เพิ่งเขียนได้สั้นๆ ค่ะ คุณผู้อ่าน
แต่ลิห่างหายจากเรื่องนี้ไปนาน เกรงว่าคุณผู้อ่านจะรอนาน จึงเอามาลงให้อ่านทันทีที่เขียนเสร็จ แล้วลิจะรีบปั่นตอนต่อไปในเร็ววันนะคะ
ตอนเดิม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ตอนก่อนหน้า
https://ppantip.com/topic/36795162
https://ppantip.com/topic/36815263
https://ppantip.com/topic/36819926
https://ppantip.com/topic/36829151
https://ppantip.com/topic/36841457
https://ppantip.com/topic/36850268
https://ppantip.com/topic/36863915
https://ppantip.com/topic/36909449
https://ppantip.com/topic/36935879
https://ppantip.com/topic/36982621
https://ppantip.com/topic/37015394
ลวงอำมหิต
โดย...ล. วิลิศมาหรา
“มาร์ธา”
ทันทีที่จำทุกอย่างได้ หัวใจของเอมิลี่ก็เต้นอย่างเจ็บปวดอยู่ในอก เป็นเวลาถึงสิบกว่าปีที่เธอใช้ชีวิตคู่อยู่กับพอล แต่กลับไม่เคยระแคะระคายเลยว่าเขามีความลับอันน่ากลัวซุกซ่อนอยู่ พอลปกปิดมันไว้มิดชิด สู้ทนเก็บงำและคอยหลบหลีกจากการไล่ล่าของจีนตามลำพัง เธอไม่ได้โกรธเขาเลยแม้แต่น้อยที่เขาไม่ยอมบอกความจริง หากกำลังคิดว่าเขาคงต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน ซึ่งเมื่อคิดแล้วก็ได้แต่เสียใจที่ตัวเองไม่อาจแบ่งเบาความทุกข์นั้นมาได้บ้าง พอลคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพอย่างในตอนนี้ ถ้าหากเขาไม่มารักกันกับเธอเข้า จนถึงขั้นสร้างครอบครัวร่วมกัน
“ฉันจำได้ทั้งหมดแล้ว...จำได้แล้ว”
หญิงชราละสายตาจากนอกหน้าต่างมามองใบหน้าซีดเซียวในเงาสลัว แววตาสุขุมเยือกเย็นทำให้เอมิลี่รู้สึกอุ่นใจขึ้นบ้าง อย่างน้อยเธอสามคนก็ยังพอมีที่พึ่ง
“โอ้ พระเจ้า ที่แท้พวกเขาอยู่ข้างล่างนี่เอง”
สีหน้ามาร์ธาหนักแน่นราวเหล็กกล้าขณะพยักหน้ารับ
“ความจำเธอคืนมาทันเวลาพอดี...พวกนั้นน่ะ ดูเหมือนจะตกลงกันไม่ได้แน่ จีนคงทำได้แค่ช่วยถ่วงเวลาเอาไว้”
หล่อนหันมองออกไปข้างนอกหน้าต่างอีกครั้ง พูดเหมือนบ่น เอมิลี่หันมองตาม ที่นั่นจีนยังคงเจรจาอยู่กับชายร่างอ้วนหัวเถิกล้านที่มีท่าทางคล้ายเป็นผู้นำกลุ่ม แอนนาถูกผลักจนเซมายืนอยู่ทางฟากของจีน แสดงว่าจีนเจรจาให้ยุติการลงโทษแอนนาได้สำเร็จ แต่ในขณะเดียวกัน กลุ่มคนเหล่านั้นก็เริ่มขยับเข้ามาใกล้ตัวบ้านมากขึ้น
“ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์มักแย่งกันเป็นผู้นำกลุ่ม แย่งกันเป็นจ่าฝูง เจสันรอโอกาสนี้มานานแล้ว”
หญิงชราสูดหายใจลึก วางมือบนบ่าอีกฝ่ายก่อนบอกเหมือนตัดสินใจเด็ดขาดว่า
“เราต้องไปกันแล้วล่ะ มาเถอะ”
ร่างท้วมผละจากหน้าต่างไปที่ตู้เสื้อผ้า หล่อนโยนเสื้อโค้ตกับรองเท้าบู้ตหุ้มข้อให้เอมิลี่ ส่วนตัวเองก็รีบสวมใส่พวกมันอย่างรวดเร็ว ก่อนไปที่กรอบรูปสไตล์วิคตอเรียพิลึกพิลั่นซึ่งแขวนประดับอยู่ข้างฝาห้อง สูงระดับศีรษะพอดี มืออวบเอื้อมไปกดลงบนปุ่มหัวน็อตที่ใช้แขวนภาพ ครั้นแล้วหญิงสาวก็ได้ยินเสียงครืดดังขึ้นเบาๆ ใต้เตียง เธอก้มลงมองแสงไฟสว่างที่ส่องผ่านขึ้นมาจากช่องกว้างขนาดตัวคนลอดลงไปได้ ซึ่งปรากฏขึ้นใต้เตียงสี่เสาอย่างยินดี จำได้ว่าช่องนี้เองที่พอลกับลิซ่ารีบมุดตัวลงไปก่อนที่จีนกับพวกเจสันจะเข้ามาในห้องคืนนั้น และบัดนี้มาร์ธาคงตัดสินใจจะพาเธอไปพบกับสองคนนั้นแล้ว
“มุดลงไปเลย”
ไม่ต้องให้บอกซ้ำสอง เอมิลี่คลานเข้าใต้เตียงแล้วหย่อนตัวลงไปในช่องทันที รู้สึกว่าเท้าตัวเองสัมผัสกับขั้นบันไดปูน และเมื่อลงมาได้ทั้งตัว เธอก็เห็นบันไดปูนทอดยาวลงไปในอุโมงค์ใต้ดินที่มีขนาดกว้างพอดู หญิงสาวก้าวเท้าลงไปตามบันไดอย่างไม่ลังเล
มาร์ธาตามลงมาติดๆ หญิงชรากดปุ่มข้างผนังปิดปากช่องลับให้สนิท ก่อนลงบันไดมาหาเอมิลี่ที่กวาดตามองอุโมงค์ทางเดินอย่างทึ่งปนฉงน มันมีลักษณะเป็นอุโมงค์ทำด้วยซีเมนต์ทอดยาวตรงไปข้างหน้า กว้างพอเดินสองคนได้สบาย มีแสงสว่างจากดวงไฟข้างผนังส่องทางเป็นระยะ มันคงติดขึ้นมาเองทันทีที่ปากช่องทางลับถูกเปิดออก
“ฉันกับจีนสร้างมันขึ้นมาเอง คิดว่าวันหนึ่งคงได้ใช้มัน แล้วก็ได้ใช้จริงๆ”
หล่อนบอกแล้วแตะแขนชวนเธอเดินไปตามอุโมงค์ เสียงพูดของมาร์ธาดังก้องแม้เพียงแค่พูดกระซิบ ได้ยินเสียงฝีเท้าเธอสองคนดังสะท้อนไปมาภายใต้บรรยากาศอับชื้นและหนักอึ้งชวนง่วงนอน จากออกซิเจนที่มีอยู่น้อย แสงสลัวชวนให้ยิ่งรู้สึกอึดอัด
“อุโมงค์นี้ทะลุไปไหน”
เอมิลี่เอ่ยถามพลางเหลียวมองหน้าหลังระแวดระวัง สถานการณ์ตอนนี้แม้ค่อนข้างไว้ใจในตัวหญิงชรา แต่ทุกอย่างที่นี่ดูผิดเพี้ยนไปหมด มันลึกลับซับซ้อนจนยากที่จะเชื่อใจอะไรได้ง่ายๆ
“มันทะลุไปออกในโรงนาเก่าท้ายหมู่บ้าน ด้านหลังโรงนาติดกับถ้ำในภูเขาลูกที่กั้นระหว่างตัวเมืองอัลบัลคาลกับหมู่บ้านนี้ เราสามคน...ฉัน พอลกับโรเบิร์ต เคยใช้ถ้ำนั้นเป็นห้องทดลองอยู่หลายปี ฉันกับพอลเคยลองเข้าไปสำรวจข้างในถ้ำ เราคิดว่ามันสามารถทะลุไปออกอีกด้านของภูเขาได้ ซึ่งน่าจะเป็นที่ชานเมืองอัลบัลคาล ตอนนี้ถึงเวลาต้องวัดดวงกันแล้ว เราจะพากันหนีไปทางนั้น เป็นทางเดียวที่จะหลบพ้นจากสายตาพวกของเจสันกับแม็คได้”
“เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน” เอมิลี่หยุดเดินแล้วอุทานเสียงดัง
“เมื่อกี้เธอว่าอะไรนะ ช่องลับนั่นจีนก็รู้ด้วยเหรอ” หญิงสาวขมวดคิ้วถาม
“รู้สิ หล่อนนั่นแหละสั่งให้ฉันทำ”
มาร์ธาเหยียดริมฝีปากเกือบเป็นยิ้ม พยักหน้าแล้วดึงแขนเธอให้เดินต่อ
“ถ้าอย่างนั้น จีนก็รู้น่ะสิว่าเราหนีมาทางนี้” แต่หญิงสาวขืนตัวไว้ จ้องหน้าอีกฝ่ายพลางถามเสียงหลง ตกลงเธอจะเชื่อใจใครได้บ้างล่ะนี่
“คิดสิคิด...” หญิงชราถอนใจแล้วพูดเสียงสูง
“เธอคิดว่าจีนไม่รู้อะไรเลยอย่างนั้นเหรอ ไม่รู้ว่าเธอแกล้งความจำเสื่อม ไม่รู้ว่าฉันแอบช่วยเธอ ไม่รู้กระทั่งว่าเรากำลังจะพากันหนี” หล่อนย้อนถามเสียงจริงจัง
“จีนตั้งใจช่วยพวกเธอตั้งแต่แรกแล้ว รู้ไหม”
เอมิลี่ตะลึงอึ้งอีกครั้ง!
“เธอรู้แล้วนี่ว่าพอลเคยเป็นใคร และพวกเธอพ่อแม่ลูกมีความสำคัญต่อพวกชาวบ้านยังไง เธอคิดว่าพวกเขาจะปล่อยให้เธอสามคนลอยนวลอยู่ได้งั้นเหรอ จีนทัดทานเจสันไว้และเฝ้าดูพวกเธอมาตลอด แถมบางครั้งยังแอบช่วยพอลอีกด้วย แต่คราวนี้มันจำเป็น ถ้าจีนไม่รีบพาพอลกลับมาพวกเจสันก็กำลังคิดจะไปลากตัวเขากลับมาอยู่แล้ว”
“อย่างนี้นี่เอง...จีนก็เลยรับจะจัดการให้เสียเอง” เอมิลี่เบิ่งตาโต ครางเสียงหวิว
“ใช่ จีนยังไม่อยากเสียพวกเธอไป หล่อนมีความหวังว่าเธอสามคนจะเป็นสมาชิกรุ่นใหม่ของเผ่าพันธุ์ตัวเอง สิ่งมีชีวิตประหลาดใกล้สูญพันธุ์อย่างพวกของจีนสืบพันธุ์ไม่ได้ ได้แต่แพร่เชื้อจากการกัด แต่คนที่กลายมาเป็นพวกด้วยวิธีกัดก็ไม่อาจมีวิวัฒนาการได้เหมือนกับพวกเธอ จีนหวังจะกล่อมพวกเธอมาเป็นพวกให้ได้ ” มาร์ธาพูดเร็วเหมือนรู้ว่าเวลามีไม่มาก
“แต่พวกของเจสันไม่คิดแบบนั้น ฉันถึงบอกว่าจีนกำลังถ่วงเวลาไว้เพื่อให้เราหนีไปถึงที่ซึ่งปลอดภัยที่สุด เธอยอมให้เราหนีไป พอเข้าใจหรือยัง เอาล่ะ ไม่มีเวลาอธิบายอะไรอีกแล้ว เราต้องรีบไปสมทบกับพวกพอลที่ห้องทดลองในถ้ำ ที่นั่นมีแค่ฉันกับพอลที่รู้รหัสเปิดประตูเหล็กได้ แต่อีกไม่นานหรอก เมื่อเจสันรู้ว่าพวกเรากำลังจะไปไหน แม็คก็คงหาวิธีเปิดประตูจนได้ แล้วไล่ตามเราไป”
มาร์ธาพาเอมิลี่เดินกึ่งวิ่งมาตามอุโมงค์คดเคี้ยวไปมา ทอดยาวไปข้างหน้าราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุด อาการหายใจอึดอัดจากความเบาบางของออกซิเจนในตอนแรกๆ เริ่มรู้สึกหายใจโล่งขึ้น ซึ่งนั่นแสดงว่าพวกเธอคงใกล้จะถึงปากทางอุโมงค์อีกด้านหนึ่งแล้ว หญิงจากออลวีนลอบสังเกตคนข้างตัว เห็นซีกหน้าคร่ำเคร่งมีเหงื่อผุดขึ้นเต็ม ความเร็วของฝีเท้าลดลงเรื่อยๆ แต่หล่อนก็ไม่ปริปากบ่นว่าเหนื่อยและไม่ยอมหยุดพัก
รู้สึกตัวเองเป็นหนี้บุญคุณหญิงชราผู้นี้มากมาย ดูเหมือนหล่อนทุ่มเทช่วยเหลือเธอกับครอบครัวโดยไม่หวั่นถึงอันตรายอะไรเลย ไม่ถามเซ้าซี้กวนใจหล่อนอีก ซึ่งมาร์ธาเองก็ดูเหมือนจะพอใจ หล่อนคงอยากไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว
“ใกล้พ้นอุโมงค์แล้วล่ะ พระเจ้า ขออย่าให้เจสันรู้ตัวก่อนที่เราจะไปถึงปากถ้ำด้วยเถิด”
มาร์ธาพึมพำ เอมิลี่เหลียวมองหน้าคนพูดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ถ้าเป็นแบบนั้น แล้ว...แล้วจีนจะช่วยเราไหม”
ถามอย่างเสียวสยอง เพราะถ้าถึงเวลานั้นเข้าจริง แม้หญิงผมดำจะยอมช่วยพวกเธอ แต่ตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกโชคดีอะไรเลย ไม่ว่าจะถูกใครได้ตัวไปก็ตาม
“เรื่องนั้นฉันไม่รู้หรอก ฉันไม่รู้ว่าเมื่อจีนยอมให้เจสันเข้าไปหาเราในห้องแล้วต่อไปจะเป็นอย่างไร แต่ฉันสังหรณ์ใจว่าจีนไม่น่าจะปิดเรื่องช่องลับได้อีก เพราะไม่มีทางที่เราสองคนจะล่องหนหายไปจากสายตาพวกเขาที่อยู่รอบบ้านได้ คงเป็นโรเบิร์ตที่บอกกลไกข้างในห้องออกมา เขาย้ายข้างไปอยู่ฝั่งเจสันนานแล้ว และถ้าความลับถูกเปิดเผย ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ระหว่างจีนกับเจสันจะเป็นยังไงต่อไป”
เอมิลี่คิดว่าใบหน้าของตัวเองคงขาวซีดอย่างน่าสมเพช มาร์ธาเหลือบมองแล้วจึงเปลี่ยนเรื่องพูด
“มาถึงปากอุโมงค์จนได้ ในที่สุดเราก็ทำสำเร็จ”
หล่อนชี้ไปยังความมืดมิดเมื่อพ้นรัศมีของแสงไฟซึ่งเห็นอยู่เบื้องหน้าไม่ไกล แต่ทันทีนั้นมาร์ธาก็ชะงักฝีเท้าลง ก่อนคว้าแขนหญิงสาวรั้งไว้ให้หยุดเดิน
“หยุดก่อน ฉันได้ยินเสียงคนเดินมา”
สองหญิงพากันเขม้นมองไปยังปลายแสงสว่างของดวงไฟดวงสุดท้ายบนผนังปูนปากอุโมงค์ ประสาทสั่งการให้เตรียมพร้อมเพื่อออกวิ่ง...ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะวิ่งหนีไปไหนได้พ้น!
จบตอน.
ลวงอำมหิต (เหยื่อ) ตอนที่ 12
แต่ลิห่างหายจากเรื่องนี้ไปนาน เกรงว่าคุณผู้อ่านจะรอนาน จึงเอามาลงให้อ่านทันทีที่เขียนเสร็จ แล้วลิจะรีบปั่นตอนต่อไปในเร็ววันนะคะ
ตอนเดิม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โดย...ล. วิลิศมาหรา
“มาร์ธา”
ทันทีที่จำทุกอย่างได้ หัวใจของเอมิลี่ก็เต้นอย่างเจ็บปวดอยู่ในอก เป็นเวลาถึงสิบกว่าปีที่เธอใช้ชีวิตคู่อยู่กับพอล แต่กลับไม่เคยระแคะระคายเลยว่าเขามีความลับอันน่ากลัวซุกซ่อนอยู่ พอลปกปิดมันไว้มิดชิด สู้ทนเก็บงำและคอยหลบหลีกจากการไล่ล่าของจีนตามลำพัง เธอไม่ได้โกรธเขาเลยแม้แต่น้อยที่เขาไม่ยอมบอกความจริง หากกำลังคิดว่าเขาคงต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน ซึ่งเมื่อคิดแล้วก็ได้แต่เสียใจที่ตัวเองไม่อาจแบ่งเบาความทุกข์นั้นมาได้บ้าง พอลคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพอย่างในตอนนี้ ถ้าหากเขาไม่มารักกันกับเธอเข้า จนถึงขั้นสร้างครอบครัวร่วมกัน
“ฉันจำได้ทั้งหมดแล้ว...จำได้แล้ว”
หญิงชราละสายตาจากนอกหน้าต่างมามองใบหน้าซีดเซียวในเงาสลัว แววตาสุขุมเยือกเย็นทำให้เอมิลี่รู้สึกอุ่นใจขึ้นบ้าง อย่างน้อยเธอสามคนก็ยังพอมีที่พึ่ง
“โอ้ พระเจ้า ที่แท้พวกเขาอยู่ข้างล่างนี่เอง”
สีหน้ามาร์ธาหนักแน่นราวเหล็กกล้าขณะพยักหน้ารับ
“ความจำเธอคืนมาทันเวลาพอดี...พวกนั้นน่ะ ดูเหมือนจะตกลงกันไม่ได้แน่ จีนคงทำได้แค่ช่วยถ่วงเวลาเอาไว้”
หล่อนหันมองออกไปข้างนอกหน้าต่างอีกครั้ง พูดเหมือนบ่น เอมิลี่หันมองตาม ที่นั่นจีนยังคงเจรจาอยู่กับชายร่างอ้วนหัวเถิกล้านที่มีท่าทางคล้ายเป็นผู้นำกลุ่ม แอนนาถูกผลักจนเซมายืนอยู่ทางฟากของจีน แสดงว่าจีนเจรจาให้ยุติการลงโทษแอนนาได้สำเร็จ แต่ในขณะเดียวกัน กลุ่มคนเหล่านั้นก็เริ่มขยับเข้ามาใกล้ตัวบ้านมากขึ้น
“ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์มักแย่งกันเป็นผู้นำกลุ่ม แย่งกันเป็นจ่าฝูง เจสันรอโอกาสนี้มานานแล้ว”
หญิงชราสูดหายใจลึก วางมือบนบ่าอีกฝ่ายก่อนบอกเหมือนตัดสินใจเด็ดขาดว่า
“เราต้องไปกันแล้วล่ะ มาเถอะ”
ร่างท้วมผละจากหน้าต่างไปที่ตู้เสื้อผ้า หล่อนโยนเสื้อโค้ตกับรองเท้าบู้ตหุ้มข้อให้เอมิลี่ ส่วนตัวเองก็รีบสวมใส่พวกมันอย่างรวดเร็ว ก่อนไปที่กรอบรูปสไตล์วิคตอเรียพิลึกพิลั่นซึ่งแขวนประดับอยู่ข้างฝาห้อง สูงระดับศีรษะพอดี มืออวบเอื้อมไปกดลงบนปุ่มหัวน็อตที่ใช้แขวนภาพ ครั้นแล้วหญิงสาวก็ได้ยินเสียงครืดดังขึ้นเบาๆ ใต้เตียง เธอก้มลงมองแสงไฟสว่างที่ส่องผ่านขึ้นมาจากช่องกว้างขนาดตัวคนลอดลงไปได้ ซึ่งปรากฏขึ้นใต้เตียงสี่เสาอย่างยินดี จำได้ว่าช่องนี้เองที่พอลกับลิซ่ารีบมุดตัวลงไปก่อนที่จีนกับพวกเจสันจะเข้ามาในห้องคืนนั้น และบัดนี้มาร์ธาคงตัดสินใจจะพาเธอไปพบกับสองคนนั้นแล้ว
“มุดลงไปเลย”
ไม่ต้องให้บอกซ้ำสอง เอมิลี่คลานเข้าใต้เตียงแล้วหย่อนตัวลงไปในช่องทันที รู้สึกว่าเท้าตัวเองสัมผัสกับขั้นบันไดปูน และเมื่อลงมาได้ทั้งตัว เธอก็เห็นบันไดปูนทอดยาวลงไปในอุโมงค์ใต้ดินที่มีขนาดกว้างพอดู หญิงสาวก้าวเท้าลงไปตามบันไดอย่างไม่ลังเล
มาร์ธาตามลงมาติดๆ หญิงชรากดปุ่มข้างผนังปิดปากช่องลับให้สนิท ก่อนลงบันไดมาหาเอมิลี่ที่กวาดตามองอุโมงค์ทางเดินอย่างทึ่งปนฉงน มันมีลักษณะเป็นอุโมงค์ทำด้วยซีเมนต์ทอดยาวตรงไปข้างหน้า กว้างพอเดินสองคนได้สบาย มีแสงสว่างจากดวงไฟข้างผนังส่องทางเป็นระยะ มันคงติดขึ้นมาเองทันทีที่ปากช่องทางลับถูกเปิดออก
“ฉันกับจีนสร้างมันขึ้นมาเอง คิดว่าวันหนึ่งคงได้ใช้มัน แล้วก็ได้ใช้จริงๆ”
หล่อนบอกแล้วแตะแขนชวนเธอเดินไปตามอุโมงค์ เสียงพูดของมาร์ธาดังก้องแม้เพียงแค่พูดกระซิบ ได้ยินเสียงฝีเท้าเธอสองคนดังสะท้อนไปมาภายใต้บรรยากาศอับชื้นและหนักอึ้งชวนง่วงนอน จากออกซิเจนที่มีอยู่น้อย แสงสลัวชวนให้ยิ่งรู้สึกอึดอัด
“อุโมงค์นี้ทะลุไปไหน”
เอมิลี่เอ่ยถามพลางเหลียวมองหน้าหลังระแวดระวัง สถานการณ์ตอนนี้แม้ค่อนข้างไว้ใจในตัวหญิงชรา แต่ทุกอย่างที่นี่ดูผิดเพี้ยนไปหมด มันลึกลับซับซ้อนจนยากที่จะเชื่อใจอะไรได้ง่ายๆ
“มันทะลุไปออกในโรงนาเก่าท้ายหมู่บ้าน ด้านหลังโรงนาติดกับถ้ำในภูเขาลูกที่กั้นระหว่างตัวเมืองอัลบัลคาลกับหมู่บ้านนี้ เราสามคน...ฉัน พอลกับโรเบิร์ต เคยใช้ถ้ำนั้นเป็นห้องทดลองอยู่หลายปี ฉันกับพอลเคยลองเข้าไปสำรวจข้างในถ้ำ เราคิดว่ามันสามารถทะลุไปออกอีกด้านของภูเขาได้ ซึ่งน่าจะเป็นที่ชานเมืองอัลบัลคาล ตอนนี้ถึงเวลาต้องวัดดวงกันแล้ว เราจะพากันหนีไปทางนั้น เป็นทางเดียวที่จะหลบพ้นจากสายตาพวกของเจสันกับแม็คได้”
“เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน” เอมิลี่หยุดเดินแล้วอุทานเสียงดัง
“เมื่อกี้เธอว่าอะไรนะ ช่องลับนั่นจีนก็รู้ด้วยเหรอ” หญิงสาวขมวดคิ้วถาม
“รู้สิ หล่อนนั่นแหละสั่งให้ฉันทำ”
มาร์ธาเหยียดริมฝีปากเกือบเป็นยิ้ม พยักหน้าแล้วดึงแขนเธอให้เดินต่อ
“ถ้าอย่างนั้น จีนก็รู้น่ะสิว่าเราหนีมาทางนี้” แต่หญิงสาวขืนตัวไว้ จ้องหน้าอีกฝ่ายพลางถามเสียงหลง ตกลงเธอจะเชื่อใจใครได้บ้างล่ะนี่
“คิดสิคิด...” หญิงชราถอนใจแล้วพูดเสียงสูง
“เธอคิดว่าจีนไม่รู้อะไรเลยอย่างนั้นเหรอ ไม่รู้ว่าเธอแกล้งความจำเสื่อม ไม่รู้ว่าฉันแอบช่วยเธอ ไม่รู้กระทั่งว่าเรากำลังจะพากันหนี” หล่อนย้อนถามเสียงจริงจัง
“จีนตั้งใจช่วยพวกเธอตั้งแต่แรกแล้ว รู้ไหม”
เอมิลี่ตะลึงอึ้งอีกครั้ง!
“เธอรู้แล้วนี่ว่าพอลเคยเป็นใคร และพวกเธอพ่อแม่ลูกมีความสำคัญต่อพวกชาวบ้านยังไง เธอคิดว่าพวกเขาจะปล่อยให้เธอสามคนลอยนวลอยู่ได้งั้นเหรอ จีนทัดทานเจสันไว้และเฝ้าดูพวกเธอมาตลอด แถมบางครั้งยังแอบช่วยพอลอีกด้วย แต่คราวนี้มันจำเป็น ถ้าจีนไม่รีบพาพอลกลับมาพวกเจสันก็กำลังคิดจะไปลากตัวเขากลับมาอยู่แล้ว”
“อย่างนี้นี่เอง...จีนก็เลยรับจะจัดการให้เสียเอง” เอมิลี่เบิ่งตาโต ครางเสียงหวิว
“ใช่ จีนยังไม่อยากเสียพวกเธอไป หล่อนมีความหวังว่าเธอสามคนจะเป็นสมาชิกรุ่นใหม่ของเผ่าพันธุ์ตัวเอง สิ่งมีชีวิตประหลาดใกล้สูญพันธุ์อย่างพวกของจีนสืบพันธุ์ไม่ได้ ได้แต่แพร่เชื้อจากการกัด แต่คนที่กลายมาเป็นพวกด้วยวิธีกัดก็ไม่อาจมีวิวัฒนาการได้เหมือนกับพวกเธอ จีนหวังจะกล่อมพวกเธอมาเป็นพวกให้ได้ ” มาร์ธาพูดเร็วเหมือนรู้ว่าเวลามีไม่มาก
“แต่พวกของเจสันไม่คิดแบบนั้น ฉันถึงบอกว่าจีนกำลังถ่วงเวลาไว้เพื่อให้เราหนีไปถึงที่ซึ่งปลอดภัยที่สุด เธอยอมให้เราหนีไป พอเข้าใจหรือยัง เอาล่ะ ไม่มีเวลาอธิบายอะไรอีกแล้ว เราต้องรีบไปสมทบกับพวกพอลที่ห้องทดลองในถ้ำ ที่นั่นมีแค่ฉันกับพอลที่รู้รหัสเปิดประตูเหล็กได้ แต่อีกไม่นานหรอก เมื่อเจสันรู้ว่าพวกเรากำลังจะไปไหน แม็คก็คงหาวิธีเปิดประตูจนได้ แล้วไล่ตามเราไป”
มาร์ธาพาเอมิลี่เดินกึ่งวิ่งมาตามอุโมงค์คดเคี้ยวไปมา ทอดยาวไปข้างหน้าราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุด อาการหายใจอึดอัดจากความเบาบางของออกซิเจนในตอนแรกๆ เริ่มรู้สึกหายใจโล่งขึ้น ซึ่งนั่นแสดงว่าพวกเธอคงใกล้จะถึงปากทางอุโมงค์อีกด้านหนึ่งแล้ว หญิงจากออลวีนลอบสังเกตคนข้างตัว เห็นซีกหน้าคร่ำเคร่งมีเหงื่อผุดขึ้นเต็ม ความเร็วของฝีเท้าลดลงเรื่อยๆ แต่หล่อนก็ไม่ปริปากบ่นว่าเหนื่อยและไม่ยอมหยุดพัก
รู้สึกตัวเองเป็นหนี้บุญคุณหญิงชราผู้นี้มากมาย ดูเหมือนหล่อนทุ่มเทช่วยเหลือเธอกับครอบครัวโดยไม่หวั่นถึงอันตรายอะไรเลย ไม่ถามเซ้าซี้กวนใจหล่อนอีก ซึ่งมาร์ธาเองก็ดูเหมือนจะพอใจ หล่อนคงอยากไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว
“ใกล้พ้นอุโมงค์แล้วล่ะ พระเจ้า ขออย่าให้เจสันรู้ตัวก่อนที่เราจะไปถึงปากถ้ำด้วยเถิด”
มาร์ธาพึมพำ เอมิลี่เหลียวมองหน้าคนพูดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ถ้าเป็นแบบนั้น แล้ว...แล้วจีนจะช่วยเราไหม”
ถามอย่างเสียวสยอง เพราะถ้าถึงเวลานั้นเข้าจริง แม้หญิงผมดำจะยอมช่วยพวกเธอ แต่ตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกโชคดีอะไรเลย ไม่ว่าจะถูกใครได้ตัวไปก็ตาม
“เรื่องนั้นฉันไม่รู้หรอก ฉันไม่รู้ว่าเมื่อจีนยอมให้เจสันเข้าไปหาเราในห้องแล้วต่อไปจะเป็นอย่างไร แต่ฉันสังหรณ์ใจว่าจีนไม่น่าจะปิดเรื่องช่องลับได้อีก เพราะไม่มีทางที่เราสองคนจะล่องหนหายไปจากสายตาพวกเขาที่อยู่รอบบ้านได้ คงเป็นโรเบิร์ตที่บอกกลไกข้างในห้องออกมา เขาย้ายข้างไปอยู่ฝั่งเจสันนานแล้ว และถ้าความลับถูกเปิดเผย ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ระหว่างจีนกับเจสันจะเป็นยังไงต่อไป”
เอมิลี่คิดว่าใบหน้าของตัวเองคงขาวซีดอย่างน่าสมเพช มาร์ธาเหลือบมองแล้วจึงเปลี่ยนเรื่องพูด
“มาถึงปากอุโมงค์จนได้ ในที่สุดเราก็ทำสำเร็จ”
หล่อนชี้ไปยังความมืดมิดเมื่อพ้นรัศมีของแสงไฟซึ่งเห็นอยู่เบื้องหน้าไม่ไกล แต่ทันทีนั้นมาร์ธาก็ชะงักฝีเท้าลง ก่อนคว้าแขนหญิงสาวรั้งไว้ให้หยุดเดิน
“หยุดก่อน ฉันได้ยินเสียงคนเดินมา”
สองหญิงพากันเขม้นมองไปยังปลายแสงสว่างของดวงไฟดวงสุดท้ายบนผนังปูนปากอุโมงค์ ประสาทสั่งการให้เตรียมพร้อมเพื่อออกวิ่ง...ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะวิ่งหนีไปไหนได้พ้น!