My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ (fanfic ผ่าพิภพไททัน *Yaoi) บทที่ 2

กระทู้สนทนา
คำเตือนก่อนอ่าน นิยายเรื่องนี้เป็นแฟนฟิคการ์ตูน ผ่าพิภพไททัน คู่เอเลน รีไว และเป็นแนว Yaoi หรือ ช.รักช. ดังนั้นท่านใดไม่ชอบแนวนี้ กรุณาปิดนะคะ
ป.ล.ถึงจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการสืบสวน ฆาตกรรม แต่เน้นหนักในเรื่องความรักค่ะ

บทที่ 1
http://ppantip.com/topic/31956343

พอออกจากร้านของมิคาสะ เอลวินก็พาลูกทีมทั้งหมดขึ้นรถกลับไปยังที่ทำการเอฟบีไอประจำเมือง เมื่อไปถึงก็ตรงเข้าห้องประชุมทันที พอเปิดประตู เจ้าหน้าที่ไรเนอร์ซึ่งกำลังจัดเตรียมเอกสารก็หันมามองและส่งยิ้มให้กับฮันซี่ที่เดินนำเข้าไปเป็นคนแรก

“ตรงเวลาจังเลยนะครับ” เขาพูด อีกฝ่ายฉีกยิ้มกว้างพลางยกแขนข้างซ้ายขึ้นพร้อมกับรูดแขนเสื้อเพื่ออวดนาฬิกาข้อมือที่เธอใส่ไว้ถึงสองเรือน

“การตรงต่อเวลาทำให้ฉันเป็นคนแม่นยำ”

คำตอบสุดเพี้ยนทำให้รอยยิ้มของไรเนอร์เจื่อนไปเล็กน้อย กระนั้นเขาก็ยังทักทายมาร์โคและก้มศีรษะเพื่อทำความเคารพเอลวินและเบิกตากว้างเมื่อเห็นคนสุดท้ายก้าวตามมาติดๆ

“คุณรีไว”

อีกฝ่ายเดินไปนั่งโดยไม่สนใจมองคนทักเลยสักนิด รอยยิ้มจึงค่อยๆจางหายไปจากหน้า พอทุกคนประจำที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่พิเศษเอลวินจึงพูดอย่างเคร่งขรึม

“ขอบใจมากเจ้าหน้าที่ไรเนอร์”

เป็นอันเข้าใจว่านั่นคือการเชิญเขาออกจากห้อง เพราะเป็นการประชุมในครั้งนี้มีเพียงผู้ที่เกี่ยวข้องต่อคดีโดยตรงเท่านั้น ไรเนอร์จึงรับคำและออกจากห้องแต่โดยดี พอประตูปิดสนิท เอลวินจึงเปิดแฟ้มที่นำมาด้วยพร้อมกับเอ่ยถามมาร์โค

“ได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง”

“น้อยมากครับ” อีกฝ่ายตอบพลางหยิบเอกสารมาวาง “เท่าที่ตรวจดู เหยื่อทุกรายแทบไม่มีความเกี่ยวข้องกัน นอกจากบาดแผลจากการทารุณกรรมแล้ว พวกเขาไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักอย่าง”

“แบบนี้เราก็หาแรงจูงใจไม่ได้น่ะสิ” เอลวินกล่าวอย่างเคร่งขรึมและพลิกภาพของเหยื่อที่ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมใบทีละใบ รีไวซึ่งนั่งฟังอยู่นานจึงเปรยขึ้นมาเบาๆ

“ฆาตกรคนนี้คิดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าคนอื่น”

“คุณรู้ได้ยังไง” มาร์โคถาม รีไวพลิกหน้ากระดาษที่แจ้งรายละเอียดการพบศพไปทีละหน้า

“เหยื่อทุกร้ายถูกทารุณกรรมอย่างประณีตแต่กลับถูกทิ้งเหมือนเศษขยะ” พูดพลางเคาะมือไปบนภาพสถานที่พบศพ “เขาไม่คิดจะปกปิดเลยสักนิด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าแถวนั้นเป็นที่ไหน พอจอดรถได้ก็โยนเหยื่อทิ้งเหมือนเราโยนเปลือกส้มออกจากรถ”   

“คนทั้งคนเนี่ยนะ” มาร์โคพึมพำ ส่วนเอลวินนั่งนิ่ง ฮันซี่ขยับแว่นก่อนพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังผิดไปจากท่าทางร่าเริงที่เธอมักแสดงให้ทุกคนเห็นเป็นประจำ

“ฉันเห็นด้วยกับรีไว เพราะตอนพบศพ ร่างของทุกคนอยู่ในสภาพที่ไม่เหมือนกันเลยสักนิด บางรายมีร่องรอยของการกระแทกอย่างรุนแรง เหมือนกลิ้งลงจากที่สูง” เธอหยิบภาพเหยื่อคนหนึ่งส่งให้เอลวิน “แต่ที่ฉันสงสัยก็คือ นอกจากจะกรีดเปลือกตาของเหยื่อแล้ว ทำไมต้องลอกหนังบริเวณอกกับหน้าท้องออกก่อนด้วย”

“ออกก่อน” หัวหน้าทีมทวนคำด้วยความประหลาดใจ เพราะถึงจะรู้ว่าเหยื่อทุกคนถูกทารุณกรรมด้วยการกรีด เชือด ตัดนิ้วหรือเลาะฟันออกแล้ว แต่เขาไม่เคยได้ยินว่าทุกรายถูกลอกหนังออกก่อน ฮันซี่จึงผงกศีรษะเหมือนเข้าใจความคิดของเขา

“ฉันเองก็เพิ่งมารู้ตอนตรวจศพเหยื่อรายล่าสุด” เธอพูดพลางพยักพเยิดหน้าไปที่รูปตรงหน้าเอลวิน “เพราะเราพบร่างของเธอหลังการเสียชีวิต 48 ชม. ที่เหลือนอกนั้นขึ้นอืดจนพยาธิสภาพทางกายเสียหายมากจนเกินกว่าจะตรวจสอบอะไรได้”

“แต่เราไม่เจอแผ่นหนังอะไรเลยสักอย่าง” มาร์โคพูด รีไวจึงกล่าวเบาๆ

“ฆาตกรคงเก็บไปเป็นที่ระลึก” เขาหันไปทางเอลวิน “ระหว่างที่ทำคดีเก่า ผมได้ศึกษาข้อมูลของคดีนี้มาแล้วบ้าง และลองตรวจสอบอะไรบางอย่างไปแล้วด้วย”

พูดพลางหยิบแฟลชไดร์ฟมาเสียบกับโน้ตบุ๊ค ทุกคนจึงหันไปมองภาพที่ปรากฏขึ้นบนจอโทรทัศน์ ซึ่งเป็นรูปของเหยื่อทั้งสิบราย

“อย่างที่ทุกคนทราบ นอกจากบาดแผลและสาเหตุการตายแล้ว เหยื่อแต่ละรายไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน สภาพความเป็นอยู่หรือสังคม แต่พอเจาะลึกลงไปในประวัติของแต่ละคนแล้ว”

เขาเลื่อนลูกศรไปที่ภาพของเหยื่อและกดปุ่ม รายละเอียดข้อมูลของแต่ละคนก็ปรากฏขึ้นมาบนจอ

“ทุกคนเคยเป็นเด็กกำพร้า มาจากบ้านอุปถัมภ์แห่งเดียวกัน”

“เรื่องนั้นเรารู้อยู่แล้วรีไว” มาร์โคพูดแต่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจฟัง และยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ

“และสาเหตุการตายของพ่อแม่ของพวกเขาทุกคนก็คือ ถูกฆาตกรรม”

คราวนี้ทุกคนนิ่งเงียบ เอลวินจึงวางภาพถ่ายของเหยื่อก่อนวางข้อศอกไว้บนโต๊ะและประสานมือไว้ใต้คาง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด

“อย่าบอกนะว่าจากฆาตกรคนเดียวกัน”

“ผมคิดว่าไม่ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริง คนร้ายก็น่าจะมีอายุประมาณ 50-60 ปี แต่จากสภาพศพที่เราพบในตอนนี้ เหมือนเป็นการกระทำของคนร้ายที่อายุประมาณ 25-30 มากกว่า” รีไวตอบ “แต่ที่น่าสังเกตก็คือ พอผมค้นลึกลงไปในประวัติของแต่ละคน สามรายในนั้นมีเรื่องเกี่ยวข้องกับยาเสพติด อีกสี่เป็นเรื่องค้าประเวณี ที่เหลือนอกนั้นมีการฟ้องร้องเรื่องสินบนซึ่งก็ถูกยกฟ้องเพราะขาดหลักฐาน”

“แล้วมันเกี่ยวข้องกันยังไง” มาร์โคถาม รีไวจึงเปลี่ยนภาพหน้าจอกลับมาเป็นรูปของเหยื่อตามเดิม

“พ่อแม่ของเหยื่อแต่ละคนไม่ได้เกี่ยวข้องกันโดยตรง แต่เชื่อมโยงกันเพราะไปพัวพันกับกลุ่มอิทธิพลกลุ่มหนึ่ง”

“พอจะรู้หรือเปล่าว่าเป็นกลุ่มไหน” เอลวินถาม พอเห็นรีไวนิ่งไม่ตอบเขาก็รู้ว่าที่อีกฝ่ายยังไม่พูดถึงจะรู้มาบ้างแต่ข้อมูลยังน้อยทำให้กล้าสรุปอะไร ซึ่งก็ตรงกับข้อสงสัยของเขาในตอนนี้  

“ถ้าอย่างนั้น” เขาพูดขึ้นหลังจากนิ่งไปอึดใจ “เราจะตั้งข้อสันนิษฐานกว้างๆไว้สองอย่าง คือเป็นการฆ่าเพื่อสนองความต้องการส่วนตัวกับเป็นการกวาดล้างของพวกองค์กร ซึ่งตามความเห็นส่วนตัวของผมในตอนนี้หนักไปทางข้อที่สองมากกว่า”

“ผมก็เห็นด้วยในข้อนั้น” มาร์โคเสริม ส่วนฮันซี่พยักหน้าช้าๆเหมือนจะบอกว่าเธอเองก็เห็นด้วยกับความคิดนั้นเชนเดียวกัน เอลวินจึงหันไปทางรีไว

“แล้วคุณล่ะ”

“ผมคิดแบบนั้นตั้งแต่แรกแล้ว” คนตัวเล็กกว่าตอบอย่างเคร่งขรึม พอได้ยินคำตอบดังนั้น
เอลวินจึงผงกศีรษะ

“งั้นเราจะมุ่งเป้าไปที่ความขัดแย้งของกลุ่มมิจฉาชีพ แต่อย่าเพิ่งทิ้งข้อสงสัยเรื่องฆาตกรที่มีปัญหาทางจิต...”

เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังขัดจังหวะ เอลวินกล่าวขอโทษเบาๆก่อนกดปุ่มรับและขมวดคิ้วเมื่อฟังคำรายงานจากปลายสาย สีที่เคร่งขรึมแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทีละน้อย

“ผมจะไปเดี๋ยวนี้” เขาพูดก่อนวางสาย และหันไปมองทุกคน “พบเหยื่ออีกรายที่แม่น้ำ”

ไม่ต้องรอคำสั่ง ทุกคนต่างเก็บเอกสารทุกชิ้นเข้าแฟ้มและนำส่วนสำคัญลงกระเป๋าจากนั้นจึงก้าวออกจากห้อง ไรเนอร์และโคนี่เห็นดังนั้นจึงรีบมาสมทบ

“ผมได้รับคำสั่งให้ไปกับพวกคุณ” โคนี่รายงานตัวสั้นๆ เอลวินมองทั้งคู่ด้วยหางตาก่อนผงกศีรษะรับและออกคำสั่งอย่างเคร่งขรึม

“ผมจะไปกับรีไว ส่วนแจน” เขาหันไปมองหนุ่มเอฟบีไอผมสองสี “คุณไปกับฮันซี่จะได้ตามเจ้าหน้าที่ไปที่หน่วยชันสูตร คุณสองคน” ดวงตาสีฟ้าของเอลวินตวัดไปยังไรเนอร์กับโคนี่ “ขับรถไปอีกคัน เผื่อจะต้องตามหาหลักฐานเพิ่มเติม”     

มิคาสะคว่ำถ้วยกาแฟที่เพิ่งล้างเสร็จไว้บนชั้นและตรวจตราอุปกรณ์ทุกอย่างว่าทำความสะอาดแล้วหรือยัง พอแน่ใจว่าจัดการครบทุกชิ้นรวมถึงเก็บเงินออกจากเครื่องหมดแล้วหญิงสาวจึงมองไปยังหน้าร้านซึ่งเอเลนกำลังก้มหน้าก้มตาถูกพื้นอย่างขะมักเขม้น เธอเอียงคอมองอย่างเอ็นดูอยู่ครู่หนึ่งจึงแกล้งปั้นหน้าให้ดูเคร่งขรึมก่อนเอ่ยปากถาม

“ปิดประตูหรือยังเอเลน”

“เรียบร้อยแล้วครับ”

“อย่าลืมยกเก้าอี้ขึ้นไปไว้บนโต๊ะล่ะ”

“ครับ”

“อ้อ ถุงขยะที่อยู่หลังร้านน่ะ ยกไปทิ้งให้ด้วยนะ”

“ทราบแล้วครับ”

“เสร็จแล้วอย่าลืมปิดไฟ....”

“ผมไม่ลืมหรอกครับ” เอเลนซึ่งหยุดถูพื้นตั้งแต่ไม่รู้พูดสวนกลับมา “คุณมิคาสะเหนื่อยมากแล้ว ขึ้นไปพักผ่อนเถอะครับ”

หญิงสาวอมยิ้มกับคำพูดใสซื่อของเด็กหนุ่มก่อนพูดเบาๆว่า “ได้” จากนั้นก็เดินหายขึ้นไปยังห้องพักที่อยู่ชั้นบน เสียงประตูที่ดังลงมายังชั้นล่างทำให้เอเลนรู้ว่ามิคาสะเข้าห้องไปเรียบร้อยแล้ว เขาจึงหันมาทำความสะอาดร้านอีกครั้ง พอถูพื้นเสร็จเขาก็เตรียมเก็บถังน้ำกับไม้ถูแต่พอหันไปทางประตูเด็กหนุ่มก็ขมวดคิ้วเมื่อเสียงรีไวดังขึ้นในหัว

‘ตอนเข้ามาฉันเห็นฝุ่นที่ขอบประตู แถมโต๊ะที่พวกเรานั่งอยู่นี่ยังมีคราบเปื้อนอยู่เลย’

“ฝุ่นบ้าบออะไรกันเจ้าเตี้ย” เด็กหนุ่มพูดอย่างนึกฉุนพลางคว้าผ้าขี้ริ้วไปเช็ดขอบประตูซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง พอแน่ใจว่าสะอาดเอี่ยมแล้วเขาก็ถอยออกมามองอย่างภูมิใจ “ดูสิว่ายังจะหาเรื่องติได้อีกไหม”

เขาหันไปมองโต๊ะรอบตัวก่อนใช้ผ้าในมือเช็ดใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง ทุกซอกทุกมุมไม่เว้นแม้ส่วนที่อยู่ข้างใต้ ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงทุกอย่างก็สะอาดเหมือนใหม่จนแทบจะส่องแสงแวววับ

“เสร็จซะที” เอเลนพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางเก็บถังน้ำและนำอุปกรณ์ทำความสะอาดไปไว้ในห้องเก็บของ หลังจากนำถุงขยะไปทิ้งตามที่มิคาสะสั่งและล้างมือแล้วเด็กหนุ่มจึงเริ่มปิดไฟ มือยังไม่ทันถึงสวิตช์เขาต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู

“ร้านปิดแล้วครับ” เขาร้องบอกเพราะคิดว่าคงเป็นคนทำงานรอบดึกหรือขี้เมาหลงมา แต่ดูเหมือนคนที่อยู่ด้านนอกจะไม่ได้ยินเพราะเสียงประตูยังคงเป็นเป็นจังหวะ เอเลนจึงจำต้องเดินออกไปหน้าร้านแต่ยังไม่ถึงประตูเขาก็หยุดชะงักเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์ดึงไม้เบสบอลออกมาเคาะบนมือสองสามครั้ง พอมั่นใจว่ามันคงจะจัดการใครก็ตามที่คิดจะบุกเข้ามาได้แล้ว เด็กหนุ่มจึงเดินไปที่ประตูหน้าอีกครั้งและเปิดมูลี่ออก พอเห็นว่าใครเป็นคนเรียกเขาก็ทำตาโต

“คุณรีไว”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่