.
บทที่ ๕๙ แผนร้ายในเมืองไทรบุรี (๒)
กองทัพเรือของโจฬะทมิฬเกรียงไกรอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย แม้ราชวงศ์ทุกลัคของชาวมุสลิมจะยึดครองแผ่นดินชมพูทวีปไว้ได้เกือบทั้งหมด แต่ก็มิกล้าต่อกรกับกองเรือของโจฬะทมิฬในท้องทะเล ทำให้การค้าขายในทะเลตะวันออกของอินเดียตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของโจฬะทมิฬ
พวกพ่อค้าที่ล่องเรือมายังฝั่งรามัญมักจะถูกกองเรือโจฬะทมิฬปล้นสะดม หากจะล่องลงมาค้าขายกับเมืองสิบสองนักษัตร ก็ต้องนำสินค้ามาขึ้นฝั่งที่ท่าไทรบุรีเท่านั้น จึงจะได้รับการคุ้มครอง เรือสินค้าเหล่านี้นอกจากชักธงประจำเมืองของตนแล้วยังต้องชักธงมะโรงนักษัตรคู่กันไปเป็นสัญลักษณ์ด้วย ทำให้การค้าของเมืองท่าไทรบุรีรุ่งเรืองขึ้น
หลังจากตกลงเรื่องค่าเช่าเพิงพักแล้ว พานอินและพวกก็ลงจากเรือนไป มีคนของสิกะพาไปยังที่พัก
“นายท่านคิดว่าเราต้องคอยตรวจสอบพานอินหรือไม่” เจ้าพนักงานคนที่นำจงเปียวและพวกมาพบถามขึ้น
สิกะส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “มิจำเป็น.. พานอินคนนี้เป็นคนฉลาด พูดจาตรงไปตรงมา มีเหตุผล ข้าชอบนัก”
บริเวณเพิงพัก มีพ่อค้าชนชาติต่างๆ เข้ามาเช่าอาศัยอยู่มากมาย แต่ละเพิงปลูกเว้นระยะห่างกันทำให้ไม่วุ่นวายจอแจ พานอินขอเพิงพักสองหลังใหญ่ใกล้กัน ยิ่งทำให้สิกะพึงพอใจในรายได้ค่าเช่าเพิงพัก เมื่อจงเปียวแยกออกไปแล้ว เจ้าทิพจึงกล่าวขึ้น
“ท่านพี่เคยบอกว่าจะช่วงชิงสินค้ากับไต้ซีหง ทำให้กองเรืออโยธยามีสินค้าไปเมืองจีนมากพอที่จะดึงดูดความสนใจของราชสำนักกรุงจีน แต่ตอนนี้ท่านพี่เปิดเผยแผนการให้ไต้ซีหงรู้.. เป็นเพราะข้าพเจ้าใช่หรือไม่ ท่านพี่จึงจำต้องเปลี่ยนแผนเพื่อช่วยเหลือข้าพเจ้า”
แม้จะอยู่ในคราบของนายแสง แต่น้ำเสียงนั้นขึงขัง แววตาหม่นหมอง ทำให้พานอินอดสะท้อนใจไม่ได้
“เจ้าอย่าได้คิดมากเลย การไปให้ถึงจุดหมายย่อมมีหนทางไปมากกว่าหนึ่งทางเสมอ.. การที่เราไม่ได้กว้านซื้อสินค้าตัดหน้าไต้ซีหงแล้วกลับมาร่วมมือกัน เราก็ได้ประโยชน์มากมาย อย่าลืมว่าพ่อค้าที่คุ้นเคยกับช่องทางการค้าในเมืองไทรบุรีมากที่สุดก็คือไต้ซีหง เขาเป็นคนบอกเราถึงเรื่องราวต่างๆ ไปจนถึงตัวสิกะและกลุ่มโจฬะทมิฬที่คุมการค้าอยู่ในเมือง ทำให้เรารู้ว่าต้องเดินหมากเยี่ยงไร...
ส่วนการซื้อสินค้าให้กองเรืออโยธยา เราจะใช้วิธีจองซื้อล่วงหน้าและทยอยสะสมสินค้าไว้ จะไปรอให้สินค้าจากชมพูทวีปมาขึ้นท่าแล้วไปแย่งซื้อตัดหน้าคงไม่เหมาะ.. ต้องปล่อยให้ไต้ซีหงได้สินค้าไป ส่วนเราก็ต้องหาสินค้าให้ได้ไม่น้อยไปกว่ากัน” พูดแล้วก็หัวเราะยิ้มแย้ม
ดูเหมือนในโลกนี้ จะไม่มีสิ่งใดมาทำให้พานอินอับจนได้ พานอินไม่เคยมองสิ่งใดเป็นปัญหา.. มีแต่เงื่อนไข ข้อจำกัด และโอกาส จากนั้นจึงเลือกและสร้างหนทางของตนเองขึ้น.. และมักเป็นหนทางที่เหมาะสมที่สุด
“ทำไมท่านพี่จึงต้องให้พวกเรามาอาศัยอยู่ในเพิงพักของนายท่าสิกะด้วย แล้วการลงมือต่อเรื่องราวต่างๆ จะมิยิ่งลำบากหรือ”
พานอินตบบ่าเจ้าทิพ “ยิ่งหนีห่าง ยิ่งถูกเพ่งเล็งสงสัย.. ยิ่งอยู่ใกล้ ยิ่งถูกละเลย เจ้าพอจะเข้าใจไหม”
เจ้าทิพครุ่นคิดตามคำ แล้วพานอินก็กล่าวต่ออีกว่า
“อีกอย่าง การจะสืบความลับใดๆ มีแต่เข้าไปใกล้ชิดกับแหล่งข้อมูลให้มากไว้ จึงเป็นการดี..”
------------------------------
ไม่นานพานอินก็เข้าไปสนิทสนมกับนายท่าสิกะ ทุกวันยามเย็นทั้งสองจะนั่งดื่มกินกันที่โถงเรือนทำงานของสิกะ และทุกครั้งจะมีนายแสงติดตามไปด้วย พานอินและนายแสงไม่ดื่มสุราแต่นำสุราเลิศรสที่ตนหาได้จากพวกพ่อค้าต่างเมืองต่างๆ มากำนัล ส่วนตนจะพกไหน้ำชามาดื่มด้วย
แรกๆ สิกะเคยถามว่า “เราดื่มสุรา ท่านดื่มน้ำชา จะดื่มร่วมกันได้อย่างไร”
แต่พานอินกลับตอบว่า “
ท่านดื่มสุรา สนทนาปราศรัยกับผู้คนแล้วมีความสุข เพราะพวกเขาคล้อยตามท่านด้วยความเมามาย.. แต่ข้าสนทนากับท่านด้วยสติและตัวตนของข้า หากคุยกันแล้วท่านสุขใจก็เพราะท่านสนทนากับข้าพานอิน หาใช่คุยกับฤทธิ์สุราในตัวข้า”
สิกะย่อมมีความสุขเบิกบานทุกครั้งที่ได้สนทนากับพานอิน
...และพลอยเผื่อแผ่ความเมตตามายังนายแสงที่ติดตามไปด้วยทุกครั้ง
ยิ่งพานอินแนะนำตัวนายแสงว่าคือคนที่เคยช่วยชีวิตของตน ยอมดูดพิษงูออกจากร่าง ตนจึงให้ความรักประดุจเพื่อน หาใช่ดังลูกน้องบริวารทั่วไป ทำให้สิกะมอบความสนิทสนมไว้วางใจแก่นายแสงมากขึ้น
เวลาผ่านไปร่วมเดือน ความลับต่างๆ ที่เจ้าทิพต้องการทราบ ตั้งแต่เมื่อครั้ง ๑๓ ปีก่อน ถูกบอกเล่าออกมาเป็นระยะแม้จะไม่ปะติดปะต่อ แต่เจ้าทิพก็พอได้เค้าลางแล้ว...
หลังการประลองคัดเลือกราชาสิบสองนักษัตรเมื่อ ๑๓ ปีก่อน หิงสาอาตมันที่พลาดตำแหน่งก็พาคนขึ้นไปอโยธยาและกลับมาพร้อมอาการบาดเจ็บ ไม่มีอาการดีใจหรือเฉลิมฉลองใดๆ หลายปีต่อมาก็เคี่ยวเข็ญมุ่งมั่นให้กัมพะทมิฬที่เป็นหลานชายชิงชัยตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรให้จงได้
เจ้าทิพยังได้หาโอกาสสอบถามความกับบรรดาพ่อค้าต่างแดนที่มาอาศัยในเพิงพักของสิกะ พ่อค้าเหล่านี้ต่างสัญจรเข้าออกเมืองไทรบุรีนานนับสิบปี แต่ก็ไม่ได้เค้าเงื่อนใดเพิ่มเติม..
ดูเหมือนหิงสาอาตมันจะไม่ได้ครอบครององค์ตุมพะทะนานทอง
หลายครั้งพานอินจะแสร้งทำเป็นอยากประจบเอาใจหิงสาอาตมันผู้เป็นใหญ่เหนือชาวโจฬะทมิฬและมีอำนาจใหญ่โตในเมืองไทรบุรี โดยขอมอบสุราและของกำนัลฝากไปกับสิกะที่ต้องคอยไปเฝ้ารายงานเรื่องการค้าเป็นระยะ โดยให้นายแสงเป็นคนหอบหิ้วสิ่งของติดตามสิกะไป ทำให้นายแสงได้โอกาสลอบฟังเรื่องราวสนทนาต่างๆ มากบ้างน้อยบ้าง สิ่งใดที่ข้องใจก็จะแสร้งหยั่งถามเอากับสิกะในตอนกลับออกมา
หิงสาอาตมันจดจำเจ้าทิพในคราบชายวัย ๓๕ ปีศีรษะล้าน ใบหน้าใหญ่ไม่ได้ เช่นเดียวกับกัมพะทมิฬ
วันนี้เป็นอีกวันที่นายแสงมีโอกาสติดตามสิกะไปพบหิงสาอาตมัน เมื่อตนนำสุราขึ้นไปมอบให้บนเรือนแล้วก็ลงมารอคอยบริเวณเชิงบันได เพราะความที่ตนป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้บันไดจึงมักถูกไหว้วานให้ขึ้นไปบนเรือนอยู่เป็นประจำ
ไม่นานทหารที่เฝ้าอยู่ตรงประตูรั้วบ้านหิงสาอาตมันก็รีบวิ่งตรงมาที่ตน
“ท่านช่วยขึ้นไปเรียนนายท่าน ว่ากัมพะทมิฬกำลังมา”
“ได้ขอรับ” นายแสงรับคำ แล้วขึ้นบันไดไปบนเรือน
หิงสาอาตมันกำลังพูดคุยเรื่องจัดกองเรือทหารควบคุมกองเรือสินค้า ไม่มีเรื่องใดน่าสนใจเกี่ยวโยงไปถึงองค์ตุมพะทะนานทอง
“ข้าแต่ท่านแม่ทัพใหญ่ ทหารที่เฝ้าประตูบอกว่าเห็นขุนทัพกัมพะทมิฬกำลังตรงมา อีกสักครู่คงขึ้นเรือนมาพบท่าน”
“ดี” หิงสาอาตมันกล่าวสั้นๆ แม้กัมพะทมิฬที่เป็นหลานรักจะเป็นผู้เดียวที่สามารถขึ้นมาบนเรือนได้โดยพละการ แต่บรรดาทหารอารักขาก็ยังต้องแจ้งให้นายใหญ่ของตนได้รู้ตัวไว้
ไม่นานกัมพะทมิฬก็ปรากฏกายขึ้นบนเรือน ใบหน้าเคร่งขรึม เอาจริงเอาจัง เดินปราดไปนั่งบนม้าตัวยาวที่ว่างอยู่ทางด้านขวา ไม่สนใจสิกะที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายของผู้เป็นอาตน กล่าวขึ้นว่า
“ท่านอา.. มีแขกคนสำคัญมาขอพบท่าน” แสยะปากยิ้ม ก่อนกล่าวต่อว่า “จากปตานี”
ตากลมโตของหิงสาอาตมันลุกพองขึ้นทันทีที่ได้ยินว่าเป็น.. คนสำคัญจากปตานี
“เป็นผู้ใด”
“องค์ชายอัศวเมฆและสิงขร ข้าให้คนพาสองคนนั้นไปรอท่านที่...”
หิงสาอาตมันพลันชูมือห้ามขึ้น เป็นสัญญาณให้หยุดพูด
“สิกะ ท่านกลับไปก่อนแล้ววันหลังข้าจะให้คนไปเชิญมาหารือต่อ”
“ได้ขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่”
สิกะลาลงเรือนไป พร้อมกับนายแสงที่นั่งรอทีอยู่หลังจากขึ้นเรือนมาแจ้งข้อความ
------------------------------
“หึ หึ.. ไม่ทราบว่าองค์ชายมีพระประสงค์สิ่งใดให้กระหม่อมรับใช้ จึงทรงดั้นด้นมาถึงเมืองไทรบุรี.. หากทราบล่วงหน้ากระหม่อมจะได้เตรียมการรับเสด็จให้สมพระเกียรติยศ” หิงสาอาตมันทูลขึ้นเมื่อมาปรากฏตัวยังที่พักรับรองขององค์ชายแห่งปตานี
องค์ชายอัศวเมฆทรงยืนขึ้นพร้อมสิงขร แต่กลับเป็นสิงขรองครักษ์ประจำพระองค์ที่ชิงท้วงขึ้น ด้วยมิพอใจ
“ท่านอย่ามัวแต่เล่นลิ้นเลย ท่านก็เห็นอยู่ว่าพระองค์มิทรงประสงค์ให้การเสด็จมาพบท่านเป็นที่เปิดเผย หาไม่แล้วคงมิต้องทรงแต่งองค์ดุจสามัญชนเช่นนี้”
“สามัญชนที่รุ่มรวยหรือ.. สวมใส่พระธำมรงค์งดงามตระการตาอย่างยิ่ง... ฮาฮา”
หิงสาอาตมันยังคงกล่าวเยาะ
“หึ.. พวกเจ้าพ่ายแพ้แม้แต่คนอายุเพียง ๑๖ ปีที่ถูกวางยาพิษ นอกจากไม่ละอายใจแล้ว.. ยังจะมาเยาะเย้ยฝ่ายเราที่คอยช่วยเหลืออีกหรือ” สิงขรตอบโต้
“เจ้าบังอาจนัก.. ที่นี่คือเมืองไทรบุรี มิใช่ปตานีดินแดนที่พวกเจ้าจะมาวางอำนาจได้ และถ้าไม่ใช่เพราะพวกเราช่วยพาหมอปุญญามาหลบซ่อน พวกเจ้าก็คงคอขาดกันไปหมดแล้ว” กัมพะทมิฬระเบิดอารมณ์ขึ้นทันทีที่ถูกกล่าวอ้างถึงความพ่ายแพ้ของตน
“พวกท่านหยุดเถอะ เรามาเพื่อสมประโยชน์ของพวกท่าน หาใช่มาให้พวกท่านระรานหรือถากถางกันไปมา” องค์ชายอัศวเมฆรับสั่งขึ้น ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลาย
“สมประโยชน์ของข้าหรือ ไม่ทราบว่า.. องค์ชายทรงหมายถึงสิ่งใด” หิงสาอาตมันระงับสติ แตะไหล่ปรามหลานชายของตน
“ท่านต้องการครอบครององค์ตุมพะทะนานทอง แต่พ่ายแพ้ในพิธีชุมนุมสิบสองนักษัตร สิทธิ์นี้จึงตกเป็นของเมืองปตานี.. แต่เราสามารถช่วยได้ ให้ท่านได้สิทธิ์นี้กลับไป”
หิงสาอาตมันและกัมพะทมิฬนึกไม่ถึงจะได้ยินเรื่องเช่นนี้ องค์ตุมพะทะนานทองคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดที่พวกตนต้องการ หลังการพ่ายแพ้พลาดตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตร พวกตนยังคิดมิออกว่าจะดำเนินการต่อไปเยี่ยงใด ครั้งนี้กลับได้ยินองค์ชายว่าที่รัชทายาทเมืองปตานีทรงประกาศจะหยิบยื่นสิทธิ์ดังกล่าวให้ จิตใจถึงกับหวั่นไหว.. แต่แล้วพลันระงับสติ ทูลกลับไปว่า
“เป็นไปไม่ได้.. ต่อให้ท่านขึ้นเป็นราชาแห่งปตานีก็ไม่สามารถประทานสิทธิ์นี้มาให้กับเมืองไทรบุรีได้”
“แล้วถ้าหากเราขึ้นเป็นองค์กษัตริย์แห่งเมืองนครศรีธรรมราชเล่า”
เป็นดำรัสที่ทำให้หิงสาอาตมันนิ่งอึ้ง เพ่งมองสีพักตร์และดวงเนตรมุ่งมั่นของผู้รับสั่ง ก่อนจะทูลว่า
“ท่านจะเป็นกษัตริย์แห่งเมืองนครฯ ได้อย่างไร และกษัตริย์แห่งเมืองนครฯ จะทรงใช้อำนาจเปลี่ยนแปลงสิทธิ์ของทิพราชาและเมืองปตานีได้เช่นไร”
องค์ชายอัศวเมฆทรงยิ้มอย่างมีเลศนัย ดวงเนตรเป็นประกาย
“คำตอบอยู่ที่ตัวท่าน เพียงท่านช่วยเรากระทำเรื่องหนึ่งให้สำเร็จ”
“เรื่องอันใด..”
องค์อาคันตุกะ รับสั่งอย่างเยือกเย็น
“กำจัดเจ้าทิพ.. อย่าให้มันเป็นอุปสรรคในการอภิเษกสมรสระหว่างเราและองค์หญิงวิสาณี จากนั้นเราจะใช้วิธี “
พิเศษ” ทำให้เมืองนครศรีธรรมราชต้องแต่งตั้งกษัตริย์พระองค์ใหม่ น้องสาวของสิงขรบัดนี้คือพระสนมองค์โปรดของพระเจ้าอยู่หัวแห่งนครอโยธยา เราจะให้พระนางช่วยเพ็ดทูลสนับสนุนเราผู้เป็นราชบุตรเขยขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเมืองนครฯ..
หากท่านช่วยเรากำจัดเจ้าทิพ ย่อมไม่มีทิพราชาอีกต่อไป เราจะสถาปนาหลานของท่าน กัมพะทมิฬผู้ได้อับดับรองในการประลองคัดเลือกให้เป็นราชาสิบสองนักษัตรสืบแทนต่อไป และมอบสิทธิ์ในการครอบครององค์ตุมพะแก่เมืองไทรบุรี.. เรื่องนี้เราย่อมหาวิธีกราบทูลพระเจ้าปตานีพระบิดาของเรามิให้ทรงทักท้วง ท่านช่วยเรา เราช่วยท่าน ทั้งสองฝ่ายต่างสมประโยชน์ และหากท่านอยากได้ตำแหน่งใดในเมืองนครฯ เราก็ยินดีมอบให้ท่าน.. ท่านแม้เป็นขุนพลใหญ่แห่งไทรบุรี แต่ก็เป็นเพียงเมืองบริวาร ไหนเลยจะสู้เมืองแม่ที่เป็นศูนย์กลางได้”
กัมพะทมิฬได้ยินว่าตนมีโอกาสจะได้เป็นราชาสิบสองนักษัตรอีกครั้ง หัวใจถึงกับพองโต หันไปมองผู้เป็นอา กลับเห็นอยู่ในอาการนิ่งสงบ คล้ายกำลังใคร่ครวญทบทวนเรื่องราวและข้อเสนอที่เพิ่งได้ยิน
แม่ทัพใหญ่ไทรบุรีไม่กล่าววาจา แต่เริ่มเดินวนเวียนไปมาช้าๆ จนทุกคนหันไปเพ่งมอง และรอคอย...
ในที่สุดจึงหยุดเดิน ตั้งหน้าตรง สบเนตรองค์ชายอัศวเมฆแล้วทูลว่า
“พระองค์กล้ามาก ที่ทรงเปิดเผยแผนการ “
อันแยบยล” ให้กระหม่อมรับรู้ แสดงว่าทรงมั่นหทัยมากว่ากระหม่อมจะยินยอมร่วมมือ.. วันนี้ พระองค์เพิ่งทรงเดินทางมาถึง ควรจะได้ประทับพักผ่อนให้สบายพระอิริยาบถเสียก่อน แล้ววันพรุ่งนี้กระหม่อมจะมาถวายคำตอบ พระเจ้าค่ะ”
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๕๙ แผนร้ายในเมืองไทรบุรี (๒)
บทที่ ๕๙ แผนร้ายในเมืองไทรบุรี (๒)
กองทัพเรือของโจฬะทมิฬเกรียงไกรอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย แม้ราชวงศ์ทุกลัคของชาวมุสลิมจะยึดครองแผ่นดินชมพูทวีปไว้ได้เกือบทั้งหมด แต่ก็มิกล้าต่อกรกับกองเรือของโจฬะทมิฬในท้องทะเล ทำให้การค้าขายในทะเลตะวันออกของอินเดียตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของโจฬะทมิฬ
พวกพ่อค้าที่ล่องเรือมายังฝั่งรามัญมักจะถูกกองเรือโจฬะทมิฬปล้นสะดม หากจะล่องลงมาค้าขายกับเมืองสิบสองนักษัตร ก็ต้องนำสินค้ามาขึ้นฝั่งที่ท่าไทรบุรีเท่านั้น จึงจะได้รับการคุ้มครอง เรือสินค้าเหล่านี้นอกจากชักธงประจำเมืองของตนแล้วยังต้องชักธงมะโรงนักษัตรคู่กันไปเป็นสัญลักษณ์ด้วย ทำให้การค้าของเมืองท่าไทรบุรีรุ่งเรืองขึ้น
หลังจากตกลงเรื่องค่าเช่าเพิงพักแล้ว พานอินและพวกก็ลงจากเรือนไป มีคนของสิกะพาไปยังที่พัก
“นายท่านคิดว่าเราต้องคอยตรวจสอบพานอินหรือไม่” เจ้าพนักงานคนที่นำจงเปียวและพวกมาพบถามขึ้น
สิกะส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “มิจำเป็น.. พานอินคนนี้เป็นคนฉลาด พูดจาตรงไปตรงมา มีเหตุผล ข้าชอบนัก”
บริเวณเพิงพัก มีพ่อค้าชนชาติต่างๆ เข้ามาเช่าอาศัยอยู่มากมาย แต่ละเพิงปลูกเว้นระยะห่างกันทำให้ไม่วุ่นวายจอแจ พานอินขอเพิงพักสองหลังใหญ่ใกล้กัน ยิ่งทำให้สิกะพึงพอใจในรายได้ค่าเช่าเพิงพัก เมื่อจงเปียวแยกออกไปแล้ว เจ้าทิพจึงกล่าวขึ้น
“ท่านพี่เคยบอกว่าจะช่วงชิงสินค้ากับไต้ซีหง ทำให้กองเรืออโยธยามีสินค้าไปเมืองจีนมากพอที่จะดึงดูดความสนใจของราชสำนักกรุงจีน แต่ตอนนี้ท่านพี่เปิดเผยแผนการให้ไต้ซีหงรู้.. เป็นเพราะข้าพเจ้าใช่หรือไม่ ท่านพี่จึงจำต้องเปลี่ยนแผนเพื่อช่วยเหลือข้าพเจ้า”
แม้จะอยู่ในคราบของนายแสง แต่น้ำเสียงนั้นขึงขัง แววตาหม่นหมอง ทำให้พานอินอดสะท้อนใจไม่ได้
“เจ้าอย่าได้คิดมากเลย การไปให้ถึงจุดหมายย่อมมีหนทางไปมากกว่าหนึ่งทางเสมอ.. การที่เราไม่ได้กว้านซื้อสินค้าตัดหน้าไต้ซีหงแล้วกลับมาร่วมมือกัน เราก็ได้ประโยชน์มากมาย อย่าลืมว่าพ่อค้าที่คุ้นเคยกับช่องทางการค้าในเมืองไทรบุรีมากที่สุดก็คือไต้ซีหง เขาเป็นคนบอกเราถึงเรื่องราวต่างๆ ไปจนถึงตัวสิกะและกลุ่มโจฬะทมิฬที่คุมการค้าอยู่ในเมือง ทำให้เรารู้ว่าต้องเดินหมากเยี่ยงไร...
ส่วนการซื้อสินค้าให้กองเรืออโยธยา เราจะใช้วิธีจองซื้อล่วงหน้าและทยอยสะสมสินค้าไว้ จะไปรอให้สินค้าจากชมพูทวีปมาขึ้นท่าแล้วไปแย่งซื้อตัดหน้าคงไม่เหมาะ.. ต้องปล่อยให้ไต้ซีหงได้สินค้าไป ส่วนเราก็ต้องหาสินค้าให้ได้ไม่น้อยไปกว่ากัน” พูดแล้วก็หัวเราะยิ้มแย้ม
ดูเหมือนในโลกนี้ จะไม่มีสิ่งใดมาทำให้พานอินอับจนได้ พานอินไม่เคยมองสิ่งใดเป็นปัญหา.. มีแต่เงื่อนไข ข้อจำกัด และโอกาส จากนั้นจึงเลือกและสร้างหนทางของตนเองขึ้น.. และมักเป็นหนทางที่เหมาะสมที่สุด
“ทำไมท่านพี่จึงต้องให้พวกเรามาอาศัยอยู่ในเพิงพักของนายท่าสิกะด้วย แล้วการลงมือต่อเรื่องราวต่างๆ จะมิยิ่งลำบากหรือ”
พานอินตบบ่าเจ้าทิพ “ยิ่งหนีห่าง ยิ่งถูกเพ่งเล็งสงสัย.. ยิ่งอยู่ใกล้ ยิ่งถูกละเลย เจ้าพอจะเข้าใจไหม”
เจ้าทิพครุ่นคิดตามคำ แล้วพานอินก็กล่าวต่ออีกว่า
“อีกอย่าง การจะสืบความลับใดๆ มีแต่เข้าไปใกล้ชิดกับแหล่งข้อมูลให้มากไว้ จึงเป็นการดี..”
------------------------------
ไม่นานพานอินก็เข้าไปสนิทสนมกับนายท่าสิกะ ทุกวันยามเย็นทั้งสองจะนั่งดื่มกินกันที่โถงเรือนทำงานของสิกะ และทุกครั้งจะมีนายแสงติดตามไปด้วย พานอินและนายแสงไม่ดื่มสุราแต่นำสุราเลิศรสที่ตนหาได้จากพวกพ่อค้าต่างเมืองต่างๆ มากำนัล ส่วนตนจะพกไหน้ำชามาดื่มด้วย
แรกๆ สิกะเคยถามว่า “เราดื่มสุรา ท่านดื่มน้ำชา จะดื่มร่วมกันได้อย่างไร”
แต่พานอินกลับตอบว่า “ท่านดื่มสุรา สนทนาปราศรัยกับผู้คนแล้วมีความสุข เพราะพวกเขาคล้อยตามท่านด้วยความเมามาย.. แต่ข้าสนทนากับท่านด้วยสติและตัวตนของข้า หากคุยกันแล้วท่านสุขใจก็เพราะท่านสนทนากับข้าพานอิน หาใช่คุยกับฤทธิ์สุราในตัวข้า”
สิกะย่อมมีความสุขเบิกบานทุกครั้งที่ได้สนทนากับพานอิน
...และพลอยเผื่อแผ่ความเมตตามายังนายแสงที่ติดตามไปด้วยทุกครั้ง
ยิ่งพานอินแนะนำตัวนายแสงว่าคือคนที่เคยช่วยชีวิตของตน ยอมดูดพิษงูออกจากร่าง ตนจึงให้ความรักประดุจเพื่อน หาใช่ดังลูกน้องบริวารทั่วไป ทำให้สิกะมอบความสนิทสนมไว้วางใจแก่นายแสงมากขึ้น
เวลาผ่านไปร่วมเดือน ความลับต่างๆ ที่เจ้าทิพต้องการทราบ ตั้งแต่เมื่อครั้ง ๑๓ ปีก่อน ถูกบอกเล่าออกมาเป็นระยะแม้จะไม่ปะติดปะต่อ แต่เจ้าทิพก็พอได้เค้าลางแล้ว...
หลังการประลองคัดเลือกราชาสิบสองนักษัตรเมื่อ ๑๓ ปีก่อน หิงสาอาตมันที่พลาดตำแหน่งก็พาคนขึ้นไปอโยธยาและกลับมาพร้อมอาการบาดเจ็บ ไม่มีอาการดีใจหรือเฉลิมฉลองใดๆ หลายปีต่อมาก็เคี่ยวเข็ญมุ่งมั่นให้กัมพะทมิฬที่เป็นหลานชายชิงชัยตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรให้จงได้
เจ้าทิพยังได้หาโอกาสสอบถามความกับบรรดาพ่อค้าต่างแดนที่มาอาศัยในเพิงพักของสิกะ พ่อค้าเหล่านี้ต่างสัญจรเข้าออกเมืองไทรบุรีนานนับสิบปี แต่ก็ไม่ได้เค้าเงื่อนใดเพิ่มเติม..
ดูเหมือนหิงสาอาตมันจะไม่ได้ครอบครององค์ตุมพะทะนานทอง
หลายครั้งพานอินจะแสร้งทำเป็นอยากประจบเอาใจหิงสาอาตมันผู้เป็นใหญ่เหนือชาวโจฬะทมิฬและมีอำนาจใหญ่โตในเมืองไทรบุรี โดยขอมอบสุราและของกำนัลฝากไปกับสิกะที่ต้องคอยไปเฝ้ารายงานเรื่องการค้าเป็นระยะ โดยให้นายแสงเป็นคนหอบหิ้วสิ่งของติดตามสิกะไป ทำให้นายแสงได้โอกาสลอบฟังเรื่องราวสนทนาต่างๆ มากบ้างน้อยบ้าง สิ่งใดที่ข้องใจก็จะแสร้งหยั่งถามเอากับสิกะในตอนกลับออกมา
หิงสาอาตมันจดจำเจ้าทิพในคราบชายวัย ๓๕ ปีศีรษะล้าน ใบหน้าใหญ่ไม่ได้ เช่นเดียวกับกัมพะทมิฬ
วันนี้เป็นอีกวันที่นายแสงมีโอกาสติดตามสิกะไปพบหิงสาอาตมัน เมื่อตนนำสุราขึ้นไปมอบให้บนเรือนแล้วก็ลงมารอคอยบริเวณเชิงบันได เพราะความที่ตนป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้บันไดจึงมักถูกไหว้วานให้ขึ้นไปบนเรือนอยู่เป็นประจำ
ไม่นานทหารที่เฝ้าอยู่ตรงประตูรั้วบ้านหิงสาอาตมันก็รีบวิ่งตรงมาที่ตน
“ท่านช่วยขึ้นไปเรียนนายท่าน ว่ากัมพะทมิฬกำลังมา”
“ได้ขอรับ” นายแสงรับคำ แล้วขึ้นบันไดไปบนเรือน
หิงสาอาตมันกำลังพูดคุยเรื่องจัดกองเรือทหารควบคุมกองเรือสินค้า ไม่มีเรื่องใดน่าสนใจเกี่ยวโยงไปถึงองค์ตุมพะทะนานทอง
“ข้าแต่ท่านแม่ทัพใหญ่ ทหารที่เฝ้าประตูบอกว่าเห็นขุนทัพกัมพะทมิฬกำลังตรงมา อีกสักครู่คงขึ้นเรือนมาพบท่าน”
“ดี” หิงสาอาตมันกล่าวสั้นๆ แม้กัมพะทมิฬที่เป็นหลานรักจะเป็นผู้เดียวที่สามารถขึ้นมาบนเรือนได้โดยพละการ แต่บรรดาทหารอารักขาก็ยังต้องแจ้งให้นายใหญ่ของตนได้รู้ตัวไว้
ไม่นานกัมพะทมิฬก็ปรากฏกายขึ้นบนเรือน ใบหน้าเคร่งขรึม เอาจริงเอาจัง เดินปราดไปนั่งบนม้าตัวยาวที่ว่างอยู่ทางด้านขวา ไม่สนใจสิกะที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายของผู้เป็นอาตน กล่าวขึ้นว่า
“ท่านอา.. มีแขกคนสำคัญมาขอพบท่าน” แสยะปากยิ้ม ก่อนกล่าวต่อว่า “จากปตานี”
ตากลมโตของหิงสาอาตมันลุกพองขึ้นทันทีที่ได้ยินว่าเป็น.. คนสำคัญจากปตานี
“เป็นผู้ใด”
“องค์ชายอัศวเมฆและสิงขร ข้าให้คนพาสองคนนั้นไปรอท่านที่...”
หิงสาอาตมันพลันชูมือห้ามขึ้น เป็นสัญญาณให้หยุดพูด
“สิกะ ท่านกลับไปก่อนแล้ววันหลังข้าจะให้คนไปเชิญมาหารือต่อ”
“ได้ขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่”
สิกะลาลงเรือนไป พร้อมกับนายแสงที่นั่งรอทีอยู่หลังจากขึ้นเรือนมาแจ้งข้อความ
------------------------------
“หึ หึ.. ไม่ทราบว่าองค์ชายมีพระประสงค์สิ่งใดให้กระหม่อมรับใช้ จึงทรงดั้นด้นมาถึงเมืองไทรบุรี.. หากทราบล่วงหน้ากระหม่อมจะได้เตรียมการรับเสด็จให้สมพระเกียรติยศ” หิงสาอาตมันทูลขึ้นเมื่อมาปรากฏตัวยังที่พักรับรองขององค์ชายแห่งปตานี
องค์ชายอัศวเมฆทรงยืนขึ้นพร้อมสิงขร แต่กลับเป็นสิงขรองครักษ์ประจำพระองค์ที่ชิงท้วงขึ้น ด้วยมิพอใจ
“ท่านอย่ามัวแต่เล่นลิ้นเลย ท่านก็เห็นอยู่ว่าพระองค์มิทรงประสงค์ให้การเสด็จมาพบท่านเป็นที่เปิดเผย หาไม่แล้วคงมิต้องทรงแต่งองค์ดุจสามัญชนเช่นนี้”
“สามัญชนที่รุ่มรวยหรือ.. สวมใส่พระธำมรงค์งดงามตระการตาอย่างยิ่ง... ฮาฮา”
หิงสาอาตมันยังคงกล่าวเยาะ
“หึ.. พวกเจ้าพ่ายแพ้แม้แต่คนอายุเพียง ๑๖ ปีที่ถูกวางยาพิษ นอกจากไม่ละอายใจแล้ว.. ยังจะมาเยาะเย้ยฝ่ายเราที่คอยช่วยเหลืออีกหรือ” สิงขรตอบโต้
“เจ้าบังอาจนัก.. ที่นี่คือเมืองไทรบุรี มิใช่ปตานีดินแดนที่พวกเจ้าจะมาวางอำนาจได้ และถ้าไม่ใช่เพราะพวกเราช่วยพาหมอปุญญามาหลบซ่อน พวกเจ้าก็คงคอขาดกันไปหมดแล้ว” กัมพะทมิฬระเบิดอารมณ์ขึ้นทันทีที่ถูกกล่าวอ้างถึงความพ่ายแพ้ของตน
“พวกท่านหยุดเถอะ เรามาเพื่อสมประโยชน์ของพวกท่าน หาใช่มาให้พวกท่านระรานหรือถากถางกันไปมา” องค์ชายอัศวเมฆรับสั่งขึ้น ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลาย
“สมประโยชน์ของข้าหรือ ไม่ทราบว่า.. องค์ชายทรงหมายถึงสิ่งใด” หิงสาอาตมันระงับสติ แตะไหล่ปรามหลานชายของตน
“ท่านต้องการครอบครององค์ตุมพะทะนานทอง แต่พ่ายแพ้ในพิธีชุมนุมสิบสองนักษัตร สิทธิ์นี้จึงตกเป็นของเมืองปตานี.. แต่เราสามารถช่วยได้ ให้ท่านได้สิทธิ์นี้กลับไป”
หิงสาอาตมันและกัมพะทมิฬนึกไม่ถึงจะได้ยินเรื่องเช่นนี้ องค์ตุมพะทะนานทองคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดที่พวกตนต้องการ หลังการพ่ายแพ้พลาดตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตร พวกตนยังคิดมิออกว่าจะดำเนินการต่อไปเยี่ยงใด ครั้งนี้กลับได้ยินองค์ชายว่าที่รัชทายาทเมืองปตานีทรงประกาศจะหยิบยื่นสิทธิ์ดังกล่าวให้ จิตใจถึงกับหวั่นไหว.. แต่แล้วพลันระงับสติ ทูลกลับไปว่า
“เป็นไปไม่ได้.. ต่อให้ท่านขึ้นเป็นราชาแห่งปตานีก็ไม่สามารถประทานสิทธิ์นี้มาให้กับเมืองไทรบุรีได้”
“แล้วถ้าหากเราขึ้นเป็นองค์กษัตริย์แห่งเมืองนครศรีธรรมราชเล่า”
เป็นดำรัสที่ทำให้หิงสาอาตมันนิ่งอึ้ง เพ่งมองสีพักตร์และดวงเนตรมุ่งมั่นของผู้รับสั่ง ก่อนจะทูลว่า
“ท่านจะเป็นกษัตริย์แห่งเมืองนครฯ ได้อย่างไร และกษัตริย์แห่งเมืองนครฯ จะทรงใช้อำนาจเปลี่ยนแปลงสิทธิ์ของทิพราชาและเมืองปตานีได้เช่นไร”
องค์ชายอัศวเมฆทรงยิ้มอย่างมีเลศนัย ดวงเนตรเป็นประกาย
“คำตอบอยู่ที่ตัวท่าน เพียงท่านช่วยเรากระทำเรื่องหนึ่งให้สำเร็จ”
“เรื่องอันใด..”
องค์อาคันตุกะ รับสั่งอย่างเยือกเย็น
“กำจัดเจ้าทิพ.. อย่าให้มันเป็นอุปสรรคในการอภิเษกสมรสระหว่างเราและองค์หญิงวิสาณี จากนั้นเราจะใช้วิธี “พิเศษ” ทำให้เมืองนครศรีธรรมราชต้องแต่งตั้งกษัตริย์พระองค์ใหม่ น้องสาวของสิงขรบัดนี้คือพระสนมองค์โปรดของพระเจ้าอยู่หัวแห่งนครอโยธยา เราจะให้พระนางช่วยเพ็ดทูลสนับสนุนเราผู้เป็นราชบุตรเขยขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเมืองนครฯ..
หากท่านช่วยเรากำจัดเจ้าทิพ ย่อมไม่มีทิพราชาอีกต่อไป เราจะสถาปนาหลานของท่าน กัมพะทมิฬผู้ได้อับดับรองในการประลองคัดเลือกให้เป็นราชาสิบสองนักษัตรสืบแทนต่อไป และมอบสิทธิ์ในการครอบครององค์ตุมพะแก่เมืองไทรบุรี.. เรื่องนี้เราย่อมหาวิธีกราบทูลพระเจ้าปตานีพระบิดาของเรามิให้ทรงทักท้วง ท่านช่วยเรา เราช่วยท่าน ทั้งสองฝ่ายต่างสมประโยชน์ และหากท่านอยากได้ตำแหน่งใดในเมืองนครฯ เราก็ยินดีมอบให้ท่าน.. ท่านแม้เป็นขุนพลใหญ่แห่งไทรบุรี แต่ก็เป็นเพียงเมืองบริวาร ไหนเลยจะสู้เมืองแม่ที่เป็นศูนย์กลางได้”
กัมพะทมิฬได้ยินว่าตนมีโอกาสจะได้เป็นราชาสิบสองนักษัตรอีกครั้ง หัวใจถึงกับพองโต หันไปมองผู้เป็นอา กลับเห็นอยู่ในอาการนิ่งสงบ คล้ายกำลังใคร่ครวญทบทวนเรื่องราวและข้อเสนอที่เพิ่งได้ยิน
แม่ทัพใหญ่ไทรบุรีไม่กล่าววาจา แต่เริ่มเดินวนเวียนไปมาช้าๆ จนทุกคนหันไปเพ่งมอง และรอคอย...
ในที่สุดจึงหยุดเดิน ตั้งหน้าตรง สบเนตรองค์ชายอัศวเมฆแล้วทูลว่า
“พระองค์กล้ามาก ที่ทรงเปิดเผยแผนการ “อันแยบยล” ให้กระหม่อมรับรู้ แสดงว่าทรงมั่นหทัยมากว่ากระหม่อมจะยินยอมร่วมมือ.. วันนี้ พระองค์เพิ่งทรงเดินทางมาถึง ควรจะได้ประทับพักผ่อนให้สบายพระอิริยาบถเสียก่อน แล้ววันพรุ่งนี้กระหม่อมจะมาถวายคำตอบ พระเจ้าค่ะ”
(มีต่อ)