บทที่ 24
http://ppantip.com/topic/32324988
บทที่ 25
รีไวมองหญิงสาวที่กำลังเปล่งเสียงหัวเราะราวกับคนเสียสติ จากประสบการณ์ที่พบกับฆาตกรหลายรูปแบบทำให้รู้ว่าเวลานี้แอนนี่บรรลุเป้าหมายแล้ว แต่เพราะถูกจับได้และโดนต้อน เธอจึงอยู่ในภาวะ ‘จนตรอก’ ในสถานการณ์เช่นนี้เขาต้องรีบควบคุมตัวแอนนี่ ไม่อย่างนั้นทั้งเขาและเอเลนอาจจะโดนเธอฆ่าเอาง่ายๆ
กำลังคิดหาทางอยู่นั่นเอง ชายหนุ่มต้องใจหายวาบเมื่อเอเลนพูดขึ้น
“คุณน่าสงสารก็จริงแต่ก็ใจร้ายจนไม่น่าให้อภัย”
แอนนี่หยุดหัวเราะและจ้องหน้าเด็กหนุ่มเขม็ง
“ว่าไงนะ”
“ผมไม่รู้ว่าคุณเจออะไรมาบ้าง แต่เท่าที่ฟังเหมือนตอนเด็กๆโดนแกล้งมาเยอะ” เอเลนพูด “แต่มันก็เป็นอดีตไปแล้วไม่ใช่หรือครับ ตอนนี้คุณมีงานดีๆทำ อยู่ในตำแหน่งที่หลายคนใฝ่ฝัน น่าจะทิ้งความเจ็บปวดทุกอย่าง ลืมมันซะ แล้วทำชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิม”
ดวงตาของแอนนี่ทอประกายกร้าว
“ลืมมันอย่างนั้นหรือ” เธอทวนคำเสียงต่ำพร้อมกับก้าวเข้าไปหาเด็กหนุ่มช้าๆ ในท่าทางที่พร้อมจะปลิดชีวิตทุกคนที่พูดไม่เข้าหู “พูดง่ายเหลือเกินนะ เด็กโลกสวยอย่างเธอมันจะไปรู้อะไร ความเจ็บปวดของฉันมันไม่ใช่สิ่งที่ลืมกันง่ายๆหรอก”
“ผมรู้ว่ามันไม่ง่าย แต่ถ้าอยากมีชีวิตอย่างมีความสุข คุณก็ต้องทำ”
“อย่ามาทำเป็นสอนฉันนะ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน” หญิงสาวพูดลอดไรฟันพร้อมกับยื่นมือออกไปหมายจะคว้าคอเอลนแต่รีไวพลิกตัวไปขวางเอาไว้ จึงถูกอีกฝ่ายจับโยนไปกระแทกกับชั้นโลหะ ข้าวของเครื่องมือที่วางอยู่บนนั้นตกกระจายเกลื่อนพื้น
“ไปให้พ้น” เธอคำรามและย่างสามขุมเข้าไปหาเอเลนตามเดิม รีไวจึงกลิ้งตัวไปขวางอีกครั้งพร้อมกับเหวี่ยงขาฟาดจนหญิงสาวเซถลาไปชนตู้
“บังอาจนักนะเจ้าเตี้ย” แอนนี่พูดเสียงต่ำและเปลี่ยนเป้าหมายจากเด็กหนุ่มไปเป็นเขา เธอทั้งเตะทั้งถีบอย่างแรงหลายครั้งเพื่อระบายอารมณ์จนชายหนุ่มนอนแน่นิ่งจึงหยุดยืนหอบหายใจ
“ไง เก่งนักไม่ใช่เหรอ ลุกขึ้นสิ ลุกขึ้นมาสู้กับฉัน”
พูดพลางเตะซ้ำอีกครั้ง เอเลนจึงถลันเข้าไปขวาง
“ได้โปรดหยุดเถอะครับ” เขาอ้อนวอน แอนนี่เม้มปากแน่นและเอื้อมมือไปกระชากผมเด็กหนุ่มจนหน้าหงาย
“กล้าดียังไงถึงเข้ามาห้าม”
“ผมสงสารคุณ ไม่อยากเห็นคุณทำผิดไปมากกว่านี้” เอเลนตอบพร้อมกับมองหญิงสาวด้วยดวงตากลมโตใสบริสุทธิ์ มันทำให้หัวใจแข็งกร้าวของแอนนี่เกิดอาการหวั่นไหว กำปั้นที่เงื้อขึ้นหมายฟาดใบหน้าเด็กหนุ่มสั่นระริก
“ฉันน่าสงสาร งั้นเหรอ” เธอถามเสียงแผ่วพร้อมกับลดมือลงเล็กน้อย แต่แล้วหญิงสาวก็ขมวดคิ้ว “นายกำลังนึกสมเพชฉันใช่ไหม”
“ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะคิดแบบนั้น แค่อยากเห็นคุณมีชีวิตที่เป็นสุขมากกว่านี้”
เด็กหนุ่มพูด แอนนี่เม้มปากแน่นและยืนจ้องเอเลนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผลักเขาออกไป
“ใช่ นายไม่มีสิทธิ์ และตอนนี้ฉันก็มีความสุขดีอยู่แล้ว”
“ด้วยการฆ่าคนน่ะหรือครับ” เด็กหนุ่มถาม หญิงสาวมองเขาด้วยดวงตาที่ฉายความเศร้าออกมาวูบหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าไปยังร่างที่ถูกชำแหละบนเตียง ความหมองหม่นเมื่อครู่หายวับไป
“ในที่สุด” เธอพูดออกมาเบาๆก่อนจะเดินไปดูหัวใจของหมอเบอร์นาร์ด ซึ่งบัดนี้หยุดเต้นไปแล้ว หญิงสาวเหยียดยิ้มและเอียงคอน้อยๆ “เราก็มีเหยื่อรายที่สิบ”
เธอหยิบถุงมือมาสวมในขณะเดียวกันก็พูดไปด้วย “ฉันไม่รู้ว่าความสุขที่นายพูดถึงคืออะไร แต่สำหรับฉัน”
หญิงสาวล้วงมือลงไปในช่องอก ตัดเส้นเลือด ดึงหัวใจดวงนั้นออกมาแล้วชูขึ้น เหมือนต้องการให้
เอเลนเห็นชัดๆ
“นี่คือความสุข”
ดวงตาสีฟ้าทอแสงวูบวาบอย่างพึงพอใจก่อนจะโยนหัวใจก้อนนั้นลงถังขยะ จากนั้นแอนนี่ก็หันไปมองรีไวซึ่งยังคงนอนนิ่งราวกับสิ้นสติ
“ได้เวลาสนุกกับของเล่นชิ้นต่อไปแล้ว”
มุมปากสวยยกขึ้นเล็กน้อย มันเป็นรอยยิ้มที่เอเลนดูไม่ออกว่าเธอกำลังรู้สึกอะไรกันแน่ ผิดหวัง หยิ่งผยอง เจ็บปวดหรือสาสมใจ มันทำให้เด็กหนุ่มต้องขยับเข้าไปบังคนที่นอนคู้ตัวบนพื้นทันที หญิงสาวมองสีหน้าหวาดหวั่นของเด็กหนุ่มและเปิดรอยยิ้มกว้าง
“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก”
พูดจบก็เดินหายขึ้นไปด้านบน เอเลนได้ยินเสียงกุกกักเหมือนเธอกำลังรื้อของจากนั้นก็มีเสียงแสกสากลากลงมาตามบันได ไม่นานแอนนี่ก็กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งพร้อมผ้าพลาสติกผืนใหญ่ หญิงสาวจัดแจงปูมันไว้ข้างเตียง มือดึงขอบทั้งสี่ด้านให้ตึงส่วนปากก็พูดไปเรื่อยๆเหมือนคุยกับเอเลน
“ปรกติแล้วเบลทรูทเป็นคนทำหน้าที่นี้” พอจัดการพลาสติกเสร็จเธอก็เดินอ้อมเตียงมาอีกด้านโดยไม่สนใจเหลือบตามาทางเด็กหนุ่ม “ศพน่ะหนักกว่าตอนมีชีวิตมากทำให้ลำบากตอนขนขึ้นไปข้างบน ฉันเลยต้องอาศัยแรงผู้ชาย”
พูดพลางออกแรงผลักร่างไร้วิญญาณของหมอเบอร์นาร์ดลงจากเตียง พอมันหล่นปุลงไปที่ผ้าใบ ลำไส้ที่ขดอยู่ในช่องท้องก็หลุดกระจายออกมา แอนนี่จุ๊ปากเบาๆ
“รู้อย่างนี้หาอะไรห่อไว้ก่อนก็ดี” บ่นพลางใช้เท้าเขี่ยให้กองรวมอยู่ในผ้าพลาสติกจากนั้นก็ออกแรงลากมันออกไปให้พ้นทาง เสร็จแล้วหญิงสาวก็หันไปทางรีไวแต่ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นเขากำลังยืนจังก้าในท่าที่พร้อมจะพุ่งเข้ามาโจมตีได้ทุกเมื่อ
“ใครเป็นคนตัด...”แอนนี่หยุดคำถามไว้แค่นั้นเมื่อเห็นกล่องมีดผ่าตัดปะปนอยู่กับข้าวของที่ตกเกลื่อนพื้น เธอผงกศีรษะช้าๆและยิ้มน้อยๆ “อย่างนี้นี่เอง ตอนนั้นนายถึงได้ยอมเจ็บตัว แต่รู้ได้ยังไงว่ามีมีดอยู่ตรงนั้น”
“ลืมไปแล้วหรือว่าห้องนี้เป็นสถานที่เกิดเหตุ”
“นึกว่าพวกเอฟบีไอขนออกไปหมดแล้วเสียอีก”
“มันเป็นของใหม่ อีกอย่างเราไม่พบรอยเลือดเลยปล่อยมันเอาไว้ที่เดิม”
รีไวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และยังคงยืนนิ่งอยู่ในท่าเดิม แต่จากแววตาทำให้แอนนี่รู้ดีว่าเขาระมัดระวังตัวทุกฝีก้าวและพร้อมที่จะรับมือกับเธอได้ทุกเมื่อ หญิงสาวเหลือบมองปืนพกสองกระบอกที่ยึดมาจากชายหนุ่มตรงหัวเตียง อย่างน้อยเขาก็ยังไม่ได้หยิบอาวุธกลับไป เธอคิดและเลื่อนสายตากลับไปที่รีไวอีกครั้งพลางมองเพื่อประเมินพละกำลัง สภาพบอบช้ำจากการทำร้ายเมื่อครู่คงทำให้เรี่ยวแรงของเขาลดถอยพอดู ปัญหาก็คือผู้ชายคนนี้จะยังคงมีแรงสู้กับเธอได้มากแค่ไหน เพราะเท่าที่ศึกษามา เขามีทักษะในการต่อสู้ที่เก่งมาก อาจจะพอๆกับพวกนาวิกโยธินเลยด้วยซ้ำ
“อย่าคิดต่อสู้เลยแอนนี่ ยอมมอบตัวดีกว่า โทษหนักจะได้เป็นเบา”
รีไวพยายามเกลี้ยกล่อมแต่หญิงสาวกลับหัวเราะออกมาเบาๆ
“ฉันฆ่าคนไปเป็นสิบ ต่อให้ลดหย่อนยังไงก็โดนประหารอยู่ดี”
“แล้วเธอจะทำยังไง ฆ่าฉันแล้วหนีไปเรื่อยๆหรือ โลกเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนกับสมัยก่อนหรอกนะ มันไม่มีที่ให้เธอได้หลบซ่อนตัวไปจนตลอดชีวิตหรอก”
แอนนี่ยิ้มอย่างใจเย็น
“มีสิ” เธอมองผ่านเขาไปยังด้านหลังและหยุดไว้ที่เอเลน “ฉันจะฆ่านายก่อนจากนั้นก็ใช้เจ้าหนูนั่นเป็นใบเบิกทางออกไปจากที่นี่”
รีไวขยับตัวขวางเอเลนทันที
“อย่ายุ่งกับเขา”
“งั้นนายก็ต้องหยุดฉันให้ได้” ไม่พูดเปล่า เธอยังคว้าชามรูปไตขว้างใส่ชายหนุ่ม พอเขายกมือขึ้นปัด หญิงสาวก็ถือโอกาสกระโจนเข้าไปหาพร้อมกับพุ่งหมัดตามออกไป ถึงรีไวจะเบี่ยงตัวหลบไปได้อย่างฉิวเฉียดแต่กลับต้องเจอกับหน้าแข้งที่เหวี่ยงตามมา มันฟาดเข้าที่หน้าท้องอย่างจังทำให้เขาถึงกับตัวงอ
“ไม่เห็นจะเก่งอย่างที่ลือ” แอนนี่พูดและเตรียมจะเตะซ้ำแต่รีไวตะครุบขาเธอเอาไว้พร้อมกับสวนกำปั้นกลับ หญิงสาวจึงเอนหลบและถอยฉากหนีแต่ไม่พ้นเพราะชายหนุ่มพุ่งตัวตามและรัวหมัดใส่เธอไม่ยั้ง แม้จะยกแขนขึ้นตั้งรับได้ทันแต่ก็กันไม่ได้ทั้งหมด พอโดนกำปั้นอัดเข้าที่หน้าท้องกับใบหน้า เธอก็เซถลาไปชนกับชั้นวางของและทรุดลงไปกองกับพื้น
“ยอมแพ้หรือยัง” เอฟบีไอหนุ่มถาม หากเป็นคนอื่นเขาคงตามเข้าไปซ้ำให้หมอบกระแต แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง เขาจึงจำต้องยั้งการบุกเอาไว้ก่อน แต่ก็ยังคงตั้งท่าเตรียมพร้อม เพราะรู้ดีว่าแอนนี่มีความร้ายกาจมากเพียงใด
หญิงสาวส่งเสียงหัวเราะหึ หึก่อนจะคว้าชั้นโลหะเพื่อพยุงตัวให้ลุกขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆหมุนตัวหันไปทางรีไว
“ยอมแพ้อย่างนั้นหรือ” ถามพลางปาดเลือดตรงมุมปากในขณะเดียวกันก็เหลือบดวงตาขึ้นมองชายหนุ่ม “ฉันไม่เคยรู้จักของแบบนั้นหรอก”
มือที่เช็ดเลือดลดลงแนบกับลำตัว รีไวมองกิริยาของเธอพร้อมกับคาดเดาการกระทำตามไปด้วย พอนึกขึ้นได้ว่าหญิงสาวจะต้องทำอะไรต่อไป เขาก็ปราดไปยืนบังเอเลนเอาไว้ทันที
“ฉันไม่มีวันยอมให้เธอแตะต้องเขา”
แอนนี่ส่งยิ้มให้ ในสายตาของรีไวแล้ว มันมีความหมายที่แตกต่างไปจากทุกครั้ง เพราะมันเป็นรอยยิ้มอันว่างเปล่าที่แสนเศร้าเหลือเกิน
“นายคิดผิดแล้วรีไว”
หญิงสาวพูดพร้อมกับพุ่งตัวไปคว้าปืนที่วางอยู่บนเตียง และหมุนกลับมาทางชายหนุ่มซึ่งก็พบพบว่าเขากำลังเล็งปืนมาที่เธอเช่นเดียวกัน ดวงตาของแอนนี่ฉายความประหลาดใจออกมาน้อยๆ
“นายพกปืนสามกระบอก”
“เฉพาะเวลาจำเป็นเท่านั้น” เอฟบีไอหนุ่มพูด “วางปืนลงดีกว่า ฉันยังไม่อยากฆ่าเธอนะแอนนี่”
“แต่ฉันอยากฆ่านาย” หญิงสาวพูดพร้อมกับขยับเพื่อจะยิง รีไวจึงเหนี่ยวไกทันที
เปรี้ยง !
เสียงกัมปนาทปานฟ้าคำราม กลิ่นดินปืนฟุ้งกระจายอบห้อง ร่างอรชรอ้อนแอ้นของแอนนี่ค่อยๆทรุดลง แต่ก่อนที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหลุดออกจากร่าง เธอได้ส่งสายตาบางอย่างมาทางรีไว
ขอบคุณ
ดวงตาสีฟ้าปิดเปลือกลงพร้อมกับร่างที่ล้มลงไปนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น รีไวมองเลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาจากทรวงอกด้านซ้ายของหญิงสาวและยังคงเล็งปืนค้างเอาไว้ในท่านั้น พอแน่ใจว่าอีกฝ่ายหมดลมหายใจไปแล้วเขาจึงทรุดตัวร่วงลงไปนั่งกองกับพื้น
“คุณรีไวครับ” เอเลนร้องเรียกด้วยความตระหนกพร้อมกับรีบพยุงเอาไว้ อีกฝ่ายส่งยิ้มให้อย่างอ่อนแรง
“ฉันไม่เป็นไร” เขาหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนจำนวนมากที่ดังตึงตังมาจากเพดานด้านบน “พระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยแล้ว”
ชายหนุ่มพูดเหมือนประชดก่อนเอนศีรษะพิงเด็กหนุ่มเอาไว้และนั่งรออยู่ในท่านั้นจนกระทั่งเจ้าหน้าที่จู่โจมถลันเข้ามาในห้อง ตามด้วยเอลวินกับฮันซี่ พอทั้งคู่เห็นแอนนี่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นก็ลดปืนลงและหันไปทางคนที่กำลังนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรงอยู่กับเอเลน
“รีไว” หัวหน้าทีมเอ่ยเรียกในขณะที่ฮันซี่รีบเก็บปืนและเข้าไปตรวจดูอาการ ชายหนุ่มส่งยิ้มที่ดูเหมือนจะฝืนเต็มทนให้
“ฉันสบายดี” เขาพูดและปัดมืออีกฝ่ายออก “พอได้แล้วน่ายายเพี้ยน” เขาพึมพำอย่างรำคาญเต็มแก่เมื่อฮันซี่เริ่มไล่มือสำรวจไปตามร่างกาย เอฟบีไอสาวขมวดคิ้ว
“เละทั้งตัวแบบนี้ยังบอกว่าไม่เป็นไรอีก” เธอพูดด้วยความเป็นห่วงก่อนจะหันไปร้องสั่งเจ้าหน้าที่ “เรียกหน่วยแพทย์มาด่วน ขอเปลด้วย”
“ฉันเดินเองได้” รีไวรีบพูดพร้อมกับพยายามดันตัวให้ลุก แต่กลับล้มลงไปอีกครั้ง และหงายหลังหมดสติไปโดยไม่รู้ตัว เอเลนเบิกตาโพลงและรีบกอดเขาแน่นพร้อมกับร้องเรียกด้วยความตกใจ
“คุณรีไว!”
ฮันซี่ตบแขนเด็กหนุ่มเบาๆ
“ใจเย็นๆ เขาแค่หมดสติไปเท่านั้น” พูดพร้อมกับมองคนที่นอนสลบไม่รู้เรื่อง “สมกับเป็นคนหัวดื้อ เจ็บหนักขนาดนี้ยังทำเป็นอวดเก่ง”
บ่นจบ หน่วยแพทย์ก็เข้ามาถึงพอดี หญิงสาวดึงเอเลนออกจากชายหนุ่มเพื่อไม่ให้เกะกะ พอเจ้าหน้าที่นำตัวรีไวขึ้นเปลเรียบร้อยและเตรียมลำเลียงขึ้นไปด้านบน เธอก็เปรยขึ้นเชิงกระเซ้า
“ยกขึ้นไปดีๆ อย่าให้เขาตกหรือไปกระแทกกับอะไรเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นพอฟื้นขึ้นมาหมอนี่ต้องตามไปไล่เหยียบพวกนายแน่”
My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ บทที่ 25
http://ppantip.com/topic/32324988
บทที่ 25
รีไวมองหญิงสาวที่กำลังเปล่งเสียงหัวเราะราวกับคนเสียสติ จากประสบการณ์ที่พบกับฆาตกรหลายรูปแบบทำให้รู้ว่าเวลานี้แอนนี่บรรลุเป้าหมายแล้ว แต่เพราะถูกจับได้และโดนต้อน เธอจึงอยู่ในภาวะ ‘จนตรอก’ ในสถานการณ์เช่นนี้เขาต้องรีบควบคุมตัวแอนนี่ ไม่อย่างนั้นทั้งเขาและเอเลนอาจจะโดนเธอฆ่าเอาง่ายๆ
กำลังคิดหาทางอยู่นั่นเอง ชายหนุ่มต้องใจหายวาบเมื่อเอเลนพูดขึ้น
“คุณน่าสงสารก็จริงแต่ก็ใจร้ายจนไม่น่าให้อภัย”
แอนนี่หยุดหัวเราะและจ้องหน้าเด็กหนุ่มเขม็ง
“ว่าไงนะ”
“ผมไม่รู้ว่าคุณเจออะไรมาบ้าง แต่เท่าที่ฟังเหมือนตอนเด็กๆโดนแกล้งมาเยอะ” เอเลนพูด “แต่มันก็เป็นอดีตไปแล้วไม่ใช่หรือครับ ตอนนี้คุณมีงานดีๆทำ อยู่ในตำแหน่งที่หลายคนใฝ่ฝัน น่าจะทิ้งความเจ็บปวดทุกอย่าง ลืมมันซะ แล้วทำชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิม”
ดวงตาของแอนนี่ทอประกายกร้าว
“ลืมมันอย่างนั้นหรือ” เธอทวนคำเสียงต่ำพร้อมกับก้าวเข้าไปหาเด็กหนุ่มช้าๆ ในท่าทางที่พร้อมจะปลิดชีวิตทุกคนที่พูดไม่เข้าหู “พูดง่ายเหลือเกินนะ เด็กโลกสวยอย่างเธอมันจะไปรู้อะไร ความเจ็บปวดของฉันมันไม่ใช่สิ่งที่ลืมกันง่ายๆหรอก”
“ผมรู้ว่ามันไม่ง่าย แต่ถ้าอยากมีชีวิตอย่างมีความสุข คุณก็ต้องทำ”
“อย่ามาทำเป็นสอนฉันนะ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน” หญิงสาวพูดลอดไรฟันพร้อมกับยื่นมือออกไปหมายจะคว้าคอเอลนแต่รีไวพลิกตัวไปขวางเอาไว้ จึงถูกอีกฝ่ายจับโยนไปกระแทกกับชั้นโลหะ ข้าวของเครื่องมือที่วางอยู่บนนั้นตกกระจายเกลื่อนพื้น
“ไปให้พ้น” เธอคำรามและย่างสามขุมเข้าไปหาเอเลนตามเดิม รีไวจึงกลิ้งตัวไปขวางอีกครั้งพร้อมกับเหวี่ยงขาฟาดจนหญิงสาวเซถลาไปชนตู้
“บังอาจนักนะเจ้าเตี้ย” แอนนี่พูดเสียงต่ำและเปลี่ยนเป้าหมายจากเด็กหนุ่มไปเป็นเขา เธอทั้งเตะทั้งถีบอย่างแรงหลายครั้งเพื่อระบายอารมณ์จนชายหนุ่มนอนแน่นิ่งจึงหยุดยืนหอบหายใจ
“ไง เก่งนักไม่ใช่เหรอ ลุกขึ้นสิ ลุกขึ้นมาสู้กับฉัน”
พูดพลางเตะซ้ำอีกครั้ง เอเลนจึงถลันเข้าไปขวาง
“ได้โปรดหยุดเถอะครับ” เขาอ้อนวอน แอนนี่เม้มปากแน่นและเอื้อมมือไปกระชากผมเด็กหนุ่มจนหน้าหงาย
“กล้าดียังไงถึงเข้ามาห้าม”
“ผมสงสารคุณ ไม่อยากเห็นคุณทำผิดไปมากกว่านี้” เอเลนตอบพร้อมกับมองหญิงสาวด้วยดวงตากลมโตใสบริสุทธิ์ มันทำให้หัวใจแข็งกร้าวของแอนนี่เกิดอาการหวั่นไหว กำปั้นที่เงื้อขึ้นหมายฟาดใบหน้าเด็กหนุ่มสั่นระริก
“ฉันน่าสงสาร งั้นเหรอ” เธอถามเสียงแผ่วพร้อมกับลดมือลงเล็กน้อย แต่แล้วหญิงสาวก็ขมวดคิ้ว “นายกำลังนึกสมเพชฉันใช่ไหม”
“ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะคิดแบบนั้น แค่อยากเห็นคุณมีชีวิตที่เป็นสุขมากกว่านี้”
เด็กหนุ่มพูด แอนนี่เม้มปากแน่นและยืนจ้องเอเลนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผลักเขาออกไป
“ใช่ นายไม่มีสิทธิ์ และตอนนี้ฉันก็มีความสุขดีอยู่แล้ว”
“ด้วยการฆ่าคนน่ะหรือครับ” เด็กหนุ่มถาม หญิงสาวมองเขาด้วยดวงตาที่ฉายความเศร้าออกมาวูบหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าไปยังร่างที่ถูกชำแหละบนเตียง ความหมองหม่นเมื่อครู่หายวับไป
“ในที่สุด” เธอพูดออกมาเบาๆก่อนจะเดินไปดูหัวใจของหมอเบอร์นาร์ด ซึ่งบัดนี้หยุดเต้นไปแล้ว หญิงสาวเหยียดยิ้มและเอียงคอน้อยๆ “เราก็มีเหยื่อรายที่สิบ”
เธอหยิบถุงมือมาสวมในขณะเดียวกันก็พูดไปด้วย “ฉันไม่รู้ว่าความสุขที่นายพูดถึงคืออะไร แต่สำหรับฉัน”
หญิงสาวล้วงมือลงไปในช่องอก ตัดเส้นเลือด ดึงหัวใจดวงนั้นออกมาแล้วชูขึ้น เหมือนต้องการให้
เอเลนเห็นชัดๆ
“นี่คือความสุข”
ดวงตาสีฟ้าทอแสงวูบวาบอย่างพึงพอใจก่อนจะโยนหัวใจก้อนนั้นลงถังขยะ จากนั้นแอนนี่ก็หันไปมองรีไวซึ่งยังคงนอนนิ่งราวกับสิ้นสติ
“ได้เวลาสนุกกับของเล่นชิ้นต่อไปแล้ว”
มุมปากสวยยกขึ้นเล็กน้อย มันเป็นรอยยิ้มที่เอเลนดูไม่ออกว่าเธอกำลังรู้สึกอะไรกันแน่ ผิดหวัง หยิ่งผยอง เจ็บปวดหรือสาสมใจ มันทำให้เด็กหนุ่มต้องขยับเข้าไปบังคนที่นอนคู้ตัวบนพื้นทันที หญิงสาวมองสีหน้าหวาดหวั่นของเด็กหนุ่มและเปิดรอยยิ้มกว้าง
“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก”
พูดจบก็เดินหายขึ้นไปด้านบน เอเลนได้ยินเสียงกุกกักเหมือนเธอกำลังรื้อของจากนั้นก็มีเสียงแสกสากลากลงมาตามบันได ไม่นานแอนนี่ก็กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งพร้อมผ้าพลาสติกผืนใหญ่ หญิงสาวจัดแจงปูมันไว้ข้างเตียง มือดึงขอบทั้งสี่ด้านให้ตึงส่วนปากก็พูดไปเรื่อยๆเหมือนคุยกับเอเลน
“ปรกติแล้วเบลทรูทเป็นคนทำหน้าที่นี้” พอจัดการพลาสติกเสร็จเธอก็เดินอ้อมเตียงมาอีกด้านโดยไม่สนใจเหลือบตามาทางเด็กหนุ่ม “ศพน่ะหนักกว่าตอนมีชีวิตมากทำให้ลำบากตอนขนขึ้นไปข้างบน ฉันเลยต้องอาศัยแรงผู้ชาย”
พูดพลางออกแรงผลักร่างไร้วิญญาณของหมอเบอร์นาร์ดลงจากเตียง พอมันหล่นปุลงไปที่ผ้าใบ ลำไส้ที่ขดอยู่ในช่องท้องก็หลุดกระจายออกมา แอนนี่จุ๊ปากเบาๆ
“รู้อย่างนี้หาอะไรห่อไว้ก่อนก็ดี” บ่นพลางใช้เท้าเขี่ยให้กองรวมอยู่ในผ้าพลาสติกจากนั้นก็ออกแรงลากมันออกไปให้พ้นทาง เสร็จแล้วหญิงสาวก็หันไปทางรีไวแต่ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นเขากำลังยืนจังก้าในท่าที่พร้อมจะพุ่งเข้ามาโจมตีได้ทุกเมื่อ
“ใครเป็นคนตัด...”แอนนี่หยุดคำถามไว้แค่นั้นเมื่อเห็นกล่องมีดผ่าตัดปะปนอยู่กับข้าวของที่ตกเกลื่อนพื้น เธอผงกศีรษะช้าๆและยิ้มน้อยๆ “อย่างนี้นี่เอง ตอนนั้นนายถึงได้ยอมเจ็บตัว แต่รู้ได้ยังไงว่ามีมีดอยู่ตรงนั้น”
“ลืมไปแล้วหรือว่าห้องนี้เป็นสถานที่เกิดเหตุ”
“นึกว่าพวกเอฟบีไอขนออกไปหมดแล้วเสียอีก”
“มันเป็นของใหม่ อีกอย่างเราไม่พบรอยเลือดเลยปล่อยมันเอาไว้ที่เดิม”
รีไวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และยังคงยืนนิ่งอยู่ในท่าเดิม แต่จากแววตาทำให้แอนนี่รู้ดีว่าเขาระมัดระวังตัวทุกฝีก้าวและพร้อมที่จะรับมือกับเธอได้ทุกเมื่อ หญิงสาวเหลือบมองปืนพกสองกระบอกที่ยึดมาจากชายหนุ่มตรงหัวเตียง อย่างน้อยเขาก็ยังไม่ได้หยิบอาวุธกลับไป เธอคิดและเลื่อนสายตากลับไปที่รีไวอีกครั้งพลางมองเพื่อประเมินพละกำลัง สภาพบอบช้ำจากการทำร้ายเมื่อครู่คงทำให้เรี่ยวแรงของเขาลดถอยพอดู ปัญหาก็คือผู้ชายคนนี้จะยังคงมีแรงสู้กับเธอได้มากแค่ไหน เพราะเท่าที่ศึกษามา เขามีทักษะในการต่อสู้ที่เก่งมาก อาจจะพอๆกับพวกนาวิกโยธินเลยด้วยซ้ำ
“อย่าคิดต่อสู้เลยแอนนี่ ยอมมอบตัวดีกว่า โทษหนักจะได้เป็นเบา”
รีไวพยายามเกลี้ยกล่อมแต่หญิงสาวกลับหัวเราะออกมาเบาๆ
“ฉันฆ่าคนไปเป็นสิบ ต่อให้ลดหย่อนยังไงก็โดนประหารอยู่ดี”
“แล้วเธอจะทำยังไง ฆ่าฉันแล้วหนีไปเรื่อยๆหรือ โลกเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนกับสมัยก่อนหรอกนะ มันไม่มีที่ให้เธอได้หลบซ่อนตัวไปจนตลอดชีวิตหรอก”
แอนนี่ยิ้มอย่างใจเย็น
“มีสิ” เธอมองผ่านเขาไปยังด้านหลังและหยุดไว้ที่เอเลน “ฉันจะฆ่านายก่อนจากนั้นก็ใช้เจ้าหนูนั่นเป็นใบเบิกทางออกไปจากที่นี่”
รีไวขยับตัวขวางเอเลนทันที
“อย่ายุ่งกับเขา”
“งั้นนายก็ต้องหยุดฉันให้ได้” ไม่พูดเปล่า เธอยังคว้าชามรูปไตขว้างใส่ชายหนุ่ม พอเขายกมือขึ้นปัด หญิงสาวก็ถือโอกาสกระโจนเข้าไปหาพร้อมกับพุ่งหมัดตามออกไป ถึงรีไวจะเบี่ยงตัวหลบไปได้อย่างฉิวเฉียดแต่กลับต้องเจอกับหน้าแข้งที่เหวี่ยงตามมา มันฟาดเข้าที่หน้าท้องอย่างจังทำให้เขาถึงกับตัวงอ
“ไม่เห็นจะเก่งอย่างที่ลือ” แอนนี่พูดและเตรียมจะเตะซ้ำแต่รีไวตะครุบขาเธอเอาไว้พร้อมกับสวนกำปั้นกลับ หญิงสาวจึงเอนหลบและถอยฉากหนีแต่ไม่พ้นเพราะชายหนุ่มพุ่งตัวตามและรัวหมัดใส่เธอไม่ยั้ง แม้จะยกแขนขึ้นตั้งรับได้ทันแต่ก็กันไม่ได้ทั้งหมด พอโดนกำปั้นอัดเข้าที่หน้าท้องกับใบหน้า เธอก็เซถลาไปชนกับชั้นวางของและทรุดลงไปกองกับพื้น
“ยอมแพ้หรือยัง” เอฟบีไอหนุ่มถาม หากเป็นคนอื่นเขาคงตามเข้าไปซ้ำให้หมอบกระแต แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง เขาจึงจำต้องยั้งการบุกเอาไว้ก่อน แต่ก็ยังคงตั้งท่าเตรียมพร้อม เพราะรู้ดีว่าแอนนี่มีความร้ายกาจมากเพียงใด
หญิงสาวส่งเสียงหัวเราะหึ หึก่อนจะคว้าชั้นโลหะเพื่อพยุงตัวให้ลุกขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆหมุนตัวหันไปทางรีไว
“ยอมแพ้อย่างนั้นหรือ” ถามพลางปาดเลือดตรงมุมปากในขณะเดียวกันก็เหลือบดวงตาขึ้นมองชายหนุ่ม “ฉันไม่เคยรู้จักของแบบนั้นหรอก”
มือที่เช็ดเลือดลดลงแนบกับลำตัว รีไวมองกิริยาของเธอพร้อมกับคาดเดาการกระทำตามไปด้วย พอนึกขึ้นได้ว่าหญิงสาวจะต้องทำอะไรต่อไป เขาก็ปราดไปยืนบังเอเลนเอาไว้ทันที
“ฉันไม่มีวันยอมให้เธอแตะต้องเขา”
แอนนี่ส่งยิ้มให้ ในสายตาของรีไวแล้ว มันมีความหมายที่แตกต่างไปจากทุกครั้ง เพราะมันเป็นรอยยิ้มอันว่างเปล่าที่แสนเศร้าเหลือเกิน
“นายคิดผิดแล้วรีไว”
หญิงสาวพูดพร้อมกับพุ่งตัวไปคว้าปืนที่วางอยู่บนเตียง และหมุนกลับมาทางชายหนุ่มซึ่งก็พบพบว่าเขากำลังเล็งปืนมาที่เธอเช่นเดียวกัน ดวงตาของแอนนี่ฉายความประหลาดใจออกมาน้อยๆ
“นายพกปืนสามกระบอก”
“เฉพาะเวลาจำเป็นเท่านั้น” เอฟบีไอหนุ่มพูด “วางปืนลงดีกว่า ฉันยังไม่อยากฆ่าเธอนะแอนนี่”
“แต่ฉันอยากฆ่านาย” หญิงสาวพูดพร้อมกับขยับเพื่อจะยิง รีไวจึงเหนี่ยวไกทันที
เปรี้ยง !
เสียงกัมปนาทปานฟ้าคำราม กลิ่นดินปืนฟุ้งกระจายอบห้อง ร่างอรชรอ้อนแอ้นของแอนนี่ค่อยๆทรุดลง แต่ก่อนที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหลุดออกจากร่าง เธอได้ส่งสายตาบางอย่างมาทางรีไว
ขอบคุณ
ดวงตาสีฟ้าปิดเปลือกลงพร้อมกับร่างที่ล้มลงไปนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น รีไวมองเลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาจากทรวงอกด้านซ้ายของหญิงสาวและยังคงเล็งปืนค้างเอาไว้ในท่านั้น พอแน่ใจว่าอีกฝ่ายหมดลมหายใจไปแล้วเขาจึงทรุดตัวร่วงลงไปนั่งกองกับพื้น
“คุณรีไวครับ” เอเลนร้องเรียกด้วยความตระหนกพร้อมกับรีบพยุงเอาไว้ อีกฝ่ายส่งยิ้มให้อย่างอ่อนแรง
“ฉันไม่เป็นไร” เขาหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนจำนวนมากที่ดังตึงตังมาจากเพดานด้านบน “พระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยแล้ว”
ชายหนุ่มพูดเหมือนประชดก่อนเอนศีรษะพิงเด็กหนุ่มเอาไว้และนั่งรออยู่ในท่านั้นจนกระทั่งเจ้าหน้าที่จู่โจมถลันเข้ามาในห้อง ตามด้วยเอลวินกับฮันซี่ พอทั้งคู่เห็นแอนนี่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นก็ลดปืนลงและหันไปทางคนที่กำลังนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรงอยู่กับเอเลน
“รีไว” หัวหน้าทีมเอ่ยเรียกในขณะที่ฮันซี่รีบเก็บปืนและเข้าไปตรวจดูอาการ ชายหนุ่มส่งยิ้มที่ดูเหมือนจะฝืนเต็มทนให้
“ฉันสบายดี” เขาพูดและปัดมืออีกฝ่ายออก “พอได้แล้วน่ายายเพี้ยน” เขาพึมพำอย่างรำคาญเต็มแก่เมื่อฮันซี่เริ่มไล่มือสำรวจไปตามร่างกาย เอฟบีไอสาวขมวดคิ้ว
“เละทั้งตัวแบบนี้ยังบอกว่าไม่เป็นไรอีก” เธอพูดด้วยความเป็นห่วงก่อนจะหันไปร้องสั่งเจ้าหน้าที่ “เรียกหน่วยแพทย์มาด่วน ขอเปลด้วย”
“ฉันเดินเองได้” รีไวรีบพูดพร้อมกับพยายามดันตัวให้ลุก แต่กลับล้มลงไปอีกครั้ง และหงายหลังหมดสติไปโดยไม่รู้ตัว เอเลนเบิกตาโพลงและรีบกอดเขาแน่นพร้อมกับร้องเรียกด้วยความตกใจ
“คุณรีไว!”
ฮันซี่ตบแขนเด็กหนุ่มเบาๆ
“ใจเย็นๆ เขาแค่หมดสติไปเท่านั้น” พูดพร้อมกับมองคนที่นอนสลบไม่รู้เรื่อง “สมกับเป็นคนหัวดื้อ เจ็บหนักขนาดนี้ยังทำเป็นอวดเก่ง”
บ่นจบ หน่วยแพทย์ก็เข้ามาถึงพอดี หญิงสาวดึงเอเลนออกจากชายหนุ่มเพื่อไม่ให้เกะกะ พอเจ้าหน้าที่นำตัวรีไวขึ้นเปลเรียบร้อยและเตรียมลำเลียงขึ้นไปด้านบน เธอก็เปรยขึ้นเชิงกระเซ้า
“ยกขึ้นไปดีๆ อย่าให้เขาตกหรือไปกระแทกกับอะไรเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นพอฟื้นขึ้นมาหมอนี่ต้องตามไปไล่เหยียบพวกนายแน่”