บทที่ 14-15
http://ppantip.com/topic/32176771
บทที่ 16
ระหว่างขับรถกลับจากบ้านอุปถัมภ์ รีไวกับแจนได้ปรึกษากันถึงเรื่องการหาทางสืบประวัติที่แท้จริงของแอนนี่ เพราะสมุดบันทึกทุกเล่มของที่นั่น บอกแค่ว่าเธอเป็นเด็กจรจัดที่เจ้าของบ้านนำมาเลี้ยง เช่นเดียวกับเบลทรูทและโทมัส ถึงรีไวจะคาดคั้นเจ้าหน้าที่ด้วยวิธีที่เขาถนัด ก็ไม่ได้รับคำตอบที่ช่วยไขความกระจ่าง แสดงว่าคนที่นั่นไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยสักนิด แล้วพวกเขาจะรู้ตัวจริงของแอนนี่ได้ยังไง
รีไวพยายามนึกทบทวนถึงสิ่งที่อาร์มินพูด หากแอนนี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนั้นและเป็นฆาตกรต่อเนื่องตัวจริง อาจเป็นไปได้ว่า สถานที่ที่เธอใช้ทรมานเหยื่อ อาจเป็นบ้านอุปถัมภ์แห่งนั้นเอง เพราะตั้งอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากชุมชน และเป็นอาคารที่ก่อสร้างมานาน และคนที่คอยให้ความช่วยเหลือเธออยู่ตลอดเวลาก็น่าจะเป็นโทมัส เพราะเบลทรูทอยู่ไกลเกินไป
เบลทรูท
รีไวทวนชื่อในใจแล้วขมวดคิ้วใช้ความคิด ถ้าหมอนั่นเข้าบ้านอุปถัมภ์ตามคำชวนอย่างที่อาร์มินตั้งข้อสันนิษฐาน บางทีเขาอาจจะรู้ว่าแอนนี่เป็นใคร
ช่วงที่กำลังจมอยู่ในความคิด เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พอหยิบมาดูชายหนุ่มต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่ามันเป็นเบอร์ของเอเลน ตาเหลือบมองเวลาที่ปรากฏบนจอมือถือ ดึกขนาดนี้เจ้าหนูนั่นควรจะเข้านอนแล้วนี่นา อย่าบอกนะว่าแอบไปหาเขาที่อพาร์ตเมนต์อีกแล้ว
ให้ตายเถอะ ทั้งที่ย้ำแล้วย้ำอีกว่าให้อยู่แต่ในบ้าน ทำไมถึงดื้อนักนะ
คิดพลางกดรับและเอ่ยเรียก
“เอเลน”
“คุณรีไว” น้ำเสียงเครือเหมือนคนกำลังร้องไห้ดังตอบกลับมา รีไวใจหายวาบ สัญชาตญาณร้องเตือนว่า กำลังมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับคนที่เขารัก
“เกิดอะไรขึ้นหรือเอเลน” ถามด้วยความเป็นห่วง แต่เสียงที่ตอบกลับไม่ใช่เด็กหนุ่ม
“สวัสดีรีไว”
นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่รีไวรู้สึกเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายแนะนำตัว เขาก็เดาออกมว่าเป็นใคร ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าเพื่อระงับควบคุมสติ สมองสั่งการให้เฟ้นหาคำทักทายที่ธรรมดาและดูเป็นกันเองมากที่สุด แต่พอจะต้องพูดจริงๆกลับคิดอะไรไม่ออก รีไวบดกรามตัวเองขณะที่มือกำโทรศัพท์แน่น ที่สุดก็หลุดคำทักทายออกมา
“เบลทรูท”
เสียงหัวเราะแผ่วต่ำดังเข้ามาในสาย ซึ่งรีไวเองก็เดาไม่ออกว่ามันแสดงถึงอารมณ์ใด แต่พอได้ยินคำตอบ เขาก็ลอบถอนใจออกมา
“ดีใจจริงที่เอฟบีไอเลื่องชื่อรู้จักตำรวจธรรมดาอย่างผม” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิ “มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเรารู้จักกันในสถานะอื่น”
“ถึงตอนนี้เราก็ยังคุยกันได้” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับหมุนพวงมาลัย บังคับรถให้เลี้ยวเข้าไปในถนนอีกสาย พอพ้นสี่แยกก็จะถึงร้านมิคาสะแล้ว เขาจะต้องพูดถ่วงเวลาให้นานที่สุด “นายจะยังรอฉันที่ร้านนั่นใช่ไหม”
“แน่นอน” เบลทรูทตอบ “แต่ผมเป็นพวกธุระยุ่ง เลยอยากให้คุณมาเร็วๆหน่อย ไม่อย่างนั้น” เขาเงียบไปเล็กน้อยซึ่งรีไวพอจะเดาว่าคงกำลังวางท่าข่มขู่ตัวประกัน “เจ้าหนูนี่น่ารักดีนะ”
เสียงพูดเจือความเยาะเย้ยกลายๆ ทำให้รีไวโพล่งออกไปโดยไม่รู้ตัว
“เด็กคนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรด้วย”
“ผมทราบ” เบลทรูทพูดเสียงเย็น “แต่เขาเป็นคนสำคัญของคุณ เพราะฉะนั้นรีบมาพบผมเร็วๆ ไม่อย่างนั้น...”
สายถูกตัดไปดื้อๆ รีไวโยนมือถือไปที่หน้ารถอย่างหัวเสียและเหยียบคันเร่งลงไปทำให้รถวิ่งฉิวราวกับพายุ พอเห็นแบบนั้นแจนก็รู้ในทันทีเลยว่าเพื่อนของเขากำลัง ‘หลุด’ จึงรีบเอ่ยเตือน
“ใจเย็นไว้ก่อนรีไว”
“จะให้ฉันใจเย็นอยู่ได้ยังไง ก็ตอนนี้...” ชายหนุ่มหยุดคำพูดตัวเองไว้แค่นั้นและถอนใจอย่างแรง “โทษที ฉันเป็นห่วงเอเลนกับมิคาสะ”
“ฉันก็ห่วงพวกเขาเหมือนกัน แต่วู่วามแบบนี้จะทำให้งานเสียนะ”
รีไวเงียบ ไม่เถียงออกมาสักคำเพราะทุกอย่างที่แจนพูดเป็นความจริง พอควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เขาก็เริ่มคิดหาวิธีต่อรองกับเบลทรูทเพื่อยืดเวลาให้ทีมมาช่วยเหลือได้ทัน แต่ด้วยตัวประกันที่มีถึงสองคน ทำให้ทุกอย่างไม่ง่ายเลย ถึงมิคาสะจะเป็นคนแกร่งและมีฝีมือการป้องกันตัวไม่น้อยหน้าเอฟบีไอ แต่เธอก็เป็นเพียงผู้หญิง
เมื่อจอดรถหน้าร้านของมิคาสะ ชายหนุ่มจึงตรวจปืนของตัวเองให้มั่นใจว่าอยู่ในสภาพพร้อม ระหว่างนั้นก็สั่งไปด้วย
“ฉันจะเข้าไปคุยกับเบลทรูท นายรออยู่ที่นี่ ขอกำลังเสริมและติดต่อเอลวิน เล่าสถานการณ์ทุกอย่างให้เขาฟัง”
สั่งเสร็จก้าวออกจากรถ เดินตรงไปที่ร้านโดยไม่สนใจเสียงเรียกของแจน พอถึงประตู ชายหนุ่มก็เคาะกระจกเบาๆ พอคนด้านในโบกปืนเป็นเชิงอนุญาต เขาก็เดินเข้าไปข้างใน
“วางปืนลงบนพื้น ช้าๆ และเขี่ยมาทางผม” เบลทรูทสั่ง พอรีไวทำตามเขาก็ย้ำ “ทั้งสองกระบอก”
ชายหนุ่มจึงดึงปืนสำรองที่เหน็บไว้ตรงถุงเท้า วางลงกับพื้นและผลักมันออกไป
“ว่าง่ายดีนี่” เบลทรูทเยาะ รีไวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“บอกแล้วไงว่าฉันอยากคุยกับนาย”
ดวงตาที่ขวางเหมือนคนเสียสติหลุบลงมองปืนบนพื้น
“แล้วพกของพวกนี้มาทำไม”
“ตอนนี้มันก็ไม่ได้อยู่กับฉันแล้วนี่” รีไวพูด “เราอย่าเสียเวลากับเรื่องพวกนี้เลย นายมีอะไรจะพูดกับฉันไม่ใช่หรือ”
สีหน้าของเบลทรูทขรึมลง เขาดึงเอเลนเข้าไปใกล้ๆและลากปืนไล่ไปตามใบหน้า
“ใช่ ผมมีเรื่องคาใจที่อยากจะถาม” ดวงตาเหลือบมาทางรีไว “ฆ่าโทมัสทำไม”
“แล้วทำไมนายถึงได้ปล่อยให้โทมัสกลายเป็นแบบนั้น” เอฟบีไอหนุ่มย้อนถาม อีกฝ่ายมุ่นคิ้ว
“คุณพูดเรื่องอะไร”
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องไปหน่อยเลยเบลทรูท นายรู้ดีว่าฉันกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”
“การกระทำของโทมัสไม่เกี่ยวกับผม”
“แต่นายปกป้องเขาตลอดเวลาไม่ใช่หรือ” รีไวถาม “ถ้าฉันคิดไม่ผิด นายคงไม่เห็นด้วยที่โทมัสปลอมเป็นไรเนอร์แล้วแฝงตัวเข้ามาในเอฟบีไอตามคำสั่งของแอนนี่ ถ้าไม่ชอบ ทำไมไม่ค้านตั้งแต่แรก”
“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร”
เสียงของเบลทรูทกระด้าง สีหน้าแสดงออกตามความหมายที่ตนเองพูด รีไวจำต้องหยุดคิดหาคำหว่านล้อมให้ดี ไม่อย่างนั้นแล้วมันอาจทำให้เอเลนเป็นอันตราย
“นายรู้ดี เพราะอย่างนั้นถึงลงมือฆ่าเหยื่อแล้วโยนทิ้งลงแม่น้ำเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่โทมัสทำ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเหมือนเป็นการเล่าเรื่องปรกติธรรมดามากกว่าพูดถึงคดี “พวกเรารู้ดีว่าเหยื่อเก้าในสิบราย เกิดจากฝีมือของแอนนี่ ส่วนรายหนึ่งเป็นผลงานของโทมัส ที่อยากจะทำเพื่ออวดพี่ชาย”
“เจ้าบ้านั่น” เบลทรูทหลุดปากอย่างลืมตัว “ทั้งที่ผมบอกแล้วว่าอย่าทำ เจ้าน้องบ้านั่นก็ไม่ยอมเชื่อ”
เขาหยุดพูดทันทีเหมือนนึกได้ และกระแทกปากกระบอกปืนเข้าที่แก้มของเอเลนอย่างแรง
“เลิกพูดเรื่องไร้สาระนี่ได้แล้ว และบอกมาสักทีว่าทำไมต้องฆ่าโทมัสด้วย”
“ฉันรู้ว่านายรักโทมัสมาก” รีไวพยายามเลี่ยง “คำถามก็คือ มันเป็นความรักแบบพี่น้องจริงๆ หรือความผูกพันแบบคนรัก”
ปืนในมือของเบลทรูทสั่นระริก
“ผมรักโทมัส” เขาพูดเน้นเสียงออกมาทีละคำ “ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนผมก็รักเขามากที่สุด”
“มากจนถึงขนาดยอมฆ่าคนตามคำสั่งของแอนนี่เลยอย่างนั้นหรือ”
“คนพวกนั้นสมควรตาย” เบลทรูทพูดอย่างคั่งแค้น “นังมิเชลล์ที่ตบโทมัสจนหน้าคว่ำ ไอ้พ่อบ้าที่ย่องเข้าห้องเขาแทบทุกคืน ครูที่ไม่เคยใส่ใจพวกเราเลยสักนิดหรือแม้แต่เพื่อนที่คอยหาเรื่องกลั่นแกล้งเราสองคนตลอดเวลา แค่ฆ่าอย่างเดียวมันไม่หนำใจหรอก มันต้องค่อยๆเลาะฟันของพวกมันออกทีละซี่ ลอกหนัง กรีดเนื้อแล่ออกทีละชั้น ทรมานพวกมันจะกว่าจะตาย”
เขาเล่าพลางหัวเราะราวกับคนเสียสติและหยุดเมื่อเห็นรีไวขยับตัว เบลทรูทเบนปากกระบอกปืนเล็งไปที่เอฟบีไอหนุ่มทันที
“ขืนเข้ามาอีกก้าว สมองนายกระจุยแน่” เขาหยุดและเลื่อนปืนไปจ่อหัวเอเลน “ไม่สิ ต้องเป็นเจ้าหนูนี่ต่างหาก”
ความสับสนของเบลทรูททำให้รีไวเดาออกว่าตอนนี้สภาพจิตใจของเขากำลังปั่นป่วนจนแยกไม่ออกว่า ควรลำดับความสำคัญเรื่องใดก่อน ข้อดีก็คือ ถ้าพูดให้ตรงจุด เขาอาจจะเผลอเปิดโอกาสให้จู่โจม แต่ถ้าพลาด ทุกคนในร้านคงต้องตายกันหมด
ไม่เว้นแม้แต่ตัวเบลทรูทเอง
“นายคงไม่ได้ดูข่าวเลยใช่ไหม”
“ข่าวอะไร”
“วิสามัญคนร้ายกลางตรอก” สีหน้าของรีไวดูจริงจังเหมือนกำลังพูดถึงเรื่องสลักสำคัญ ซึ่งได้ผลเพราะเบลทรูทหันมาให้ความสนใจทันที
“หมายถึงโทมัสใช่ไหม เขาเป็นข่าวด้วยหรือ” ถามอย่างกระตือรือร้น พอเห็นรีไวพยักหน้ารับ เขาก็ยิ้ม “หมอนั่นอยากเป็นคนสำคัญมาตลอด”
“เขาเป็นคนสำคัญเสมอสำหรับนายไม่ใช่หรือ ที่ฉันสงสัยก็คือถ้าโทมัสมีความหมายมากขนาดนั้น ทำไมถึงปล่อยเขาถูกแอนนี่ฆ่า”
รอยยิ้มของเบลทรูทจางหายไป
“คุณพูดเรื่องอะไร”
“การตายของโทมัส ต่อให้ฉันยิงพลาด เขาก็ตายอยู่ดี”
“ผมไม่เข้าใจ”
“ถ้านายฟังข่าวก็จะรู้ว่าเขาถูกยิงสองนัด” พูดพลางใช้นิ้วชี้แตะที่อกด้านซ้ายกับท้ายทอย “แน่นอนว่านัดหนึ่งเป็นของฉัน ส่วนอีกนัดเป็นกระสุนขนาด.22 ที่ลงทะเบียนชื่อ มิเชลล์ บอทส์”
“ว่าไงนะ!”เบลทรูทอุทานพร้อมกับเบิกตากว้าง “เป็นไปไม่ได้ ก็ปืนกระบอกนั้นอยู่กับแอนนี่”
คำพูดที่เผลอหลุดจากปากทำให้รีไวแอบยิ้มในหน้า
“อยู่กับแอนนี่งั้นเหรอ” ชายหนุ่มทวนคำ ตามองผ่านตัวเบลทรูทไปยังด้านหลังเมื่อเห็นมิคาสะกำลังย่องเข้าไปหาอย่างเงียบกริบพร้อมถังดับเพลิง “แบบนี้นายก็พอจะเดาออกแล้วใช่ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนยิงโทมัส”
เบลทรูทส่ายหน้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“คุณโกหก”
“ฉันจะทำแบบนั้นไปทำไม ถ้านายไม่เชื่อ ฉันจะโทร.บอกให้เพื่อนเอากระสุนนัดนั้นมาให้ดู”
พูดพลางทำท่าเหมือนจะล้วงเข้าไปในเสื้อ เบลทรูทเล็งปืนไปที่ชายหนุ่มอย่างเร็ว
“อย่ามาเล่นลูกไม้กับผม ”
“ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย อีกอย่าง” รีไวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ถ้าใช้ลูกไม้จริง ป่านนี้นายคงโดนไปแล้ว”
“โดนอะไร”
ถังโลหะสีแดงสดฟาดตูมลงไปกลางหัว เบลทรูทถึงกับหน้าคะมำ มือที่จับเอเลนคลายออกโดยไม่รู้ตัว
“รีบหนีออกมาเร็ว!” มิคาสะร้องเร่งพร้อมกับเหวี่ยงถังดับเพลิงฟาดซ้ำลงไปอีกครั้ง พอเบลทรูทล้มเธอก็คว้าแขนของเอเลนพาวิ่งไปแอบในครัว รีไวจึงฉวยโอกาสเตะปืนของเบลทรูทให้กระเด็นไปอีกทางและคว้าปืนของตัวเองมาจ่อศีรษะเขาเอาไว้
“อย่าขยับ”
เบลทรูทหยุดตามคำขู่ แต่กลับเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“เอาเลยสิ มัวรออะไรอยู่ ยิงผมเลย” เขาร้องท้าแต่รีไวส่ายหน้า
“ฉันไม่ใช่ฆาตกร”
“แล้วที่คุณยิงโทมัสล่ะ”
“นั่นเป็นเหตุสุดวิสัย” พุดพลางเหลือบตาไปทางเอเลน เบลทรูทมองตามและยิ้มอย่างเข้าใจ
“คุณทำเพื่อปกป้องคนรัก” เขาพูด “ผมเองก็เหมือนกัน”
“เราไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย นายฆ่าคนเพราะความแค้น แต่ฉันยิงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น”
“ก็แค่ข้ออ้างของพวกที่มีตราในกระเป๋า ผมทำบ่อยตอนเป็นตำรวจ” เบลทรูทพูดและแสยะยิ้ม “โทมัสเล่าให้ฟังว่า เจ้าหนูนั่นเกือบโดนพวกกุ๊ยจัดการไปแล้ว แต่คุณไปช่วยไว้ทัน วันต่อมาเขาเลยอยากลงมือด้วยตัวเอง ผมพยายามห้ามแล้วแต่โทมัสไม่ยอมฟัง ตอนแรกก็ไม่เข้าใจพอมาเจอเจ้าหนูตัวจริงถึงได้รู้”
รอยยิ้มสามานย์ฉาบบนใบหน้า
“เขาเป็นหนุ่มน้อยที่น่ารักมาก” เสียงหัวเราะแผ่วต่ำ “เนื้อตัวก็หอมน่ากินจนผมอดใจไม่ไหว เผลอจูบไปตั้งหลายครั้ง”
“หยุดพูดได้แล้ว” น้ำเสียงของรีไวเต็มไปด้วยความหงุดหงิด แต่อีกฝ่ายไม่สนใจฟังสักนิด
“เขาหวานไปทั้งตัวเลย ว่าไหม”
My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ บทที่ 16
http://ppantip.com/topic/32176771
บทที่ 16
ระหว่างขับรถกลับจากบ้านอุปถัมภ์ รีไวกับแจนได้ปรึกษากันถึงเรื่องการหาทางสืบประวัติที่แท้จริงของแอนนี่ เพราะสมุดบันทึกทุกเล่มของที่นั่น บอกแค่ว่าเธอเป็นเด็กจรจัดที่เจ้าของบ้านนำมาเลี้ยง เช่นเดียวกับเบลทรูทและโทมัส ถึงรีไวจะคาดคั้นเจ้าหน้าที่ด้วยวิธีที่เขาถนัด ก็ไม่ได้รับคำตอบที่ช่วยไขความกระจ่าง แสดงว่าคนที่นั่นไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยสักนิด แล้วพวกเขาจะรู้ตัวจริงของแอนนี่ได้ยังไง
รีไวพยายามนึกทบทวนถึงสิ่งที่อาร์มินพูด หากแอนนี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนั้นและเป็นฆาตกรต่อเนื่องตัวจริง อาจเป็นไปได้ว่า สถานที่ที่เธอใช้ทรมานเหยื่อ อาจเป็นบ้านอุปถัมภ์แห่งนั้นเอง เพราะตั้งอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากชุมชน และเป็นอาคารที่ก่อสร้างมานาน และคนที่คอยให้ความช่วยเหลือเธออยู่ตลอดเวลาก็น่าจะเป็นโทมัส เพราะเบลทรูทอยู่ไกลเกินไป
เบลทรูท
รีไวทวนชื่อในใจแล้วขมวดคิ้วใช้ความคิด ถ้าหมอนั่นเข้าบ้านอุปถัมภ์ตามคำชวนอย่างที่อาร์มินตั้งข้อสันนิษฐาน บางทีเขาอาจจะรู้ว่าแอนนี่เป็นใคร
ช่วงที่กำลังจมอยู่ในความคิด เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พอหยิบมาดูชายหนุ่มต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่ามันเป็นเบอร์ของเอเลน ตาเหลือบมองเวลาที่ปรากฏบนจอมือถือ ดึกขนาดนี้เจ้าหนูนั่นควรจะเข้านอนแล้วนี่นา อย่าบอกนะว่าแอบไปหาเขาที่อพาร์ตเมนต์อีกแล้ว
ให้ตายเถอะ ทั้งที่ย้ำแล้วย้ำอีกว่าให้อยู่แต่ในบ้าน ทำไมถึงดื้อนักนะ
คิดพลางกดรับและเอ่ยเรียก
“เอเลน”
“คุณรีไว” น้ำเสียงเครือเหมือนคนกำลังร้องไห้ดังตอบกลับมา รีไวใจหายวาบ สัญชาตญาณร้องเตือนว่า กำลังมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับคนที่เขารัก
“เกิดอะไรขึ้นหรือเอเลน” ถามด้วยความเป็นห่วง แต่เสียงที่ตอบกลับไม่ใช่เด็กหนุ่ม
“สวัสดีรีไว”
นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่รีไวรู้สึกเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายแนะนำตัว เขาก็เดาออกมว่าเป็นใคร ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าเพื่อระงับควบคุมสติ สมองสั่งการให้เฟ้นหาคำทักทายที่ธรรมดาและดูเป็นกันเองมากที่สุด แต่พอจะต้องพูดจริงๆกลับคิดอะไรไม่ออก รีไวบดกรามตัวเองขณะที่มือกำโทรศัพท์แน่น ที่สุดก็หลุดคำทักทายออกมา
“เบลทรูท”
เสียงหัวเราะแผ่วต่ำดังเข้ามาในสาย ซึ่งรีไวเองก็เดาไม่ออกว่ามันแสดงถึงอารมณ์ใด แต่พอได้ยินคำตอบ เขาก็ลอบถอนใจออกมา
“ดีใจจริงที่เอฟบีไอเลื่องชื่อรู้จักตำรวจธรรมดาอย่างผม” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิ “มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเรารู้จักกันในสถานะอื่น”
“ถึงตอนนี้เราก็ยังคุยกันได้” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับหมุนพวงมาลัย บังคับรถให้เลี้ยวเข้าไปในถนนอีกสาย พอพ้นสี่แยกก็จะถึงร้านมิคาสะแล้ว เขาจะต้องพูดถ่วงเวลาให้นานที่สุด “นายจะยังรอฉันที่ร้านนั่นใช่ไหม”
“แน่นอน” เบลทรูทตอบ “แต่ผมเป็นพวกธุระยุ่ง เลยอยากให้คุณมาเร็วๆหน่อย ไม่อย่างนั้น” เขาเงียบไปเล็กน้อยซึ่งรีไวพอจะเดาว่าคงกำลังวางท่าข่มขู่ตัวประกัน “เจ้าหนูนี่น่ารักดีนะ”
เสียงพูดเจือความเยาะเย้ยกลายๆ ทำให้รีไวโพล่งออกไปโดยไม่รู้ตัว
“เด็กคนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรด้วย”
“ผมทราบ” เบลทรูทพูดเสียงเย็น “แต่เขาเป็นคนสำคัญของคุณ เพราะฉะนั้นรีบมาพบผมเร็วๆ ไม่อย่างนั้น...”
สายถูกตัดไปดื้อๆ รีไวโยนมือถือไปที่หน้ารถอย่างหัวเสียและเหยียบคันเร่งลงไปทำให้รถวิ่งฉิวราวกับพายุ พอเห็นแบบนั้นแจนก็รู้ในทันทีเลยว่าเพื่อนของเขากำลัง ‘หลุด’ จึงรีบเอ่ยเตือน
“ใจเย็นไว้ก่อนรีไว”
“จะให้ฉันใจเย็นอยู่ได้ยังไง ก็ตอนนี้...” ชายหนุ่มหยุดคำพูดตัวเองไว้แค่นั้นและถอนใจอย่างแรง “โทษที ฉันเป็นห่วงเอเลนกับมิคาสะ”
“ฉันก็ห่วงพวกเขาเหมือนกัน แต่วู่วามแบบนี้จะทำให้งานเสียนะ”
รีไวเงียบ ไม่เถียงออกมาสักคำเพราะทุกอย่างที่แจนพูดเป็นความจริง พอควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เขาก็เริ่มคิดหาวิธีต่อรองกับเบลทรูทเพื่อยืดเวลาให้ทีมมาช่วยเหลือได้ทัน แต่ด้วยตัวประกันที่มีถึงสองคน ทำให้ทุกอย่างไม่ง่ายเลย ถึงมิคาสะจะเป็นคนแกร่งและมีฝีมือการป้องกันตัวไม่น้อยหน้าเอฟบีไอ แต่เธอก็เป็นเพียงผู้หญิง
เมื่อจอดรถหน้าร้านของมิคาสะ ชายหนุ่มจึงตรวจปืนของตัวเองให้มั่นใจว่าอยู่ในสภาพพร้อม ระหว่างนั้นก็สั่งไปด้วย
“ฉันจะเข้าไปคุยกับเบลทรูท นายรออยู่ที่นี่ ขอกำลังเสริมและติดต่อเอลวิน เล่าสถานการณ์ทุกอย่างให้เขาฟัง”
สั่งเสร็จก้าวออกจากรถ เดินตรงไปที่ร้านโดยไม่สนใจเสียงเรียกของแจน พอถึงประตู ชายหนุ่มก็เคาะกระจกเบาๆ พอคนด้านในโบกปืนเป็นเชิงอนุญาต เขาก็เดินเข้าไปข้างใน
“วางปืนลงบนพื้น ช้าๆ และเขี่ยมาทางผม” เบลทรูทสั่ง พอรีไวทำตามเขาก็ย้ำ “ทั้งสองกระบอก”
ชายหนุ่มจึงดึงปืนสำรองที่เหน็บไว้ตรงถุงเท้า วางลงกับพื้นและผลักมันออกไป
“ว่าง่ายดีนี่” เบลทรูทเยาะ รีไวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“บอกแล้วไงว่าฉันอยากคุยกับนาย”
ดวงตาที่ขวางเหมือนคนเสียสติหลุบลงมองปืนบนพื้น
“แล้วพกของพวกนี้มาทำไม”
“ตอนนี้มันก็ไม่ได้อยู่กับฉันแล้วนี่” รีไวพูด “เราอย่าเสียเวลากับเรื่องพวกนี้เลย นายมีอะไรจะพูดกับฉันไม่ใช่หรือ”
สีหน้าของเบลทรูทขรึมลง เขาดึงเอเลนเข้าไปใกล้ๆและลากปืนไล่ไปตามใบหน้า
“ใช่ ผมมีเรื่องคาใจที่อยากจะถาม” ดวงตาเหลือบมาทางรีไว “ฆ่าโทมัสทำไม”
“แล้วทำไมนายถึงได้ปล่อยให้โทมัสกลายเป็นแบบนั้น” เอฟบีไอหนุ่มย้อนถาม อีกฝ่ายมุ่นคิ้ว
“คุณพูดเรื่องอะไร”
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องไปหน่อยเลยเบลทรูท นายรู้ดีว่าฉันกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”
“การกระทำของโทมัสไม่เกี่ยวกับผม”
“แต่นายปกป้องเขาตลอดเวลาไม่ใช่หรือ” รีไวถาม “ถ้าฉันคิดไม่ผิด นายคงไม่เห็นด้วยที่โทมัสปลอมเป็นไรเนอร์แล้วแฝงตัวเข้ามาในเอฟบีไอตามคำสั่งของแอนนี่ ถ้าไม่ชอบ ทำไมไม่ค้านตั้งแต่แรก”
“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร”
เสียงของเบลทรูทกระด้าง สีหน้าแสดงออกตามความหมายที่ตนเองพูด รีไวจำต้องหยุดคิดหาคำหว่านล้อมให้ดี ไม่อย่างนั้นแล้วมันอาจทำให้เอเลนเป็นอันตราย
“นายรู้ดี เพราะอย่างนั้นถึงลงมือฆ่าเหยื่อแล้วโยนทิ้งลงแม่น้ำเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่โทมัสทำ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเหมือนเป็นการเล่าเรื่องปรกติธรรมดามากกว่าพูดถึงคดี “พวกเรารู้ดีว่าเหยื่อเก้าในสิบราย เกิดจากฝีมือของแอนนี่ ส่วนรายหนึ่งเป็นผลงานของโทมัส ที่อยากจะทำเพื่ออวดพี่ชาย”
“เจ้าบ้านั่น” เบลทรูทหลุดปากอย่างลืมตัว “ทั้งที่ผมบอกแล้วว่าอย่าทำ เจ้าน้องบ้านั่นก็ไม่ยอมเชื่อ”
เขาหยุดพูดทันทีเหมือนนึกได้ และกระแทกปากกระบอกปืนเข้าที่แก้มของเอเลนอย่างแรง
“เลิกพูดเรื่องไร้สาระนี่ได้แล้ว และบอกมาสักทีว่าทำไมต้องฆ่าโทมัสด้วย”
“ฉันรู้ว่านายรักโทมัสมาก” รีไวพยายามเลี่ยง “คำถามก็คือ มันเป็นความรักแบบพี่น้องจริงๆ หรือความผูกพันแบบคนรัก”
ปืนในมือของเบลทรูทสั่นระริก
“ผมรักโทมัส” เขาพูดเน้นเสียงออกมาทีละคำ “ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนผมก็รักเขามากที่สุด”
“มากจนถึงขนาดยอมฆ่าคนตามคำสั่งของแอนนี่เลยอย่างนั้นหรือ”
“คนพวกนั้นสมควรตาย” เบลทรูทพูดอย่างคั่งแค้น “นังมิเชลล์ที่ตบโทมัสจนหน้าคว่ำ ไอ้พ่อบ้าที่ย่องเข้าห้องเขาแทบทุกคืน ครูที่ไม่เคยใส่ใจพวกเราเลยสักนิดหรือแม้แต่เพื่อนที่คอยหาเรื่องกลั่นแกล้งเราสองคนตลอดเวลา แค่ฆ่าอย่างเดียวมันไม่หนำใจหรอก มันต้องค่อยๆเลาะฟันของพวกมันออกทีละซี่ ลอกหนัง กรีดเนื้อแล่ออกทีละชั้น ทรมานพวกมันจะกว่าจะตาย”
เขาเล่าพลางหัวเราะราวกับคนเสียสติและหยุดเมื่อเห็นรีไวขยับตัว เบลทรูทเบนปากกระบอกปืนเล็งไปที่เอฟบีไอหนุ่มทันที
“ขืนเข้ามาอีกก้าว สมองนายกระจุยแน่” เขาหยุดและเลื่อนปืนไปจ่อหัวเอเลน “ไม่สิ ต้องเป็นเจ้าหนูนี่ต่างหาก”
ความสับสนของเบลทรูททำให้รีไวเดาออกว่าตอนนี้สภาพจิตใจของเขากำลังปั่นป่วนจนแยกไม่ออกว่า ควรลำดับความสำคัญเรื่องใดก่อน ข้อดีก็คือ ถ้าพูดให้ตรงจุด เขาอาจจะเผลอเปิดโอกาสให้จู่โจม แต่ถ้าพลาด ทุกคนในร้านคงต้องตายกันหมด
ไม่เว้นแม้แต่ตัวเบลทรูทเอง
“นายคงไม่ได้ดูข่าวเลยใช่ไหม”
“ข่าวอะไร”
“วิสามัญคนร้ายกลางตรอก” สีหน้าของรีไวดูจริงจังเหมือนกำลังพูดถึงเรื่องสลักสำคัญ ซึ่งได้ผลเพราะเบลทรูทหันมาให้ความสนใจทันที
“หมายถึงโทมัสใช่ไหม เขาเป็นข่าวด้วยหรือ” ถามอย่างกระตือรือร้น พอเห็นรีไวพยักหน้ารับ เขาก็ยิ้ม “หมอนั่นอยากเป็นคนสำคัญมาตลอด”
“เขาเป็นคนสำคัญเสมอสำหรับนายไม่ใช่หรือ ที่ฉันสงสัยก็คือถ้าโทมัสมีความหมายมากขนาดนั้น ทำไมถึงปล่อยเขาถูกแอนนี่ฆ่า”
รอยยิ้มของเบลทรูทจางหายไป
“คุณพูดเรื่องอะไร”
“การตายของโทมัส ต่อให้ฉันยิงพลาด เขาก็ตายอยู่ดี”
“ผมไม่เข้าใจ”
“ถ้านายฟังข่าวก็จะรู้ว่าเขาถูกยิงสองนัด” พูดพลางใช้นิ้วชี้แตะที่อกด้านซ้ายกับท้ายทอย “แน่นอนว่านัดหนึ่งเป็นของฉัน ส่วนอีกนัดเป็นกระสุนขนาด.22 ที่ลงทะเบียนชื่อ มิเชลล์ บอทส์”
“ว่าไงนะ!”เบลทรูทอุทานพร้อมกับเบิกตากว้าง “เป็นไปไม่ได้ ก็ปืนกระบอกนั้นอยู่กับแอนนี่”
คำพูดที่เผลอหลุดจากปากทำให้รีไวแอบยิ้มในหน้า
“อยู่กับแอนนี่งั้นเหรอ” ชายหนุ่มทวนคำ ตามองผ่านตัวเบลทรูทไปยังด้านหลังเมื่อเห็นมิคาสะกำลังย่องเข้าไปหาอย่างเงียบกริบพร้อมถังดับเพลิง “แบบนี้นายก็พอจะเดาออกแล้วใช่ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนยิงโทมัส”
เบลทรูทส่ายหน้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“คุณโกหก”
“ฉันจะทำแบบนั้นไปทำไม ถ้านายไม่เชื่อ ฉันจะโทร.บอกให้เพื่อนเอากระสุนนัดนั้นมาให้ดู”
พูดพลางทำท่าเหมือนจะล้วงเข้าไปในเสื้อ เบลทรูทเล็งปืนไปที่ชายหนุ่มอย่างเร็ว
“อย่ามาเล่นลูกไม้กับผม ”
“ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย อีกอย่าง” รีไวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ถ้าใช้ลูกไม้จริง ป่านนี้นายคงโดนไปแล้ว”
“โดนอะไร”
ถังโลหะสีแดงสดฟาดตูมลงไปกลางหัว เบลทรูทถึงกับหน้าคะมำ มือที่จับเอเลนคลายออกโดยไม่รู้ตัว
“รีบหนีออกมาเร็ว!” มิคาสะร้องเร่งพร้อมกับเหวี่ยงถังดับเพลิงฟาดซ้ำลงไปอีกครั้ง พอเบลทรูทล้มเธอก็คว้าแขนของเอเลนพาวิ่งไปแอบในครัว รีไวจึงฉวยโอกาสเตะปืนของเบลทรูทให้กระเด็นไปอีกทางและคว้าปืนของตัวเองมาจ่อศีรษะเขาเอาไว้
“อย่าขยับ”
เบลทรูทหยุดตามคำขู่ แต่กลับเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“เอาเลยสิ มัวรออะไรอยู่ ยิงผมเลย” เขาร้องท้าแต่รีไวส่ายหน้า
“ฉันไม่ใช่ฆาตกร”
“แล้วที่คุณยิงโทมัสล่ะ”
“นั่นเป็นเหตุสุดวิสัย” พุดพลางเหลือบตาไปทางเอเลน เบลทรูทมองตามและยิ้มอย่างเข้าใจ
“คุณทำเพื่อปกป้องคนรัก” เขาพูด “ผมเองก็เหมือนกัน”
“เราไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย นายฆ่าคนเพราะความแค้น แต่ฉันยิงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น”
“ก็แค่ข้ออ้างของพวกที่มีตราในกระเป๋า ผมทำบ่อยตอนเป็นตำรวจ” เบลทรูทพูดและแสยะยิ้ม “โทมัสเล่าให้ฟังว่า เจ้าหนูนั่นเกือบโดนพวกกุ๊ยจัดการไปแล้ว แต่คุณไปช่วยไว้ทัน วันต่อมาเขาเลยอยากลงมือด้วยตัวเอง ผมพยายามห้ามแล้วแต่โทมัสไม่ยอมฟัง ตอนแรกก็ไม่เข้าใจพอมาเจอเจ้าหนูตัวจริงถึงได้รู้”
รอยยิ้มสามานย์ฉาบบนใบหน้า
“เขาเป็นหนุ่มน้อยที่น่ารักมาก” เสียงหัวเราะแผ่วต่ำ “เนื้อตัวก็หอมน่ากินจนผมอดใจไม่ไหว เผลอจูบไปตั้งหลายครั้ง”
“หยุดพูดได้แล้ว” น้ำเสียงของรีไวเต็มไปด้วยความหงุดหงิด แต่อีกฝ่ายไม่สนใจฟังสักนิด
“เขาหวานไปทั้งตัวเลย ว่าไหม”