.
บทที่ ๕๙ แผนร้ายในเมืองไทรบุรี (๑)
พิธีสมโภชทิพราชา ราชาสิบสองนักษัตรเสร็จสิ้นลง...
พระเจ้านครศรีธรรมราชและพระราชธิดาเสด็จกลับสู่เมืองนครฯ พร้อมบรรดาขุนนาง
หลังจากส่งเสด็จองค์กษัตริย์ผู้เป็นใหญ่เหนือคาบสมุทรสุวรรณภูมิแล้ว ราชาแห่งเมืองนักษัตรบางพระองค์ประทับอยู่ต่อไปอีกระยะ แต่หลายพระองค์เริ่มเสด็จออกจากเมืองปตานี
คำสั่งถึงป่าปฏักให้วราพญาสัตว์พ้นโทษก็ถูกส่งออกไปเช่นกัน...
เจ้าทิพเคยรับปากวราว่าจะตามหาวายุราชาผู้เป็นน้องชาย แต่เพราะเงื่อนเวลา ๒ ปีที่มีต่อองค์หญิงวิสาณี อีกทั้งรับรู้จากบันทึกของวายุราชาว่าองค์ตุมพะทะนานทองซึ่งถูกโจรกรรมอีกครั้งจากหอกลองกลางเมืองสุพรรณภูมิ มิได้อยู่ที่วายุราชา... หากอาจอยู่กับผู้ต้องสงสัยหนึ่งในสองคนคือหิงสาอาตมันและพราหมณ์กุณฑกัญจ ทำให้ตนตัดสินใจมุ่งหน้าสืบค้นจากสองคนนี้ก่อน แล้วจึงค่อยออกติดตามหาตัววายุราชาต่อไป
บางทีหิงสาอาตมันอาจต้องการเพียง “ความชอบธรรม” ของตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรก็เป็นได้ หากหลานชายได้ตำแหน่ง มินานคงประกาศการครอบครององค์ตุมพะทะนานทองออกมา...
แต่สำหรับพราหมณ์กุณฑกัญจ เจ้าทิพกลับมิอาจหาเหตุผลใดมารองรับได้.. ทำไมพราหมณ์กุณฑกัญจจึงต้องลอบสอนวิชาให้กับตน ทำไมจึงถูกระบุว่าเป็นผู้แย่งชิงองค์ตุมพะทะนานทองเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่สุพรรณภูมิ และทำไมต้องหนีหายออกจากเมืองนครศรีธรรมราช.. ตลอด ๓ เดือนที่ผ่านมา ไม่มีผู้ใดจะได้พบเจอ ไม่มีผู้ใดจะได้รู้ว่าพราหมณ์กุณฑกัญจไปอยู่แห่งหนใด..
กลางเส้นทางสัญจรสู่เมืองไทรบุรี ในยามโพล้เพล้ดูวังเวงพิกล มีเพียงเสียงม้าควบผสานกับเสียงนกและลิงค่างบนยอดไม้ในราวป่า
เจ้าทิพควบม้าสีนิลเพียงลำพังเดียวดาย
ก่อนพลบค่ำเจ้าทิพได้แต่มองหาบ้านเรือนผู้คนที่อยู่อาศัยตามรายทางเพื่อขอพักค้างแรม ชายหนุ่มรู้เพียงเส้นทางแต่มิรู้สภาพทาง จุดนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองปตานีราว ๒ โยชน์ครึ่ง (
๔๐ กิโลเมตร) ตนพาสีนิลห้อออกจากเมืองตั้งแต่ก่อนย่ำรุ่งเพื่อหลบหลีกผู้คน อย่างไรเสียก็ต้องให้สีนิลได้พัก รับหญ้าและน้ำ
ขณะหมดหวังพลันเห็นเส้นทางเบื้องหน้ายืนไว้ด้วยคนและม้า เมื่อควบเข้าไปใกล้พอจะดูออกว่าแต่งกายคล้ายพวกพ่อค้าต่างเมือง..ซึ่งเจ้าทิพคอยหลบเลี่ยงด้วยเกรงจะจดจำตนได้ จึงเร่งม้าจะผ่านไป
“ทิพราชา.. นายของข้าขอน้อมเชิญท่าน”
เสียงตะโกนเรียกชื่อทำให้เจ้าทิพถึงกับสะดุ้ง ชะลอม้าแล้ววกกายหันไปดู
ชายคนดังกล่าว ขึ้นม้าแล้วเริ่มขี่เข้าไปในทางแยกเล็กด้านขวามือ ซึ่งเจ้าทิพมิได้สังเกตเห็นแต่แรกว่ามีทางแยกจากถนนใหญ่ ด้วยมัวแต่ก้มหน้าเบี่ยงหลบไปด้านซ้าย
ขณะลังเลใจ ได้ยินเสียงเร่งเร้าขึ้น..
“ท่านรีบตามมาเถิด นายของข้าคือคนที่ท่านรู้จักเป็นอย่างดี”
เจ้าทิพตัดสินใจควบม้าเข้าทางแยกเล็กติดตามไป
ไม่นานได้ยินเสียงลำน้ำ และเห็นกลุ่มคนตั้งค่ายพักอยู่ตรงลานกลางราวป่าเบื้องหน้า ค่ายที่พักชั่วคราวเป็นลักษณะปักเสาไม้ลงดินสี่มุมพร้อมผูกเชือกยึดตรึงกับพื้นให้มั่นคง แล้วขึงเชือกมัดหัวเสาด้านบนยึดโยงต่อกันเป็นกรอบสี่เหลี่ยม มีผ้าหนาคลุมพาดระหว่างเชือกที่ขึงไว้ลงมาปิดด้านข้างสองฝั่ง กลายเป็นหลังคาและผนังสองข้าง ด้านหน้าและด้านหลังเปิดโล่ง ยกเว้นที่พักหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง มีผ้าคลุมมิดชิดทั้งสี่ด้าน ซึ่งเดาว่าเป็นที่พักของผู้เป็นหัวหน้า
ครั้นแล้วชายผู้หนึ่งเปิดผ้าคลุม เดินออกมาจากที่พักหลังใหญ่
...เป็นพานอิน
สักครู่จึงติดตามออกมาด้วยนายเรือง นายราบและนายเจต
ใบหน้าของพานอินประดับด้วยรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่นุ่มนวลและมีอำนาจ แต่สีหน้าของเจ้าทิพกลับผสมปนเปหลากหลายความรู้สึก ทั้งดีใจ ประหลาดใจ ตกใจ และผิดหวัง
“ไม่ดีใจหรือ..ที่ได้เจอพี่ชายของเจ้า” กล่าวแล้วกางแขนออก รอให้เจ้าทิพเข้าไปโอบกอด
ชายหนุ่มยิ้มไม่เต็มใบหน้า ลงจากหลังม้าไปสวมกอด
“คงแปลกใจสินะ ว่าทำไมเราจึงมารอเจ้าอยู่ตรงนี้ได้”
เจ้าทิพเม้มปากสนิท ผงกศีรษะรับ อย่างจำนน...
เมื่อหลายวันก่อนเจ้าทิพปฏิเสธที่จะรับความช่วยเหลือจากพานอิน และขอเดินทางออกจากปตานีเพียงลำพัง ทั้งยังมิบอกจุดหมายของเส้นทางด้วยต้องการรักษาเบาะแสเป็นความลับตามที่ได้ให้สัตย์สาบานไว้ ณ วิหารทะนานทอง ต่อมาพานอินก็ร่ำลาเพื่อออกเดินทางไปทำธุระสำคัญ ซึ่งเจ้าทิพคิดว่าอาจจะไม่ได้มีโอกาสพบเจอกันอีกหลายปี แต่แล้ว...
“เจ้านี่มันเดาออกง่ายมาก ทั้งยังไม่รู้จักวิธีกลบเกลื่อนปลอมแปลง เราจึงต้องมาดักรอให้บทเรียนสำคัญแก่เจ้า”
“แล้วธุระสำคัญของท่านพี่ที่เมืองพัทลุงเล่า”
“เราเคยบอกเจ้าหรือว่าจะไปพัทลุง..”
พานอินพูดแล้วก็ยิ้มกริ่ม
เจ้าทิพลืมตาโพลง ทบทวนเรื่องราว.. ใช่แล้ว พานอินไม่เคยบอกตนว่าจะไปที่ใด เพียงบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญและตนยังไม่ควรจะรู้ ตอนนั้นเพียงคิดว่าผู้เป็นพี่ชายอาจขัดเคืองที่ตนไม่ยอมบอกเล่าจุดหมายของเส้นทาง เลยพาลมิบอกกล่าวออกมาบ้าง แล้วตนก็ไปทราบจากนายเรืองว่าพานอินพูดถึงการเดินทางไปพัทลุงต้องใช้เวลากี่วัน ต้องเตรียมการอะไรบ้าง.. ที่แท้ตนถูกหลอก ไม่มีใครโกหกตน แต่ตนถูกเรื่องราวชักนำให้คิดผิดพลาดไปเอง
“การหลอกลวงผู้คนที่แนบเนียนที่สุด หาใช่การโกหกไม่ แต่เป็นการสร้างมโนสำนึกจากสภาพแวดล้อมให้คนผู้นั้นคิดไปเอง.. นั่นละ จึงฝังลึกและแนบเนียนที่สุด”
คำกล่าวของพานอินทำให้เจ้าทิพกระจ่างในกลอุบาย แต่การจะวางกับดักให้ผู้คนหลงกลกลับไม่ใช่เรื่องง่าย
“สติปัญญาของข้าพเจ้า ห่างไกลกับท่านพี่มากนัก.. ยิ่งเรื่องที่ท่านพี่มาดักรออยู่ที่นี่ ข้าพเจ้ายิ่งนึกไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นไปได้อย่างไร”
“น้องเรา เจ้าไม่บอกก็เหมือนบอก.. ปตานีเป็นเมืองท่า จะเดินทางไปเมืองไหนก็มักใช้เรือ แต่ตัวเจ้าไม่เคยไปติดต่อขอโดยสารเรือที่อ่าวปตานีเลย ม้าทาบสมุทรเจ้าก็ฝากไว้กับขุนพลสิงหล แต่ไม่มีทีท่าว่าจะฝากม้าสีนิลไว้กับผู้ใด มีเพียงเมืองเดียวที่เจ้าจะขี่ม้าไป คือเมืองไทรบุรี.. และเจ้าต้องออกแต่เช้ามืดเพื่อหลบผู้คน ดังนั้นเราคะเนว่ากำลังม้าคงพาเจ้ามาค่ำมืดอยู่แถวนี้”
เจ้าทิพเริ่มเข้าใจแล้ว...
“ที่จริงข้าพเจ้าควรจะไปที่ท่าเรือปากอ่าวปตานี ถามคนเรือต่างๆ.. เมื่อข้าพเจ้าหายตัวไป ผู้คนจะได้เข้าใจว่าออกทะเลไปยังเมืองใดเมืองหนึ่ง”
พูดเสร็จก็ถอนหายใจ สลดในความอ่อนด้อยของตน ก่อนจะถามต่อว่า “ท่านพี่ให้คนไปดักรอที่ปากทางแยกถนนใหญ่.. เหมือนท่านรู้ว่าข้าพเจ้ากำลังมาถึงในตอนนี้”
“เจ้าดู” พานอินยกมือขึ้นชี้ไปทางชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกล
เจ้าทิพจำได้ ตอนที่ตนหยุดพักริมทางตอนเที่ยง ชายคนนี้ขี่ม้าผ่านตนไป “ที่แท้เขาเป็นคนของท่านพี่”
“จากปตานีถึงที่นี่ เราวางคนไว้ ๔ จุด จุดละ ๒ คน เป็นคนจากกองเรือสินค้าอโยธยาที่เจ้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน เมื่อเจ้าขี่ม้าออกจากเมืองมา คนของเราก็จะพบเห็น เราสั่งให้ทุกคนคอยสกัดและหาเรื่องถ่วงเวลาผู้คนที่เดินทางมาในเส้นทางสายนี้ เพื่อมิให้ติดตามทันและเกิดพบเห็นเจ้า ส่วนชายคนที่เราชี้ให้เจ้าดู เขาอยู่ในจุดที่สอง ทำหน้าที่ติดตามเจ้า เมื่อเจ้าหยุดพักเขาจึงขี่ม้าผ่านเจ้ามา และได้เปลี่ยนม้าตัวใหม่ในจุดที่สามและจุดที่สี่ เขามาถึงก่อนเจ้าไม่นาน และรายงานเราว่าเจ้ากำลังมา”
“ข้าพเจ้าถูกผู้คนจดจำได้ง่ายดายเช่นนี้เลยหรือ”
พานอินหัวเราะ ส่ายหน้า “เจ้าคิดว่าแค่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้วจะไม่มีใครจดจำได้หรือ.. ผู้คนมากมายเห็นเจ้าขี่ม้าสีนิลในการประลอง เจ้าไม่รู้จักเขา แต่เขารู้จักเจ้า.. คงต้องรอให้เวลาผ่านไปสัก ๖ เดือนหรือ ๑ ปี บางทีตอนนั้นเจ้าแต่งกายคล้ายคนสามัญ ผู้คนอาจจะจำเจ้าไม่ได้แล้ว”
เจ้าทิพถึงกับหน้าสลด เพียงก้าวแรกของการออกเดินทางตามหาองค์ตุมพะทะนานทองก็พลาดพลั้งแล้ว
“ที่ไทรบุรี... คงมีคนจำข้าพเจ้าได้ไม่ยาก”
พลันผ้าคลุมที่พักก็เปิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับร่างผอมเล็กที่คุ้นตาปรากฏออกมา
ไต้ซีหง...
ขณะที่เจ้าทิพยังงุนงงอยู่นั้น พานอินก็กล่าวขึ้น
“ข้าเชิญท่านซีหงมา เพื่อช่วยดัดแปลงรูปลักษณ์ของเจ้าให้ผิดแผกออกไป.. เจ้าจะยินดีหรือไม่”
เจ้าทิพจำได้ อาจือกงเคยเล่าให้ฟังว่าไต้ซีหงมีความสามารถตกแต่งใบหน้าผู้คนให้แปลกตาออกไป ตัวไต้ซีหงเองบางครั้งก็แปลงรูปโฉมของตนเมื่อต้องเดินทางไปสืบเรื่องราวยังเมืองต่างๆ แต่ทำไมพานอินจึงสามารถเชิญไต้ซีหงออกมาได้.. หรือว่าบางทีท่านอาจือกงจะเคยบอกให้ผู้แทนการค้าของท่านได้รับรู้ว่าพานอินคือใคร
ไต้ซีหงมิได้มาเพียงลำพังแต่ยังนำลูกน้องบริวารมามากมาย
“ข้าพเจ้ายินดี” ในใจแม้คิดสงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล แต่ปากกล่าวรับคำทันที
------------------------------
พานอินมักชมชอบนั่งสนทนารอบกองไฟกับลูกน้องคู่ใจ ย่างอาหารกินกันไป คุยกันไป รอบวงตอนนี้มีนายเรือง นายราบ นายเจต และล่ามแปลภาษาจีนอีกผู้หนึ่ง ทั้งหมดนั่งอยู่ทางด้านขวามือ เว้นฝั่งซ้ายไว้ให้เจ้าทิพและไต้ซีหง
สักครู่มีชายศีรษะล้านเลี่ยนอายุราว ๓๐-๔๐ ปี เดินประคองไหสุราเข้ามา บนปากไหวางไว้ด้วยถาดที่มีจอกใบเล็กหลายใบ แต่ละใบรินสุราไว้แล้ว
“ท่านไต้ซีหงให้ข้านำสุรามาให้พวกท่าน สักครู่ท่านจะตามมาพร้อมเจ้าทิพ” เสียงแหบพร่า สำเนียงแปร่งตามลักษณะของคนจีนที่มาปักหลักอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิที่พูดภาษาถิ่นไม่ชัด
“ข้าไม่ดื่ม... พวกเจ้าดื่มกันเถอะ แต่อย่าให้เมา” พานอินผายมือเป็นเชิงบอกให้ส่งเหล้าแก่พวกนายเรือง
“ขอรับ พวกข้าทราบดี” นายเรืองรับคำ ด้วยทราบว่าพานอินไม่ชมชอบสุราและถือสาเรื่องการเมาสุราขาดสติเป็นที่สุด
ชายศีรษะล้านเดินอ้อมไป ประคองไหพร้อมถาดให้กับนายเรืองและพวกหยิบจอกขึ้นมา
จอกสุราถูกยกขึ้นชูแล้วจรดเข้ากับริมฝีปาก
“อย่าดื่มสุรา...” พานอินตะโกนลั่น “เจ้าไม่ใช่คนในคณะของไต้ซีหง”
จอกสุราถูกเหวี่ยงทิ้งทันที นายเรืองและพวกฉวยดาบจากข้างกายทะลึ่งพรวดลุกขึ้น หันไปประจันหน้ากับชายศีรษะล้านพร้อมดาบที่ชักออกจากฝัก
ปลายดาบทั้งสามเล่มชี้เฉียงไปยังบุคคลต้องสงสัย
“หึ หึ...” เสียงหัวเราะแหบพร่าพร้อมอาการแสยะยิ้ม ส่อสำแดงพิรุธเล่ห์กล
“เจ้าเป็นใคร บังอาจแฝงกายเข้ามาในที่นี้...” นายเรืองตะโกนลั่นคาดคั้น ชั่วพริบตาก็มีปลายดาบอีกราวสิบเล่มมารุมล้อมชายศีรษะล้านไว้ตรงกลาง
แต่แล้วพานอินกลับสั่งขึ้นด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป มิได้ดุดันดังเมื่อสักครู่ “พวกเจ้าเก็บดาบให้หมด” แล้วเดินแหวกม่านดาบที่ยังไม่พร้อมจะวางลง เข้ามายืนเผชิญหน้ากับชายศีรษะล้านในวงล้อม
นายเรืองและพวกเกรงเจ้านายของตนจะเป็นอันตราย คิดจะขัดขวางแต่พานอินยกมือขึ้นห้ามด้วยอำนาจ
สีหน้าของพานอินประดับด้วยรอยยิ้มอีกครา ยื่นมือเข้าไปจับไหล่ของชายศีรษะล้านเลี่ยน
“น้องเราคงลำบากใจมากแล้ว.. ที่ต้องโกนศีรษะแปลงรูปโฉม”
“ท่านคือ เจ้าทิพ...” นายเรืองและพวกอุทานขึ้นแทบจะพร้อมกัน
------------------------------
แสงประทีปในพระตำหนักขององค์ชายอัศวเมฆสว่างไสว แต่ผู้เป็นเจ้าของพระตำหนักกลับทรงเมามาย
“เอาน้ำราดลงไปให้สร่างเมาเดี๋ยวนี้” เสียงพระมเหสีผู้เสด็จมาเยือนรับสั่งขึ้น
สิงขรรีบกระทำตามพระบัญชา ไม่นานองค์ชายใหญ่แห่งปตานีก็ทรงฟื้นคืนสติ
“พอหลุดพ้นจากคดีก็เอาแต่ดื่มเมรัยจากเช้าจรดค่ำ.. ทำตัวเยี่ยงนี้คิดหรือว่าจะรอดพ้นหูตาราชสำนักเมืองนครฯ ที่ยังกลับเมืองกันไม่หมด หากเรื่องนี้ไปถึงพระกรรณพระเจ้านครฯ หากมิโปรดขึ้นมา อย่าหวังว่าพระองค์จะพระราชทานพระธิดาให้”
“พระมารดา..” พระสุรเสียงขององค์ชายยังคงงัวเงีย แต่ก็ทรงได้สติพอจะกราบทูล “นางมิได้รักข้า.. นางบอกจะรอเจ้าเลือดชั่ว หากมันกลับมาพร้อมองค์ตุมพะทะนานทอง มันก็จะได้ทุกอย่างไป.. แล้วข้าล่ะ” รับสั่งแล้วก็ทรงเหวี่ยงกรปัดจอกสุรากระเด็นออกไป
“เจ้าหยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว มีหรือที่เจ้าทิพจะนำองค์ตุมพะทะนานทองกลับมาได้ ขนาดเขมราชาและวายุราชายังเอาตัวเองกลับมาไม่ได้ นับประสาอะไรกับเด็กเมื่อวานซืนที่ไม่เคยเดินทางไกลออกพ้นจากเมืองนครฯ กับปตานี.. แค่พาตัวเองให้รอดกลับมาก็บุญแล้ว”
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๕๙ แผนร้ายในเมืองไทรบุรี (๑)
บทที่ ๕๙ แผนร้ายในเมืองไทรบุรี (๑)
พิธีสมโภชทิพราชา ราชาสิบสองนักษัตรเสร็จสิ้นลง...
พระเจ้านครศรีธรรมราชและพระราชธิดาเสด็จกลับสู่เมืองนครฯ พร้อมบรรดาขุนนาง
หลังจากส่งเสด็จองค์กษัตริย์ผู้เป็นใหญ่เหนือคาบสมุทรสุวรรณภูมิแล้ว ราชาแห่งเมืองนักษัตรบางพระองค์ประทับอยู่ต่อไปอีกระยะ แต่หลายพระองค์เริ่มเสด็จออกจากเมืองปตานี
คำสั่งถึงป่าปฏักให้วราพญาสัตว์พ้นโทษก็ถูกส่งออกไปเช่นกัน...
เจ้าทิพเคยรับปากวราว่าจะตามหาวายุราชาผู้เป็นน้องชาย แต่เพราะเงื่อนเวลา ๒ ปีที่มีต่อองค์หญิงวิสาณี อีกทั้งรับรู้จากบันทึกของวายุราชาว่าองค์ตุมพะทะนานทองซึ่งถูกโจรกรรมอีกครั้งจากหอกลองกลางเมืองสุพรรณภูมิ มิได้อยู่ที่วายุราชา... หากอาจอยู่กับผู้ต้องสงสัยหนึ่งในสองคนคือหิงสาอาตมันและพราหมณ์กุณฑกัญจ ทำให้ตนตัดสินใจมุ่งหน้าสืบค้นจากสองคนนี้ก่อน แล้วจึงค่อยออกติดตามหาตัววายุราชาต่อไป
บางทีหิงสาอาตมันอาจต้องการเพียง “ความชอบธรรม” ของตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรก็เป็นได้ หากหลานชายได้ตำแหน่ง มินานคงประกาศการครอบครององค์ตุมพะทะนานทองออกมา...
แต่สำหรับพราหมณ์กุณฑกัญจ เจ้าทิพกลับมิอาจหาเหตุผลใดมารองรับได้.. ทำไมพราหมณ์กุณฑกัญจจึงต้องลอบสอนวิชาให้กับตน ทำไมจึงถูกระบุว่าเป็นผู้แย่งชิงองค์ตุมพะทะนานทองเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่สุพรรณภูมิ และทำไมต้องหนีหายออกจากเมืองนครศรีธรรมราช.. ตลอด ๓ เดือนที่ผ่านมา ไม่มีผู้ใดจะได้พบเจอ ไม่มีผู้ใดจะได้รู้ว่าพราหมณ์กุณฑกัญจไปอยู่แห่งหนใด..
กลางเส้นทางสัญจรสู่เมืองไทรบุรี ในยามโพล้เพล้ดูวังเวงพิกล มีเพียงเสียงม้าควบผสานกับเสียงนกและลิงค่างบนยอดไม้ในราวป่า
เจ้าทิพควบม้าสีนิลเพียงลำพังเดียวดาย
ก่อนพลบค่ำเจ้าทิพได้แต่มองหาบ้านเรือนผู้คนที่อยู่อาศัยตามรายทางเพื่อขอพักค้างแรม ชายหนุ่มรู้เพียงเส้นทางแต่มิรู้สภาพทาง จุดนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองปตานีราว ๒ โยชน์ครึ่ง (๔๐ กิโลเมตร) ตนพาสีนิลห้อออกจากเมืองตั้งแต่ก่อนย่ำรุ่งเพื่อหลบหลีกผู้คน อย่างไรเสียก็ต้องให้สีนิลได้พัก รับหญ้าและน้ำ
ขณะหมดหวังพลันเห็นเส้นทางเบื้องหน้ายืนไว้ด้วยคนและม้า เมื่อควบเข้าไปใกล้พอจะดูออกว่าแต่งกายคล้ายพวกพ่อค้าต่างเมือง..ซึ่งเจ้าทิพคอยหลบเลี่ยงด้วยเกรงจะจดจำตนได้ จึงเร่งม้าจะผ่านไป
“ทิพราชา.. นายของข้าขอน้อมเชิญท่าน”
เสียงตะโกนเรียกชื่อทำให้เจ้าทิพถึงกับสะดุ้ง ชะลอม้าแล้ววกกายหันไปดู
ชายคนดังกล่าว ขึ้นม้าแล้วเริ่มขี่เข้าไปในทางแยกเล็กด้านขวามือ ซึ่งเจ้าทิพมิได้สังเกตเห็นแต่แรกว่ามีทางแยกจากถนนใหญ่ ด้วยมัวแต่ก้มหน้าเบี่ยงหลบไปด้านซ้าย
ขณะลังเลใจ ได้ยินเสียงเร่งเร้าขึ้น..
“ท่านรีบตามมาเถิด นายของข้าคือคนที่ท่านรู้จักเป็นอย่างดี”
เจ้าทิพตัดสินใจควบม้าเข้าทางแยกเล็กติดตามไป
ไม่นานได้ยินเสียงลำน้ำ และเห็นกลุ่มคนตั้งค่ายพักอยู่ตรงลานกลางราวป่าเบื้องหน้า ค่ายที่พักชั่วคราวเป็นลักษณะปักเสาไม้ลงดินสี่มุมพร้อมผูกเชือกยึดตรึงกับพื้นให้มั่นคง แล้วขึงเชือกมัดหัวเสาด้านบนยึดโยงต่อกันเป็นกรอบสี่เหลี่ยม มีผ้าหนาคลุมพาดระหว่างเชือกที่ขึงไว้ลงมาปิดด้านข้างสองฝั่ง กลายเป็นหลังคาและผนังสองข้าง ด้านหน้าและด้านหลังเปิดโล่ง ยกเว้นที่พักหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง มีผ้าคลุมมิดชิดทั้งสี่ด้าน ซึ่งเดาว่าเป็นที่พักของผู้เป็นหัวหน้า
ครั้นแล้วชายผู้หนึ่งเปิดผ้าคลุม เดินออกมาจากที่พักหลังใหญ่
...เป็นพานอิน
สักครู่จึงติดตามออกมาด้วยนายเรือง นายราบและนายเจต
ใบหน้าของพานอินประดับด้วยรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่นุ่มนวลและมีอำนาจ แต่สีหน้าของเจ้าทิพกลับผสมปนเปหลากหลายความรู้สึก ทั้งดีใจ ประหลาดใจ ตกใจ และผิดหวัง
“ไม่ดีใจหรือ..ที่ได้เจอพี่ชายของเจ้า” กล่าวแล้วกางแขนออก รอให้เจ้าทิพเข้าไปโอบกอด
ชายหนุ่มยิ้มไม่เต็มใบหน้า ลงจากหลังม้าไปสวมกอด
“คงแปลกใจสินะ ว่าทำไมเราจึงมารอเจ้าอยู่ตรงนี้ได้”
เจ้าทิพเม้มปากสนิท ผงกศีรษะรับ อย่างจำนน...
เมื่อหลายวันก่อนเจ้าทิพปฏิเสธที่จะรับความช่วยเหลือจากพานอิน และขอเดินทางออกจากปตานีเพียงลำพัง ทั้งยังมิบอกจุดหมายของเส้นทางด้วยต้องการรักษาเบาะแสเป็นความลับตามที่ได้ให้สัตย์สาบานไว้ ณ วิหารทะนานทอง ต่อมาพานอินก็ร่ำลาเพื่อออกเดินทางไปทำธุระสำคัญ ซึ่งเจ้าทิพคิดว่าอาจจะไม่ได้มีโอกาสพบเจอกันอีกหลายปี แต่แล้ว...
“เจ้านี่มันเดาออกง่ายมาก ทั้งยังไม่รู้จักวิธีกลบเกลื่อนปลอมแปลง เราจึงต้องมาดักรอให้บทเรียนสำคัญแก่เจ้า”
“แล้วธุระสำคัญของท่านพี่ที่เมืองพัทลุงเล่า”
“เราเคยบอกเจ้าหรือว่าจะไปพัทลุง..”
พานอินพูดแล้วก็ยิ้มกริ่ม
เจ้าทิพลืมตาโพลง ทบทวนเรื่องราว.. ใช่แล้ว พานอินไม่เคยบอกตนว่าจะไปที่ใด เพียงบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญและตนยังไม่ควรจะรู้ ตอนนั้นเพียงคิดว่าผู้เป็นพี่ชายอาจขัดเคืองที่ตนไม่ยอมบอกเล่าจุดหมายของเส้นทาง เลยพาลมิบอกกล่าวออกมาบ้าง แล้วตนก็ไปทราบจากนายเรืองว่าพานอินพูดถึงการเดินทางไปพัทลุงต้องใช้เวลากี่วัน ต้องเตรียมการอะไรบ้าง.. ที่แท้ตนถูกหลอก ไม่มีใครโกหกตน แต่ตนถูกเรื่องราวชักนำให้คิดผิดพลาดไปเอง
“การหลอกลวงผู้คนที่แนบเนียนที่สุด หาใช่การโกหกไม่ แต่เป็นการสร้างมโนสำนึกจากสภาพแวดล้อมให้คนผู้นั้นคิดไปเอง.. นั่นละ จึงฝังลึกและแนบเนียนที่สุด”
คำกล่าวของพานอินทำให้เจ้าทิพกระจ่างในกลอุบาย แต่การจะวางกับดักให้ผู้คนหลงกลกลับไม่ใช่เรื่องง่าย
“สติปัญญาของข้าพเจ้า ห่างไกลกับท่านพี่มากนัก.. ยิ่งเรื่องที่ท่านพี่มาดักรออยู่ที่นี่ ข้าพเจ้ายิ่งนึกไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นไปได้อย่างไร”
“น้องเรา เจ้าไม่บอกก็เหมือนบอก.. ปตานีเป็นเมืองท่า จะเดินทางไปเมืองไหนก็มักใช้เรือ แต่ตัวเจ้าไม่เคยไปติดต่อขอโดยสารเรือที่อ่าวปตานีเลย ม้าทาบสมุทรเจ้าก็ฝากไว้กับขุนพลสิงหล แต่ไม่มีทีท่าว่าจะฝากม้าสีนิลไว้กับผู้ใด มีเพียงเมืองเดียวที่เจ้าจะขี่ม้าไป คือเมืองไทรบุรี.. และเจ้าต้องออกแต่เช้ามืดเพื่อหลบผู้คน ดังนั้นเราคะเนว่ากำลังม้าคงพาเจ้ามาค่ำมืดอยู่แถวนี้”
เจ้าทิพเริ่มเข้าใจแล้ว...
“ที่จริงข้าพเจ้าควรจะไปที่ท่าเรือปากอ่าวปตานี ถามคนเรือต่างๆ.. เมื่อข้าพเจ้าหายตัวไป ผู้คนจะได้เข้าใจว่าออกทะเลไปยังเมืองใดเมืองหนึ่ง”
พูดเสร็จก็ถอนหายใจ สลดในความอ่อนด้อยของตน ก่อนจะถามต่อว่า “ท่านพี่ให้คนไปดักรอที่ปากทางแยกถนนใหญ่.. เหมือนท่านรู้ว่าข้าพเจ้ากำลังมาถึงในตอนนี้”
“เจ้าดู” พานอินยกมือขึ้นชี้ไปทางชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกล
เจ้าทิพจำได้ ตอนที่ตนหยุดพักริมทางตอนเที่ยง ชายคนนี้ขี่ม้าผ่านตนไป “ที่แท้เขาเป็นคนของท่านพี่”
“จากปตานีถึงที่นี่ เราวางคนไว้ ๔ จุด จุดละ ๒ คน เป็นคนจากกองเรือสินค้าอโยธยาที่เจ้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน เมื่อเจ้าขี่ม้าออกจากเมืองมา คนของเราก็จะพบเห็น เราสั่งให้ทุกคนคอยสกัดและหาเรื่องถ่วงเวลาผู้คนที่เดินทางมาในเส้นทางสายนี้ เพื่อมิให้ติดตามทันและเกิดพบเห็นเจ้า ส่วนชายคนที่เราชี้ให้เจ้าดู เขาอยู่ในจุดที่สอง ทำหน้าที่ติดตามเจ้า เมื่อเจ้าหยุดพักเขาจึงขี่ม้าผ่านเจ้ามา และได้เปลี่ยนม้าตัวใหม่ในจุดที่สามและจุดที่สี่ เขามาถึงก่อนเจ้าไม่นาน และรายงานเราว่าเจ้ากำลังมา”
“ข้าพเจ้าถูกผู้คนจดจำได้ง่ายดายเช่นนี้เลยหรือ”
พานอินหัวเราะ ส่ายหน้า “เจ้าคิดว่าแค่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้วจะไม่มีใครจดจำได้หรือ.. ผู้คนมากมายเห็นเจ้าขี่ม้าสีนิลในการประลอง เจ้าไม่รู้จักเขา แต่เขารู้จักเจ้า.. คงต้องรอให้เวลาผ่านไปสัก ๖ เดือนหรือ ๑ ปี บางทีตอนนั้นเจ้าแต่งกายคล้ายคนสามัญ ผู้คนอาจจะจำเจ้าไม่ได้แล้ว”
เจ้าทิพถึงกับหน้าสลด เพียงก้าวแรกของการออกเดินทางตามหาองค์ตุมพะทะนานทองก็พลาดพลั้งแล้ว
“ที่ไทรบุรี... คงมีคนจำข้าพเจ้าได้ไม่ยาก”
พลันผ้าคลุมที่พักก็เปิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับร่างผอมเล็กที่คุ้นตาปรากฏออกมา
ไต้ซีหง...
ขณะที่เจ้าทิพยังงุนงงอยู่นั้น พานอินก็กล่าวขึ้น
“ข้าเชิญท่านซีหงมา เพื่อช่วยดัดแปลงรูปลักษณ์ของเจ้าให้ผิดแผกออกไป.. เจ้าจะยินดีหรือไม่”
เจ้าทิพจำได้ อาจือกงเคยเล่าให้ฟังว่าไต้ซีหงมีความสามารถตกแต่งใบหน้าผู้คนให้แปลกตาออกไป ตัวไต้ซีหงเองบางครั้งก็แปลงรูปโฉมของตนเมื่อต้องเดินทางไปสืบเรื่องราวยังเมืองต่างๆ แต่ทำไมพานอินจึงสามารถเชิญไต้ซีหงออกมาได้.. หรือว่าบางทีท่านอาจือกงจะเคยบอกให้ผู้แทนการค้าของท่านได้รับรู้ว่าพานอินคือใคร
ไต้ซีหงมิได้มาเพียงลำพังแต่ยังนำลูกน้องบริวารมามากมาย
“ข้าพเจ้ายินดี” ในใจแม้คิดสงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล แต่ปากกล่าวรับคำทันที
------------------------------
พานอินมักชมชอบนั่งสนทนารอบกองไฟกับลูกน้องคู่ใจ ย่างอาหารกินกันไป คุยกันไป รอบวงตอนนี้มีนายเรือง นายราบ นายเจต และล่ามแปลภาษาจีนอีกผู้หนึ่ง ทั้งหมดนั่งอยู่ทางด้านขวามือ เว้นฝั่งซ้ายไว้ให้เจ้าทิพและไต้ซีหง
สักครู่มีชายศีรษะล้านเลี่ยนอายุราว ๓๐-๔๐ ปี เดินประคองไหสุราเข้ามา บนปากไหวางไว้ด้วยถาดที่มีจอกใบเล็กหลายใบ แต่ละใบรินสุราไว้แล้ว
“ท่านไต้ซีหงให้ข้านำสุรามาให้พวกท่าน สักครู่ท่านจะตามมาพร้อมเจ้าทิพ” เสียงแหบพร่า สำเนียงแปร่งตามลักษณะของคนจีนที่มาปักหลักอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิที่พูดภาษาถิ่นไม่ชัด
“ข้าไม่ดื่ม... พวกเจ้าดื่มกันเถอะ แต่อย่าให้เมา” พานอินผายมือเป็นเชิงบอกให้ส่งเหล้าแก่พวกนายเรือง
“ขอรับ พวกข้าทราบดี” นายเรืองรับคำ ด้วยทราบว่าพานอินไม่ชมชอบสุราและถือสาเรื่องการเมาสุราขาดสติเป็นที่สุด
ชายศีรษะล้านเดินอ้อมไป ประคองไหพร้อมถาดให้กับนายเรืองและพวกหยิบจอกขึ้นมา
จอกสุราถูกยกขึ้นชูแล้วจรดเข้ากับริมฝีปาก
“อย่าดื่มสุรา...” พานอินตะโกนลั่น “เจ้าไม่ใช่คนในคณะของไต้ซีหง”
จอกสุราถูกเหวี่ยงทิ้งทันที นายเรืองและพวกฉวยดาบจากข้างกายทะลึ่งพรวดลุกขึ้น หันไปประจันหน้ากับชายศีรษะล้านพร้อมดาบที่ชักออกจากฝัก
ปลายดาบทั้งสามเล่มชี้เฉียงไปยังบุคคลต้องสงสัย
“หึ หึ...” เสียงหัวเราะแหบพร่าพร้อมอาการแสยะยิ้ม ส่อสำแดงพิรุธเล่ห์กล
“เจ้าเป็นใคร บังอาจแฝงกายเข้ามาในที่นี้...” นายเรืองตะโกนลั่นคาดคั้น ชั่วพริบตาก็มีปลายดาบอีกราวสิบเล่มมารุมล้อมชายศีรษะล้านไว้ตรงกลาง
แต่แล้วพานอินกลับสั่งขึ้นด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป มิได้ดุดันดังเมื่อสักครู่ “พวกเจ้าเก็บดาบให้หมด” แล้วเดินแหวกม่านดาบที่ยังไม่พร้อมจะวางลง เข้ามายืนเผชิญหน้ากับชายศีรษะล้านในวงล้อม
นายเรืองและพวกเกรงเจ้านายของตนจะเป็นอันตราย คิดจะขัดขวางแต่พานอินยกมือขึ้นห้ามด้วยอำนาจ
สีหน้าของพานอินประดับด้วยรอยยิ้มอีกครา ยื่นมือเข้าไปจับไหล่ของชายศีรษะล้านเลี่ยน
“น้องเราคงลำบากใจมากแล้ว.. ที่ต้องโกนศีรษะแปลงรูปโฉม”
“ท่านคือ เจ้าทิพ...” นายเรืองและพวกอุทานขึ้นแทบจะพร้อมกัน
------------------------------
แสงประทีปในพระตำหนักขององค์ชายอัศวเมฆสว่างไสว แต่ผู้เป็นเจ้าของพระตำหนักกลับทรงเมามาย
“เอาน้ำราดลงไปให้สร่างเมาเดี๋ยวนี้” เสียงพระมเหสีผู้เสด็จมาเยือนรับสั่งขึ้น
สิงขรรีบกระทำตามพระบัญชา ไม่นานองค์ชายใหญ่แห่งปตานีก็ทรงฟื้นคืนสติ
“พอหลุดพ้นจากคดีก็เอาแต่ดื่มเมรัยจากเช้าจรดค่ำ.. ทำตัวเยี่ยงนี้คิดหรือว่าจะรอดพ้นหูตาราชสำนักเมืองนครฯ ที่ยังกลับเมืองกันไม่หมด หากเรื่องนี้ไปถึงพระกรรณพระเจ้านครฯ หากมิโปรดขึ้นมา อย่าหวังว่าพระองค์จะพระราชทานพระธิดาให้”
“พระมารดา..” พระสุรเสียงขององค์ชายยังคงงัวเงีย แต่ก็ทรงได้สติพอจะกราบทูล “นางมิได้รักข้า.. นางบอกจะรอเจ้าเลือดชั่ว หากมันกลับมาพร้อมองค์ตุมพะทะนานทอง มันก็จะได้ทุกอย่างไป.. แล้วข้าล่ะ” รับสั่งแล้วก็ทรงเหวี่ยงกรปัดจอกสุรากระเด็นออกไป
“เจ้าหยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว มีหรือที่เจ้าทิพจะนำองค์ตุมพะทะนานทองกลับมาได้ ขนาดเขมราชาและวายุราชายังเอาตัวเองกลับมาไม่ได้ นับประสาอะไรกับเด็กเมื่อวานซืนที่ไม่เคยเดินทางไกลออกพ้นจากเมืองนครฯ กับปตานี.. แค่พาตัวเองให้รอดกลับมาก็บุญแล้ว”
(มีต่อ)