บทที่ 1
“แล้วเจ้าชายกับซินเดอเรลล่าก็ได้แต่งงานกัน ทั้งสองอยู่อย่างมีความสุขด้วยกันตลอดไป”
หญิงสาวร่างเล็กในชุดลำลองง่ายๆ นั่งทำตาปริบๆ มองชายไม่จริงหญิงไม่แท้ร่างบึ้กนวยนาดกรีดกรายไปมาอยู่ข้างจอโทรทัศน์ที่กำลังฉายภาพยนตร์การ์ตูนจากค่ายดังก้องโลกเรื่อง ‘ซินเดอเรลล่า’
ตีรณาแอบเหลือบดูนาฬิกาก็พบว่าเกือบสองชั่วโมงแล้วที่เห็นเพื่อนสนิทพร่ำจนน้ำลายแตกฟอง ทั้งบรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร ออกท่าออกทางราวกับอยู่บนเวทีใหญ่ตระการตา และตบท้ายด้วยคำพูดบทละครฉากสุดท้ายด้วยท่าทีซาบซึ้งตรึงใจ
“ถ้าจำไม่ผิดนะ คุณสุกฤตดูเจ้าเรื่องนี้มาสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่เลิกคลั่งไคล้อีกหรือไง” ขอสักหน่อยเถอะ เธอคันปากอยากถามมานานแล้ว
แน่ล่ะ...ผู้เดือดร้อนต้องนั่งทู่ซี้ดูการแสดงของเจ้าตัวก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนี่!
สิบปี! สิบปีแห่งความทุกข์ทรมาน ใครเล่าจะเข้าใจ...ฮือ
ต่อให้ไม่ต้องดูหน้าจอโทรทัศน์อีก ตีรณาก็เชื่อว่าคงสามารถหลับตาจินตนาการเอาได้เลยว่าภาพของตัวการ์ตูนนั้นวิ่งไปทางใด ซินเดอเรลล่านี่หันหน้าคุยกี่องศา ในภาพนั้นประกอบด้วยนกหนูหมาแมวกี่ตัว
สุกฤตค้อนใส่เธอทันที
“ใครชื่อสุกฤตยะ ฉันชื่อเคที่ หัดเรียกให้มันดีๆ หน่อย” ว่าจบก็กรีดนิ้วมาที่โต๊ะหยิบมันฝรั่งทอดซึ่งวางอยู่สองสามถุงค่อยๆ เล็มเข้าปากอย่างมีมารยาทจากนั้นก็จีบปากจีบคอตอบโต้เธอบ้าง
“หล่อนนี่มันช่างไม่มีสุนทรียะในจิตใจบ้างเลยนะยะยายตี้ ดูแล้วไม่รู้สึกแบบว่า Oh! So romantic! แบบนี้บ้างเลยหรือไงกัน ด้วยความรัก...” เจ้าตัวทำหน้าเคลิ้มฝัน “...ทำให้เจ้าชายตามหาซินเดอเรลล่าจนพบ แล้วก็แต่งงานกับเธอในที่สุด ช่วยให้นางเอกผู้น่าสงสารรอดพ้นเงื้อมมือมารของยายแม่เลี้ยงกับพี่สาวมาได้อีกต่างหาก เรื่องนี้น่ะเป็นความใฝ่ฝันของเด็กสาวอย่างเราๆ เลยนะยะ หล่อนพลาดช่วงเวลาแบบนี้ได้ยังไงกันหา!”
“บางทีฉันอาจจะรู้สึกอย่างที่คุณสุกฤตว่าก็ได้ ถ้ามันไม่ใช่รอบที่ล้านที่ฉันดู!” ตีรณาตะเบ็งเสียงแข่งบ้าง เรื่องอะไรจะยอมแพ้ล่ะ
“เอ๊ะ! ฉันชื่อเคที่” ชายหนุ่มผู้ไม่ยอมรับในชื่อจริงของตัวเองปรายตามาอย่างไม่พอใจ
“งั้นนี่คุณคาที่!”
“เอ๊ะ! ก็บอกว่าเคที่ๆ หล่อนนี่ไม่จำใส่กะโหลกบ้างเลยนะ”
“เอาล่ะ เคที่ก็ได้!” หญิงสาวหน้างอมองคนทำท่าตะบึงตะบอนอย่างหมั่นไส้ “ทีหลังเวลาจะดูเรื่องนี้อีกไม่ต้องเอาฉันมาเป็นเพื่อนได้ไหม”
แต่แทนที่จะฟังบ้าง เปล่าเลย! คุณสุกฤตกลับหลับหูหลับตาอธิบายต่อไปโดยไม่ยอมมองหน้าเพื่อนผู้น่ารักอย่างเธอสักนิด
“ความฝันของผู้หญิงนะยะหล่อน ถ้าได้แต่งงานกับผู้ชายดีๆ รูปหล่อ พ่อรวย ปากหวาน หน้าตาไม่โง่ ถือว่าเป็นบุญชีวิตเลยนะ แล้วแบบนี้หล่อนว่าฉันดูเรื่องนี้แล้วไม่ควรสุขใจหรือไงยะ” ว่าแล้วมือใหญ่ล่ำก็คว้าขนมเข้าปากอีกหงับ
“แล้วถ้าหมอนั่นเป็นพวกแซ่ติงขึ้นมา...”
“หล่อนสิยะแซ่ติง!” หมายถึงติงต๊อง “ฉันว่าถ้าหล่อนได้เจอเข้าหล่อนก็จะรู้เองนั่นแหละ ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงนะยะ ยังไงก็ต้องอ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้บ้างแหละ หล่อนเจอเข้าเองจะอ่อนปวกเปียกเป็นขี้ผึ้งลนไฟ”
“คงเป็นหรอก!” ตีรณาค่อนสะบัดหน้าพรืด “ทำอย่างกับฉันจะยอมนั่งเป็นผู้หญิงงอมืองอเท้านั่งบื้อไปวันๆ แล้วยอมให้แม่เลี้ยงมันจิกใช้อย่างยายซินเดอเรลล่านั่น หรือไม่ก็ทำตัวให้น่าสงสารรอพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยอย่างนั้นหรือไงล่ะ”
พอเพื่อนอ้าปากจะเถียง เธอก็สวนกลับไปทันควัน
“อ๊ะๆ ห้ามเถียงเลย คุณสุกฤตลองไปดูนิทานเจ้าหญิงเจ้าชายดูสิ มีแต่พวกรอผู้ชายมาช่วยทั้งนั้น เจ้าหญิงนิทราต้องรอให้เจ้าชายมาจูบ สโนไวท์ต้องรอเจ้าชายมาเจอ แบบนี้มันดูถูกผู้หญิงกันนี่นาว่าไร้ปัญญา งอมืองอเท้าทำอะไรไม่ได้ อย่างนี้น่ะวัฒนธรรมกดขี่ผู้หญิงชัดๆ แล้วจะให้ฉันหลงใหลได้ปลื้มไปได้ยังไงกัน”
“อีกแล้วนะยะ...ผีนักเรียกร้องสิทธิสตรีเข้าสิงอีกแล้วหรือไงกัน สาธุ! เออ...ขอให้หล่อนเจอบ้าง แล้วฉันนี่แหละจะคอยดูว่าหล่อนจะยังคิดแบบนั้นอยู่หรือเปล่า”
“คอยดูก็แล้วกัน!” เธอรับคำท้า
หลังจากนั้นสุกฤตก็ทำหน้าเหม็นเบื่องึมงำสาปแช่งเธอเสร็จเรียบร้อย ร่างใหญ่นั่นก็ลุกขึ้นเดินนวยนาดไปเข้าห้องน้ำพร้อมกับคำพูดพึมพำประหนึ่งด่าเธอในใจ ทิ้งให้หญิงสาวต้องเก็บแผ่นหนังให้เสียอย่างนั้น
ดู...คุณเพื่อนสุดประเสริฐ!
ปกติเธอไม่ได้เป็นคนฝีปากกล้า แต่ความที่ต้องไล่คำพูดกรี๊ดๆ แบบนี้ให้ทันก็ต้องมีการลับคมปากกันบ้าง ไม่อย่างนั้นเธอก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบน่ะสิ!
ที่จริงตีรณาก็นึกขอบใจสุกฤตอยู่เหมือนกันที่อุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อนเพราะเห็นเธอกำลังจิตตกเรื่องที่ทำงานใหม่
หญิงสาวเพิ่งเปลี่ยนงานมาได้ไม่ถึงครึ่งปี ถึงเงินเดือนจะเยอะขึ้นกว่าเดิมแต่อย่างไรเสียหญิงสาวก็ชอบงานและเพื่อนร่วมงานที่เก่ามากกว่า ซึ่งเธอก็รู้อยู่หรอกว่าที่ทำงานใหม่น่าจะต้องเจอปัญหา อุตส่าห์เตรียมใจไว้แล้วด้วย แต่ไม่คิดว่าปัญหาที่ว่าจะเป็นเรื่องเพื่อนร่วมงานที่ต้องประสานงานกันดันเกิดมาถูกตาต้องใจเธอเข้า
ตอนนี้ตีรณารู้สึกทำงานลำบากจนแทบไม่อยากจะไปทำงานอีก ยิ่งนานวัน ยิ่งนึกถึงที่ทำงานเก่าซึ่งไม่มีใครมาก้อร่อก้อติกให้เธอไม่สบายใจเลยสักคน
พูดถึงงานเก่าแล้ว สิ่งที่เธอชอบที่สุดก็คือ การต้องหาภาพเพื่อประดับตามสถานที่ต่างๆ ตามรูปแบบและสไตล์ที่ออกแบบเอาไว้ เธอชอบแกลอรี่ที่อยู่ใกล้บริษัทมาก ที่นั่นมักจะมีภาพเก๋ๆ รวมทั้งให้โอกาสศิลปินหน้าใหม่มาแสดงผลงานด้วยถ้าโดดเด่นพอ
ที่นั่นมีภาพอยู่หลายภาพ แต่ที่เธอชอบเป็นของศิลปินนิรนาม ภาพเขาเป็นภาพพ่อแม่ลูก พื้นหลังของมันทำให้ภาพบุคคลทั้งสามที่อยู่ด้านหน้าเหมือนเป็นเงาจับต้องไม่ได้ ตรงนี้เองที่เธอประทับใจมาก
ทว่าพอนึกถึงว่าจะซื้อภาพนั้นเพื่อมาประดับห้อง ตีรณาคิดว่ามันก็ดูจะเกินไป คิดสะระตะแล้ว เธอว่ามูลค่าของมันช่วยให้ครอบครัวเธออิ่มไปได้หลายมื้อเหมือนกัน สุดท้ายก็เลยตัดใจไม่ซื้อ
ลิปดา เจ้าของแกลอรี่แห่งนั้นเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีมาก ความที่อายุไม่ต่างกันเท่าไร และสนใจเรื่องศิลปะเหมือนกัน ตีรณาจึงได้สนทนากับเธอบ่อยๆ รวมทั้งได้อุดหนุนภาพค่อนข้างเยอะ
กระทั่งวันสุดท้ายของการทำงาน เจ้าของแกลอรี่นั้นก็ยังอุตส่าห์ขอหมายเลขโทรศัพท์เธอเอาไว้ และแจ้งข้อความมาบ่อยๆ ทุกครั้งที่มีภาพใหม่ๆ เข้ามาเผื่อว่าเธอจะสนใจ
ข่าวล่าสุดก็คือ ภาพที่เธอชอบนั่นมีคนซื้อไปเรียบร้อย หญิงสาวเสียดาย แต่ทำอย่างไรได้ เธอเป็นคนไม่อยากจะซื้อเอาไว้นี่ มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้
เมื่อไม่มีภาพนั้น ประกอบกับงานใหม่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการหาภาพอีกต่อไป ก็ไม่มีเหตุให้ตีรณาได้กลับไปที่นั่นสักที น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน
เพื่อนรักของเธอเดินออกมาจากห้องน้ำหลังเสร็จธุระ แล้วก็จัดแจงให้เธอต้องออกไปนอกบ้านจนได้ ด้วยเหตุผลที่ว่า
“นี่! ฉันอุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อนหล่อนตั้งครึ่งวัน อีกครึ่งวันหล่อนตามใจฉันไม่ได้หรือไง”
ฟังคำของสุกฤตแล้ว หญิงสาวก็ใจอ่อนไปกว่าครึ่ง แต่ก็ใช่ว่าเธอจะยอมทำตามทั้งหมดนะ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีข้อแม้ของมันอยู่แล้ว และข้อแม้ที่ว่าคือ วันนี้เป็นวันหยุด เธอจะชอบใส่เสื้อหลวมๆ สบายๆ มากกว่า
ถ้าจะลากเธอออกไป ก็ต้องทำใจถ้าคนอื่นจะมองว่าเขาหิ้วผ้าขี้ริ้วมาด้วย เพราะฉะนั้นนี่เป็นอีกเรื่องที่เพื่อนเธอต้องเข้าใจหากจะพาเธอไปไหนต่อไหน ห้ามคิดแค้นกันด้วย
เมื่อขึ้นรถเก๋งที่เจ้าตัวใช้เวลาผ่อนมาแล้วห้าปี หญิงสาวก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากหลับไปตามระเบียบตามนิสัยคนขึ้นรถปุ๊บหลับปั๊บ
แล้วทุกอย่างก็มืดสนิทยามเมื่อเธอเข้าสู่นิทรารมย์
=======================
(มีต่อค่ะ)
ห้วงเวลาแห่งเทพนิยาย : เขาไม่ใช่เจ้าชาย & เธอไม่ใช่ซินเดอเรลล่า บทที่ 1
“แล้วเจ้าชายกับซินเดอเรลล่าก็ได้แต่งงานกัน ทั้งสองอยู่อย่างมีความสุขด้วยกันตลอดไป”
หญิงสาวร่างเล็กในชุดลำลองง่ายๆ นั่งทำตาปริบๆ มองชายไม่จริงหญิงไม่แท้ร่างบึ้กนวยนาดกรีดกรายไปมาอยู่ข้างจอโทรทัศน์ที่กำลังฉายภาพยนตร์การ์ตูนจากค่ายดังก้องโลกเรื่อง ‘ซินเดอเรลล่า’
ตีรณาแอบเหลือบดูนาฬิกาก็พบว่าเกือบสองชั่วโมงแล้วที่เห็นเพื่อนสนิทพร่ำจนน้ำลายแตกฟอง ทั้งบรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร ออกท่าออกทางราวกับอยู่บนเวทีใหญ่ตระการตา และตบท้ายด้วยคำพูดบทละครฉากสุดท้ายด้วยท่าทีซาบซึ้งตรึงใจ
“ถ้าจำไม่ผิดนะ คุณสุกฤตดูเจ้าเรื่องนี้มาสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่เลิกคลั่งไคล้อีกหรือไง” ขอสักหน่อยเถอะ เธอคันปากอยากถามมานานแล้ว
แน่ล่ะ...ผู้เดือดร้อนต้องนั่งทู่ซี้ดูการแสดงของเจ้าตัวก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนี่!
สิบปี! สิบปีแห่งความทุกข์ทรมาน ใครเล่าจะเข้าใจ...ฮือ
ต่อให้ไม่ต้องดูหน้าจอโทรทัศน์อีก ตีรณาก็เชื่อว่าคงสามารถหลับตาจินตนาการเอาได้เลยว่าภาพของตัวการ์ตูนนั้นวิ่งไปทางใด ซินเดอเรลล่านี่หันหน้าคุยกี่องศา ในภาพนั้นประกอบด้วยนกหนูหมาแมวกี่ตัว
สุกฤตค้อนใส่เธอทันที
“ใครชื่อสุกฤตยะ ฉันชื่อเคที่ หัดเรียกให้มันดีๆ หน่อย” ว่าจบก็กรีดนิ้วมาที่โต๊ะหยิบมันฝรั่งทอดซึ่งวางอยู่สองสามถุงค่อยๆ เล็มเข้าปากอย่างมีมารยาทจากนั้นก็จีบปากจีบคอตอบโต้เธอบ้าง
“หล่อนนี่มันช่างไม่มีสุนทรียะในจิตใจบ้างเลยนะยะยายตี้ ดูแล้วไม่รู้สึกแบบว่า Oh! So romantic! แบบนี้บ้างเลยหรือไงกัน ด้วยความรัก...” เจ้าตัวทำหน้าเคลิ้มฝัน “...ทำให้เจ้าชายตามหาซินเดอเรลล่าจนพบ แล้วก็แต่งงานกับเธอในที่สุด ช่วยให้นางเอกผู้น่าสงสารรอดพ้นเงื้อมมือมารของยายแม่เลี้ยงกับพี่สาวมาได้อีกต่างหาก เรื่องนี้น่ะเป็นความใฝ่ฝันของเด็กสาวอย่างเราๆ เลยนะยะ หล่อนพลาดช่วงเวลาแบบนี้ได้ยังไงกันหา!”
“บางทีฉันอาจจะรู้สึกอย่างที่คุณสุกฤตว่าก็ได้ ถ้ามันไม่ใช่รอบที่ล้านที่ฉันดู!” ตีรณาตะเบ็งเสียงแข่งบ้าง เรื่องอะไรจะยอมแพ้ล่ะ
“เอ๊ะ! ฉันชื่อเคที่” ชายหนุ่มผู้ไม่ยอมรับในชื่อจริงของตัวเองปรายตามาอย่างไม่พอใจ
“งั้นนี่คุณคาที่!”
“เอ๊ะ! ก็บอกว่าเคที่ๆ หล่อนนี่ไม่จำใส่กะโหลกบ้างเลยนะ”
“เอาล่ะ เคที่ก็ได้!” หญิงสาวหน้างอมองคนทำท่าตะบึงตะบอนอย่างหมั่นไส้ “ทีหลังเวลาจะดูเรื่องนี้อีกไม่ต้องเอาฉันมาเป็นเพื่อนได้ไหม”
แต่แทนที่จะฟังบ้าง เปล่าเลย! คุณสุกฤตกลับหลับหูหลับตาอธิบายต่อไปโดยไม่ยอมมองหน้าเพื่อนผู้น่ารักอย่างเธอสักนิด
“ความฝันของผู้หญิงนะยะหล่อน ถ้าได้แต่งงานกับผู้ชายดีๆ รูปหล่อ พ่อรวย ปากหวาน หน้าตาไม่โง่ ถือว่าเป็นบุญชีวิตเลยนะ แล้วแบบนี้หล่อนว่าฉันดูเรื่องนี้แล้วไม่ควรสุขใจหรือไงยะ” ว่าแล้วมือใหญ่ล่ำก็คว้าขนมเข้าปากอีกหงับ
“แล้วถ้าหมอนั่นเป็นพวกแซ่ติงขึ้นมา...”
“หล่อนสิยะแซ่ติง!” หมายถึงติงต๊อง “ฉันว่าถ้าหล่อนได้เจอเข้าหล่อนก็จะรู้เองนั่นแหละ ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงนะยะ ยังไงก็ต้องอ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้บ้างแหละ หล่อนเจอเข้าเองจะอ่อนปวกเปียกเป็นขี้ผึ้งลนไฟ”
“คงเป็นหรอก!” ตีรณาค่อนสะบัดหน้าพรืด “ทำอย่างกับฉันจะยอมนั่งเป็นผู้หญิงงอมืองอเท้านั่งบื้อไปวันๆ แล้วยอมให้แม่เลี้ยงมันจิกใช้อย่างยายซินเดอเรลล่านั่น หรือไม่ก็ทำตัวให้น่าสงสารรอพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยอย่างนั้นหรือไงล่ะ”
พอเพื่อนอ้าปากจะเถียง เธอก็สวนกลับไปทันควัน
“อ๊ะๆ ห้ามเถียงเลย คุณสุกฤตลองไปดูนิทานเจ้าหญิงเจ้าชายดูสิ มีแต่พวกรอผู้ชายมาช่วยทั้งนั้น เจ้าหญิงนิทราต้องรอให้เจ้าชายมาจูบ สโนไวท์ต้องรอเจ้าชายมาเจอ แบบนี้มันดูถูกผู้หญิงกันนี่นาว่าไร้ปัญญา งอมืองอเท้าทำอะไรไม่ได้ อย่างนี้น่ะวัฒนธรรมกดขี่ผู้หญิงชัดๆ แล้วจะให้ฉันหลงใหลได้ปลื้มไปได้ยังไงกัน”
“อีกแล้วนะยะ...ผีนักเรียกร้องสิทธิสตรีเข้าสิงอีกแล้วหรือไงกัน สาธุ! เออ...ขอให้หล่อนเจอบ้าง แล้วฉันนี่แหละจะคอยดูว่าหล่อนจะยังคิดแบบนั้นอยู่หรือเปล่า”
“คอยดูก็แล้วกัน!” เธอรับคำท้า
หลังจากนั้นสุกฤตก็ทำหน้าเหม็นเบื่องึมงำสาปแช่งเธอเสร็จเรียบร้อย ร่างใหญ่นั่นก็ลุกขึ้นเดินนวยนาดไปเข้าห้องน้ำพร้อมกับคำพูดพึมพำประหนึ่งด่าเธอในใจ ทิ้งให้หญิงสาวต้องเก็บแผ่นหนังให้เสียอย่างนั้น
ดู...คุณเพื่อนสุดประเสริฐ!
ปกติเธอไม่ได้เป็นคนฝีปากกล้า แต่ความที่ต้องไล่คำพูดกรี๊ดๆ แบบนี้ให้ทันก็ต้องมีการลับคมปากกันบ้าง ไม่อย่างนั้นเธอก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบน่ะสิ!
ที่จริงตีรณาก็นึกขอบใจสุกฤตอยู่เหมือนกันที่อุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อนเพราะเห็นเธอกำลังจิตตกเรื่องที่ทำงานใหม่
หญิงสาวเพิ่งเปลี่ยนงานมาได้ไม่ถึงครึ่งปี ถึงเงินเดือนจะเยอะขึ้นกว่าเดิมแต่อย่างไรเสียหญิงสาวก็ชอบงานและเพื่อนร่วมงานที่เก่ามากกว่า ซึ่งเธอก็รู้อยู่หรอกว่าที่ทำงานใหม่น่าจะต้องเจอปัญหา อุตส่าห์เตรียมใจไว้แล้วด้วย แต่ไม่คิดว่าปัญหาที่ว่าจะเป็นเรื่องเพื่อนร่วมงานที่ต้องประสานงานกันดันเกิดมาถูกตาต้องใจเธอเข้า
ตอนนี้ตีรณารู้สึกทำงานลำบากจนแทบไม่อยากจะไปทำงานอีก ยิ่งนานวัน ยิ่งนึกถึงที่ทำงานเก่าซึ่งไม่มีใครมาก้อร่อก้อติกให้เธอไม่สบายใจเลยสักคน
พูดถึงงานเก่าแล้ว สิ่งที่เธอชอบที่สุดก็คือ การต้องหาภาพเพื่อประดับตามสถานที่ต่างๆ ตามรูปแบบและสไตล์ที่ออกแบบเอาไว้ เธอชอบแกลอรี่ที่อยู่ใกล้บริษัทมาก ที่นั่นมักจะมีภาพเก๋ๆ รวมทั้งให้โอกาสศิลปินหน้าใหม่มาแสดงผลงานด้วยถ้าโดดเด่นพอ
ที่นั่นมีภาพอยู่หลายภาพ แต่ที่เธอชอบเป็นของศิลปินนิรนาม ภาพเขาเป็นภาพพ่อแม่ลูก พื้นหลังของมันทำให้ภาพบุคคลทั้งสามที่อยู่ด้านหน้าเหมือนเป็นเงาจับต้องไม่ได้ ตรงนี้เองที่เธอประทับใจมาก
ทว่าพอนึกถึงว่าจะซื้อภาพนั้นเพื่อมาประดับห้อง ตีรณาคิดว่ามันก็ดูจะเกินไป คิดสะระตะแล้ว เธอว่ามูลค่าของมันช่วยให้ครอบครัวเธออิ่มไปได้หลายมื้อเหมือนกัน สุดท้ายก็เลยตัดใจไม่ซื้อ
ลิปดา เจ้าของแกลอรี่แห่งนั้นเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีมาก ความที่อายุไม่ต่างกันเท่าไร และสนใจเรื่องศิลปะเหมือนกัน ตีรณาจึงได้สนทนากับเธอบ่อยๆ รวมทั้งได้อุดหนุนภาพค่อนข้างเยอะ
กระทั่งวันสุดท้ายของการทำงาน เจ้าของแกลอรี่นั้นก็ยังอุตส่าห์ขอหมายเลขโทรศัพท์เธอเอาไว้ และแจ้งข้อความมาบ่อยๆ ทุกครั้งที่มีภาพใหม่ๆ เข้ามาเผื่อว่าเธอจะสนใจ
ข่าวล่าสุดก็คือ ภาพที่เธอชอบนั่นมีคนซื้อไปเรียบร้อย หญิงสาวเสียดาย แต่ทำอย่างไรได้ เธอเป็นคนไม่อยากจะซื้อเอาไว้นี่ มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้
เมื่อไม่มีภาพนั้น ประกอบกับงานใหม่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการหาภาพอีกต่อไป ก็ไม่มีเหตุให้ตีรณาได้กลับไปที่นั่นสักที น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน
เพื่อนรักของเธอเดินออกมาจากห้องน้ำหลังเสร็จธุระ แล้วก็จัดแจงให้เธอต้องออกไปนอกบ้านจนได้ ด้วยเหตุผลที่ว่า
“นี่! ฉันอุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อนหล่อนตั้งครึ่งวัน อีกครึ่งวันหล่อนตามใจฉันไม่ได้หรือไง”
ฟังคำของสุกฤตแล้ว หญิงสาวก็ใจอ่อนไปกว่าครึ่ง แต่ก็ใช่ว่าเธอจะยอมทำตามทั้งหมดนะ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีข้อแม้ของมันอยู่แล้ว และข้อแม้ที่ว่าคือ วันนี้เป็นวันหยุด เธอจะชอบใส่เสื้อหลวมๆ สบายๆ มากกว่า
ถ้าจะลากเธอออกไป ก็ต้องทำใจถ้าคนอื่นจะมองว่าเขาหิ้วผ้าขี้ริ้วมาด้วย เพราะฉะนั้นนี่เป็นอีกเรื่องที่เพื่อนเธอต้องเข้าใจหากจะพาเธอไปไหนต่อไหน ห้ามคิดแค้นกันด้วย
เมื่อขึ้นรถเก๋งที่เจ้าตัวใช้เวลาผ่อนมาแล้วห้าปี หญิงสาวก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากหลับไปตามระเบียบตามนิสัยคนขึ้นรถปุ๊บหลับปั๊บ
แล้วทุกอย่างก็มืดสนิทยามเมื่อเธอเข้าสู่นิทรารมย์
=======================
(มีต่อค่ะ)