บทที่ 16
http://ppantip.com/topic/32198659
บทที่ 17
เสียงนาฬิกาปลุกทำให้รีไวตื่นจากการหลับอันแสนสุข ดวงตาเรียวค่อยๆเปิดขึ้นและกะพริบสองสามครั้งอย่างงัวเงีย
“เช้าแล้วเหรอ”
ชายหนุ่มพึมพำพร้อมกับดันตัวเพื่อลุกแต่อาการเจ็บที่แล่นแปลบตั้งแต่ข้อมือไปจนถึงหัวไหล่ทำให้เขาต้องทิ้งตัวลงกับที่นอนอีกครั้งและครางเบาๆ
“เจ็บเป็นบ้า” บ่นพลางยกแขนข้างนั้นขึ้นมาดูและขมวดคิ้วเมื่อพบว่ามันถูกพันเอาไว้อย่างดี ทีแรกเขาก็งง แต่พอนึกได้ว่าหลังอาบน้ำ เอเลนก็ปฐมพยาบาลเขาต่อด้วยการทายาและใช้ผ้าพันแขนขาที่บอบช้ำ ตบท้ายด้วยการบังคับให้กินยาแก้ปวดอีกสองเม็ดก่อนนอน
ชายหนุ่มแตะแขนข้างนั้นเบาๆแล้วอมยิ้ม ฝีมือการรักษาดีเยี่ยมแบบนี้น่าจะให้มาเป็นนางพยาบาลส่วนตัวจริงๆ คิดพลางมองข้างตัวและขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อไม่เห็นเอเลน
“หายไปไหน...”
กลิ่นหอมของกาแฟกับอะไรบางอย่างที่น่าจะเป็นเบคอนทอดลอยมากระทบจมูก พอมองไปที่ประตูก็เห็นหน้าสวยๆของเด็กหนุ่มโผล่เข้ามา
“ตื่นแล้วหรือครับ” เอเลนเอ่ยทักด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “อาหารเช้าเสร็จพอดี อาบน้ำแต่งตัวแล้วมาทานได้เลยครับ”
พูดจบก็ผลุบหายไป แต่กลับมีเสียงคล้ายถ้วยกระทบกันดังขึ้นมาแทน แสดงว่าเจ้าหนูกำลังจัดโต๊ะสำหรับมื้อเช้า รีไวคิดพลางนึกภาพเอเลนในชุดผ้ากันเปื้อนที่สุดแสนจะน่ารัก ใจที่เต้นแรงอยู่แล้วกลับทวีความแรงมากกว่าเดิมจนแทบจะหลุดออกมาจากอก ชายหนุ่มสูดลมหายใจ
ไม่เอาพยาบาลแล้ว ขอมาเป็นแม่บ้านคอยดูแลเขาไปตลอดชีวิตเลย !
ความร้อนวิ่งวูบวาบไปตามร่างกาย เขาลุกจากเตียง คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำด้วยความกลัวว่าตัวเองจะออกไปจับคนที่อยู่ในครัวกินเป็นมื้อเช้า
ใช้เวลานานพอดูสำหรับการอาบน้ำในวันนี้ พอแต่งตัวเสร็จรีไวก็เดินเข้าไปในครัว พอเห็นเอเลนกำลังก้มหน้าก้มตาง่วนอยู่กับการทำอะไรสักอย่าง อารมณ์ที่เพิ่งสงบก็กลับมาปั่นป่วนอีกครั้ง ชายหนุ่มรีบสูดลมหายใจเข้าเพื่อข่มมันลงก่อนเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ทำอะไร”
เด็กหนุ่มหันมาส่งยิ้มที่คนเห็นใจเต้น
“ผมว่าจะทอดไข่เพิ่มอีกอย่าง คุณรีไวชอบแบบไหนครับ สุกหรือแบบกลางๆ”
พูดพลางหันกลับไปที่เตาและหยิบไข่ขึ้นมาเพื่อเตรียมตอกใส่กระทะ แต่ต้องสะดุ้งเมื่อวงแขนแข็งแกร่งโอบกอดมาจากทางด้านหลัง
“ฉันชอบไข่สดๆ” รีไวกระซิบข้างหู เอเลนหน้าแดงก่ำ ใจเต้นตึกตักจนแทบจะทำไข่หลุดมือ
“อะ...เอ่อ แบบนั้นมันไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ”
อ้อมกอดกระชับแน่นขึ้น ชายหนุ่มไล้จมูกไปตามลำคอเรียบลื่น สูดกลิ่นหอมอ่อนๆของผิวเนื้อกับสบู่เข้าไปจนเต็มปอด
“ใครบอกล่ะ” เขาบอกเสียงแผ่ว “มันวิเศษที่สุดต่างหาก”
ไม่พูดเปล่ายังขบใบหูเบาๆเป็นการแถมทำเอาเอเลนร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ความกลัวว่าสถานการณ์จะเกินเลยมากไปกว่านั้น เด็กหนุ่มจึงรีบตอกไข่ใส่กระทะ
“ง...งั้นเอาแบบกึ่งสุกกึ่งดิบก็แล้วกันนะครับ”
รีไวยิ้ม
“แล้วแต่นาย”
พูดจบก็คลายวงแขนและเดินไปนั่งที่โต๊ะ นั่งรอจนเอเลนทำเสร็จ พอเอาจานไข่มาวาง ชายหนุ่มก็ฉวยมือเขาไว้และจูบเบาๆ
“ขอบใจนะ”
หน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด
“ม...ไม่เป็นไรครับ” ตอบตะกุกตะกักอย่างเขินอายก่อนเลี่ยงไปหยิบเหยือกกาแฟมารินใส่แก้วและเหลือบมองรีไว แต่พอเห็นว่าเขากำลังจ้องตัวเองอยู่เหมือนกันก็เกิดอาการประหม่า มือไม้สั่นจนเกือบจะทำกาแฟหก เอเลนรีบก้มหน้าหลบพร้อมกับแกล้งถาม
“อาหารเป็นยังไงบ้างครับ”
“ดี” ชายหนุ่มตอบพลางตักไข่ใส่ปาก “รสมือดีแบบนี้ใครได้ไปเป็นแม่บ้านคงโชคดีน่าดู”
“พูดอะไรแบบนั้นกันครับคุณรีไว” เอเลนพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำและเงยหน้าขึ้นมองรีไว “ความจริงแล้วผมน่ะ...”
เด็กหนุ่มหยุดคำไว้แค่นั้นเหมือนพูดอะไรไม่ออกก่อนจะเบือนหน้าหนี “ไม่มีอะไรหรอกครับ”
สีหน้าที่เหมือนเก็บความอัดอั้นบางอย่างเอาไว้ในใจทำให้รีไวรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
“ดูเหมือนนายจะมีเรื่องกลุ้มใจ พอจะเล่าให้ฉันฟังได้หรือเปล่า”
เอเลนส่ายหน้า “ไมใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกครับ” เขาหันมาส่งยิ้ม “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับคุณรีไว ทานอาหารให้สบายดีกว่าครับ”
รีไวมองเด็กหนุ่มนิ่งเหมือนจะหยั่งเข้าไปในความคิด แต่แล้วกลับพูดสั้นๆ
“งั้นเหรอ”
จากนั้นก็ก้มหน้ากินมื้อเช้าต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนอิ่ม พอทำความสะอาดและเก็บถ้วยชามเสร็จเรียบร้อย ทั้งคู่ก็ออกจากห้องพัก เดินตัดซอยตรงไปยังร้านของมิคาสะ พอเห็นคนทั้งสอง หญิงสาวก็เอ่ยทัก
“มาแล้วเหรอเอเลน” ดวงตาตวัดไปทางรีไวคล้ายจะถามว่ารังแกอะไรหนุ่มน้อยของเธอบ้างหรือเปล่า แต่อีกฝ่ายกลับเลื่อนสายตามองเข้าไปในร้าน และร้องเรียก
“แจน”
“ว่าไง” เพื่อนร่วมทีมขานรับพร้อมกับเดินออกมา พอเห็นหน้าตาที่ดูเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนกับผมที่ยุ่งเหยิง รีไวก็ขมวดคิ้ว
“ได้นอนบ้างหรือเปล่า”
“สองชั่วโมงก่อนนายมา” แจนพูดและหันไปส่งยิ้มให้มิคาสะและค่อยๆเจื่อนไปเมื่อหญิงสาวเบือนหน้าหนี เขาจึงเบนเป้าหมายไปที่เอเลน
“ไงหนุ่มน้อย โดนเจ้านี่แกล้งอะไรหรือเปล่า”
“ไม่นี่ครับ คุณรีไวน่ะใจดีออก” เด็กหนุ่มตอบ แจนทำตาโต
“เจ้าเตี้ยเนี่ยนะใจดี” พูดพลางโคลงศีรษะจนผมสีเงินสะบัดไปมา “ความรักทำให้คนตาบอดจริงๆด้วย”
“ผมไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นสักหน่อย” เอเลนโพล่งขัดขึ้นมาทันควันและหยุดเหลือบมองรีไว พอเห็นเขายืนสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้เด็กหนุ่มก็พูดเบาๆ “แต่พูดไปตามความจริงต่างหาก”
“มันไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่น่ะสิ” แจนยังกระเซ้าไม่เลิก มิคาสะหันมาทำตาวาว
“นายจะบอกว่าเอเลนโกหกงั้นเหรอ”
“เปล่านะครับ” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธพร้อมกับโบกมือพัลวันจากนั้นก็รีบหันไปชวนรีไว
“เอลวินคงกำลังรอพวกเราอยู่ รีบไปกันเถอะ”
พูดจบก็เดินนำไปที่รถ แต่ชายหนุ่มกลับหันไปทางเอเลน
“ค่อยเจอกันตอนค่ำ” เขายิ้มมุมปาก “เตรียมกาแฟไว้ด้วยนะ”
“ครับ” เด็กหนุ่มรับคำด้วยใบหน้าอมสีชมพู แถมยังโบกมือให้อย่างร่าเริงตอนที่รถของทั้งคู่วิ่งออกไป พอไม่มีพวกเอฟบีไออยู่แถวนั้นแล้วมิคาสะซึ่งเก็บความสงสัยอยู่นานจึงหันไปถาม
“เมื่อคืนเขาทำอะไรเธอหรือเปล่า”
เอเลนมองหน้าหญิงสาวพร้อมกับทำตาปริบๆ
“ที่ว่าทำนี่หมายถึงอะไรหรือครับ”
“ฉันหมายถึง...” เธอหยุดไว้แค่นั้นเหมือนนึกได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควรพูดและรีบเปลี่ยนเรื่อง “เขาทำร้ายอะไรตรงไหนหรือเปล่า”
เอเลนหัวเราะ
“ถึงคุณรีไวจะเป็นคนดุ แต่ก็ไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดนั้นหรอกครับ” เขาพูด “จะมีน่ากลัวก็ตรงความเจ้าระเบียบกับต้องคอยรักษาความสะอาดให้ดีเท่านั้น เพราะถ้าเผลอปล่อยให้มีฝุ่นสักนิดหรืออะไรเปื้อนสักหน่อย มีหวังโดนบ่นจนหูชา”
“หวังว่าจะเป็นแค่บ่น” มิคาสะพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่เอเลนกลับยิ้ม
“คุณรีไวเขาไม่ทำอะไรผมหรอกครับ” พูดจบก็หันไปมองร้านซึ่งได้รับการทำความสะอาดอย่างเรียบร้อย “เก็บเสร็จหมดแล้วหรือครับ ผมไม่ได้อยู่ช่วยแบบนี้มิคาสะคงเหนื่อยแย่”
“ส่วนใหญ่แล้วแจนเป็นคนทำน่ะ” หญิงสาวรีบพูดเมื่อเห็นเอเลนทำหน้าเหมือนรู้สึกผิดที่ไม่ได้อยู่ช่วย “เห็นว่าวันนี้จะมาช่วยซ่อมพวกเครื่องไฟฟ้าที่เสียหายให้ด้วย”
“งั้นเหรอครับ” เด็กหนุ่มพูดอย่างโล่งอก “แล้ววันนี้เราจะเปิดร้านไหมครับ”
“เปิดเหมือนเดิมน่ะแหละ แต่คงขายได้แค่กาแฟเท่านั้น” หญิงสาวตอบด้วยใบหน้าเฉยเมยเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำจากนั้นก็เดินเข้าร้านไป
ด้านรีไว หลังออกจากร้านของมิคาสะแล้ว แจนขอแวะเข้าบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าจากนั้นจึงตรงไปที่ทำงาน พอไปถึงทั้งคู่ก็รีบไปหน่วย และพบเอลวินกำลังพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด แต่พอหันมาเห็นคนทั้งสอง เขาก็เอ่ยทัก
“เป็นยังไงบ้าง”
เหมือนเป็นคำถามรวมๆถึงอาการบาดเจ็บของลูกน้องกับการจัดการร้านของมิคาสะ แจนเป็นคนตอบก่อน
“เรียบร้อยดีครับ”
ดวงตาของเอลวินจึงเลื่อนมาทางรีไว “แล้วนายล่ะ” พูดพร้อมกับมองใบหน้าและแขน แต่ชายหนุ่มกลับทำเป็นไม่ใส่ใจ
“ก็ดี” พูดพลางมองแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะ “เบลทรูทล่ะ”
“ฟื้นแล้ว” เอลวินตอบสั้นๆ หนุ่มร่างเตี้ยขมวดคิ้ว
“เขาสารภาพหรือยัง”
“ยัง” เอลวินตอบด้วยสีหน้าหนักใจ “เขาบอกว่าจะพูดกับนายคนเดียว”
รีไวนิ่งไปเล็กน้อยก่อนพูดเสียงเรียบ “งั้นไปกันเลย”
“เดี๋ยวก่อนรีไว” เอลวินเรียก “แน่ใจนะว่าควบคุมตัวเองได้ เพราะเบลทรูทรู้ว่าเอเลนเป็นจุดอ่อนของนาย เขาจะต้องใช้คำพูดยั่วให้โกรธแน่”
“ไม่ต้องเป็นห่วง” ชายหนุ่มพูดเสียงเย็นจากนั้นก็เดินไปห้องสอบปากคำ เมื่อไปถึงก็เปิดประตูก้าวเข้าไปทันที คนที่อยู่ด้านในเงยหน้าขึ้นมองแล้วเหยียดยิ้ม
“คุณรีไว”
“เออ” ชายหนุ่มตอบสั้นๆพร้อมกับนั่งด้านตรงกันข้าม “ทำไมถึงไม่พูดอะไรเลย”
“จะให้ผมพูดเรื่องอะไร” เบลทรูทถาม รีไวจึงเปิดแฟ้มดึงรูปผู้หญิงคนหนึ่งออกมาแล้วเลื่อนส่งให้ดู
“จำได้หรือเปล่า” เขาถาม เมื่ออีกฝ่ายนั่งนิ่งไม่ยอมตอบจึงพูดต่อ “เธอถูกนายฆ่าเมื่อสองปีก่อน”
“อิซาเบล แมกโนเลีย” เบลทรูทพูดด้วยสีหน้าคล้ายคนสำนึกผิด “ตอนนั้นผมตั้งใจจะยิงเหยื่อที่หมายตาเอาไว้แต่พลาดไปโดนเธอเข้า”
เขาถอนใจ “ผมขอโทษ”
น้ำเสียงกับสีหน้าที่แสดงออกสื่อความหมายว่ามันเป็นความเสียใจอย่างแท้จริง ทำให้ความแค้นที่สั่งสมมานานมลายลงอย่างรวดเร็ว จนแม้แต่รีไวเองยังแปลกใจ
“ทำไมถึงไม่มอบตัว”
“ผมเป็นห่วงโทมัส” เบลทรูทตอบพลางมองภาพของอดีตเอฟบีไอสาวก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นสบกับรีไว “หวังว่าคุณคงเข้าใจ”
ชายหนุ่มรู้ดีว่าเบลทรูทกำลังหมายถึงเอเลน เขาจึงเก็บภาพอิซาเบลกลับเข้าแฟ้มและดึงภาพของเหยื่อทั้งหมดมาวางเรียงทีละใบ
“งั้นเรามาพูดถึงการตายของเหยื่อทั้งสิบรายกันดีกว่า”
“เก้าต่างหาก” เบลทรูทพูดพลางคว่ำภาพใบหนึ่งลง “คนนี้เป็นฝีมือของผม”
“แล้วที่เหลือล่ะ”
คราวนี้อดีตตำรวจไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม
“เจ้าหนูนั่นเป็นยังไงบ้าง”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันถาม”
“แต่มันเป็นคำถามของผม ถ้าคุณไม่ตอบ ผมก็จะไม่พูดอะไร”
เจอไม้นี้รีไวต้องขมวดคิ้ว ความจริงแล้วเขาไม่อยากลากเอเลนเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เท่าใดนัก แค่โดนเบลทรูทบุกเข้าไปในร้านก็นับว่าเป็นเรื่องหนักหนามากพอแล้ว แต่เพราะคดีกับความแน่ใจที่ว่า คนตรงหน้าไม่มีทางหลุดออกไปทำร้ายใครได้อีกต่อไป ชายหนุ่มจึงตอบสั้นๆ
“สบายดี”
“ที่ว่าสบายดีนี่หมายถึงนอนหลับสนิท ไม่ฝันร้ายหรือผวาตื่นกลางดึกใช่หรือเปล่า” เบลทรูทซัก รีไวมุ่นคิ้วเพราะนึกเอะใจกับอะไรบางอย่างที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น
“ใช่”
“โชคดีจัง” เบลทรูทพูด “ถ้าเป็นโทมัสป่านนี้คงร้องไห้ลั่นบ้านไปแล้ว”
เขาถอนใจออกมาเบาๆและเอนตัวพิงพนัก
“แต่ตอนนี้คงไม่แล้ว เพราะผมเห็นเขานอนหลับอย่างมีความสุข” มุมปากมีรอยยิ้มเมื่อเห็นความฉงนในแววตาของรีไว “หัวหน้าของคุณพาผมไปดูเขาแล้ว”
พอถึงตรงนี้เบลทรูทกลับหยุดคำพูดและบดกราม มือทั้งสองกำแน่นจนสั่นระริก “และผมก็เห็นแผลบนหัวแล้วด้วย”
รีไวนั่งนิ่งไม่พูดอะไร เขารอจนกระทั่งแน่ใจว่าอีกฝ่ายสงบสติอารมณ์ได้แล้วจึงเตรียมจะเอ่ยปากถามแต่เบลทรูทกลับพูดขึ้นมาก่อน
“พวกเราเจอแอนนี่ตอนอายุ 17” ดวงตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังคั่งแค้นมองรีไวเขม็ง “ตอนนั้นผมกับโทมัสกำลังขโมยอาหารในบ้านอุปถัมภ์ เธอห้ามคนดูแลไม่ให้จับเราส่งตำรวจ และพยายามชักชวนให้เราสองคนพักอยู่ที่นั่น ทีแรกผมก็ไม่ยอมพอคิดว่าถ้าร่อนเร่ต่อไป โทมัสก็จะทนความลำบากไม่ไหวเลยตัดสินใจอยู่ แต่เพราะเคยเจอกับเรื่องแย่ๆในบ้านสงเคราะห์มาแล้ว ผมเลยไม่ค่อยไว้ใจคนที่นั่นนัก โดยเฉพาะกับแอนนี่”
“ทำไมล่ะ”
รีไวถาม เบลทรูทหัวเราะเบาๆ
“ถึงเธอจะมีอายุเท่ากับพวกเรา แต่มีความคิดอ่านลึกซึ้งและน่ากลัวกว่ามาก ผมมารู้ทีหลังว่าเธอสั่งให้เจ้าหน้าที่เปลี่ยนชื่อของเราใหม่เพื่อติดต่อขอค่าเลี้ยงดูจากรัฐ โดยบอกว่าพ่อแม่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ”
“แต่ของพวกนี้ต้องมีหลักฐาน”
“เธอสร้างขึ้นมาเองทั้งหมด” เบลทรูทพูด “สงสัยใช่ไหมว่าทำได้ยังไง ใช่ตอนนั้นผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันเลยลองสืบดูถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วแอนนี่เป็นลูกลับๆของนักการเมืองใหญ่กับโสเภณีคนหนึ่ง แต่บังเอิญโสเภณีคนนั้นเป็นพวกมีอิทธิพลพอตัว เลยรีดเงินมาได้ก้อนใหญ่และบีบให้นักการเมืองคนนั้นสร้างบ้านอุปถัมภ์นี่ขึ้นมา เพื่อที่เธอจะได้เอาไว้ใช้เป็นแหล่งหากิน”
My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ บทที่ 17
http://ppantip.com/topic/32198659
บทที่ 17
เสียงนาฬิกาปลุกทำให้รีไวตื่นจากการหลับอันแสนสุข ดวงตาเรียวค่อยๆเปิดขึ้นและกะพริบสองสามครั้งอย่างงัวเงีย
“เช้าแล้วเหรอ”
ชายหนุ่มพึมพำพร้อมกับดันตัวเพื่อลุกแต่อาการเจ็บที่แล่นแปลบตั้งแต่ข้อมือไปจนถึงหัวไหล่ทำให้เขาต้องทิ้งตัวลงกับที่นอนอีกครั้งและครางเบาๆ
“เจ็บเป็นบ้า” บ่นพลางยกแขนข้างนั้นขึ้นมาดูและขมวดคิ้วเมื่อพบว่ามันถูกพันเอาไว้อย่างดี ทีแรกเขาก็งง แต่พอนึกได้ว่าหลังอาบน้ำ เอเลนก็ปฐมพยาบาลเขาต่อด้วยการทายาและใช้ผ้าพันแขนขาที่บอบช้ำ ตบท้ายด้วยการบังคับให้กินยาแก้ปวดอีกสองเม็ดก่อนนอน
ชายหนุ่มแตะแขนข้างนั้นเบาๆแล้วอมยิ้ม ฝีมือการรักษาดีเยี่ยมแบบนี้น่าจะให้มาเป็นนางพยาบาลส่วนตัวจริงๆ คิดพลางมองข้างตัวและขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อไม่เห็นเอเลน
“หายไปไหน...”
กลิ่นหอมของกาแฟกับอะไรบางอย่างที่น่าจะเป็นเบคอนทอดลอยมากระทบจมูก พอมองไปที่ประตูก็เห็นหน้าสวยๆของเด็กหนุ่มโผล่เข้ามา
“ตื่นแล้วหรือครับ” เอเลนเอ่ยทักด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “อาหารเช้าเสร็จพอดี อาบน้ำแต่งตัวแล้วมาทานได้เลยครับ”
พูดจบก็ผลุบหายไป แต่กลับมีเสียงคล้ายถ้วยกระทบกันดังขึ้นมาแทน แสดงว่าเจ้าหนูกำลังจัดโต๊ะสำหรับมื้อเช้า รีไวคิดพลางนึกภาพเอเลนในชุดผ้ากันเปื้อนที่สุดแสนจะน่ารัก ใจที่เต้นแรงอยู่แล้วกลับทวีความแรงมากกว่าเดิมจนแทบจะหลุดออกมาจากอก ชายหนุ่มสูดลมหายใจ
ไม่เอาพยาบาลแล้ว ขอมาเป็นแม่บ้านคอยดูแลเขาไปตลอดชีวิตเลย !
ความร้อนวิ่งวูบวาบไปตามร่างกาย เขาลุกจากเตียง คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำด้วยความกลัวว่าตัวเองจะออกไปจับคนที่อยู่ในครัวกินเป็นมื้อเช้า
ใช้เวลานานพอดูสำหรับการอาบน้ำในวันนี้ พอแต่งตัวเสร็จรีไวก็เดินเข้าไปในครัว พอเห็นเอเลนกำลังก้มหน้าก้มตาง่วนอยู่กับการทำอะไรสักอย่าง อารมณ์ที่เพิ่งสงบก็กลับมาปั่นป่วนอีกครั้ง ชายหนุ่มรีบสูดลมหายใจเข้าเพื่อข่มมันลงก่อนเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ทำอะไร”
เด็กหนุ่มหันมาส่งยิ้มที่คนเห็นใจเต้น
“ผมว่าจะทอดไข่เพิ่มอีกอย่าง คุณรีไวชอบแบบไหนครับ สุกหรือแบบกลางๆ”
พูดพลางหันกลับไปที่เตาและหยิบไข่ขึ้นมาเพื่อเตรียมตอกใส่กระทะ แต่ต้องสะดุ้งเมื่อวงแขนแข็งแกร่งโอบกอดมาจากทางด้านหลัง
“ฉันชอบไข่สดๆ” รีไวกระซิบข้างหู เอเลนหน้าแดงก่ำ ใจเต้นตึกตักจนแทบจะทำไข่หลุดมือ
“อะ...เอ่อ แบบนั้นมันไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ”
อ้อมกอดกระชับแน่นขึ้น ชายหนุ่มไล้จมูกไปตามลำคอเรียบลื่น สูดกลิ่นหอมอ่อนๆของผิวเนื้อกับสบู่เข้าไปจนเต็มปอด
“ใครบอกล่ะ” เขาบอกเสียงแผ่ว “มันวิเศษที่สุดต่างหาก”
ไม่พูดเปล่ายังขบใบหูเบาๆเป็นการแถมทำเอาเอเลนร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ความกลัวว่าสถานการณ์จะเกินเลยมากไปกว่านั้น เด็กหนุ่มจึงรีบตอกไข่ใส่กระทะ
“ง...งั้นเอาแบบกึ่งสุกกึ่งดิบก็แล้วกันนะครับ”
รีไวยิ้ม
“แล้วแต่นาย”
พูดจบก็คลายวงแขนและเดินไปนั่งที่โต๊ะ นั่งรอจนเอเลนทำเสร็จ พอเอาจานไข่มาวาง ชายหนุ่มก็ฉวยมือเขาไว้และจูบเบาๆ
“ขอบใจนะ”
หน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด
“ม...ไม่เป็นไรครับ” ตอบตะกุกตะกักอย่างเขินอายก่อนเลี่ยงไปหยิบเหยือกกาแฟมารินใส่แก้วและเหลือบมองรีไว แต่พอเห็นว่าเขากำลังจ้องตัวเองอยู่เหมือนกันก็เกิดอาการประหม่า มือไม้สั่นจนเกือบจะทำกาแฟหก เอเลนรีบก้มหน้าหลบพร้อมกับแกล้งถาม
“อาหารเป็นยังไงบ้างครับ”
“ดี” ชายหนุ่มตอบพลางตักไข่ใส่ปาก “รสมือดีแบบนี้ใครได้ไปเป็นแม่บ้านคงโชคดีน่าดู”
“พูดอะไรแบบนั้นกันครับคุณรีไว” เอเลนพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำและเงยหน้าขึ้นมองรีไว “ความจริงแล้วผมน่ะ...”
เด็กหนุ่มหยุดคำไว้แค่นั้นเหมือนพูดอะไรไม่ออกก่อนจะเบือนหน้าหนี “ไม่มีอะไรหรอกครับ”
สีหน้าที่เหมือนเก็บความอัดอั้นบางอย่างเอาไว้ในใจทำให้รีไวรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
“ดูเหมือนนายจะมีเรื่องกลุ้มใจ พอจะเล่าให้ฉันฟังได้หรือเปล่า”
เอเลนส่ายหน้า “ไมใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกครับ” เขาหันมาส่งยิ้ม “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับคุณรีไว ทานอาหารให้สบายดีกว่าครับ”
รีไวมองเด็กหนุ่มนิ่งเหมือนจะหยั่งเข้าไปในความคิด แต่แล้วกลับพูดสั้นๆ
“งั้นเหรอ”
จากนั้นก็ก้มหน้ากินมื้อเช้าต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนอิ่ม พอทำความสะอาดและเก็บถ้วยชามเสร็จเรียบร้อย ทั้งคู่ก็ออกจากห้องพัก เดินตัดซอยตรงไปยังร้านของมิคาสะ พอเห็นคนทั้งสอง หญิงสาวก็เอ่ยทัก
“มาแล้วเหรอเอเลน” ดวงตาตวัดไปทางรีไวคล้ายจะถามว่ารังแกอะไรหนุ่มน้อยของเธอบ้างหรือเปล่า แต่อีกฝ่ายกลับเลื่อนสายตามองเข้าไปในร้าน และร้องเรียก
“แจน”
“ว่าไง” เพื่อนร่วมทีมขานรับพร้อมกับเดินออกมา พอเห็นหน้าตาที่ดูเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนกับผมที่ยุ่งเหยิง รีไวก็ขมวดคิ้ว
“ได้นอนบ้างหรือเปล่า”
“สองชั่วโมงก่อนนายมา” แจนพูดและหันไปส่งยิ้มให้มิคาสะและค่อยๆเจื่อนไปเมื่อหญิงสาวเบือนหน้าหนี เขาจึงเบนเป้าหมายไปที่เอเลน
“ไงหนุ่มน้อย โดนเจ้านี่แกล้งอะไรหรือเปล่า”
“ไม่นี่ครับ คุณรีไวน่ะใจดีออก” เด็กหนุ่มตอบ แจนทำตาโต
“เจ้าเตี้ยเนี่ยนะใจดี” พูดพลางโคลงศีรษะจนผมสีเงินสะบัดไปมา “ความรักทำให้คนตาบอดจริงๆด้วย”
“ผมไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นสักหน่อย” เอเลนโพล่งขัดขึ้นมาทันควันและหยุดเหลือบมองรีไว พอเห็นเขายืนสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้เด็กหนุ่มก็พูดเบาๆ “แต่พูดไปตามความจริงต่างหาก”
“มันไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่น่ะสิ” แจนยังกระเซ้าไม่เลิก มิคาสะหันมาทำตาวาว
“นายจะบอกว่าเอเลนโกหกงั้นเหรอ”
“เปล่านะครับ” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธพร้อมกับโบกมือพัลวันจากนั้นก็รีบหันไปชวนรีไว
“เอลวินคงกำลังรอพวกเราอยู่ รีบไปกันเถอะ”
พูดจบก็เดินนำไปที่รถ แต่ชายหนุ่มกลับหันไปทางเอเลน
“ค่อยเจอกันตอนค่ำ” เขายิ้มมุมปาก “เตรียมกาแฟไว้ด้วยนะ”
“ครับ” เด็กหนุ่มรับคำด้วยใบหน้าอมสีชมพู แถมยังโบกมือให้อย่างร่าเริงตอนที่รถของทั้งคู่วิ่งออกไป พอไม่มีพวกเอฟบีไออยู่แถวนั้นแล้วมิคาสะซึ่งเก็บความสงสัยอยู่นานจึงหันไปถาม
“เมื่อคืนเขาทำอะไรเธอหรือเปล่า”
เอเลนมองหน้าหญิงสาวพร้อมกับทำตาปริบๆ
“ที่ว่าทำนี่หมายถึงอะไรหรือครับ”
“ฉันหมายถึง...” เธอหยุดไว้แค่นั้นเหมือนนึกได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควรพูดและรีบเปลี่ยนเรื่อง “เขาทำร้ายอะไรตรงไหนหรือเปล่า”
เอเลนหัวเราะ
“ถึงคุณรีไวจะเป็นคนดุ แต่ก็ไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดนั้นหรอกครับ” เขาพูด “จะมีน่ากลัวก็ตรงความเจ้าระเบียบกับต้องคอยรักษาความสะอาดให้ดีเท่านั้น เพราะถ้าเผลอปล่อยให้มีฝุ่นสักนิดหรืออะไรเปื้อนสักหน่อย มีหวังโดนบ่นจนหูชา”
“หวังว่าจะเป็นแค่บ่น” มิคาสะพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่เอเลนกลับยิ้ม
“คุณรีไวเขาไม่ทำอะไรผมหรอกครับ” พูดจบก็หันไปมองร้านซึ่งได้รับการทำความสะอาดอย่างเรียบร้อย “เก็บเสร็จหมดแล้วหรือครับ ผมไม่ได้อยู่ช่วยแบบนี้มิคาสะคงเหนื่อยแย่”
“ส่วนใหญ่แล้วแจนเป็นคนทำน่ะ” หญิงสาวรีบพูดเมื่อเห็นเอเลนทำหน้าเหมือนรู้สึกผิดที่ไม่ได้อยู่ช่วย “เห็นว่าวันนี้จะมาช่วยซ่อมพวกเครื่องไฟฟ้าที่เสียหายให้ด้วย”
“งั้นเหรอครับ” เด็กหนุ่มพูดอย่างโล่งอก “แล้ววันนี้เราจะเปิดร้านไหมครับ”
“เปิดเหมือนเดิมน่ะแหละ แต่คงขายได้แค่กาแฟเท่านั้น” หญิงสาวตอบด้วยใบหน้าเฉยเมยเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำจากนั้นก็เดินเข้าร้านไป
ด้านรีไว หลังออกจากร้านของมิคาสะแล้ว แจนขอแวะเข้าบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าจากนั้นจึงตรงไปที่ทำงาน พอไปถึงทั้งคู่ก็รีบไปหน่วย และพบเอลวินกำลังพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด แต่พอหันมาเห็นคนทั้งสอง เขาก็เอ่ยทัก
“เป็นยังไงบ้าง”
เหมือนเป็นคำถามรวมๆถึงอาการบาดเจ็บของลูกน้องกับการจัดการร้านของมิคาสะ แจนเป็นคนตอบก่อน
“เรียบร้อยดีครับ”
ดวงตาของเอลวินจึงเลื่อนมาทางรีไว “แล้วนายล่ะ” พูดพร้อมกับมองใบหน้าและแขน แต่ชายหนุ่มกลับทำเป็นไม่ใส่ใจ
“ก็ดี” พูดพลางมองแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะ “เบลทรูทล่ะ”
“ฟื้นแล้ว” เอลวินตอบสั้นๆ หนุ่มร่างเตี้ยขมวดคิ้ว
“เขาสารภาพหรือยัง”
“ยัง” เอลวินตอบด้วยสีหน้าหนักใจ “เขาบอกว่าจะพูดกับนายคนเดียว”
รีไวนิ่งไปเล็กน้อยก่อนพูดเสียงเรียบ “งั้นไปกันเลย”
“เดี๋ยวก่อนรีไว” เอลวินเรียก “แน่ใจนะว่าควบคุมตัวเองได้ เพราะเบลทรูทรู้ว่าเอเลนเป็นจุดอ่อนของนาย เขาจะต้องใช้คำพูดยั่วให้โกรธแน่”
“ไม่ต้องเป็นห่วง” ชายหนุ่มพูดเสียงเย็นจากนั้นก็เดินไปห้องสอบปากคำ เมื่อไปถึงก็เปิดประตูก้าวเข้าไปทันที คนที่อยู่ด้านในเงยหน้าขึ้นมองแล้วเหยียดยิ้ม
“คุณรีไว”
“เออ” ชายหนุ่มตอบสั้นๆพร้อมกับนั่งด้านตรงกันข้าม “ทำไมถึงไม่พูดอะไรเลย”
“จะให้ผมพูดเรื่องอะไร” เบลทรูทถาม รีไวจึงเปิดแฟ้มดึงรูปผู้หญิงคนหนึ่งออกมาแล้วเลื่อนส่งให้ดู
“จำได้หรือเปล่า” เขาถาม เมื่ออีกฝ่ายนั่งนิ่งไม่ยอมตอบจึงพูดต่อ “เธอถูกนายฆ่าเมื่อสองปีก่อน”
“อิซาเบล แมกโนเลีย” เบลทรูทพูดด้วยสีหน้าคล้ายคนสำนึกผิด “ตอนนั้นผมตั้งใจจะยิงเหยื่อที่หมายตาเอาไว้แต่พลาดไปโดนเธอเข้า”
เขาถอนใจ “ผมขอโทษ”
น้ำเสียงกับสีหน้าที่แสดงออกสื่อความหมายว่ามันเป็นความเสียใจอย่างแท้จริง ทำให้ความแค้นที่สั่งสมมานานมลายลงอย่างรวดเร็ว จนแม้แต่รีไวเองยังแปลกใจ
“ทำไมถึงไม่มอบตัว”
“ผมเป็นห่วงโทมัส” เบลทรูทตอบพลางมองภาพของอดีตเอฟบีไอสาวก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นสบกับรีไว “หวังว่าคุณคงเข้าใจ”
ชายหนุ่มรู้ดีว่าเบลทรูทกำลังหมายถึงเอเลน เขาจึงเก็บภาพอิซาเบลกลับเข้าแฟ้มและดึงภาพของเหยื่อทั้งหมดมาวางเรียงทีละใบ
“งั้นเรามาพูดถึงการตายของเหยื่อทั้งสิบรายกันดีกว่า”
“เก้าต่างหาก” เบลทรูทพูดพลางคว่ำภาพใบหนึ่งลง “คนนี้เป็นฝีมือของผม”
“แล้วที่เหลือล่ะ”
คราวนี้อดีตตำรวจไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม
“เจ้าหนูนั่นเป็นยังไงบ้าง”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันถาม”
“แต่มันเป็นคำถามของผม ถ้าคุณไม่ตอบ ผมก็จะไม่พูดอะไร”
เจอไม้นี้รีไวต้องขมวดคิ้ว ความจริงแล้วเขาไม่อยากลากเอเลนเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เท่าใดนัก แค่โดนเบลทรูทบุกเข้าไปในร้านก็นับว่าเป็นเรื่องหนักหนามากพอแล้ว แต่เพราะคดีกับความแน่ใจที่ว่า คนตรงหน้าไม่มีทางหลุดออกไปทำร้ายใครได้อีกต่อไป ชายหนุ่มจึงตอบสั้นๆ
“สบายดี”
“ที่ว่าสบายดีนี่หมายถึงนอนหลับสนิท ไม่ฝันร้ายหรือผวาตื่นกลางดึกใช่หรือเปล่า” เบลทรูทซัก รีไวมุ่นคิ้วเพราะนึกเอะใจกับอะไรบางอย่างที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น
“ใช่”
“โชคดีจัง” เบลทรูทพูด “ถ้าเป็นโทมัสป่านนี้คงร้องไห้ลั่นบ้านไปแล้ว”
เขาถอนใจออกมาเบาๆและเอนตัวพิงพนัก
“แต่ตอนนี้คงไม่แล้ว เพราะผมเห็นเขานอนหลับอย่างมีความสุข” มุมปากมีรอยยิ้มเมื่อเห็นความฉงนในแววตาของรีไว “หัวหน้าของคุณพาผมไปดูเขาแล้ว”
พอถึงตรงนี้เบลทรูทกลับหยุดคำพูดและบดกราม มือทั้งสองกำแน่นจนสั่นระริก “และผมก็เห็นแผลบนหัวแล้วด้วย”
รีไวนั่งนิ่งไม่พูดอะไร เขารอจนกระทั่งแน่ใจว่าอีกฝ่ายสงบสติอารมณ์ได้แล้วจึงเตรียมจะเอ่ยปากถามแต่เบลทรูทกลับพูดขึ้นมาก่อน
“พวกเราเจอแอนนี่ตอนอายุ 17” ดวงตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังคั่งแค้นมองรีไวเขม็ง “ตอนนั้นผมกับโทมัสกำลังขโมยอาหารในบ้านอุปถัมภ์ เธอห้ามคนดูแลไม่ให้จับเราส่งตำรวจ และพยายามชักชวนให้เราสองคนพักอยู่ที่นั่น ทีแรกผมก็ไม่ยอมพอคิดว่าถ้าร่อนเร่ต่อไป โทมัสก็จะทนความลำบากไม่ไหวเลยตัดสินใจอยู่ แต่เพราะเคยเจอกับเรื่องแย่ๆในบ้านสงเคราะห์มาแล้ว ผมเลยไม่ค่อยไว้ใจคนที่นั่นนัก โดยเฉพาะกับแอนนี่”
“ทำไมล่ะ”
รีไวถาม เบลทรูทหัวเราะเบาๆ
“ถึงเธอจะมีอายุเท่ากับพวกเรา แต่มีความคิดอ่านลึกซึ้งและน่ากลัวกว่ามาก ผมมารู้ทีหลังว่าเธอสั่งให้เจ้าหน้าที่เปลี่ยนชื่อของเราใหม่เพื่อติดต่อขอค่าเลี้ยงดูจากรัฐ โดยบอกว่าพ่อแม่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ”
“แต่ของพวกนี้ต้องมีหลักฐาน”
“เธอสร้างขึ้นมาเองทั้งหมด” เบลทรูทพูด “สงสัยใช่ไหมว่าทำได้ยังไง ใช่ตอนนั้นผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันเลยลองสืบดูถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วแอนนี่เป็นลูกลับๆของนักการเมืองใหญ่กับโสเภณีคนหนึ่ง แต่บังเอิญโสเภณีคนนั้นเป็นพวกมีอิทธิพลพอตัว เลยรีดเงินมาได้ก้อนใหญ่และบีบให้นักการเมืองคนนั้นสร้างบ้านอุปถัมภ์นี่ขึ้นมา เพื่อที่เธอจะได้เอาไว้ใช้เป็นแหล่งหากิน”