บทที่ 1ดวงตาที่มุ่งมั่น
http://ppantip.com/topic/32646950
บทที่ 2 คำถามที่ไร้คำตอบ
http://ppantip.com/topic/32656476
3
วันแรกของการฝึกกับหน่วยพิเศษ
แม้จะถูกล่ามทั้งมือและขา แต่เพราะเตียงที่ค่อนข้างนุ่มกับผ้าห่มผืนหนาทำให้เอเลนหลับสบายตลอดทั้งคืน และสะดุ้งตื่นอีกครั้งตอนที่ได้ยินเสียงโลหะกระทบกัน พอลืมตามองจึงพบว่ามันเป็นเสียงจากพวงกุญแจที่รีไวกำลังไขเพื่อเปิดห้องขัง
“อรุณสวัสดิ์ครับหัวหน้ารีไว”
เด็กหนุ่มรีบดันตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับกล่าวทักทายอย่างสุภาพ แต่อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรกลับมาสักคำ ดวงตาสีเทามองคนบนเตียงแวบหนึ่งเหมือนจะตรวจดูว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือเปล่า เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปรกติ หัวหน้าทหารหน้าตายก็ดึงกุญแจอีกดอกมาไขตรวนทั้งข้อมือและข้อเท้า พอปลดพันธนาการออกแล้ว เขาก็หันไปมองหน้าเอเลนตรงๆพร้อมกับถาม
“หลับสบายดีไหม”
น้ำเสียงราบเรียบปราศจากอารมณ์เหมือนที่เคยทำเป็นประจำ เด็กหนุ่มชะงักมือที่กำลังนวดรอยช้ำตรงข้อแขนของตัวเองและรีบตอบทันที
“ครับ ขอบคุณมากครับที่กรุณาเปลี่ยนเตียงให้ผม”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความจริงจังจนรีไวต้องมุ่นคิ้วเล็กน้อย แต่พอเห็นดวงตากับสีหน้าที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของอีกฝ่ายแล้ว เขาจึงรู้ว่ามันเป็นคำพูดที่กล่าวออกมาจากใจจริง มิใช่คำประชดประชันหรือเป็นการกล่าวเพื่อประจบประแจงแต่อย่างใด
“งั้นก็ดี แกจะได้มีแรงสำหรับการฝึกในวันนี้”
หัวหน้าทหารร่างเล็กพูดและหมุนตัวเดินออกจากห้อง เอเลนรีบโดดลงจากเตียงวิ่งตาม ปากยังคงพูดไม่หยุด
“ยอดเลย ผมจะตั้งใจทำทุกอย่างตามที่หัวหน้าสั่ง เพื่อจะได้ร่วมขบวนออกไปสำรวจนอกกำแพงเร็วๆ ว่าแต่วันนี้ผมต้องทำอะไรบ้างหรือครับ”
ปิดท้ายประโยคด้วยคำถามและหยุดค้างไว้แค่นั้น เพราะเมื่อมาถึงยังด้านบนและก้าวออกจากปราสาท เอเลนก็พบว่าทั่วบริเวณยังถูกปกคลุมด้วยความมืด แต่แสงสีทองรำไรที่ฉายอยู่ตรงเส้นขอบฟ้าแสดงให้เห็นว่ามันกำลังจะย่างเข้าสู่วันใหม่ในอีกไม่นาน
“ตอนนี้ทุกคนยังไม่ตื่น แต่ที่ปลุกแกขึ้นมาก่อนเพราะฉันต้องเข้าเมือง” รีไวพูดพลางเดินพลางตรงไปยังคอกม้า ซึ่งเอเลนพบว่าม้าประจำตัวของเขาถูกผูกอานเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
“แกไปเตรียมอาหารเช้าสำหรับทุกคน เสร็จแล้วทำความสะอาดคอกม้า ถอนหญ้าที่ขึ้นบนลานหินนี่ให้หมด ทุกอย่างต้องเสร็จก่อนเที่ยง เพราะพอจัดการธุระเสร็จฉันจะพาแกออกไปฝึกลาดตระเวน”
หัวหน้าทหารมองเด็กหนุ่มเขม็ง “คิดว่าทำได้ไหม”
“ได้ครับ” เอเลนรับคำอย่างหนักแน่น รีไวจ้องอีกฝ่ายแน่วนิ่งด้วยดวงตาที่แข็งกร้าว พอเห็นเด็กหนุ่มไม่ยอมก้มหน้าลงหลบซ้ำยังมองกลับมาด้วยแววตาที่มุ่งมั่น ท่าทางที่ดูเคร่งขรึมก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยอย่างพอใจ
“งั้นก็ดี”
พูดสั้นๆก่อนกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าและควบออกจากที่นั่นโดยไม่กล่าวลาหรือออกคำสั่งใดอีกเลย
เอเลนยืนรอจนกระทั่งรีไวพ้นไปจากบริเวณปราสาท จากนั้นก็ตรงไปยังห้องครัว ติดไฟต้มน้ำเพื่อชงชาและเตรียมทำมื้อเช้าแบบง่ายๆซึ่งเป็นซุปมันฝรั่งกับขนมปัง ระหว่างนั้นก็ทำความสะอาดห้องครัวไปด้วย ช่วงลำเลียงจานชามไปวางเรียงไว้บนโต๊ะ เพตร้าซึ่งตื่นก่อนคนอื่นได้ก้าวเข้ามาในครัว พอเห็นเอเลนกำลังก้มหน้าก้มตาเตรียมอาหารอยู่ตามลำพังเธอก็เบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ
“เธอมาทำอะไรที่นี่น่ะเอเลน”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับส่งยิ้มให้
“เตรียมอาหารเช้าให้พวกคุณไงครับ”
“แล้วเธอหลุดออกมาได้ยังไง” หญิงสาวชะงักคำพูดเหมือนนึกขึ้นได้ว่า ไม่ควรถามแบบนั้น “เอ้อ..ฉันหมายถึงใครเป็นคนบอกให้เธอทำแบบนี้”
เด็กหนุ่มคนซุปในหม้อช้าๆ เขารู้ดีว่าเพตร้ากำลังสงสัยว่าเขาหลุดจากตรวนและออกจากห้องขังในคุกใต้ดินได้อย่างไร
“หัวหน้ารีไวเป็นคนปล่อยผมครับ” เอเลนตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พลางวางทัพพีและหันไปรินน้ำร้อนใส่กาน้ำชา ปากก็อธิบาย “หัวหน้ามีงานด่วนต้องรีบเข้าเมืองเลยให้ผมออกจากห้องตั้งแต่เช้า แล้วบอกให้ผมทำอาหารไว้รอพวกคุณ จากนั้นก็ให้ไปทำความสะอาดคอกม้า ถอนหญ้าหน้าปราสาท พอสั่งงานเสร็จก็ไปเลย แต่เห็นว่าจะกลับมาอีกทีช่วงเที่ยงเพื่อฝึกลาดตระเวน”
กลิ่นชาหอมฟุ้งไปทั่วห้อง เอเลนยกกาน้ำชารินใส่ถ้วยแล้วเลื่อนส่งให้เพตร้า
“ดื่มชาก่อนครับ”
“ขอบใจ” หญิงสาวพูดและยกชาขึ้นดื่ม กลิ่นหอมกับรสชาติอันกลมกล่อมของมันทำให้เธอรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาในทันที “สดชื่นจัง ไม่ยักรู้ว่าเอเลนจะชงชาได้เก่งแบบนี้”
“แค่จำคนอื่นมาเท่านั้นเองครับ” เด็กหนุ่มตอบอายๆ พลางย้อนคิดถึงตอนอยู่ในกองทหารฝึกหัด ผู้ทำหน้าที่ชงชาเป็นประจำคือ มิคาสะ แน่นอนว่าวิธีทำของเธอนั้น มาจากคลาร่า มารดาของเขาเอง เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วหัวใจของเอเลนก็กระตุกวาบเหมือนเต้นผิดจังหวะ ภาพสุดท้ายของแม่ที่กำลังถูกไททันกินหวนกลับเข้ามาอีกครั้ง เขากำหมัดแน่นด้วยความรู้สึกทั้งเศร้าและแค้นใจ เด็กหนุ่มรีบสะบัดหน้าแรงๆเพื่อไล่ภาพดังกล่าวออกไปทันที
“เป็นอะไรหรือเปล่า เอเลน” เพตร้าถามด้วยความแปลกใจ ที่จู่ๆเด็กหนุ่มหยุดพูด ยืนนิ่งและทำหน้าตาน่ากลัวราวกับโกรธแค้นอะไรบางอย่าง เอเลนรีบฉีกยิ้มพร้อมกับรีบตอบเพื่อกลบเกลื่อน
“ผมกำลังทบทวนคำสั่งของหัวหน้ารีไวอยู่น่ะครับ”
เพตร้าหัวเราะออกมาเบาๆ
“ไม่ต้องเคร่งเครียดถึงขนาดนั้นก็ได้ ถึงหัวหน้ารีไวจะเป็นคนดุ แต่ก็ไม่ได้เจ้าระเบียบอะไรมากนัก แค่ทำตามทุกอย่างที่เขาสั่ง ระมัดระวังเรื่องความสะอาดให้มากหน่อยเท่านั้นก็พอ”
“ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากให้มีข้อบกพร่อง เพราะถ้าได้ออกไปนอกกำแพง เรื่องผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้คนจำนวนมากต้องเสี่ยงไปด้วย”
เอเลนให้เหตุผลตามที่ตนเองคิด เพตร้าอมยิ้มน้อยๆ
“เธอนี่มีความคิดสมกับเป็นคนในหน่วยสำรวจจริงๆ” หญิงสาวกล่าวชมและหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยดังใกล้เข้ามา “ทุกคนมากันแล้ว ฉันจะจัดการเรื่องซุป เธอไปเตรียมชากับขนมปัง เพราะขืนชักช้ามีหวังได้ฟังออรูโอ้บ่นจนหูชาแน่”
มื้อเช้าผ่านไปอย่างสนุกสนาน เพราะทุกคนต่างแปลกใจที่รู้ว่าเอเลนเป็นคนจัดการเรื่องอาหารทั้งหมด จะมีก็แต่ออรูโอ้เท่านั้นที่คอยเหน็บแนมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็ถูกเอลโด้หรือกุนเทอร์ขัดคออยู่เสมอ
จัดการทำความสะอาดล้างถ้วยชามเสร็จ ทั้งหมดต่างแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ เอเลนเดินถือไม้กวาดกับถังน้ำไปทำความสะอาดคอกม้า จากนั้นก็ถอนหญ้าบริเวณลานกว้างหน้าปราสาท เก็บกวาดใบไม้แห้งที่ตกเกลื่อนโดยรอบ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วทุกคนก็เริ่มนั่งพัก โดยออรูโอ้กับเพตร้าแยกไปนั่งต่อปากต่อคำกันอยู่แถวห้องครัว ส่วนกุนเทอร์กับเอลโด้ นั่งดื่มน้ำอยู่ที่บันไดหินใกล้คอกม้า
“เมื่อวานทางกองสารวัตรทหารตรวจอุปกรณ์เคลื่อนที่สามมิติของทหารฝึกใหม่ทุกคนแล้ว แต่ไม่พบบุคคลต้องสงสัย”
กุนเทอร์เปิดประเด็นสนทนาด้วยเรื่องของไททันสองตัว ซอร์นนี่ กับบีน ที่ถูกฆ่าตายอย่างปริศนา เอลโด้หมุนกระบอกน้ำในมืออย่างครุ่นคิด
“หรือคนลงมือจะเป็นทหารในสังกัดกองกำลังรักษาการณ์ กับกองสารวัตรทหาร”
“เรื่องนั้นฉันเองก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คือไม่ใช่ฝีมือของเด็กใหม่พวกนั้น” กุนเทอร์ตอบ เอลโด้ส่ายหน้าอย่างขัดใจ
“สรุปก็คือ พวกเราจับมือใครดมไม่ได้เลยสักคน” เขานิ่วหน้านิ่งคิด “จริงสิ ดูเหมือนวันนี้จะมีการคัดเลือกทหารเข้าประจำการตามหน่วยต่างๆ นายคิดว่าจะมีคนเข้ามาอยู่ในหน่วยสำรวจสักกี่คน”
“ฉันไม่อยากคิด” กุนเทอร์ตอบ “บางทีคราวนี้อาจไม่มีเลยสักคนก็ได้” เขาหยุดคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะหันไปทางเอเลนที่กำลังให้อาหารม้า “มีเพื่อนที่คิดจะเข้าหน่วยสำรวจบ้างหรือเปล่า เอเลน”
“มีครับ” เด็กหนุ่มตอบและชะงักคำพูดค้างพลางถอนใจ “ไม่สิ บางทีตอนนี้พวกเขาอาจไม่มาแล้วก็ได้”
“ทำไมล่ะ” เอลโด้ถาม เอเลนลูบม้าตัวหนึ่งเบาๆก่อนตอบไม่เต็มเสียงนัก
“ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะยังกลัวเรื่องที่ไททันบุกเข้ามาในเขตทรอสต์อยู่ครับ คุณก็รู้นี่ครับว่าเจ้าพวกนี้น่ะมันกินคนยังไง”
คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้ทั้งสองคนนั่งนิ่ง ทันใดนั้นเองสายตาของกุนเทอร์ก็เห็นอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร เขารีบวางถ้วยน้ำและผุดลุกขึ้นทันที
“ทำความเคารพ!”
เอลโด้ปฏิบัติตามโดยอัตโนมัติส่วนเอเลนรีบวางถังไม้และวิ่งเข้ามาจรดกำปั้นไว้กลางอกเพื่อแสดงความเคารพ
“สวัสดีครับหัวหน้ารีไว”
ตอนแรกเด็กหนุ่มคิดจะวิ่งไปเอาน้ำมาให้ เพราะรู้ดีว่าหัวหน้าต้องเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางระยะไกลแน่ แต่พอเห็นดวงตาคมกริบจ้องตรงมายังเขาก่อนเลื่อนผ่านไป เอเลนจึงจำต้องยืนนิ่ง ส่วนรีไวมองผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนก่อนจะออกคำสั่ง
“เราจะฝึกการลาดตระเวน” เขาเลื่อนตาไปทางเด็กหนุ่ม “ฟังนะเอเลน แกห้ามช้ากว่าม้าสองตัวหลัง อย่าลืมว่าฉันกำลังจับตามองแกอยู่”
พูดจบก็บังคับม้าออกไปยืนรอตรงปากทาง พอเอเลน เอลโด้กับกุนเทอร์ขี่ม้าตามมาสมทบแล้ว ทั้งหมดก็เดินทางออกจากปราสาท มุ่งหน้าไปยังจุดที่ถูกกำหนดให้เป็นที่สำหรับการลาดตระเวน
การฝึกในวันแรก มีเพียงรีไว เอเลน กุนเทอร์กับเอลโด้เท่านั้น ส่วนเพตร้าและออรูโอ้ ได้รับคำสั่งให้ประจำการอยู่กับป้อม ทั้งสี่ควบม้าผ่านทุ่งหญ้าโล่งไปจนถึงป่าสนยักษ์ และวิ่งทะลุออกไปอีกด้านกระทั่งถึงเนินเขาลูกหนึ่ง แม้จะเป็นการขี่ม้าด้วยความเร็ว แต่การรักษาตำแหน่งกลับเป็นไปอย่างคงที่ ไม่มีการคลาดเคลื่อน โดยหัวหน้ารีไวเป็นคนนำ ตามด้วยเอเลน ส่วนกุนเทอร์และเอลโด้คอยระวังหลัง และให้คำแนะนำเรื่องวิธีสังเกตสิ่งรอบตัวกับเด็กหนุ่มไปจนเกือบตลอดทาง
หลายครั้งที่รีไวชำเลืองตามองข้ามไหล่ของตนเองไปยังด้านหลังและพบว่าเอเลนกำลังเรียนรู้สิ่งที่กุนเทอร์กับเอลโด้สอนอย่างตั้งอกตั้งใจ สิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับเขาเป็นอย่างมากคือ สีหน้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของเด็กหนุ่ม แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องประหลาด เพราะเท่าที่ผ่านมา มีคนหนุ่มสาวไฟแรงและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นมาเข้าร่วมกับหน่วยสำรวจเป็นจำนวนไม่น้อย แต่ความรู้สึกดังกล่าวจะค่อยๆลดน้อยถอยลงเมื่อได้เผชิญหน้ากับไททัน หลายคนถึงกับถอดใจลาออกจากหน่วยสำรวจ และมีเป็นจำนวนมากที่จบชีวิตลงระหว่างการเดินทางออกนอกกำแพง สิ่งเดียวที่ทำให้เอเลนแตกต่างไปจากคนพวกนั้นก็คือ ดวงตาสีเขียวมรกตที่ฉายความเด็ดเดี่ยว ความตั้งใจอย่างแรงกล้า และด้วยดวงตาคู่นี้เองที่ทำให้รีไวตัดสินใจรับเด็กหนุ่มเข้าหน่วยพิเศษของเขาเอง
ช่วงพัก กุนเทอร์ได้บอกแผนการสำรวจครั้งต่อไปให้เอเลนฟังอย่างคร่าวๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบการเคลื่อนทัพที่ผบ.เอลวินคิดค้นขึ้นมาใหม่ ในตอนแรกเด็กหนุ่มยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก แต่พอซักถามและฟังคำอธิบายซ้ำอีกครั้ง สีหน้าที่ดูขึ้งเครียดก็ค่อยๆคลายลงอันเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่า เขาพอจะเข้าใจบ้าง แม้จะไม่มากนักก็ตาม
ใบหน้าที่เริ่มผ่อนคลายของเอเลนทำให้รีไวที่ยืนกอดอกมองอยู่ห่างๆเริ่มบังเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา ซึ่งตัวเขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันเป็นความรู้สึกอะไร จะว่าพอใจก็ไม่เชิงนัก ชอบยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะนับตั้งแต่ลืมตาดูโลก นอกจากเพื่อนสองคนที่จากไปตอนเข้าร่วมกับหน่วยสำรวจใหม่ๆ เขาก็ไม่คิดที่จะให้ความสนิทสนมกับผู้ใดอีก แล้วทำไมจู่ๆเขาถึงได้เกิดสนใจเจ้าเด็กหน้าตาบ้องแบ๊วเหมือนผู้หญิงคนนี้ขึ้นมา คิดพลางมุ่นคิ้วอย่างนึกฉงนพร้อมกับหาเหตุผลให้กับตัวเอง อาจเป็นเพราะเขาต้องคอยจับตาดูพฤติกรรมของเจ้าเด็กเหลือขอคนนี้ เลยเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
Counter Attack Mankind บทที่ 3 วันแรกของการฝึกกับหน่วยพิเศษ (แฟนฟิค Attack on Titan)
http://ppantip.com/topic/32646950
บทที่ 2 คำถามที่ไร้คำตอบ
http://ppantip.com/topic/32656476
3
วันแรกของการฝึกกับหน่วยพิเศษ
แม้จะถูกล่ามทั้งมือและขา แต่เพราะเตียงที่ค่อนข้างนุ่มกับผ้าห่มผืนหนาทำให้เอเลนหลับสบายตลอดทั้งคืน และสะดุ้งตื่นอีกครั้งตอนที่ได้ยินเสียงโลหะกระทบกัน พอลืมตามองจึงพบว่ามันเป็นเสียงจากพวงกุญแจที่รีไวกำลังไขเพื่อเปิดห้องขัง
“อรุณสวัสดิ์ครับหัวหน้ารีไว”
เด็กหนุ่มรีบดันตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับกล่าวทักทายอย่างสุภาพ แต่อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรกลับมาสักคำ ดวงตาสีเทามองคนบนเตียงแวบหนึ่งเหมือนจะตรวจดูว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือเปล่า เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปรกติ หัวหน้าทหารหน้าตายก็ดึงกุญแจอีกดอกมาไขตรวนทั้งข้อมือและข้อเท้า พอปลดพันธนาการออกแล้ว เขาก็หันไปมองหน้าเอเลนตรงๆพร้อมกับถาม
“หลับสบายดีไหม”
น้ำเสียงราบเรียบปราศจากอารมณ์เหมือนที่เคยทำเป็นประจำ เด็กหนุ่มชะงักมือที่กำลังนวดรอยช้ำตรงข้อแขนของตัวเองและรีบตอบทันที
“ครับ ขอบคุณมากครับที่กรุณาเปลี่ยนเตียงให้ผม”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความจริงจังจนรีไวต้องมุ่นคิ้วเล็กน้อย แต่พอเห็นดวงตากับสีหน้าที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของอีกฝ่ายแล้ว เขาจึงรู้ว่ามันเป็นคำพูดที่กล่าวออกมาจากใจจริง มิใช่คำประชดประชันหรือเป็นการกล่าวเพื่อประจบประแจงแต่อย่างใด
“งั้นก็ดี แกจะได้มีแรงสำหรับการฝึกในวันนี้”
หัวหน้าทหารร่างเล็กพูดและหมุนตัวเดินออกจากห้อง เอเลนรีบโดดลงจากเตียงวิ่งตาม ปากยังคงพูดไม่หยุด
“ยอดเลย ผมจะตั้งใจทำทุกอย่างตามที่หัวหน้าสั่ง เพื่อจะได้ร่วมขบวนออกไปสำรวจนอกกำแพงเร็วๆ ว่าแต่วันนี้ผมต้องทำอะไรบ้างหรือครับ”
ปิดท้ายประโยคด้วยคำถามและหยุดค้างไว้แค่นั้น เพราะเมื่อมาถึงยังด้านบนและก้าวออกจากปราสาท เอเลนก็พบว่าทั่วบริเวณยังถูกปกคลุมด้วยความมืด แต่แสงสีทองรำไรที่ฉายอยู่ตรงเส้นขอบฟ้าแสดงให้เห็นว่ามันกำลังจะย่างเข้าสู่วันใหม่ในอีกไม่นาน
“ตอนนี้ทุกคนยังไม่ตื่น แต่ที่ปลุกแกขึ้นมาก่อนเพราะฉันต้องเข้าเมือง” รีไวพูดพลางเดินพลางตรงไปยังคอกม้า ซึ่งเอเลนพบว่าม้าประจำตัวของเขาถูกผูกอานเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
“แกไปเตรียมอาหารเช้าสำหรับทุกคน เสร็จแล้วทำความสะอาดคอกม้า ถอนหญ้าที่ขึ้นบนลานหินนี่ให้หมด ทุกอย่างต้องเสร็จก่อนเที่ยง เพราะพอจัดการธุระเสร็จฉันจะพาแกออกไปฝึกลาดตระเวน”
หัวหน้าทหารมองเด็กหนุ่มเขม็ง “คิดว่าทำได้ไหม”
“ได้ครับ” เอเลนรับคำอย่างหนักแน่น รีไวจ้องอีกฝ่ายแน่วนิ่งด้วยดวงตาที่แข็งกร้าว พอเห็นเด็กหนุ่มไม่ยอมก้มหน้าลงหลบซ้ำยังมองกลับมาด้วยแววตาที่มุ่งมั่น ท่าทางที่ดูเคร่งขรึมก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยอย่างพอใจ
“งั้นก็ดี”
พูดสั้นๆก่อนกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าและควบออกจากที่นั่นโดยไม่กล่าวลาหรือออกคำสั่งใดอีกเลย
เอเลนยืนรอจนกระทั่งรีไวพ้นไปจากบริเวณปราสาท จากนั้นก็ตรงไปยังห้องครัว ติดไฟต้มน้ำเพื่อชงชาและเตรียมทำมื้อเช้าแบบง่ายๆซึ่งเป็นซุปมันฝรั่งกับขนมปัง ระหว่างนั้นก็ทำความสะอาดห้องครัวไปด้วย ช่วงลำเลียงจานชามไปวางเรียงไว้บนโต๊ะ เพตร้าซึ่งตื่นก่อนคนอื่นได้ก้าวเข้ามาในครัว พอเห็นเอเลนกำลังก้มหน้าก้มตาเตรียมอาหารอยู่ตามลำพังเธอก็เบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ
“เธอมาทำอะไรที่นี่น่ะเอเลน”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับส่งยิ้มให้
“เตรียมอาหารเช้าให้พวกคุณไงครับ”
“แล้วเธอหลุดออกมาได้ยังไง” หญิงสาวชะงักคำพูดเหมือนนึกขึ้นได้ว่า ไม่ควรถามแบบนั้น “เอ้อ..ฉันหมายถึงใครเป็นคนบอกให้เธอทำแบบนี้”
เด็กหนุ่มคนซุปในหม้อช้าๆ เขารู้ดีว่าเพตร้ากำลังสงสัยว่าเขาหลุดจากตรวนและออกจากห้องขังในคุกใต้ดินได้อย่างไร
“หัวหน้ารีไวเป็นคนปล่อยผมครับ” เอเลนตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พลางวางทัพพีและหันไปรินน้ำร้อนใส่กาน้ำชา ปากก็อธิบาย “หัวหน้ามีงานด่วนต้องรีบเข้าเมืองเลยให้ผมออกจากห้องตั้งแต่เช้า แล้วบอกให้ผมทำอาหารไว้รอพวกคุณ จากนั้นก็ให้ไปทำความสะอาดคอกม้า ถอนหญ้าหน้าปราสาท พอสั่งงานเสร็จก็ไปเลย แต่เห็นว่าจะกลับมาอีกทีช่วงเที่ยงเพื่อฝึกลาดตระเวน”
กลิ่นชาหอมฟุ้งไปทั่วห้อง เอเลนยกกาน้ำชารินใส่ถ้วยแล้วเลื่อนส่งให้เพตร้า
“ดื่มชาก่อนครับ”
“ขอบใจ” หญิงสาวพูดและยกชาขึ้นดื่ม กลิ่นหอมกับรสชาติอันกลมกล่อมของมันทำให้เธอรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาในทันที “สดชื่นจัง ไม่ยักรู้ว่าเอเลนจะชงชาได้เก่งแบบนี้”
“แค่จำคนอื่นมาเท่านั้นเองครับ” เด็กหนุ่มตอบอายๆ พลางย้อนคิดถึงตอนอยู่ในกองทหารฝึกหัด ผู้ทำหน้าที่ชงชาเป็นประจำคือ มิคาสะ แน่นอนว่าวิธีทำของเธอนั้น มาจากคลาร่า มารดาของเขาเอง เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วหัวใจของเอเลนก็กระตุกวาบเหมือนเต้นผิดจังหวะ ภาพสุดท้ายของแม่ที่กำลังถูกไททันกินหวนกลับเข้ามาอีกครั้ง เขากำหมัดแน่นด้วยความรู้สึกทั้งเศร้าและแค้นใจ เด็กหนุ่มรีบสะบัดหน้าแรงๆเพื่อไล่ภาพดังกล่าวออกไปทันที
“เป็นอะไรหรือเปล่า เอเลน” เพตร้าถามด้วยความแปลกใจ ที่จู่ๆเด็กหนุ่มหยุดพูด ยืนนิ่งและทำหน้าตาน่ากลัวราวกับโกรธแค้นอะไรบางอย่าง เอเลนรีบฉีกยิ้มพร้อมกับรีบตอบเพื่อกลบเกลื่อน
“ผมกำลังทบทวนคำสั่งของหัวหน้ารีไวอยู่น่ะครับ”
เพตร้าหัวเราะออกมาเบาๆ
“ไม่ต้องเคร่งเครียดถึงขนาดนั้นก็ได้ ถึงหัวหน้ารีไวจะเป็นคนดุ แต่ก็ไม่ได้เจ้าระเบียบอะไรมากนัก แค่ทำตามทุกอย่างที่เขาสั่ง ระมัดระวังเรื่องความสะอาดให้มากหน่อยเท่านั้นก็พอ”
“ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากให้มีข้อบกพร่อง เพราะถ้าได้ออกไปนอกกำแพง เรื่องผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้คนจำนวนมากต้องเสี่ยงไปด้วย”
เอเลนให้เหตุผลตามที่ตนเองคิด เพตร้าอมยิ้มน้อยๆ
“เธอนี่มีความคิดสมกับเป็นคนในหน่วยสำรวจจริงๆ” หญิงสาวกล่าวชมและหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยดังใกล้เข้ามา “ทุกคนมากันแล้ว ฉันจะจัดการเรื่องซุป เธอไปเตรียมชากับขนมปัง เพราะขืนชักช้ามีหวังได้ฟังออรูโอ้บ่นจนหูชาแน่”
มื้อเช้าผ่านไปอย่างสนุกสนาน เพราะทุกคนต่างแปลกใจที่รู้ว่าเอเลนเป็นคนจัดการเรื่องอาหารทั้งหมด จะมีก็แต่ออรูโอ้เท่านั้นที่คอยเหน็บแนมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็ถูกเอลโด้หรือกุนเทอร์ขัดคออยู่เสมอ
จัดการทำความสะอาดล้างถ้วยชามเสร็จ ทั้งหมดต่างแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ เอเลนเดินถือไม้กวาดกับถังน้ำไปทำความสะอาดคอกม้า จากนั้นก็ถอนหญ้าบริเวณลานกว้างหน้าปราสาท เก็บกวาดใบไม้แห้งที่ตกเกลื่อนโดยรอบ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วทุกคนก็เริ่มนั่งพัก โดยออรูโอ้กับเพตร้าแยกไปนั่งต่อปากต่อคำกันอยู่แถวห้องครัว ส่วนกุนเทอร์กับเอลโด้ นั่งดื่มน้ำอยู่ที่บันไดหินใกล้คอกม้า
“เมื่อวานทางกองสารวัตรทหารตรวจอุปกรณ์เคลื่อนที่สามมิติของทหารฝึกใหม่ทุกคนแล้ว แต่ไม่พบบุคคลต้องสงสัย”
กุนเทอร์เปิดประเด็นสนทนาด้วยเรื่องของไททันสองตัว ซอร์นนี่ กับบีน ที่ถูกฆ่าตายอย่างปริศนา เอลโด้หมุนกระบอกน้ำในมืออย่างครุ่นคิด
“หรือคนลงมือจะเป็นทหารในสังกัดกองกำลังรักษาการณ์ กับกองสารวัตรทหาร”
“เรื่องนั้นฉันเองก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คือไม่ใช่ฝีมือของเด็กใหม่พวกนั้น” กุนเทอร์ตอบ เอลโด้ส่ายหน้าอย่างขัดใจ
“สรุปก็คือ พวกเราจับมือใครดมไม่ได้เลยสักคน” เขานิ่วหน้านิ่งคิด “จริงสิ ดูเหมือนวันนี้จะมีการคัดเลือกทหารเข้าประจำการตามหน่วยต่างๆ นายคิดว่าจะมีคนเข้ามาอยู่ในหน่วยสำรวจสักกี่คน”
“ฉันไม่อยากคิด” กุนเทอร์ตอบ “บางทีคราวนี้อาจไม่มีเลยสักคนก็ได้” เขาหยุดคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะหันไปทางเอเลนที่กำลังให้อาหารม้า “มีเพื่อนที่คิดจะเข้าหน่วยสำรวจบ้างหรือเปล่า เอเลน”
“มีครับ” เด็กหนุ่มตอบและชะงักคำพูดค้างพลางถอนใจ “ไม่สิ บางทีตอนนี้พวกเขาอาจไม่มาแล้วก็ได้”
“ทำไมล่ะ” เอลโด้ถาม เอเลนลูบม้าตัวหนึ่งเบาๆก่อนตอบไม่เต็มเสียงนัก
“ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะยังกลัวเรื่องที่ไททันบุกเข้ามาในเขตทรอสต์อยู่ครับ คุณก็รู้นี่ครับว่าเจ้าพวกนี้น่ะมันกินคนยังไง”
คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้ทั้งสองคนนั่งนิ่ง ทันใดนั้นเองสายตาของกุนเทอร์ก็เห็นอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร เขารีบวางถ้วยน้ำและผุดลุกขึ้นทันที
“ทำความเคารพ!”
เอลโด้ปฏิบัติตามโดยอัตโนมัติส่วนเอเลนรีบวางถังไม้และวิ่งเข้ามาจรดกำปั้นไว้กลางอกเพื่อแสดงความเคารพ
“สวัสดีครับหัวหน้ารีไว”
ตอนแรกเด็กหนุ่มคิดจะวิ่งไปเอาน้ำมาให้ เพราะรู้ดีว่าหัวหน้าต้องเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางระยะไกลแน่ แต่พอเห็นดวงตาคมกริบจ้องตรงมายังเขาก่อนเลื่อนผ่านไป เอเลนจึงจำต้องยืนนิ่ง ส่วนรีไวมองผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนก่อนจะออกคำสั่ง
“เราจะฝึกการลาดตระเวน” เขาเลื่อนตาไปทางเด็กหนุ่ม “ฟังนะเอเลน แกห้ามช้ากว่าม้าสองตัวหลัง อย่าลืมว่าฉันกำลังจับตามองแกอยู่”
พูดจบก็บังคับม้าออกไปยืนรอตรงปากทาง พอเอเลน เอลโด้กับกุนเทอร์ขี่ม้าตามมาสมทบแล้ว ทั้งหมดก็เดินทางออกจากปราสาท มุ่งหน้าไปยังจุดที่ถูกกำหนดให้เป็นที่สำหรับการลาดตระเวน
การฝึกในวันแรก มีเพียงรีไว เอเลน กุนเทอร์กับเอลโด้เท่านั้น ส่วนเพตร้าและออรูโอ้ ได้รับคำสั่งให้ประจำการอยู่กับป้อม ทั้งสี่ควบม้าผ่านทุ่งหญ้าโล่งไปจนถึงป่าสนยักษ์ และวิ่งทะลุออกไปอีกด้านกระทั่งถึงเนินเขาลูกหนึ่ง แม้จะเป็นการขี่ม้าด้วยความเร็ว แต่การรักษาตำแหน่งกลับเป็นไปอย่างคงที่ ไม่มีการคลาดเคลื่อน โดยหัวหน้ารีไวเป็นคนนำ ตามด้วยเอเลน ส่วนกุนเทอร์และเอลโด้คอยระวังหลัง และให้คำแนะนำเรื่องวิธีสังเกตสิ่งรอบตัวกับเด็กหนุ่มไปจนเกือบตลอดทาง
หลายครั้งที่รีไวชำเลืองตามองข้ามไหล่ของตนเองไปยังด้านหลังและพบว่าเอเลนกำลังเรียนรู้สิ่งที่กุนเทอร์กับเอลโด้สอนอย่างตั้งอกตั้งใจ สิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับเขาเป็นอย่างมากคือ สีหน้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของเด็กหนุ่ม แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องประหลาด เพราะเท่าที่ผ่านมา มีคนหนุ่มสาวไฟแรงและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นมาเข้าร่วมกับหน่วยสำรวจเป็นจำนวนไม่น้อย แต่ความรู้สึกดังกล่าวจะค่อยๆลดน้อยถอยลงเมื่อได้เผชิญหน้ากับไททัน หลายคนถึงกับถอดใจลาออกจากหน่วยสำรวจ และมีเป็นจำนวนมากที่จบชีวิตลงระหว่างการเดินทางออกนอกกำแพง สิ่งเดียวที่ทำให้เอเลนแตกต่างไปจากคนพวกนั้นก็คือ ดวงตาสีเขียวมรกตที่ฉายความเด็ดเดี่ยว ความตั้งใจอย่างแรงกล้า และด้วยดวงตาคู่นี้เองที่ทำให้รีไวตัดสินใจรับเด็กหนุ่มเข้าหน่วยพิเศษของเขาเอง
ช่วงพัก กุนเทอร์ได้บอกแผนการสำรวจครั้งต่อไปให้เอเลนฟังอย่างคร่าวๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบการเคลื่อนทัพที่ผบ.เอลวินคิดค้นขึ้นมาใหม่ ในตอนแรกเด็กหนุ่มยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก แต่พอซักถามและฟังคำอธิบายซ้ำอีกครั้ง สีหน้าที่ดูขึ้งเครียดก็ค่อยๆคลายลงอันเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่า เขาพอจะเข้าใจบ้าง แม้จะไม่มากนักก็ตาม
ใบหน้าที่เริ่มผ่อนคลายของเอเลนทำให้รีไวที่ยืนกอดอกมองอยู่ห่างๆเริ่มบังเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา ซึ่งตัวเขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันเป็นความรู้สึกอะไร จะว่าพอใจก็ไม่เชิงนัก ชอบยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะนับตั้งแต่ลืมตาดูโลก นอกจากเพื่อนสองคนที่จากไปตอนเข้าร่วมกับหน่วยสำรวจใหม่ๆ เขาก็ไม่คิดที่จะให้ความสนิทสนมกับผู้ใดอีก แล้วทำไมจู่ๆเขาถึงได้เกิดสนใจเจ้าเด็กหน้าตาบ้องแบ๊วเหมือนผู้หญิงคนนี้ขึ้นมา คิดพลางมุ่นคิ้วอย่างนึกฉงนพร้อมกับหาเหตุผลให้กับตัวเอง อาจเป็นเพราะเขาต้องคอยจับตาดูพฤติกรรมของเจ้าเด็กเหลือขอคนนี้ เลยเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้