให้ มีบันทึกทั้งหมด ๓ เล่มพร้อมจดหมายปิดผนึก ๑ ฉบับ บันทึกเล่มแรกคือวิชาเพลงอาวุธดาบสองมือ ดาบมือเดียว ทวนและง้าว อย่างละ ๙ กระบวนเพลง จากท่าจู่โจมที่ ๑ ถึงท่าจู่โจมที่ ๘... ท่านทรงมอบบันทึกเล่มแรกไว้กับบิดาของเรา ซึ่งขณะนั้นเป็นขุนพลใหญ่เมืองปตานี เพื่อให้ฝึกฝนนักรบเข้าสู่การประลองอาวุธคัดเลือกเป็นขุนพลฉลูนักษัตร”
“ท่านก็ได้เรียนรู้วิชาต่อสู้จากบันทึกเล่มนี้” เซียงจือกงกล่าวถาม
“ถูกต้อง นอกจากขุนพลบิดาจะสอนให้เราแล้ว ยังมีศิษย์อื่นๆ อีก รวมถึงวายุ ผู้ต่อมาขึ้นเป็นราชาสิบสองนักษัตรในการประลองเมื่อ ๑๓ ปีก่อน”
“วายุราชา ผู้หายสาบสูญไปในการค้นหาองค์ตุมพะทะนานทอง...”
“ใช่ หายตัวไปพร้อมปริศนาต่างๆ มากมาย” ขุนพลใหญ่รับคำ แล้วอธิบายต่อ
“ส่วนบันทึกเล่มที่สอง คือวิชาอาวุธที่เหลือ... ท่าจู่โจมที่ ๙ ของ ๙ กระบวนเพลงจาก ๔ อาวุธ รวมทั้งหมด ๓๖ ท่าจู่โจม ซึ่งเป็นสุดยอดวิชาพิฆาตรุนแรง ทั้งยังสลับเปลี่ยนแปลงไปมาระหว่างกันได้อีก... เนื่องเพราะเป็นท่าจู่โจมสังหารอำมหิต พระมหาเถระทรงจำกัดให้ถ่ายทอดเฉพาะขุนพลฉลูนักษัตรเท่านั้น... แต่น่าเสียดาย บันทึกเล่มนี้ได้ถูกคนร้ายลักลอบขโมยไปพร้อมจดหมายปิดผนึก ก่อนที่จะมีผู้ใดได้เคยฝึกและเปิดอ่าน”
“วิชาที่ท่านระบุว่าเจ้าทิพได้เรียนรู้ถึง ๕ ใน ๙ ท่าจู่โจม”
ขุนพลสิงหลมองดูเจ้าทิพ กล่าวช้าๆ
“ใช่ เราก็ไม่รู้ว่าทำไมพราหมณ์กุณฑกัญจจึงรู้วิชาเหล่านี้... ยิ่งไปกว่านั้น ทหารของเราที่ติดตามส่งเสด็จพระเจ้าศรีมหาราชจนถึงเมืองนครฯ ได้กลับมารายงานเราเมื่อเช้าวันนี้ บอกว่าท่านพราหมณ์ได้เดินทางออกจากเมืองนครฯ ตั้งแต่วันที่พระเจ้าศรีมหาราชเสด็จมาเมืองปตานีแล้ว เพียงทิ้งจดหมายกราบทูลลาไว้ด้วยข้อความสั้นๆ ไม่ได้ระบุถึงเหตุผลชัดเจนหรือจุดหมายที่จะเดินทางไป”
เรื่องของพราหมณ์กุณฑกัญจทำให้ทุกคนนิ่งงัน สับสน แม้แต่ตัวเจ้าทิพเองก็ไม่เข้าใจ
“ส่วนบันทึกเล่มที่ ๓ คือการฝึกจิตเข้าสู่สุญญตา พระมหาเถระระบุว่า สามารถช่วยเคลื่อนย้ายระดับจิต จากระดับจิตสำนึกสู่ระดับภวังค์สำนึก และจากระดับภวังค์สำนึกสู่ระดับขั้นที่สูงขึ้นไป บันทึกเล่มนี้ยังคงเก็บอยู่ในหอคัมภีร์เก่า... และอาจเป็นบันทึกเล่มนี้ ที่ช่วยให้วายุมีชัยได้เป็นราชาสิบสองนักษัตรเมื่อ ๑๓ ปีที่แล้ว”
เซียงจือกงครุ่นคิด แล้วกล่าวเสียงหนักๆ ขึ้น
“การกำหนดวิธีเอาชัยชนะเหนือกัมพะทมิฬคงต้องใช้เวลาตรึกตรองสักระยะ แต่มีเรื่องสำคัญที่สุดซึ่งต้องเร่งกระทำ... คือต้องหาครูฝึกผู้สามารถสั่งช้างสั่งม้า มาสอนเจ้าทิพ”
“ต้องถึงระดับสั่งสัตว์ได้เลยหรือ”
“ใช่ หากว่าเราต้องการเพิ่มความมั่นใจในชัยชนะ... อย่าลืมว่าเจ้าทิพแอบฝึกวิชาอยู่ในเมืองนครฯ แม้จะฝึกฝนเพลงอาวุธได้แคล่วคล่อง แต่การฝึกบังคับม้าแทงทวนและไสช้างฟาดของ้าว นับว่ากระทำได้จำกัดนัก... หากเขามีเปรียบเรื่องการขี่ม้าและช้าง บางทีเมื่อผสมกับเพลงอาวุธของพระมหาเถระ เจ้าทิพอาจมีเปรียบในด้านจังหวะและด้านความแข็งแกร่งขึ้นมาก็เป็นได้”
สองพี่น้องมหาอำมาตย์และขุนพลต่างนิ่งงัน มองตากันด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ...
“ท่านไม่มีคนผู้มีความสามารถปานนั้นมาเป็นครูสอนเจ้าทิพหรือ” เซียงจือกงถามย้ำ
ขุนพลสิงหลไม่ตอบคำโดยตรง แต่กล่าวคล้ายพึมพำกับพี่ชายผู้เป็นอำมาตย์ใหญ่
“หรือว่าถึงเวลาที่เราต้องไปขอโทษต่อเขาแล้ว...”
“เวลา ๑๕ ปีแล้วสินะ...”
เสียงของมหาอำมาตย์เอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอย
-----------------------------------
(มีต่อ)