.
บทที่ ๓๐ จิตแห่งอสรพิษ
หมู่บ้านปฏักเป็นหมู่บ้านป่า พื้นที่เป็นลานโล่งสลับป่าโปร่ง มีครอบครัวพรานป่า ควาญช้างและคนเลี้ยงม้าราว ๒๐ ครอบครัวอยู่อาศัย ยามนี้ตะวันคล้อยใกล้เย็นแม้อากาศจะร่มรื่นด้วยเงาไม้และสายลมที่พัดจากห้วงน้ำของอ่าวสยามในช่วงปลายเดือน ๑ แต่จิตใจของเจ้าทิพกลับร้อนรุ่มกังวล
“ออกกันไปแต่เช้ามืด เหมือนจงใจหลบหน้าข้า หรือไม่ก็หาเรื่องถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ” เจ้าทิพกล่าวค่อนขึ้น
“ไม่ต้องไปคิดมากหรอก ยังไงเสียก็ต้องกลับมาที่เรือนพักอยู่ดี กลับมาเมื่อไหร่เราก็ไปหาเมื่อนั้น” พานอินกล่าวปลอบ
“พ่อควาญ.. ท่านบอกว่าปกติวราออกไปดูโขลงช้างในป่าจะกลับมาก็ช่วงเที่ยง นี่มันก็บ่ายคล้อยมากแล้วนะ” เจ้าทิพกล่าวกับควาญช้างชาวสายบุรีที่อยู่ในสังกัดของวรา
“ทุกทีท่านวราจะบอกกล่าวให้ทุกคนเตรียมตัวล่วงหน้า ๒-๓ วัน แต่ครั้งนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ท่านตื่นมาแต่เช้าตรู่แล้วเรียกเฉพาะ “พสุ” ที่เป็นควาญคนสนิทกับพวกทหารปตานีที่คอยกำกับตัวท่านให้ตามไปแค่นั้น ข้าก็รู้คร่าวๆ จากพ่อพสุที่มาสั่งให้ข้าช่วยเตรียมเสบียงอาหารก่อนพากันควบม้าออกไป บอกแค่ว่าท่านวราจะไปดูโขลงช้างที่ป่าใต้ว่ายังคุมโขลงกันดีอยู่หรือไม่”
นอกจากช้างม้าที่ฝึกที่เลี้ยงไว้แล้ว วรายังต้องหมั่นคอยออกไปดูโขลงช้างในป่าต่างๆ ว่าแต่ละโขลงเป็นอย่างไร เมื่อเห็นโขลงไหนสมบูรณ์ดีแล้ว ก็จะเตรียมคนออกไปคล้องช้างป่าจับมาเลี้ยงไว้
ไม่นานก็ได้ยินเสียงม้า ๕ ตัวควบขับเข้ามายังบริเวณหมู่บ้าน
“คงกลับกันมาแล้ว.. เดี๋ยวข้าไปดูให้นะ” ควาญช้างที่ยืนคุยอยู่ด้วยกล่าวขึ้น แล้วรีบกุลีกุจอออกไป ทิ้งชายหนุ่มทั้งสองไว้ตามลำพัง
พานอินเดินเข้ามาจับไหล่ของเจ้าทิพ กล่าวเตือนสติ
“ท่านต้องสงบจิตใจให้เยือกเย็น อย่าได้วู่วามหุนหัน... จำไว้ จะชนะใจคน ต้องชนะใจตนเองก่อน”
เจ้าทิพหันไปสบตาผู้กล่าวคำตักเตือน พลางสูดลมหายใจแรงเข้าเต็มอก พลันสำนึกว่าช่วงหลังๆ มานี้บางครั้งตนก็อารมณ์ร้อนวู่วาม ไม่รู้เพราะเงื่อนเวลาที่มีกระชั้นอีกเพียง ๒ เดือนกว่าเพื่อเตรียมตัวฝึกฝนก่อนพิธีชุมนุมสิบสองนักษัตร หรือเพราะมาอยู่กับวรา.. คนที่ตนสำนึกว่าเป็นต้นเหตุแห่งภัยพิบัติของชีวิต
“ขอบใจที่ท่านช่วยเตือน ข้าพเจ้าเกือบทำเสียเรื่องแล้ว” กล่าวแล้วยิ้มให้ด้วยสำนึกขอบคุณ “ท่านนี่ช่างเหมือนท่านอาจือกงของข้าพเจ้าจริงๆ” กล่าวจบคราวนี้ถึงกับหัวเราะออกมา
บางครั้ง การหัวเราะก็ช่วยระบายความเครียดและความกังวลออกไปได้อย่างดี
-----------------------------------
“เป็นอย่างไรบ้างท่านวรา เห็นว่าออกไปดูโขลงช้างที่ป่าใต้มา” พานอินกล่าวทักทาย เมื่อขึ้นไปนั่งบนเรือนของวรา
“ก็ดี ช้างโขลงนี้ตัวใหญ่สมบูรณ์ทั้งนั้น โดยเฉพาะตัวจ่าโขลง ทั้งใหญ่ทั้งดุร้าย ข้าชอบนัก... อีกสัก ๒ เดือนข้าว่าจะไปเอาตัวมา”
สำหรับพานอินที่เป็นพ่อค้าชาวสุพรรณภูมิ วรากลับรู้สึกสนิทใจมากกว่า อีกทั้งถูกอัธยาศัยในบุคลิกที่เปิดเผย พูดจาตรงไปตรงมาแต่แฝงไว้ด้วยท่าทีให้ความเคารพต่อผู้คน.. จากนั้นจึงกล่าวเล่าเรื่องที่ตนบุกป่าเข้าไปซุ่มดูโขลงช้าง ใกล้ชิดแค่ไหน อย่างไร โดยไม่สนใจเจ้าทิพที่นั่งอยู่ด้านข้างถัดไป
“เออ แล้วงาช้างล่ะ พวกพรานป่าเอามาให้ดูบ้างหรือยัง”
“ข้าได้ชมดูบ้างแล้ว หลายอันสวยไร้ตำหนิข้าจึงได้ซื้อไว้”
“ดี ดี เดี๋ยวรอให้พวกพรานป่าทยอยกลับออกมาจากราวป่า ก็คงจะได้เลือกได้ชมจนหมด... พวกเมียๆ เขาไม่กล้าเอาออกมาให้ดูหรอก บางทีก็ใส่หีบปิดกุญแจ ลูกกุญแจก็อยู่ที่ตัวผัวมันนั่นแหละ รอหน่อยแล้วกัน ส่วนงาของช้างที่ล้มในหมู่บ้านถือเป็นของคลังหลวง ข้าต้องรวบรวมนำส่งไปยังพระคลัง ถ้าท่านอยากได้ต้องไปเจรจาขอซื้อจากพระคลัง แต่ข้าจะช่วยบอกให้ว่าคู่ไหนที่จัดส่งไปแล้วมีลักษณะดีไม่มีตำหนิ ท่านจะได้ไประบุกับพระคลังเสียทีเดียวเลยว่าต้องการงาช้างลักษณะเอกของงวดใด ธุระจะได้ง่ายเข้า”
“ข้าต้องขอขอบคุณท่านวรามาก ที่ได้กรุณาข้า”
ทั้งสองสนทนากันอย่างดีตั้งแต่เมื่อวานแล้ว อาจเพราะทักษะอาชีพพ่อค้าทำให้พานอินสร้างความสนิทสนมกับวราได้เป็นอย่างดี
“อันที่จริงคนที่ท่านวราควรจะใส่ใจให้มากคือเจ้าทิพ เพื่อนของข้า... เพราะเขามีประโยชน์กับท่านวรามากกว่าข้า”
วรานิ่งงัน แม้แต่คอก็ไม่หันไปดูเจ้าทิพ
“ทำไม.. ท่านจะบอกให้ข้าสอนวิชาช้างม้าให้เขาหรือ”
“ข้าไม่ได้บอกให้ท่านสอนวิชาเขา ข้าบอกให้ท่านใส่ใจเขาบ้าง เพราะเขามีประโยชน์กับท่านมากกว่าข้า ที่มาเพื่อเสาะหาประโยชน์จากท่าน... ในเมื่อข้าไม่รู้จะเอาประโยชน์สิ่งใดมาตอบแทนท่าน ก็มีแต่ขอยืมตัวเพื่อนข้ามาทำประโยชน์ให้ท่านแทน”
“เหอะ ท่านคิดว่าข้าอยากพ้นโทษมากนักหรือจนต้องถ่ายทอดวิชาให้กับเจ้าหนุ่มเพื่อนของท่าน”
“เรื่องนี้ข้ารู้ว่าท่านไม่อยากออกไปจากป่าปฏักหรอก ท่านอยู่ดีมีสุข อยากกินก็กิน อยากนอนก็นอน อยากลุกก็ลุก ได้อยู่คลุกคลีกับช้าง ม้าและเหล่าสัตว์ป่าทั้งหลายของท่าน จะมีป่าไหนมีโขลงช้างมากมายเท่าป่าในสายบุรีคงไม่มี ดังนั้นไอ้เรื่องพ้นโทษกลับไปปตานีคงไม่ใช่ประโยชน์ของท่านหรอก”
คราวนี้วราถึงกับอึ้ง มองหน้าพานอินเขม็ง
“แล้วถ้าอย่างนั้น เพื่อนของเจ้ามันมีประโยชน์ใดสำหรับข้า”
“ท่านมีน้องชายอยู่คนหนึ่ง ที่หายสาบสูญไปเมื่อสิบปีก่อนไม่ใช่หรือ... มีแต่เพื่อนของข้าคนนี้จึงจะเป็นธุระตามหาตัวเขามาให้ท่านได้”
คำว่าน้องชายที่หายสาบสูญ เหมือนฟ้าผ่าเข้ามากลางใจ
“วายุ น้องชายของข้า” วราพึมพำ แล้วหันไปดูเจ้าทิพ
“เจ้าจะตามหาน้องชายให้ข้าหรือ”
เจ้าทิพประสานสายตาที่จ้องเขม็งมาของวรา ผงกศีรษะรับกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าตั้งใจว่า เมื่อได้เป็นราชาสิบสองนักษัตรนอกจากจะตามหาองค์ตุมพะทะนานทองแล้ว ยังจะตามหาราชาสิบสองนักษัตรพระองค์ก่อนด้วย ซึ่งก็คือน้องชายของท่าน”
“ทำไมเจ้าจึงคิดจะตามหาเขา เจ้าบอกให้ข้าฟังหน่อยสิ”
“ราชาสิบสองนักษัตรมีหน้าที่ตามหาองค์ตุมพะทะนานทอง เบาะแสและความคืบหน้าของการค้นหาจะถูกสืบทอดรุ่นต่อรุ่นและถูกบันทึกประวัติเก็บไว้ในวิหารทะนานทองของวัดพราหมณ์ใหญ่ ที่เมืองเก่าปตานี ขุนพลสิงหลบอกว่าประมาณ ๒ ปีหลังจากวายุราชาออกตามหาองค์ตุมพะ เคยให้คนส่งหนังสือบันทึกมาเก็บไว้ในวิหารดังกล่าว จากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวใดอีกเลย
สำหรับข้าพเจ้าการจะตามหาองค์ตุมพะทะนานทอง ต้องตามหาวายุราชา และการจะตามหาวายุราชาก็ต้องเป็นราชาสิบสองนักษัตร เพื่อเข้าวิหารทะนานทองอ่านบันทึกการเดินทางของราชาสิบสองนักษัตรพระองค์ก่อนๆ...
ท่านก็รู้นี่ ตราบใดที่ยังไม่สามารถเสาะหาองค์ตุมพะทะนานทองกลับมายังเมือง ๑๒ นักษัตร ความลับเบาะแสของการเสาะค้นหาจะถูกเก็บไว้เฉพาะตัวของราชาสิบสองนักษัตร เพื่อป้องกันไม่ให้บ้านเมืองแคว้นอื่นล่วงรู้และเข้ามาแย่งชิงไป”
วรามองหน้าเจ้าทิพ กล่าวกึ่งถามว่า
“ถ้าอย่างนั้นใครก็ตามที่มาเป็นราชาสิบสองนักษัตรองค์ต่อไป ก็จะต้องออกไปตามหาน้องชายของข้าอยู่ดี”
“คนอื่นจากเมืองอื่นถ้าได้เค้าลางเบาะแสจากบันทึกในวิหารทะนานทอง อาจจะมุ่งตรงไปยังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สูญหาย คงละเลยวายุราชาที่เป็นชาวเมืองปตานี... แต่ข้าพเจ้าสามารถรับปากท่านได้เลยว่าอย่างไรเสียข้าก็จะตามหาวายุราชา ให้รู้ว่าเป็นหรือตาย... ถ้าเขาประสงค์จะกลับเมืองปตานี ข้าพเจ้าก็จะทำทุกวิถีทางนำเขากลับมาให้ได้”
ตาของวราหรี่ลง บางครั้งสั่นกระตุกคล้ายสะท้อนความเจ็บปวดจากภายในออกมา
“คนที่ส่งหนังสือของวายุกลับมา บอกว่าวายุบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถเดินทางกลับมาได้ อีกทั้งเส้นทางลงใต้ก็ถูกตรวจตราอย่างเข้มงวด ตัววายุถูกปิดประกาศตามจับส่งทางการ”
“น้องชายของท่านไปอยู่เมืองใดหรือ” เจ้าทิพกล่าวถามด้วยความฉงนทันที... นี่คือคำถามที่ทุกคนอยากรู้ ราชาสิบสองนักษัตรพระองค์ก่อนไปทำการอยู่เมืองใด และเกิดอะไรขึ้น
“ราชาสิบสองนักษัตรและผู้ติดตาม ไม่ว่าจะไปเมืองไหนและทำอะไร จะถูกปิดบังไว้เป็นความลับ มีเพียงพวกเขาที่รู้และจารบันทึกเก็บไว้ในวิหารทะนานทอง... พวกเขาเห็นเราที่เป็นพี่ห่วงใยน้องชาย จึงได้แอบบอกความลับบางอย่างให้ หนึ่งคือราชาสิบสองนักษัตรบาดเจ็บสาหัส สองคือเมืองสุพรรณภูมิประกาศตามล่าตัวเขาอยู่”
คำ “สุพรรณภูมิ” ทำให้พานอินถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย รีบถามขึ้นว่า
“วายุราชาไปทำเรื่องเลวร้ายอะไรที่สุพรรณภูมิหรือ”
“ข้าก็ไม่รู้ คำบอกกล่าวของผู้ติดตามวายุค่อนข้างจำกัด บอกเพียงว่าทหารของสุพรรณภูมิออกล่าตัวเขาและปิดเส้นทางล่องลงใต้ทั้งหมด... บางทีวายุที่บาดเจ็บอาจหนีขึ้นเหนือก็ได้”
“หนีขึ้นเหนือหรือ” เจ้าทิพทวนคำ
“ใช่ เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของข้า วายุที่บาดเจ็บสาหัสหากไม่อาจลงใต้ ก็มีแต่หลบหนีขึ้นเหนือไปยังเมืองที่อำนาจของสุพรรณภูมิตามไปไม่ถึง”
“สุโขทัย” เจ้าทิพโพล่งขึ้น
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน มีแต่สุโขทัยที่เขาพอจะหลบไปอยู่ได้ ดินแดนขอมทางทิศตะวันออกก็อยู่ในพระราชอำนาจของอโยธยา ทางตะวันตกยิ่งเป็นเขตอิทธิพลของสุพรรณภูมิ... ถ้าเขาลงใต้ได้ ทำไมเขาจึงไม่กลับเมืองเรามาเล่า นี่ก็ใกล้จะครบกำหนดเลือกราชาสิบสองนักษัตรพระองค์ใหม่แล้ว”
กล่าวจนตอนท้ายเสียงของวรากลายเป็นคร่ำครวญคล้ายเสียงสัตว์ที่โหยหวนด้วยความเจ็บปวด สร้างความสะทกสะท้อนให้บังเกิดขึ้นในใจของเจ้าทิพและพานอิน
“ท่านวรา ไม่ว่าอย่างไรข้าพเจ้ารับปากจะตามหาวายุราชาน้องชายของท่านให้พบจนได้”
วราโผเข้ามาหาเจ้าทิพ สองมือบีบลงบนไหล่อย่างแรง
“เจ้า...เจ้าต้องตามน้องข้าให้เจอ แม้ตายก็ต้องรู้ให้ได้ว่าศพอยู่ที่ไหน”
“ข้าพเจ้าสัญญาด้วยชีวิต” เจ้าทิพจ้องตาวรากล่าวหนักแน่น
ความรักของพี่น้องร่วมสายโลหิตนับว่าผูกพันเชื่อมโยงเหนียวแน่น.. อย่าว่าแต่ วราไม่เหลือญาติพี่น้องใดๆ แล้ว มีเพียงน้องชายวายุราชาเท่านั้น
น้ำตาระอุ และเสียงที่พลุ่งพล่านพลันกล่าวว่า
“ดี ถ้าอย่างนั้นข้าจะสอนวิชาให้เจ้าเอง ให้เจ้าได้เป็นราชาสิบสองนักษัตร ให้เจ้าช่วยตามหาน้องชายให้ข้าด้วย”
-----------------------------------
เมื่อบอกว่าสอน วราก็เริ่มต้นทันทีในคืนนั้น
แสงคบไฟที่อยู่ในมือของแต่ละคน ส่องวูบวาบทาบเงากระท่อมไม้หลังหนึ่ง.. ทั้งสี่ด้านตีผนังไม้ทึบมิดชิด มีเพียงช่องลมระบายอากาศเล็กๆ ตีด้วยซี่ไม้และคลุมตาข่ายถี่หนาอยู่ด้านบนของผนัง ไม่มีหน้าต่างมีแต่ประตูบานหนึ่งตรงมุมด้านข้างซึ่งปิดสนิทอยู่ ลักษณะคล้ายโรงเก็บของเพราะไม่ได้ยกพื้นเหมือนเพิงหรือกระท่อมทั่วไป
วราพาเจ้าทิพและพานอินมาหยุดยืนอยู่ด้านข้างกระท่อมไม้
“นี่คือสถานที่ที่เราจะให้เจ้ามาฝึกในช่วงแรก... ในกระท่อมแห่งนี้”
“ท่านจะฝึกเราให้บังคับสัตว์ในกระท่อมหลังนี้” เจ้าทิพโพล่งขึ้นด้วยความสงสัย กระท่อมแม้ไม่เล็กแต่ประตูกลับไม่ใหญ่ การที่จะนำช้างหรือม้าเข้าไปย่อมเป็นไปไม่ได้
“ใช่... สิ่งแรกที่เจ้าต้องฝึกคือจิตใจของเจ้า จิตที่สัมพันธ์กับจิตของสัตว์”
แล้ววราก็เปิดประตูพาเจ้าทิพและพานอินเข้าไปในกระท่อม สิ่งแรกที่สัมผัสเมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปคือกลิ่นสาบและลางอัปมงคลที่เกิดขึ้นในใจ แสงจากคบไฟส่องเห็นลังไม้หลายใบวางระเกะระกะอยู่เต็มไปหมด
วราปักคบไฟเข้ากับฐานเสียบที่ตรึงติดผนังห้อง แล้วหยิบฉวยคบไฟที่เหลือของเจ้าทิพและพานอินไปปักอีก ๒ มุมซึ่งห่างกันจนแสงไฟสว่างไปทั่วห้อง
“พวกเจ้ามาช่วยข้ายกลังพวกนี้” วราสั่ง
แล้วทุกคนก็ช่วยกันโยกย้ายลังมาเรียงเป็นแนวแบ่งกั้นห้องภายในออกเป็น ๒ ส่วนตามที่วรากำกับ ลังไม้ยกเรียงซ้อนกันได้ ๒ ชั้น สูงเกือบ ๒ ศอก ๑ คืบ (๑.๒๕ เมตร)
เจ้าทิพสัมผัสได้ถึงกลิ่นสาบทุกครั้งที่ขยับยกลังไม้ เมื่อจัดการเสร็จแล้วสัญชาตญาณบอกให้ตนผละออกห่างจากลังเหล่านั้น พอหันไปดูวราก็เห็นดวงตาแวววาวดุดันกว่าปกติกำลังจ้องมองมา พร้อมกล่าวเสียงหนักๆ
“
การจะบังคับควบคุมสัตว์ จิตพื้นฐานอย่างแรกคือ..ต้องไม่มีจิตที่ขลาดกลัวสัตว์ ถ้าเจ้ากลัวสัตว์เมื่อใด สัตว์จะสัมผัสได้และมันจะไม่ยอมให้เจ้าควบคุมบังคับ”
เจ้าทิพผงกศีรษะเป็นเชิงยอมรับ ได้ยินวราสั่งว่า
“เจ้าปีนข้ามลังไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้อง”
...นั่นหมายถึงอีกฝั่งด้านที่ไม่มีประตูเข้าออกสู่ด้านนอก
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๓๐ จิตแห่งอสรพิษ
บทที่ ๓๐ จิตแห่งอสรพิษ
หมู่บ้านปฏักเป็นหมู่บ้านป่า พื้นที่เป็นลานโล่งสลับป่าโปร่ง มีครอบครัวพรานป่า ควาญช้างและคนเลี้ยงม้าราว ๒๐ ครอบครัวอยู่อาศัย ยามนี้ตะวันคล้อยใกล้เย็นแม้อากาศจะร่มรื่นด้วยเงาไม้และสายลมที่พัดจากห้วงน้ำของอ่าวสยามในช่วงปลายเดือน ๑ แต่จิตใจของเจ้าทิพกลับร้อนรุ่มกังวล
“ออกกันไปแต่เช้ามืด เหมือนจงใจหลบหน้าข้า หรือไม่ก็หาเรื่องถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ” เจ้าทิพกล่าวค่อนขึ้น
“ไม่ต้องไปคิดมากหรอก ยังไงเสียก็ต้องกลับมาที่เรือนพักอยู่ดี กลับมาเมื่อไหร่เราก็ไปหาเมื่อนั้น” พานอินกล่าวปลอบ
“พ่อควาญ.. ท่านบอกว่าปกติวราออกไปดูโขลงช้างในป่าจะกลับมาก็ช่วงเที่ยง นี่มันก็บ่ายคล้อยมากแล้วนะ” เจ้าทิพกล่าวกับควาญช้างชาวสายบุรีที่อยู่ในสังกัดของวรา
“ทุกทีท่านวราจะบอกกล่าวให้ทุกคนเตรียมตัวล่วงหน้า ๒-๓ วัน แต่ครั้งนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ท่านตื่นมาแต่เช้าตรู่แล้วเรียกเฉพาะ “พสุ” ที่เป็นควาญคนสนิทกับพวกทหารปตานีที่คอยกำกับตัวท่านให้ตามไปแค่นั้น ข้าก็รู้คร่าวๆ จากพ่อพสุที่มาสั่งให้ข้าช่วยเตรียมเสบียงอาหารก่อนพากันควบม้าออกไป บอกแค่ว่าท่านวราจะไปดูโขลงช้างที่ป่าใต้ว่ายังคุมโขลงกันดีอยู่หรือไม่”
นอกจากช้างม้าที่ฝึกที่เลี้ยงไว้แล้ว วรายังต้องหมั่นคอยออกไปดูโขลงช้างในป่าต่างๆ ว่าแต่ละโขลงเป็นอย่างไร เมื่อเห็นโขลงไหนสมบูรณ์ดีแล้ว ก็จะเตรียมคนออกไปคล้องช้างป่าจับมาเลี้ยงไว้
ไม่นานก็ได้ยินเสียงม้า ๕ ตัวควบขับเข้ามายังบริเวณหมู่บ้าน
“คงกลับกันมาแล้ว.. เดี๋ยวข้าไปดูให้นะ” ควาญช้างที่ยืนคุยอยู่ด้วยกล่าวขึ้น แล้วรีบกุลีกุจอออกไป ทิ้งชายหนุ่มทั้งสองไว้ตามลำพัง
พานอินเดินเข้ามาจับไหล่ของเจ้าทิพ กล่าวเตือนสติ
“ท่านต้องสงบจิตใจให้เยือกเย็น อย่าได้วู่วามหุนหัน... จำไว้ จะชนะใจคน ต้องชนะใจตนเองก่อน”
เจ้าทิพหันไปสบตาผู้กล่าวคำตักเตือน พลางสูดลมหายใจแรงเข้าเต็มอก พลันสำนึกว่าช่วงหลังๆ มานี้บางครั้งตนก็อารมณ์ร้อนวู่วาม ไม่รู้เพราะเงื่อนเวลาที่มีกระชั้นอีกเพียง ๒ เดือนกว่าเพื่อเตรียมตัวฝึกฝนก่อนพิธีชุมนุมสิบสองนักษัตร หรือเพราะมาอยู่กับวรา.. คนที่ตนสำนึกว่าเป็นต้นเหตุแห่งภัยพิบัติของชีวิต
“ขอบใจที่ท่านช่วยเตือน ข้าพเจ้าเกือบทำเสียเรื่องแล้ว” กล่าวแล้วยิ้มให้ด้วยสำนึกขอบคุณ “ท่านนี่ช่างเหมือนท่านอาจือกงของข้าพเจ้าจริงๆ” กล่าวจบคราวนี้ถึงกับหัวเราะออกมา
บางครั้ง การหัวเราะก็ช่วยระบายความเครียดและความกังวลออกไปได้อย่างดี
-----------------------------------
“เป็นอย่างไรบ้างท่านวรา เห็นว่าออกไปดูโขลงช้างที่ป่าใต้มา” พานอินกล่าวทักทาย เมื่อขึ้นไปนั่งบนเรือนของวรา
“ก็ดี ช้างโขลงนี้ตัวใหญ่สมบูรณ์ทั้งนั้น โดยเฉพาะตัวจ่าโขลง ทั้งใหญ่ทั้งดุร้าย ข้าชอบนัก... อีกสัก ๒ เดือนข้าว่าจะไปเอาตัวมา”
สำหรับพานอินที่เป็นพ่อค้าชาวสุพรรณภูมิ วรากลับรู้สึกสนิทใจมากกว่า อีกทั้งถูกอัธยาศัยในบุคลิกที่เปิดเผย พูดจาตรงไปตรงมาแต่แฝงไว้ด้วยท่าทีให้ความเคารพต่อผู้คน.. จากนั้นจึงกล่าวเล่าเรื่องที่ตนบุกป่าเข้าไปซุ่มดูโขลงช้าง ใกล้ชิดแค่ไหน อย่างไร โดยไม่สนใจเจ้าทิพที่นั่งอยู่ด้านข้างถัดไป
“เออ แล้วงาช้างล่ะ พวกพรานป่าเอามาให้ดูบ้างหรือยัง”
“ข้าได้ชมดูบ้างแล้ว หลายอันสวยไร้ตำหนิข้าจึงได้ซื้อไว้”
“ดี ดี เดี๋ยวรอให้พวกพรานป่าทยอยกลับออกมาจากราวป่า ก็คงจะได้เลือกได้ชมจนหมด... พวกเมียๆ เขาไม่กล้าเอาออกมาให้ดูหรอก บางทีก็ใส่หีบปิดกุญแจ ลูกกุญแจก็อยู่ที่ตัวผัวมันนั่นแหละ รอหน่อยแล้วกัน ส่วนงาของช้างที่ล้มในหมู่บ้านถือเป็นของคลังหลวง ข้าต้องรวบรวมนำส่งไปยังพระคลัง ถ้าท่านอยากได้ต้องไปเจรจาขอซื้อจากพระคลัง แต่ข้าจะช่วยบอกให้ว่าคู่ไหนที่จัดส่งไปแล้วมีลักษณะดีไม่มีตำหนิ ท่านจะได้ไประบุกับพระคลังเสียทีเดียวเลยว่าต้องการงาช้างลักษณะเอกของงวดใด ธุระจะได้ง่ายเข้า”
“ข้าต้องขอขอบคุณท่านวรามาก ที่ได้กรุณาข้า”
ทั้งสองสนทนากันอย่างดีตั้งแต่เมื่อวานแล้ว อาจเพราะทักษะอาชีพพ่อค้าทำให้พานอินสร้างความสนิทสนมกับวราได้เป็นอย่างดี
“อันที่จริงคนที่ท่านวราควรจะใส่ใจให้มากคือเจ้าทิพ เพื่อนของข้า... เพราะเขามีประโยชน์กับท่านวรามากกว่าข้า”
วรานิ่งงัน แม้แต่คอก็ไม่หันไปดูเจ้าทิพ
“ทำไม.. ท่านจะบอกให้ข้าสอนวิชาช้างม้าให้เขาหรือ”
“ข้าไม่ได้บอกให้ท่านสอนวิชาเขา ข้าบอกให้ท่านใส่ใจเขาบ้าง เพราะเขามีประโยชน์กับท่านมากกว่าข้า ที่มาเพื่อเสาะหาประโยชน์จากท่าน... ในเมื่อข้าไม่รู้จะเอาประโยชน์สิ่งใดมาตอบแทนท่าน ก็มีแต่ขอยืมตัวเพื่อนข้ามาทำประโยชน์ให้ท่านแทน”
“เหอะ ท่านคิดว่าข้าอยากพ้นโทษมากนักหรือจนต้องถ่ายทอดวิชาให้กับเจ้าหนุ่มเพื่อนของท่าน”
“เรื่องนี้ข้ารู้ว่าท่านไม่อยากออกไปจากป่าปฏักหรอก ท่านอยู่ดีมีสุข อยากกินก็กิน อยากนอนก็นอน อยากลุกก็ลุก ได้อยู่คลุกคลีกับช้าง ม้าและเหล่าสัตว์ป่าทั้งหลายของท่าน จะมีป่าไหนมีโขลงช้างมากมายเท่าป่าในสายบุรีคงไม่มี ดังนั้นไอ้เรื่องพ้นโทษกลับไปปตานีคงไม่ใช่ประโยชน์ของท่านหรอก”
คราวนี้วราถึงกับอึ้ง มองหน้าพานอินเขม็ง
“แล้วถ้าอย่างนั้น เพื่อนของเจ้ามันมีประโยชน์ใดสำหรับข้า”
“ท่านมีน้องชายอยู่คนหนึ่ง ที่หายสาบสูญไปเมื่อสิบปีก่อนไม่ใช่หรือ... มีแต่เพื่อนของข้าคนนี้จึงจะเป็นธุระตามหาตัวเขามาให้ท่านได้”
คำว่าน้องชายที่หายสาบสูญ เหมือนฟ้าผ่าเข้ามากลางใจ
“วายุ น้องชายของข้า” วราพึมพำ แล้วหันไปดูเจ้าทิพ
“เจ้าจะตามหาน้องชายให้ข้าหรือ”
เจ้าทิพประสานสายตาที่จ้องเขม็งมาของวรา ผงกศีรษะรับกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าตั้งใจว่า เมื่อได้เป็นราชาสิบสองนักษัตรนอกจากจะตามหาองค์ตุมพะทะนานทองแล้ว ยังจะตามหาราชาสิบสองนักษัตรพระองค์ก่อนด้วย ซึ่งก็คือน้องชายของท่าน”
“ทำไมเจ้าจึงคิดจะตามหาเขา เจ้าบอกให้ข้าฟังหน่อยสิ”
“ราชาสิบสองนักษัตรมีหน้าที่ตามหาองค์ตุมพะทะนานทอง เบาะแสและความคืบหน้าของการค้นหาจะถูกสืบทอดรุ่นต่อรุ่นและถูกบันทึกประวัติเก็บไว้ในวิหารทะนานทองของวัดพราหมณ์ใหญ่ ที่เมืองเก่าปตานี ขุนพลสิงหลบอกว่าประมาณ ๒ ปีหลังจากวายุราชาออกตามหาองค์ตุมพะ เคยให้คนส่งหนังสือบันทึกมาเก็บไว้ในวิหารดังกล่าว จากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวใดอีกเลย
สำหรับข้าพเจ้าการจะตามหาองค์ตุมพะทะนานทอง ต้องตามหาวายุราชา และการจะตามหาวายุราชาก็ต้องเป็นราชาสิบสองนักษัตร เพื่อเข้าวิหารทะนานทองอ่านบันทึกการเดินทางของราชาสิบสองนักษัตรพระองค์ก่อนๆ...
ท่านก็รู้นี่ ตราบใดที่ยังไม่สามารถเสาะหาองค์ตุมพะทะนานทองกลับมายังเมือง ๑๒ นักษัตร ความลับเบาะแสของการเสาะค้นหาจะถูกเก็บไว้เฉพาะตัวของราชาสิบสองนักษัตร เพื่อป้องกันไม่ให้บ้านเมืองแคว้นอื่นล่วงรู้และเข้ามาแย่งชิงไป”
วรามองหน้าเจ้าทิพ กล่าวกึ่งถามว่า
“ถ้าอย่างนั้นใครก็ตามที่มาเป็นราชาสิบสองนักษัตรองค์ต่อไป ก็จะต้องออกไปตามหาน้องชายของข้าอยู่ดี”
“คนอื่นจากเมืองอื่นถ้าได้เค้าลางเบาะแสจากบันทึกในวิหารทะนานทอง อาจจะมุ่งตรงไปยังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สูญหาย คงละเลยวายุราชาที่เป็นชาวเมืองปตานี... แต่ข้าพเจ้าสามารถรับปากท่านได้เลยว่าอย่างไรเสียข้าก็จะตามหาวายุราชา ให้รู้ว่าเป็นหรือตาย... ถ้าเขาประสงค์จะกลับเมืองปตานี ข้าพเจ้าก็จะทำทุกวิถีทางนำเขากลับมาให้ได้”
ตาของวราหรี่ลง บางครั้งสั่นกระตุกคล้ายสะท้อนความเจ็บปวดจากภายในออกมา
“คนที่ส่งหนังสือของวายุกลับมา บอกว่าวายุบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถเดินทางกลับมาได้ อีกทั้งเส้นทางลงใต้ก็ถูกตรวจตราอย่างเข้มงวด ตัววายุถูกปิดประกาศตามจับส่งทางการ”
“น้องชายของท่านไปอยู่เมืองใดหรือ” เจ้าทิพกล่าวถามด้วยความฉงนทันที... นี่คือคำถามที่ทุกคนอยากรู้ ราชาสิบสองนักษัตรพระองค์ก่อนไปทำการอยู่เมืองใด และเกิดอะไรขึ้น
“ราชาสิบสองนักษัตรและผู้ติดตาม ไม่ว่าจะไปเมืองไหนและทำอะไร จะถูกปิดบังไว้เป็นความลับ มีเพียงพวกเขาที่รู้และจารบันทึกเก็บไว้ในวิหารทะนานทอง... พวกเขาเห็นเราที่เป็นพี่ห่วงใยน้องชาย จึงได้แอบบอกความลับบางอย่างให้ หนึ่งคือราชาสิบสองนักษัตรบาดเจ็บสาหัส สองคือเมืองสุพรรณภูมิประกาศตามล่าตัวเขาอยู่”
คำ “สุพรรณภูมิ” ทำให้พานอินถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย รีบถามขึ้นว่า
“วายุราชาไปทำเรื่องเลวร้ายอะไรที่สุพรรณภูมิหรือ”
“ข้าก็ไม่รู้ คำบอกกล่าวของผู้ติดตามวายุค่อนข้างจำกัด บอกเพียงว่าทหารของสุพรรณภูมิออกล่าตัวเขาและปิดเส้นทางล่องลงใต้ทั้งหมด... บางทีวายุที่บาดเจ็บอาจหนีขึ้นเหนือก็ได้”
“หนีขึ้นเหนือหรือ” เจ้าทิพทวนคำ
“ใช่ เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของข้า วายุที่บาดเจ็บสาหัสหากไม่อาจลงใต้ ก็มีแต่หลบหนีขึ้นเหนือไปยังเมืองที่อำนาจของสุพรรณภูมิตามไปไม่ถึง”
“สุโขทัย” เจ้าทิพโพล่งขึ้น
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน มีแต่สุโขทัยที่เขาพอจะหลบไปอยู่ได้ ดินแดนขอมทางทิศตะวันออกก็อยู่ในพระราชอำนาจของอโยธยา ทางตะวันตกยิ่งเป็นเขตอิทธิพลของสุพรรณภูมิ... ถ้าเขาลงใต้ได้ ทำไมเขาจึงไม่กลับเมืองเรามาเล่า นี่ก็ใกล้จะครบกำหนดเลือกราชาสิบสองนักษัตรพระองค์ใหม่แล้ว”
กล่าวจนตอนท้ายเสียงของวรากลายเป็นคร่ำครวญคล้ายเสียงสัตว์ที่โหยหวนด้วยความเจ็บปวด สร้างความสะทกสะท้อนให้บังเกิดขึ้นในใจของเจ้าทิพและพานอิน
“ท่านวรา ไม่ว่าอย่างไรข้าพเจ้ารับปากจะตามหาวายุราชาน้องชายของท่านให้พบจนได้”
วราโผเข้ามาหาเจ้าทิพ สองมือบีบลงบนไหล่อย่างแรง
“เจ้า...เจ้าต้องตามน้องข้าให้เจอ แม้ตายก็ต้องรู้ให้ได้ว่าศพอยู่ที่ไหน”
“ข้าพเจ้าสัญญาด้วยชีวิต” เจ้าทิพจ้องตาวรากล่าวหนักแน่น
ความรักของพี่น้องร่วมสายโลหิตนับว่าผูกพันเชื่อมโยงเหนียวแน่น.. อย่าว่าแต่ วราไม่เหลือญาติพี่น้องใดๆ แล้ว มีเพียงน้องชายวายุราชาเท่านั้น
น้ำตาระอุ และเสียงที่พลุ่งพล่านพลันกล่าวว่า
“ดี ถ้าอย่างนั้นข้าจะสอนวิชาให้เจ้าเอง ให้เจ้าได้เป็นราชาสิบสองนักษัตร ให้เจ้าช่วยตามหาน้องชายให้ข้าด้วย”
-----------------------------------
เมื่อบอกว่าสอน วราก็เริ่มต้นทันทีในคืนนั้น
แสงคบไฟที่อยู่ในมือของแต่ละคน ส่องวูบวาบทาบเงากระท่อมไม้หลังหนึ่ง.. ทั้งสี่ด้านตีผนังไม้ทึบมิดชิด มีเพียงช่องลมระบายอากาศเล็กๆ ตีด้วยซี่ไม้และคลุมตาข่ายถี่หนาอยู่ด้านบนของผนัง ไม่มีหน้าต่างมีแต่ประตูบานหนึ่งตรงมุมด้านข้างซึ่งปิดสนิทอยู่ ลักษณะคล้ายโรงเก็บของเพราะไม่ได้ยกพื้นเหมือนเพิงหรือกระท่อมทั่วไป
วราพาเจ้าทิพและพานอินมาหยุดยืนอยู่ด้านข้างกระท่อมไม้
“นี่คือสถานที่ที่เราจะให้เจ้ามาฝึกในช่วงแรก... ในกระท่อมแห่งนี้”
“ท่านจะฝึกเราให้บังคับสัตว์ในกระท่อมหลังนี้” เจ้าทิพโพล่งขึ้นด้วยความสงสัย กระท่อมแม้ไม่เล็กแต่ประตูกลับไม่ใหญ่ การที่จะนำช้างหรือม้าเข้าไปย่อมเป็นไปไม่ได้
“ใช่... สิ่งแรกที่เจ้าต้องฝึกคือจิตใจของเจ้า จิตที่สัมพันธ์กับจิตของสัตว์”
แล้ววราก็เปิดประตูพาเจ้าทิพและพานอินเข้าไปในกระท่อม สิ่งแรกที่สัมผัสเมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปคือกลิ่นสาบและลางอัปมงคลที่เกิดขึ้นในใจ แสงจากคบไฟส่องเห็นลังไม้หลายใบวางระเกะระกะอยู่เต็มไปหมด
วราปักคบไฟเข้ากับฐานเสียบที่ตรึงติดผนังห้อง แล้วหยิบฉวยคบไฟที่เหลือของเจ้าทิพและพานอินไปปักอีก ๒ มุมซึ่งห่างกันจนแสงไฟสว่างไปทั่วห้อง
“พวกเจ้ามาช่วยข้ายกลังพวกนี้” วราสั่ง
แล้วทุกคนก็ช่วยกันโยกย้ายลังมาเรียงเป็นแนวแบ่งกั้นห้องภายในออกเป็น ๒ ส่วนตามที่วรากำกับ ลังไม้ยกเรียงซ้อนกันได้ ๒ ชั้น สูงเกือบ ๒ ศอก ๑ คืบ (๑.๒๕ เมตร)
เจ้าทิพสัมผัสได้ถึงกลิ่นสาบทุกครั้งที่ขยับยกลังไม้ เมื่อจัดการเสร็จแล้วสัญชาตญาณบอกให้ตนผละออกห่างจากลังเหล่านั้น พอหันไปดูวราก็เห็นดวงตาแวววาวดุดันกว่าปกติกำลังจ้องมองมา พร้อมกล่าวเสียงหนักๆ
“การจะบังคับควบคุมสัตว์ จิตพื้นฐานอย่างแรกคือ..ต้องไม่มีจิตที่ขลาดกลัวสัตว์ ถ้าเจ้ากลัวสัตว์เมื่อใด สัตว์จะสัมผัสได้และมันจะไม่ยอมให้เจ้าควบคุมบังคับ”
เจ้าทิพผงกศีรษะเป็นเชิงยอมรับ ได้ยินวราสั่งว่า
“เจ้าปีนข้ามลังไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้อง”
...นั่นหมายถึงอีกฝั่งด้านที่ไม่มีประตูเข้าออกสู่ด้านนอก
(มีต่อ)