ห้วงเวลาแห่งเทพนิยาย: เขาไม่ใช่เจ้าชาย & เธอไม่ใช่ซินเดอเรลล่า
บทที่ 1
http://ppantip.com/topic/36786006
บทที่ 2
http://ppantip.com/topic/36788819
=====================================
บทที่ 3
แล้วสิ่งที่เธอระแวง ก็เป็นจริงขึ้นมาจนได้!
“นี่คุณว่างมากหรือคะ ถึงโทรมาได้ทุกวันทุกวี่น่ะ” ตีรณาเปิดฉากขึ้นในวันหนึ่งที่ชักเหลืออดเข้าไปทุกทีๆ
อารมณ์เธอเพิ่งปะทุหลังจากที่รับโทรศัพท์เขาตลอดเกือบทุกวัน และมันยิ่งน่ากวนใจมากขึ้นที่หญิงสาวรู้สึกว่าตนเองดันสามารถคุยกับเขาได้เป็นชั่วโมงโดยไม่ตะขิดตะขวงใจสักนิด
ส่วนคนที่โดนถามก็ไม่รู้เป็นไง เธอว่าเขาควรจะโมโหบ้างสิ แต่ทำไมถึงยังหัวเราะร่วนอยู่อีก!
“ผมมีงานทำอยู่ทุกวัน ไม่ได้ว่างงานสักหน่อย” เขาอธิบายอย่างใจเย็น “นี่เพิ่งหาเวลาปลีกตัวออกมาได้เองก็รีบโทรหาคุณ อยากได้ยินเสียง”
“แต่นี่มันเป็นเวลาทำงานของฉัน เข้าใจไหมคะ” เธอกระซิบดุ ผิวแก้มเรื่อสีขึ้นมาทันทีกับคำพูดของเขา “อย่าคิดว่าทุกคนจะสามารถรับโทรศัพท์คุณได้ทุกเวลาที่คุณต้องการสิคะ”
“อืม นั่นสินะ”
จู่ๆ เขาเงียบไปจนเธอชักใจเสีย ตีรณาเลยกระแอมไอเล็กน้อยพูดด้วยเสียงที่ยังติดห้วนแต่ก็อ่อนลงมากกว่าเดิม
“แต่ถ้าคุณโทรมาช่วงที่ฉันเลิกงานแล้วหรือวันหยุดแบบนั้น ฉันก็...พอรับได้อยู่”
“แปลว่าถ้าผมโทรเวลานั้นคุณเต็มใจรับใช่ไหม”
น้ำเสียงเขาเปลี่ยนเป็นสดใสอย่างง่ายดายจนหญิงสาวชักไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังถูกหลอกด้วยน้ำเสียงโศกสลดนั่นหรือเปล่า
“ไม่รู้ค่ะ!” เธอเหลืออดอีกครั้ง “อยากทำอะไรก็ทำ แต่อย่ามากวนฉันเวลาทำงาน!”
มือเล็กบางของเธอรีบกดตัดสายทันที หากเดาไม่ผิดรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะมีชัยมาจากปลายสาย ตีรณาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอนตัวพิงเก้าอี้ ตามองคอมพิวเตอร์ที่เปิดหน้าจอเป็นภาพกราฟฟิกราวกับชักชวนให้เธอควรสนใจมันได้แล้ว
“ไงตี้! คุยกับใครหรือยิ้มแป้นเชียว” เสียงเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ข้างๆ แอบแซวมา
“ระวังไอ้นพมันน้อยใจล่ะ”
ตีรณายิ้มจืดๆ พลางส่ายหน้าแล้วหันกลับมาทำงานต่อทันที ทำไมเธอไม่เห็นรู้ตัวเลยนะว่าเมื่อครู่ตอนคุยกับเขาตนเองกำลังยิ้มอยู่ เธอว่าเธอกำลังหงุดหงิดที่เขาโทรหาเธอราวกับไม่รู้จักเวล่ำเวลาอยู่ไม่ใช่หรือ
หญิงสาวถอนใจยาว ใช้มือเล็กๆ ของตนเองดึงแก้มให้ยืดออกเสียเลยแก้เซ็ง แล้วก็เรียกสมาธิกลับมาเพื่อจะได้ทำงานต่อไปได้
ยิ่งนานวันตีรณาก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอกำลังถูกรุกมากขึ้นกว่าเดิมจากชายหนุ่มผู้นี้ หญิงสาวไม่เคยปล่อยให้ใครล้ำกำแพงเขตแดนที่เธอป้องกันไว้อย่างแน่นหนามาได้ไกลถึงเพียงนี้เลย ตอนแรกเธอยังคิดๆ อยู่เสียด้วยซ้ำว่าเขาอาจจะชอบเพื่อนเธอ เห็นคุยกันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยอย่างนั้น แต่ไหงกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้ตีรณายังงงอยู่เลย
สงสัยเธอคงต้องหาที่หลบไปพักสักหน่อยแล้วละมั้ง จะได้มีแรงตั้งรับผู้ชายคนนี้ได้
แต่ก็เป็นได้แค่ความคิด เธอเพิ่งตระหนักว่าเขาเป็นจำพวกมือเหนียวยิ่งกว่ากาวชั้นดี จับเธอไว้ไม่ปล่อย ไม่คิดจะให้เธอหนีไปตั้งหลักได้เลย!
ปรานต์ไม่ได้แค่โทรศัพท์หาเธอเท่านั้น บางวันหญิงสาวก็โดนจับตัวยัดใส่รถสปอร์ตคันหรูที่แล่นฉิวออกนอกกรุงเทพฯไปทางชายทะเล ส่วนจอมเผด็จการที่มัดมือชกเธอนั้นก็นั่งขับรถสีหน้ายิ้มอารมณ์ดีอยู่ข้างๆ
เธอได้แต่เจ็บใจ...ขนาดบอกตัวเองว่าควรหลบไปที่ใดที่หนึ่งเสียก่อนแต่นี่ยังไม่ทันไรเลย เธอก็โดนเขาดึงตัวออกจากห้องแสนรักมาอย่างง่ายดาย
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องโทษคุณสุกฤตนั่นแหละ ตัวดีนัก! พอสบโอกาสขึ้นมาเมื่อไรก็ชอบให้เขามาส่งเธอที่อพาร์ทเมนท์เสมอ เขาก็รู้หมดน่ะสิว่าเธออาศัยอยู่ที่ไหน ไม่คิดจะเป็นห่วงกันบ้างเล้ย!
นิสัยขึ้นรถปุ๊บหลับปั๊บถูกปิดสวิตช์ลงฉับพลันเมื่อขึ้นรถของชายหนุ่มผู้นี้ ตีรณาเลยได้แต่ตาค้างอยู่เป็นเพื่อนเขานี่ล่ะ
‘คุณไม่คิดจะโทรมาบอกฉันก่อนว่าจะพาออกไปข้างนอก หรือให้เวลาฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้างเลยหรือคะ’ ตีรณาถามเสียงเย็น เสื้อยืดเก่าๆ กับกางเกงขาสั้นเหี่ยวๆ ที่เธอใส่อยู่บ้านในวันพักสบายๆ ดูไม่ได้เข้ากับรถยนต์คันงามของเขาเลย
‘ก็ไม่เป็นไรนี่ ผมอยากให้คุณเป็นตัวของตัวเอง’ ปรานต์พูดน้ำเสียงยิ้มๆ ‘อีกอย่างถ้าผมโทรมาบอกคุณก่อนก็ไม่ได้เห็นอะไรดีๆ น่ะสิ’
‘อะไรดีๆ’ ที่ว่าก็คือ ตอนที่เธอเปิดประตูห้องเป็นยายเพิ้ง หน้ามัน ผมเผ้าไม่หวีรวบแบบง่ายๆ ถือมันฝรั่งทอดนอนดูทีวีอยู่แล้วเผลอหยิบติดมือมาด้วย
ปกติไม่ค่อยมีใครมานอกจากสุกฤต ตีรณาเลยเปิดประตูอย่างไม่ระวังเท่าไรนัก แล้วก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นเขายืนยิ้มแฉ่ง และยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้นเมื่อสำรวจร่างเล็กของหญิงสาวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าแล้วบอกว่าจะมารับไปกินข้าว ให้เธอไปเอากุญแจห้องโดยด่วน เสร็จก็ดึงเธอออกมาจัดการล็อกห้องให้เสร็จสรรพ
ทำไมชีวิตเธอถึงโดนคนลากไปลากมาได้ง่ายขนาดนี้นะ!
‘คุณนี่มัน...’ หญิงสาวกลอกตาคร้านจะต่อว่า ‘แล้วนี่คุณไม่ต้องทำงานหรือคะ’
‘ผมทำงาน 7 วันเสียที่ไหนกัน’ หน้าตาเขาดูอารมณ์ดี ‘แต่จริงๆ แล้วเสาร์อาทิตย์ผมก็ไม่ได้ว่างนักหรอก ตอนนี้เลยต้องจัดเวลาตัวเองให้ใกล้เคียงกับคุณเสียหน่อย จะได้มีเวลามาหาคุณบ้าง’
ฟังอย่างนี้ต่อให้ผู้หญิงกระด้างที่สุดก็คงระทดระทวยเป็นแน่แท้ แล้วผู้หญิงธรรมดาอย่างเธอจะต้านทานได้อย่างไร
ดูท่าเจ้ากำแพงที่เธอเพียรก่อเพียรตั้งคงจะทานทนได้ไม่นานเสียแล้ว ก็อีกฝ่ายเล่นไม่ได้มีค้อนอย่างที่ชายหนุ่มคนอื่นที่เข้ามาในชีวิตเธอมี รายนี้เล่นมีปั้นจั่นขนาดยักษ์ที่คอยเหวี่ยงลูกตุ้มด้วยแรงมหาศาลคอยทำลายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ตีรณากลอกตา ท่าทางเธอคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องตัวเองจากปั้นจั่นมหากาฬนี้โดยด่วนเสียแล้ว
แต่ก็ได้แค่คิด เพราะสุดท้ายปรานต์ก็จะไม่ยอมให้เธอหายใจหายคอหรือมีเวลาไตร่ตรองบ้างเลยสักนิด
หน้าตาชายหนุ่มดูจะมีความสุขรื่นรมย์เสียเหลือเกินที่จะพาคนหน้าตายับยุ่งอย่างเธอไปไหนมาไหนด้วยกันแบบไม่ชอบถามความเห็น ก็ยังดีอยู่หรอกนะที่เคารพเธออยู่บ้างเวลาที่ห้ามปรามไม่ให้ไปหาที่ทำงาน แต่ก็ต้องแลกกับการที่เขาจะใช้เวลาอยู่กับเธอในช่วงวันหยุดแบบไม่มีเงื่อนไข
‘ไม่ไปไหนก็ได้นะ จะให้ผมอยู่ในห้องกับคุณเงียบๆ ก็ไม่มีปัญหา’
ฟังแค่นี้ก็รู้แล้วว่ายังไงเสียเธอก็ต้องออกไปอยู่ดี เรื่องอะไรจะอยู่กับเขาสองต่อสองในห้องพักของเธอล่ะ
กระนั้นตีรณาก็ไม่ได้ยอมให้เขาเอาแต่ใจฝ่ายเดียวหรอก พักหลังๆ หญิงสาวชักเริ่มรู้แกวเลยรีบจัดการแต่งตัวแต่เช้าอย่างเช่นวันนี้ พอขึ้นรถได้ เธอก็จัดการส่งแผนที่ให้เขาเอ่ยด้วยหน้าตาใสซื่อ
“วันนี้ไปปากช่องกันเถอะค่ะ”
ฟังสิ่งที่เธอเสนอจบ ชายหนุ่มก็มองเธอสลับกับแผนที่ในมือที่เธอยื่นให้เขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ ตีรณาเลยทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ฉันอยากไปเมืองคาวบอยค่ะ คุณไม่สนใจบ้างหรือ”
แทนคำตอบ ชายหนุ่มทำหน้าตาพิลึกๆ ใส่แทนจนเธอเป็นฝ่ายหัวเราะในใจที่เอาคืนได้
“คุณเอาจริงหรือ”
หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก แววตาเธอคงดูซุกซนเกินไปสักหน่อย ดวงตาเข้มของเขาจึงทอประกายเอ็นดูจนผิวแก้มของหญิงสาวระอุขึ้นอย่างช่วยไม่ได้จนต้องเป็นฝ่ายเมินหลบตาเขาไปเสียก่อน
อันตราย ขืนสบตาเขาบ่อยๆ เธอคงได้หัวใจวายไปก่อนแน่เลย
ที่ตีรณาเรียกร้องจะไปเที่ยวแบบผจญภัยอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก เธอแค่อยากเห็นเวลาเขาโทรมเหงื่อเพราะกีฬาจำพวกต้องออกแรงบ้างไม่อย่างนั้นจะเหมือนเจ้าชายจูงนางทาสก้นครัวไปไหนมาไหนมากเกินไป
เธอไม่ได้อายที่ตกเป็นเป้าสายตาของใครๆ ที่มองมาอย่างสนใจ ที่จริงหญิงสาวเกรงว่าเขาจะรู้สึกอย่างนั้นมากกว่าที่เดินคู่มากับเธอ ซึ่งที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ความผิดของเธอเลยเพราะเวลาเธออยากแต่งตัวสวยๆ ทีไรก็ไม่เห็นเขาชอบใจเลยสักที
‘ผมชอบเห็นเวลาคุณแต่งตัวธรรมดาๆ มากกว่า’
แล้วเธอก็ดันบ้าจี้ตามคำพูดเขาแต่งตัวธรรมดาอย่างที่เขาต้องการซึ่งเจ้าตัวมักจะพอใจทุกครั้ง และเธอก็ดีใจ...นิดหน่อย...ที่เห็นเขาพอใจนั่นล่ะ
กว่าชายหนุ่มและหญิงสาวจะไปถึงปากช่องกันจริงๆ ก็สองชั่วโมงกว่า ซึ่งเมื่อเริ่มต้นแล้ว ตีรณาก็ชักไม่แน่ใจว่าคิดถูกคิดผิดเพราะความเร็วของรถหลังจากที่โผนทะยานเร็วขึ้นแรงขึ้นนั่น แสดงว่าเขาคงจะชอบใจกับเจ้าความโลดโผนไม่น้อยทีเดียว แถมสมรรถนะของรถก็มีกำลังพอเสียด้วยสิ
“ฉันอยากไปถึงที่นั่นแบบปลอดภัยมากกว่าไปไม่ถึง หรือถ้าไปถึงก็อยากถึงแบบครบสามสิบสองนะคะ” เธอเกร็งแขนเกาะข้างประตูแน่น
เท่านั้นแหละ...ความเร็วถึงได้ลดลงบ้าง
“ขอโทษครับ ผมลืมตัวไปหน่อย” เขายิ้ม “รถคันนี้เวลาวิ่งในเมืองไม่ค่อยได้ใช้เต็มที่เท่าไร พอออกนอกเมืองเห็นถนนโล่งแบบนี้แล้วมันก็อดไม่ได้”
กรรม! กรรมตามสนองเธอแน่ๆ ที่คิดจะแกล้งเขา
“ท่าทางคุณคงเป็นพวกชอบความเร็วนะ” เธอวิจารณ์
“จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่ถ้าขับที่เมืองไทยไม่ค่อยมีโอกาสหรอก ถนนไม่ค่อยว่าง ผมก็ไม่ค่อยมีเวลาเอาออกมาขับต่างจังหวัดเสียด้วย”
อย่าบอกนะว่าที่ผ่านมาเรียกว่าไม่มีเวลา คนที่ไม่มีน่ะคือเธอต่างหาก
“ก็มีช่วงตั้งแต่เจอคุณเท่านั้นเองที่ได้ใช้งานมันบ้าง”
“อ้าว...แล้วช่วงที่ไม่ยังไม่เจอฉันทำไมถึงไม่มีเวลาล่ะคะ” เธอถามกลับอย่างงงงวย
“ไม่ใช่ไม่มีเวลา...แต่เพื่อนของผม...ไม่มีใครที่ผมอยากพาขึ้นรถคันนี้แล้วหนีความจอแจในเมืองออกมาต่างจังหวัดเหมือนกับที่ผมรู้สึกกับคุณ อยู่กับพวกนั้นแล้วผมเป็นตัวของตัวเองได้ลำบาก”
มันแปลว่าอะไรล่ะนั่น...เธอไม่เห็นจะเข้าใจเลย
คนพูดเองก็ดูไม่อยากขยายความต่อ หญิงสาวก็เลยไม่ติดใจถามไถ่อีก เอาเถอะ! จะด้วยสาเหตุอะไรเธอไม่สนใจหรอก แต่ตอนนี้การที่ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องอย่างที่ชีวิตประจำวันที่เธอเป็นอยู่มันก็เข้าท่าดีไม่หยอกเหมือนกัน
จุดหมายของทั้งคู่เป็นไร่ที่มีเครื่องเล่นอยู่หลายแบบ ส่วนมากเป็นแบบที่ชวนให้หวาดเสียวไม่เลว ผู้คนที่ไปเที่ยวสถานที่แห่งนั้นก็มีไม่น้อย หญิงสาวเห็นว่ามีหลายคนไปเข้าแถวรอเครื่องเล่นอย่างหนึ่ง เธอจึงร่ำร้องจะไปเล่นเกมคล้ายๆ กับพวกโดดหอในวิชาลูกเสือนั่นกับเขาบ้าง ปรานต์ทำท่าไม่เห็นด้วยทันที
“ท่าทางอันตรายออก”
“ฉันว่ามันก็ดูปลอดภัยดีนะ หรือว่า...” เธอแกล้งหรี่ตายิ้มเจ้าเล่ห์ “คุณเป็นพวกกลัวความสูงใช่ม้า”
“เปล่า ผมไม่ได้กลัวความสูง” ชายหนุ่มส่ายหน้า “แต่กลัวคุณเป็นอันตราย ผมคงทนไม่ได้”
เปรี้ยง!
คราวนี้กำแพงส่วนซ้ายพังไปแถบหนึ่งเรียบร้อยเพราะปั้นจั่นยักษ์ ตีรณารีบสะบัดหน้าหนี ไม่อยากให้เขาเห็นว่าเธอทำหน้าไม่ถูกยังไงกับคำพูดของเขา ทว่ามือใหญ่นั่นก็รีบมาจับมือเธอไว้
“ตกลงคุณจะเล่นจริงๆ หรือ” ปรานต์ยังถามอย่างห่วงใย
“ค่ะ” หญิงสาวหน้าแดงซ่าน ดึงมือเล็กของตนออกจากมือของเขา
ชายหนุ่มถอนใจ “ถ้าอย่างนั้นผมไปเล่นเป็นเพื่อนก็ได้”
ดูเขาจะไม่ได้เหงื่อโทรมอย่างที่เธอตั้งใจเอาไว้เลยสักนิด ท่าทางจะสนุกด้วยซ้ำ แต่คนที่ชักสนุกไม่ออกดันเป็นเธอไปเสียนี่
เพราะคำพูดบ้าๆ ของเขากับสายตาของเขาทุกครั้งที่เธอเลือกเล่นเกมโลดโผนแท้ๆ เชียว!
ห้วงเวลาแห่งเทพนิยาย : เขาไม่ใช่เจ้าชาย & เธอไม่ใช่ซินเดอเรลล่า บทที่ 3
บทที่ 1 http://ppantip.com/topic/36786006
บทที่ 2 http://ppantip.com/topic/36788819
=====================================
บทที่ 3
แล้วสิ่งที่เธอระแวง ก็เป็นจริงขึ้นมาจนได้!
“นี่คุณว่างมากหรือคะ ถึงโทรมาได้ทุกวันทุกวี่น่ะ” ตีรณาเปิดฉากขึ้นในวันหนึ่งที่ชักเหลืออดเข้าไปทุกทีๆ
อารมณ์เธอเพิ่งปะทุหลังจากที่รับโทรศัพท์เขาตลอดเกือบทุกวัน และมันยิ่งน่ากวนใจมากขึ้นที่หญิงสาวรู้สึกว่าตนเองดันสามารถคุยกับเขาได้เป็นชั่วโมงโดยไม่ตะขิดตะขวงใจสักนิด
ส่วนคนที่โดนถามก็ไม่รู้เป็นไง เธอว่าเขาควรจะโมโหบ้างสิ แต่ทำไมถึงยังหัวเราะร่วนอยู่อีก!
“ผมมีงานทำอยู่ทุกวัน ไม่ได้ว่างงานสักหน่อย” เขาอธิบายอย่างใจเย็น “นี่เพิ่งหาเวลาปลีกตัวออกมาได้เองก็รีบโทรหาคุณ อยากได้ยินเสียง”
“แต่นี่มันเป็นเวลาทำงานของฉัน เข้าใจไหมคะ” เธอกระซิบดุ ผิวแก้มเรื่อสีขึ้นมาทันทีกับคำพูดของเขา “อย่าคิดว่าทุกคนจะสามารถรับโทรศัพท์คุณได้ทุกเวลาที่คุณต้องการสิคะ”
“อืม นั่นสินะ”
จู่ๆ เขาเงียบไปจนเธอชักใจเสีย ตีรณาเลยกระแอมไอเล็กน้อยพูดด้วยเสียงที่ยังติดห้วนแต่ก็อ่อนลงมากกว่าเดิม
“แต่ถ้าคุณโทรมาช่วงที่ฉันเลิกงานแล้วหรือวันหยุดแบบนั้น ฉันก็...พอรับได้อยู่”
“แปลว่าถ้าผมโทรเวลานั้นคุณเต็มใจรับใช่ไหม”
น้ำเสียงเขาเปลี่ยนเป็นสดใสอย่างง่ายดายจนหญิงสาวชักไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังถูกหลอกด้วยน้ำเสียงโศกสลดนั่นหรือเปล่า
“ไม่รู้ค่ะ!” เธอเหลืออดอีกครั้ง “อยากทำอะไรก็ทำ แต่อย่ามากวนฉันเวลาทำงาน!”
มือเล็กบางของเธอรีบกดตัดสายทันที หากเดาไม่ผิดรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะมีชัยมาจากปลายสาย ตีรณาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอนตัวพิงเก้าอี้ ตามองคอมพิวเตอร์ที่เปิดหน้าจอเป็นภาพกราฟฟิกราวกับชักชวนให้เธอควรสนใจมันได้แล้ว
“ไงตี้! คุยกับใครหรือยิ้มแป้นเชียว” เสียงเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ข้างๆ แอบแซวมา
“ระวังไอ้นพมันน้อยใจล่ะ”
ตีรณายิ้มจืดๆ พลางส่ายหน้าแล้วหันกลับมาทำงานต่อทันที ทำไมเธอไม่เห็นรู้ตัวเลยนะว่าเมื่อครู่ตอนคุยกับเขาตนเองกำลังยิ้มอยู่ เธอว่าเธอกำลังหงุดหงิดที่เขาโทรหาเธอราวกับไม่รู้จักเวล่ำเวลาอยู่ไม่ใช่หรือ
หญิงสาวถอนใจยาว ใช้มือเล็กๆ ของตนเองดึงแก้มให้ยืดออกเสียเลยแก้เซ็ง แล้วก็เรียกสมาธิกลับมาเพื่อจะได้ทำงานต่อไปได้
ยิ่งนานวันตีรณาก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอกำลังถูกรุกมากขึ้นกว่าเดิมจากชายหนุ่มผู้นี้ หญิงสาวไม่เคยปล่อยให้ใครล้ำกำแพงเขตแดนที่เธอป้องกันไว้อย่างแน่นหนามาได้ไกลถึงเพียงนี้เลย ตอนแรกเธอยังคิดๆ อยู่เสียด้วยซ้ำว่าเขาอาจจะชอบเพื่อนเธอ เห็นคุยกันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยอย่างนั้น แต่ไหงกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้ตีรณายังงงอยู่เลย
สงสัยเธอคงต้องหาที่หลบไปพักสักหน่อยแล้วละมั้ง จะได้มีแรงตั้งรับผู้ชายคนนี้ได้
แต่ก็เป็นได้แค่ความคิด เธอเพิ่งตระหนักว่าเขาเป็นจำพวกมือเหนียวยิ่งกว่ากาวชั้นดี จับเธอไว้ไม่ปล่อย ไม่คิดจะให้เธอหนีไปตั้งหลักได้เลย!
ปรานต์ไม่ได้แค่โทรศัพท์หาเธอเท่านั้น บางวันหญิงสาวก็โดนจับตัวยัดใส่รถสปอร์ตคันหรูที่แล่นฉิวออกนอกกรุงเทพฯไปทางชายทะเล ส่วนจอมเผด็จการที่มัดมือชกเธอนั้นก็นั่งขับรถสีหน้ายิ้มอารมณ์ดีอยู่ข้างๆ
เธอได้แต่เจ็บใจ...ขนาดบอกตัวเองว่าควรหลบไปที่ใดที่หนึ่งเสียก่อนแต่นี่ยังไม่ทันไรเลย เธอก็โดนเขาดึงตัวออกจากห้องแสนรักมาอย่างง่ายดาย
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องโทษคุณสุกฤตนั่นแหละ ตัวดีนัก! พอสบโอกาสขึ้นมาเมื่อไรก็ชอบให้เขามาส่งเธอที่อพาร์ทเมนท์เสมอ เขาก็รู้หมดน่ะสิว่าเธออาศัยอยู่ที่ไหน ไม่คิดจะเป็นห่วงกันบ้างเล้ย!
นิสัยขึ้นรถปุ๊บหลับปั๊บถูกปิดสวิตช์ลงฉับพลันเมื่อขึ้นรถของชายหนุ่มผู้นี้ ตีรณาเลยได้แต่ตาค้างอยู่เป็นเพื่อนเขานี่ล่ะ
‘คุณไม่คิดจะโทรมาบอกฉันก่อนว่าจะพาออกไปข้างนอก หรือให้เวลาฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้างเลยหรือคะ’ ตีรณาถามเสียงเย็น เสื้อยืดเก่าๆ กับกางเกงขาสั้นเหี่ยวๆ ที่เธอใส่อยู่บ้านในวันพักสบายๆ ดูไม่ได้เข้ากับรถยนต์คันงามของเขาเลย
‘ก็ไม่เป็นไรนี่ ผมอยากให้คุณเป็นตัวของตัวเอง’ ปรานต์พูดน้ำเสียงยิ้มๆ ‘อีกอย่างถ้าผมโทรมาบอกคุณก่อนก็ไม่ได้เห็นอะไรดีๆ น่ะสิ’
‘อะไรดีๆ’ ที่ว่าก็คือ ตอนที่เธอเปิดประตูห้องเป็นยายเพิ้ง หน้ามัน ผมเผ้าไม่หวีรวบแบบง่ายๆ ถือมันฝรั่งทอดนอนดูทีวีอยู่แล้วเผลอหยิบติดมือมาด้วย
ปกติไม่ค่อยมีใครมานอกจากสุกฤต ตีรณาเลยเปิดประตูอย่างไม่ระวังเท่าไรนัก แล้วก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นเขายืนยิ้มแฉ่ง และยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้นเมื่อสำรวจร่างเล็กของหญิงสาวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าแล้วบอกว่าจะมารับไปกินข้าว ให้เธอไปเอากุญแจห้องโดยด่วน เสร็จก็ดึงเธอออกมาจัดการล็อกห้องให้เสร็จสรรพ
ทำไมชีวิตเธอถึงโดนคนลากไปลากมาได้ง่ายขนาดนี้นะ!
‘คุณนี่มัน...’ หญิงสาวกลอกตาคร้านจะต่อว่า ‘แล้วนี่คุณไม่ต้องทำงานหรือคะ’
‘ผมทำงาน 7 วันเสียที่ไหนกัน’ หน้าตาเขาดูอารมณ์ดี ‘แต่จริงๆ แล้วเสาร์อาทิตย์ผมก็ไม่ได้ว่างนักหรอก ตอนนี้เลยต้องจัดเวลาตัวเองให้ใกล้เคียงกับคุณเสียหน่อย จะได้มีเวลามาหาคุณบ้าง’
ฟังอย่างนี้ต่อให้ผู้หญิงกระด้างที่สุดก็คงระทดระทวยเป็นแน่แท้ แล้วผู้หญิงธรรมดาอย่างเธอจะต้านทานได้อย่างไร
ดูท่าเจ้ากำแพงที่เธอเพียรก่อเพียรตั้งคงจะทานทนได้ไม่นานเสียแล้ว ก็อีกฝ่ายเล่นไม่ได้มีค้อนอย่างที่ชายหนุ่มคนอื่นที่เข้ามาในชีวิตเธอมี รายนี้เล่นมีปั้นจั่นขนาดยักษ์ที่คอยเหวี่ยงลูกตุ้มด้วยแรงมหาศาลคอยทำลายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ตีรณากลอกตา ท่าทางเธอคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องตัวเองจากปั้นจั่นมหากาฬนี้โดยด่วนเสียแล้ว
แต่ก็ได้แค่คิด เพราะสุดท้ายปรานต์ก็จะไม่ยอมให้เธอหายใจหายคอหรือมีเวลาไตร่ตรองบ้างเลยสักนิด
หน้าตาชายหนุ่มดูจะมีความสุขรื่นรมย์เสียเหลือเกินที่จะพาคนหน้าตายับยุ่งอย่างเธอไปไหนมาไหนด้วยกันแบบไม่ชอบถามความเห็น ก็ยังดีอยู่หรอกนะที่เคารพเธออยู่บ้างเวลาที่ห้ามปรามไม่ให้ไปหาที่ทำงาน แต่ก็ต้องแลกกับการที่เขาจะใช้เวลาอยู่กับเธอในช่วงวันหยุดแบบไม่มีเงื่อนไข
‘ไม่ไปไหนก็ได้นะ จะให้ผมอยู่ในห้องกับคุณเงียบๆ ก็ไม่มีปัญหา’
ฟังแค่นี้ก็รู้แล้วว่ายังไงเสียเธอก็ต้องออกไปอยู่ดี เรื่องอะไรจะอยู่กับเขาสองต่อสองในห้องพักของเธอล่ะ
กระนั้นตีรณาก็ไม่ได้ยอมให้เขาเอาแต่ใจฝ่ายเดียวหรอก พักหลังๆ หญิงสาวชักเริ่มรู้แกวเลยรีบจัดการแต่งตัวแต่เช้าอย่างเช่นวันนี้ พอขึ้นรถได้ เธอก็จัดการส่งแผนที่ให้เขาเอ่ยด้วยหน้าตาใสซื่อ
“วันนี้ไปปากช่องกันเถอะค่ะ”
ฟังสิ่งที่เธอเสนอจบ ชายหนุ่มก็มองเธอสลับกับแผนที่ในมือที่เธอยื่นให้เขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ ตีรณาเลยทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ฉันอยากไปเมืองคาวบอยค่ะ คุณไม่สนใจบ้างหรือ”
แทนคำตอบ ชายหนุ่มทำหน้าตาพิลึกๆ ใส่แทนจนเธอเป็นฝ่ายหัวเราะในใจที่เอาคืนได้
“คุณเอาจริงหรือ”
หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก แววตาเธอคงดูซุกซนเกินไปสักหน่อย ดวงตาเข้มของเขาจึงทอประกายเอ็นดูจนผิวแก้มของหญิงสาวระอุขึ้นอย่างช่วยไม่ได้จนต้องเป็นฝ่ายเมินหลบตาเขาไปเสียก่อน
อันตราย ขืนสบตาเขาบ่อยๆ เธอคงได้หัวใจวายไปก่อนแน่เลย
ที่ตีรณาเรียกร้องจะไปเที่ยวแบบผจญภัยอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก เธอแค่อยากเห็นเวลาเขาโทรมเหงื่อเพราะกีฬาจำพวกต้องออกแรงบ้างไม่อย่างนั้นจะเหมือนเจ้าชายจูงนางทาสก้นครัวไปไหนมาไหนมากเกินไป
เธอไม่ได้อายที่ตกเป็นเป้าสายตาของใครๆ ที่มองมาอย่างสนใจ ที่จริงหญิงสาวเกรงว่าเขาจะรู้สึกอย่างนั้นมากกว่าที่เดินคู่มากับเธอ ซึ่งที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ความผิดของเธอเลยเพราะเวลาเธออยากแต่งตัวสวยๆ ทีไรก็ไม่เห็นเขาชอบใจเลยสักที
‘ผมชอบเห็นเวลาคุณแต่งตัวธรรมดาๆ มากกว่า’
แล้วเธอก็ดันบ้าจี้ตามคำพูดเขาแต่งตัวธรรมดาอย่างที่เขาต้องการซึ่งเจ้าตัวมักจะพอใจทุกครั้ง และเธอก็ดีใจ...นิดหน่อย...ที่เห็นเขาพอใจนั่นล่ะ
กว่าชายหนุ่มและหญิงสาวจะไปถึงปากช่องกันจริงๆ ก็สองชั่วโมงกว่า ซึ่งเมื่อเริ่มต้นแล้ว ตีรณาก็ชักไม่แน่ใจว่าคิดถูกคิดผิดเพราะความเร็วของรถหลังจากที่โผนทะยานเร็วขึ้นแรงขึ้นนั่น แสดงว่าเขาคงจะชอบใจกับเจ้าความโลดโผนไม่น้อยทีเดียว แถมสมรรถนะของรถก็มีกำลังพอเสียด้วยสิ
“ฉันอยากไปถึงที่นั่นแบบปลอดภัยมากกว่าไปไม่ถึง หรือถ้าไปถึงก็อยากถึงแบบครบสามสิบสองนะคะ” เธอเกร็งแขนเกาะข้างประตูแน่น
เท่านั้นแหละ...ความเร็วถึงได้ลดลงบ้าง
“ขอโทษครับ ผมลืมตัวไปหน่อย” เขายิ้ม “รถคันนี้เวลาวิ่งในเมืองไม่ค่อยได้ใช้เต็มที่เท่าไร พอออกนอกเมืองเห็นถนนโล่งแบบนี้แล้วมันก็อดไม่ได้”
กรรม! กรรมตามสนองเธอแน่ๆ ที่คิดจะแกล้งเขา
“ท่าทางคุณคงเป็นพวกชอบความเร็วนะ” เธอวิจารณ์
“จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่ถ้าขับที่เมืองไทยไม่ค่อยมีโอกาสหรอก ถนนไม่ค่อยว่าง ผมก็ไม่ค่อยมีเวลาเอาออกมาขับต่างจังหวัดเสียด้วย”
อย่าบอกนะว่าที่ผ่านมาเรียกว่าไม่มีเวลา คนที่ไม่มีน่ะคือเธอต่างหาก
“ก็มีช่วงตั้งแต่เจอคุณเท่านั้นเองที่ได้ใช้งานมันบ้าง”
“อ้าว...แล้วช่วงที่ไม่ยังไม่เจอฉันทำไมถึงไม่มีเวลาล่ะคะ” เธอถามกลับอย่างงงงวย
“ไม่ใช่ไม่มีเวลา...แต่เพื่อนของผม...ไม่มีใครที่ผมอยากพาขึ้นรถคันนี้แล้วหนีความจอแจในเมืองออกมาต่างจังหวัดเหมือนกับที่ผมรู้สึกกับคุณ อยู่กับพวกนั้นแล้วผมเป็นตัวของตัวเองได้ลำบาก”
มันแปลว่าอะไรล่ะนั่น...เธอไม่เห็นจะเข้าใจเลย
คนพูดเองก็ดูไม่อยากขยายความต่อ หญิงสาวก็เลยไม่ติดใจถามไถ่อีก เอาเถอะ! จะด้วยสาเหตุอะไรเธอไม่สนใจหรอก แต่ตอนนี้การที่ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องอย่างที่ชีวิตประจำวันที่เธอเป็นอยู่มันก็เข้าท่าดีไม่หยอกเหมือนกัน
จุดหมายของทั้งคู่เป็นไร่ที่มีเครื่องเล่นอยู่หลายแบบ ส่วนมากเป็นแบบที่ชวนให้หวาดเสียวไม่เลว ผู้คนที่ไปเที่ยวสถานที่แห่งนั้นก็มีไม่น้อย หญิงสาวเห็นว่ามีหลายคนไปเข้าแถวรอเครื่องเล่นอย่างหนึ่ง เธอจึงร่ำร้องจะไปเล่นเกมคล้ายๆ กับพวกโดดหอในวิชาลูกเสือนั่นกับเขาบ้าง ปรานต์ทำท่าไม่เห็นด้วยทันที
“ท่าทางอันตรายออก”
“ฉันว่ามันก็ดูปลอดภัยดีนะ หรือว่า...” เธอแกล้งหรี่ตายิ้มเจ้าเล่ห์ “คุณเป็นพวกกลัวความสูงใช่ม้า”
“เปล่า ผมไม่ได้กลัวความสูง” ชายหนุ่มส่ายหน้า “แต่กลัวคุณเป็นอันตราย ผมคงทนไม่ได้”
เปรี้ยง!
คราวนี้กำแพงส่วนซ้ายพังไปแถบหนึ่งเรียบร้อยเพราะปั้นจั่นยักษ์ ตีรณารีบสะบัดหน้าหนี ไม่อยากให้เขาเห็นว่าเธอทำหน้าไม่ถูกยังไงกับคำพูดของเขา ทว่ามือใหญ่นั่นก็รีบมาจับมือเธอไว้
“ตกลงคุณจะเล่นจริงๆ หรือ” ปรานต์ยังถามอย่างห่วงใย
“ค่ะ” หญิงสาวหน้าแดงซ่าน ดึงมือเล็กของตนออกจากมือของเขา
ชายหนุ่มถอนใจ “ถ้าอย่างนั้นผมไปเล่นเป็นเพื่อนก็ได้”
ดูเขาจะไม่ได้เหงื่อโทรมอย่างที่เธอตั้งใจเอาไว้เลยสักนิด ท่าทางจะสนุกด้วยซ้ำ แต่คนที่ชักสนุกไม่ออกดันเป็นเธอไปเสียนี่
เพราะคำพูดบ้าๆ ของเขากับสายตาของเขาทุกครั้งที่เธอเลือกเล่นเกมโลดโผนแท้ๆ เชียว!