5
ตรวนที่ถูกละวาง
หินก้อนมหึมาหลุดออกจากผาเลื่อนลงไปตามทางลาดสูงชันไปได้ระยะหนึ่งจึงเริ่มพลิกและทำท่าจะกลิ้งต่อไปยังเบื้องล่าง การหมุนตัวของมันทำให้เอเลนใจหายวาบ เพราะสลิงที่ติดอยู่จะถูกดึงให้ม้วนพันไปกับก้อนหินดึงตัวเขาตามไปด้วย เด็กหนุ่มพยายามกดไกซ้ำกันเพื่อดึงมันกลับแต่ไม่เป็นผล เมื่อไม่อาจทำอะไรได้ เขาจึงจ้องหัวฉมวกที่กำลังเคลื่อนลงไปอยู่ใต้หินด้วยความหวาดกลัว
เขาจะต้องมาตายง่ายๆกับเรื่องแบบนี้เหรอ
เอเลนคิดและกำด้ามดาบแน่น ช่วงที่สิ้นหวังอยู่นั่นเอง เด็กหนุ่มก็เห็นร่างของรีไวพุ่งไปยืนอยู่บนหินก้อนนั้น มือข้างหนึ่งฉวยสายสลิงและกระชากอย่างแรงจนหลุด จากนั้นเขาก็กระโจนขึ้นมายังด้านบน คว้าตัวเอเลนพาเลี่ยงหลบไปอีกด้านอย่างรวดเร็ว
“มัวตะลึงอะไรอยู่เจ้าเด็กบ้า!” เขาตวาดข้างหูพลางกดไกยิงสลิงออกไปอีกครั้งก่อนจะเหวี่ยงตัวไปยืนบนชะง่อนผา แม้เท้าของทั้งคู่จะยืนอย่างมั่นคงอยู่บนพื้นแล้ว รีไวก็ยังไม่ยอมปล่อยเอเลนออกจากอ้อมแขน เพราะรู้ดีว่า ต่อให้เด็กหนุ่มเป็นคนใจกล้า แต่การเจอเรื่องอันตรายอย่างไม่คาดฝันแบบนี้ คงตกใจจนขวัญเสียกระเจิดกระเจิง
ร่างกายที่กำลังสั่นสะท้านอยู่ภายในวงแขน เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี
เขากระชับแขนข้างที่กอดเอเลนให้แน่นขึ้นกว่าเดิมแทนการปลอบ ถึงจะรำคาญใจกับความอ่อนเดียงสาอยู่บ้าง ชายหนุ่มกลับอดคิดด้วยความประหลาดใจไม่ได้ว่า เจ้าเด็กเหลือขอนี่ตัวสูงกว่าเขาก็จริง ร่างกายก็ดูทะมัดทะแมงสมเป็นทหาร แต่พอได้สัมผัสด้วยมือแล้วกลับตรงกันข้าม เพราะร่างกายของเด็กหนุ่มผอมบางกว่าที่เห็น ช่วงเอวก็คอดกิ่วจนเขาสามารถโอบได้รอบ
“อ..เอ้อ ผมไม่เป็นไรแล้วครับ หัวหน้ารีไว”
เสียงพูดด้วยความประหม่าของคนในอ้อมกอดดังขัดความคิด รีไวจึงคลายวงแขนของเขาและผลักอีกฝ่ายออกไปเบาๆ
“แน่ใจนะ” ถามย้ำเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มยังซีดเผือด เอเลนรีบสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมสติกับความกล้าก่อนจะพยักหน้ารับ
“ครับ”
“งั้นก็ดี” รีไวพูดและออกคำสั่งเสียงเรียบ “แกทำให้ฉันต้องเสียเวลา รีบตามคนอื่นไปได้แล้ว”
พูดจบก็ยืนรอเป็นเชิงให้เอเลนออกตัวไปก่อน แต่พอเห็นเด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่งแถมมีสีหน้าลังเล เขาจึงนิ่วหน้าอย่างนึกขัดใจ
“ขนาดก้อนหินแค่นี้แกยังกลัว แล้วจะออกไปสู้กับไททันได้ยังไง”
“ผมไม่ได้กลัวก้อนหินนะครับ” เอเลนเถียงทันทีและเม้มปากแน่นเมื่อเห็นดวงตาเรียวเล็กปรายมามองอย่างดูถูก “ผ...ผมแค่ไม่แน่ใจว่า ควรจะเล็งไปที่ไหนก่อน”
“สิ่งที่ผ่านมาไม่ได้บอกอะไรแกเลยหรือ” รีไวถาม “ถ้ายังไม่กล้าตัดสินใจ ฉันก็จะทิ้งแกไว้ที่นี่” พูดพลางขยับนิ้วที่สอดอยู่ในโกร่งเตรียมกดไก
“อยากตายอยู่ในกำแพงอย่างไร้ประโยชน์ก็ตามใจ”
“ผมไม่ยอมหรอกครับ” เอเลนสวนคำทันควันและยิงสลิงออกไปทันที ร่างผอมบางกระโดดจากชะง่อนผา และเคลื่อนที่ไปยังข้างหน้าด้วยความเร็วที่ทำให้รีไวต้องเลิกคิ้ว
“ไม่เลว”
เขาพึมพำกับตัวเองอย่างถูกใจก่อนจะพุ่งตัวตาม ทั้งสองใช้เครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติเดินทางผ่านไปตามช่องเขาด้วยความเร็วที่เกือบจะเท่าทันกัน มีสองสามครั้งที่เอเลนพบปัญหาแบบเดียวกับครั้งแรก อาศัยประสบการณ์ที่เพิ่งผ่านมาสดๆร้อนๆกับความช่วยเหลือของรีไว เด็กหนุ่มจึงผ่านพ้นอันตรายไปได้ ไม่ช้าทั้งคู่จึงถึงจุดนัดพบ ซึ่งสมาชิกหน่วยพิเศษได้เตรียมม้ารอเอาไว้
“มีเรื่องระหว่างทางหรือครับ หัวหน้า” กุนเทอร์รีบถามเพราะเห็นว่าทั้งสองมาถึงจุดนัดพบช้ากว่ากำหนด รีไวรับบังเหียนม้าจากลูกน้องพร้อมกับตอบ
“เอเลนสะดุดก้อนหินน่ะ”
เพียงเท่านั้น กุนเทอร์ เอลโด้และเพตร้าก็เข้าใจความหมายในทันที แต่ออรูโกลับทำเสียง ฮึ! ออกมาก่อนจะพูด
“ตัวถ่วงชัดๆ”
เอเลมก้มหน้ามองพื้นโดยไม่คิดจะโต้แย้งหรืออธิบายอะไร เพราะมันเป็นจริงตามที่รุ่นพี่พูด หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนที่ทุกคนอยู่นอกกำแพง มันจะกลายเป็นตัวถ่วงที่ทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน
“แต่เธอก็ผ่านมาได้ไม่ใช่เหรอ” เพตร้าพูดพลางแอบเหยียบเท้าของออรูโอ้เอาไว้เพื่อไม่ให้หลุดปากปล่อยอะไรพล่อยๆออกมาอีก “การใช้เครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติในหุบเขาเป็นเรื่องที่ยากมาก ฉันต้องฝึกตั้งสองครั้งถึงจะผ่าน”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเพตร้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินเท่าใดนัก แต่พอเห็นรอยยิ้มจริงใจบนใบหน้าของเธอแล้ว เขาจึงรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องโกหกที่สร้างขึ้นมาเพื่อปลอบใจ
“ครับ”
“น่า เอเลน” เอลโด้พูดพร้อมกับตบไหล่เด็กหนุ่มสองสามครั้ง “หมั่นฝึกบ่อยๆเดี๋ยวก็เก่งเอง”
เอเลนมองทหารรุ่นพี่ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจ
“ขอบคุณครับ”
รีไวปรายตามองลูกน้องไล่ไปทีละคนและหยุดไว้ที่เอเลน พอเห็นเด็กหนุ่มมีสีหน้าดีขึ้นและดูเหมือนว่าจะคลายความเหน็ดเหนื่อยลงไปบ้างแล้ว เขาจึงเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งบนหลังม้าและออกคำสั่ง
“กลับกันได้แล้ว”
พูดจบก็ควบม้าออกไป บรรดาลูกน้องจึงรีบแยกย้ายกันขึ้นอาชาคู่ใจและควบตาม โดยเส้นทางขากลับนั้น เป็นคนละทางกับตอนขามา เพราะมันเป็นทุ่งหญ้าที่มีต้นไม้ขึ้นประปราย ซึ่งพอเอเลนหันไปมองด้านข้างก็เห็นป่าสนยักษ์ยืนทะมึนอยู่สุดสายตา
ใช้เวลาเพียงไม่นานทั้งหมดก็ถึงปราสาท เอเลนจึงได้รู้ว่า ทางที่ใช้ในตอนแรกนั้นไม่ได้มุ่งไปยังภูเขาโดยตรง แต่เป็นทางที่อ้อมไปอีกด้านทำให้ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าปรกติ ซึ่งเด็กหนุ่มเดาเอาเองว่าที่เป็นเช่นนั้นคงเพราะหัวหน้ารีไวต้องการทดสอบความแข็งแกร่งกับความอดทนของเขา ในขณะเดียวกันก็ฝึกให้รู้จักการใช้ไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
เป็นการกระทำอันสุดยอดสมกับเป็นบุรุษผู้แข็งแกร่งที่สุดของมวลมนุษยชาติ เอเลนคิดด้วยความรู้สึกชื่นชม อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความประทับใจให้กับเด็กหนุ่มเป็นอย่างยิ่งก็คือ หัวหน้ารีไวเป็นห่วงลูกน้องทุกคนอยู่ตลอดเวลา เพราะจากเหตุการณ์ในวันนี้ หากไม่มีเขาคอยช่วยเหลือ เอเลนคงตัดสินใจหาทางออกด้วยการแปลงเป็นไททัน และอาจโดนหน่วยพิเศษสังหารไปแล้วก็ได้
เด็กหนุ่มถอนใจออกมาเบาๆ พลางหวนนึกถึงตอนที่หัวหน้านั่งคุกเข่าเพื่อซ่อมแซมเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติ ใบหน้าคมเข้มที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่แถวสะโพกขณะตรวจอุปกรณ์ ทำให้แก้มทั้งสองข้างเกิดอาการร้อนผ่าวขึ้นมา ยิ่งคิดถึงช่วงที่อยู่ในอ้อมแขนอันแข็งแกร่งตอนอยู่ในหุบเขาด้วยแล้ว เอเลนถึงกับร้อนวูบวาบไปทั้งตัว
ทั้งที่ตัวเตี้ยกว่าเขาแท้ๆ แต่กลับแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ คิดพลางเลื่อนสายตามองไปทางรีไว พอเห็นว่าเขากำลังมองมายังตัวเองเช่นเดียวกัน เอเลนก็รีบก้มหน้าหลบ หัวใจเต้นตึกตักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนจนตัวเขาเองยังแปลกใจ
นี่เขาเป็นอะไรไป ทำไมต้องเขินกับสายตาของหัวหน้ารีไวด้วย เด็กหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเองก่อนค่อยๆเหลือบตาไปทางรีไวอีกครั้ง พอเห็นอีกฝ่ายหันไปสนทนากับกุนเทอร์ เขาก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะหมุนตัวเพื่อไปให้พ้นจากที่นั่นแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อรีไวเรียก
“โฮ่ย เอเลน”
“ครับ” เขารับคำและหันกลับไปหาอีกฝ่ายอย่างเร็ว รีไวจ้องกลับมาด้วยดวงตาที่เหมือนพร้อมจะเอาเรื่องทันทีหากได้ยินคำพูดไม่ถูกหูก่อนเอ่ยปากถาม
“นั่นแกจะไปไหน”
“ผม เอ้อ” คำพูดตะกุกตะกักเพราะหาคำแก้ตัวไม่ถูก “ผมจะไปช่วยคุณเพตร้าเตรียมอาหารครับ”
หลุดคำพูดออกไปพร้อมกับถอนใจน้อยๆด้วยความโล่งอกที่หาข้อแก้ตัวได้ แต่ต้องใจแป้วเมื่อเห็นคิ้วของรีไวขมวดเข้าหากัน
“วันนี้เป็นเวรของเอลโด้” หัวหน้าร่างเตี้ยกล่าวเสียงห้วนก่อนชี้มือไปทางคอกม้า “หน้าที่ของแกคือปลดอานม้าทุกตัว พาเข้าคอก ทำความสะอาดพวกมันและดูแลเรื่องอาหารกับน้ำให้เรียบร้อย”
“ครับ” เอเลนรีบรับคำและตรงดิ่งไปยังม้าตัวใกล้ที่สุดและจูงมันไปที่คอกตามสั่ง ระหว่างนั้นก็แอบมองรีไวทางหางตา พอเห็นว่าอีกฝ่ายเดินกลับเข้าไปในปราสาทแล้ว เด็กหนุ่มก็ถอนใจ
“ค่อยยังชั่ว” พูดพลางลูบม้าอย่างเบามือ ปากก็ชวนคุยเหมือนมันเป็นเพื่อนคนหนึ่ง “ถึงจะชอบหัวหน้ามากแค่ไหน ฉันก็อดกลัวเขาไม่ได้อยู่ดี”
เขาชะงักมือและขมวดคิ้ว จากนั้นก็มองอาชาตรงหน้าด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้
“แกคิดว่าเขาจะชอบฉันบ้างหรือเปล่า” ถามพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของม้าแสนรู้ประหนึ่งว่ามีคำตอบซ่อนอยู่ภายในนั้น แต่สิ่งที่เห็นเป็นเพียงนัยน์ตากลมโตที่ใสราวกับลูกแก้ว สุดท้ายเอเลนก็สะบัดหน้าตัวเองเบาๆ
“ฉันคิดเรื่องบ้าๆแบบนี้ออกมาได้ยังไงกันเนี่ย”
เขาบ่นพึมพำพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดเพื่อปัดความคิดว้าวุ่นทั้งหลายออกไป จากนั้นก็เริ่มปลดอานม้าออกทีละตัว ทำความสะอาดและให้อาหารกับพวกมัน พอเสร็จเรียบร้อยทุกอย่างแล้วเด็กหนุ่มจึงไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาดก่อนเข้าไปสมทบกับคนอื่นในห้องอาหารซึ่งก็พบกับความว่างเปล่าเพราะทุกคนจัดการมื้อค่ำกันไปหมดแล้ว
“เอาไงดี” เอเลนถามกับตัวเองพลางมองไปรอบๆเพราะคิดว่าเพตร้าน่าจะจัดอาหารเอาไว้ให้เขาสักชุด แต่ก็ไม่พบ พอคิดว่าคืนนี้ต้องอดมื้อเย็นแน่แล้ว เด็กหนุ่มถึงกับใจแป้ว แต่ก็ยังไม่วายเดินไปเปิดตู้เก็บของด้วยความหวังว่าอาจเจออะไรที่พอกินประทังความหิวไปได้
“ทำอะไรของแกน่ะ”
เสียงดุของรีไวดังมาจากประตู เอเลนสะดุ้งสุดตัวและหันขวับไปตอบทันควัน
“ผมกำลังหาของกินอยู่ครับ”
“ไม่รู้หรือยังไงว่ามันเลยเวลามื้อเย็นไปแล้ว” คนเป็นหัวหน้าย้อนถามพลางเดินไปที่โต๊ะหยิบกาน้ำชามารินใส่ถ้วย ส่วนดวงตาชำเลืองมองไปทางเอเลนที่กำลังยืนคอตกอย่างเศร้าสร้อยมองแล้วเหมือนหมาหงอยไม่มีผิด
“แกเป็นทหาร ทำไมไม่มาให้ตรงเวลา”
“ผมทำงานอยู่นี่ครับ” เด็กหนุ่มตอบและเกือบต่อท้ายประโยคว่า ‘ตามคำสั่งของหัวหน้า’ ออกไปด้วย โชคดีที่ยั้งปากได้ทัน ไม่อย่างนั้นนอกจากจะอดอาหารแล้ว เขาอาจโดนกำปั้นหรือฝ่าเท้าเป็นของแถมตามมา
“ดูแลม้าแค่นี้ทำไมถึงใช้เวลานานนัก ฉันว่าแกมัวแต่งุ่มง่ามมากกว่า” รีไวตำหนิพลางยกชาขึ้นดื่ม เอเลนเม้มปากน้อยๆอย่างไม่พอใจก่อนแย้งด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก
“ม้าตั้งห้าตัวนะครับ”
“แล้วไง” รีไวย้อนถาม “จะบอกว่าการให้อาหารม้าห้าตัวเป็นงานที่หนักเกินไปสำหรับแกงั้นหรือ”
“เปล่าครับ ผมแค่...”เอเลนตั้งท่าจะเถียงแต่ต้องเปลี่ยนใจเมื่อเห็นดวงตาของรีไวกำลังทอประกายวาววับสะท้อนกับแสงของเปลวเทียน “งั้นผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ”
“ห้ามแกไปไหนทั้งนั้น” รีไวพูดเสียงห้วนพลางชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ด้านตรงข้ามแทนการออกคำสั่ง เด็กหนุ่มจึงจำต้องหย่อนตัวลงนั่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“มีอะไรอีกหรือครับ” ถึงกลัวจนแทบทำอะไรไม่ถูกแต่ก็อดใจไม่ได้ที่จะถาม รีไวเหลือบตาขึ้นจ้อง
“ลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันต้องตามลงไปล่ามแก” เขาพูดและหยิบกาน้ำชารินใส่ถ้วย “แต่ตอนนี้ฉันยังไม่มีอารมณ์ เพราะฉะนั้นแกต้องนั่งอยู่ตรงนี้ไปก่อน”
มือรวบบนปากถ้วยเพื่อยกขึ้นดื่มแต่กลับหยุดชะงักเมื่อเห็นคนตรงข้ามทำหน้าจ๋อย
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ม...ไม่มีครับ” เอเลนรีบตอบ รีไวมองเขาเหมือนไม่เชื่อเท่าใดนักก่อนจะดื่มชาเข้าไปอึกใหญ่ พอวางถ้วยบนโต๊ะเขาก็สั่งเสียงเรียบ
“ไปที่ตู้เล็กขวามือแล้วหยิบของในนั้นออกมา”
ถึงจะสงสัยแต่เอเลนก็ปฏิบัติตามคำสั่ง พอเปิดตู้ใบนั้นออก เด็กหนุ่มต้องยืนนิ่งเมื่อเห็นซุปชามโตกับขนมปังสองชิ้น
“นี่มัน อะไรกันครับ” ถามพร้อมกับหยิบอาหารชุดนั้นออกมา รีไวตอบโดยไม่มองหน้า
“มื้อค่ำของแกไง”
Counter Attack Mankind (SNK) บทที่ 5 ตรวนที่ถูกละวาง
ตรวนที่ถูกละวาง
หินก้อนมหึมาหลุดออกจากผาเลื่อนลงไปตามทางลาดสูงชันไปได้ระยะหนึ่งจึงเริ่มพลิกและทำท่าจะกลิ้งต่อไปยังเบื้องล่าง การหมุนตัวของมันทำให้เอเลนใจหายวาบ เพราะสลิงที่ติดอยู่จะถูกดึงให้ม้วนพันไปกับก้อนหินดึงตัวเขาตามไปด้วย เด็กหนุ่มพยายามกดไกซ้ำกันเพื่อดึงมันกลับแต่ไม่เป็นผล เมื่อไม่อาจทำอะไรได้ เขาจึงจ้องหัวฉมวกที่กำลังเคลื่อนลงไปอยู่ใต้หินด้วยความหวาดกลัว
เขาจะต้องมาตายง่ายๆกับเรื่องแบบนี้เหรอ
เอเลนคิดและกำด้ามดาบแน่น ช่วงที่สิ้นหวังอยู่นั่นเอง เด็กหนุ่มก็เห็นร่างของรีไวพุ่งไปยืนอยู่บนหินก้อนนั้น มือข้างหนึ่งฉวยสายสลิงและกระชากอย่างแรงจนหลุด จากนั้นเขาก็กระโจนขึ้นมายังด้านบน คว้าตัวเอเลนพาเลี่ยงหลบไปอีกด้านอย่างรวดเร็ว
“มัวตะลึงอะไรอยู่เจ้าเด็กบ้า!” เขาตวาดข้างหูพลางกดไกยิงสลิงออกไปอีกครั้งก่อนจะเหวี่ยงตัวไปยืนบนชะง่อนผา แม้เท้าของทั้งคู่จะยืนอย่างมั่นคงอยู่บนพื้นแล้ว รีไวก็ยังไม่ยอมปล่อยเอเลนออกจากอ้อมแขน เพราะรู้ดีว่า ต่อให้เด็กหนุ่มเป็นคนใจกล้า แต่การเจอเรื่องอันตรายอย่างไม่คาดฝันแบบนี้ คงตกใจจนขวัญเสียกระเจิดกระเจิง
ร่างกายที่กำลังสั่นสะท้านอยู่ภายในวงแขน เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี
เขากระชับแขนข้างที่กอดเอเลนให้แน่นขึ้นกว่าเดิมแทนการปลอบ ถึงจะรำคาญใจกับความอ่อนเดียงสาอยู่บ้าง ชายหนุ่มกลับอดคิดด้วยความประหลาดใจไม่ได้ว่า เจ้าเด็กเหลือขอนี่ตัวสูงกว่าเขาก็จริง ร่างกายก็ดูทะมัดทะแมงสมเป็นทหาร แต่พอได้สัมผัสด้วยมือแล้วกลับตรงกันข้าม เพราะร่างกายของเด็กหนุ่มผอมบางกว่าที่เห็น ช่วงเอวก็คอดกิ่วจนเขาสามารถโอบได้รอบ
“อ..เอ้อ ผมไม่เป็นไรแล้วครับ หัวหน้ารีไว”
เสียงพูดด้วยความประหม่าของคนในอ้อมกอดดังขัดความคิด รีไวจึงคลายวงแขนของเขาและผลักอีกฝ่ายออกไปเบาๆ
“แน่ใจนะ” ถามย้ำเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มยังซีดเผือด เอเลนรีบสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมสติกับความกล้าก่อนจะพยักหน้ารับ
“ครับ”
“งั้นก็ดี” รีไวพูดและออกคำสั่งเสียงเรียบ “แกทำให้ฉันต้องเสียเวลา รีบตามคนอื่นไปได้แล้ว”
พูดจบก็ยืนรอเป็นเชิงให้เอเลนออกตัวไปก่อน แต่พอเห็นเด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่งแถมมีสีหน้าลังเล เขาจึงนิ่วหน้าอย่างนึกขัดใจ
“ขนาดก้อนหินแค่นี้แกยังกลัว แล้วจะออกไปสู้กับไททันได้ยังไง”
“ผมไม่ได้กลัวก้อนหินนะครับ” เอเลนเถียงทันทีและเม้มปากแน่นเมื่อเห็นดวงตาเรียวเล็กปรายมามองอย่างดูถูก “ผ...ผมแค่ไม่แน่ใจว่า ควรจะเล็งไปที่ไหนก่อน”
“สิ่งที่ผ่านมาไม่ได้บอกอะไรแกเลยหรือ” รีไวถาม “ถ้ายังไม่กล้าตัดสินใจ ฉันก็จะทิ้งแกไว้ที่นี่” พูดพลางขยับนิ้วที่สอดอยู่ในโกร่งเตรียมกดไก
“อยากตายอยู่ในกำแพงอย่างไร้ประโยชน์ก็ตามใจ”
“ผมไม่ยอมหรอกครับ” เอเลนสวนคำทันควันและยิงสลิงออกไปทันที ร่างผอมบางกระโดดจากชะง่อนผา และเคลื่อนที่ไปยังข้างหน้าด้วยความเร็วที่ทำให้รีไวต้องเลิกคิ้ว
“ไม่เลว”
เขาพึมพำกับตัวเองอย่างถูกใจก่อนจะพุ่งตัวตาม ทั้งสองใช้เครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติเดินทางผ่านไปตามช่องเขาด้วยความเร็วที่เกือบจะเท่าทันกัน มีสองสามครั้งที่เอเลนพบปัญหาแบบเดียวกับครั้งแรก อาศัยประสบการณ์ที่เพิ่งผ่านมาสดๆร้อนๆกับความช่วยเหลือของรีไว เด็กหนุ่มจึงผ่านพ้นอันตรายไปได้ ไม่ช้าทั้งคู่จึงถึงจุดนัดพบ ซึ่งสมาชิกหน่วยพิเศษได้เตรียมม้ารอเอาไว้
“มีเรื่องระหว่างทางหรือครับ หัวหน้า” กุนเทอร์รีบถามเพราะเห็นว่าทั้งสองมาถึงจุดนัดพบช้ากว่ากำหนด รีไวรับบังเหียนม้าจากลูกน้องพร้อมกับตอบ
“เอเลนสะดุดก้อนหินน่ะ”
เพียงเท่านั้น กุนเทอร์ เอลโด้และเพตร้าก็เข้าใจความหมายในทันที แต่ออรูโกลับทำเสียง ฮึ! ออกมาก่อนจะพูด
“ตัวถ่วงชัดๆ”
เอเลมก้มหน้ามองพื้นโดยไม่คิดจะโต้แย้งหรืออธิบายอะไร เพราะมันเป็นจริงตามที่รุ่นพี่พูด หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนที่ทุกคนอยู่นอกกำแพง มันจะกลายเป็นตัวถ่วงที่ทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน
“แต่เธอก็ผ่านมาได้ไม่ใช่เหรอ” เพตร้าพูดพลางแอบเหยียบเท้าของออรูโอ้เอาไว้เพื่อไม่ให้หลุดปากปล่อยอะไรพล่อยๆออกมาอีก “การใช้เครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติในหุบเขาเป็นเรื่องที่ยากมาก ฉันต้องฝึกตั้งสองครั้งถึงจะผ่าน”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเพตร้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินเท่าใดนัก แต่พอเห็นรอยยิ้มจริงใจบนใบหน้าของเธอแล้ว เขาจึงรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องโกหกที่สร้างขึ้นมาเพื่อปลอบใจ
“ครับ”
“น่า เอเลน” เอลโด้พูดพร้อมกับตบไหล่เด็กหนุ่มสองสามครั้ง “หมั่นฝึกบ่อยๆเดี๋ยวก็เก่งเอง”
เอเลนมองทหารรุ่นพี่ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจ
“ขอบคุณครับ”
รีไวปรายตามองลูกน้องไล่ไปทีละคนและหยุดไว้ที่เอเลน พอเห็นเด็กหนุ่มมีสีหน้าดีขึ้นและดูเหมือนว่าจะคลายความเหน็ดเหนื่อยลงไปบ้างแล้ว เขาจึงเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งบนหลังม้าและออกคำสั่ง
“กลับกันได้แล้ว”
พูดจบก็ควบม้าออกไป บรรดาลูกน้องจึงรีบแยกย้ายกันขึ้นอาชาคู่ใจและควบตาม โดยเส้นทางขากลับนั้น เป็นคนละทางกับตอนขามา เพราะมันเป็นทุ่งหญ้าที่มีต้นไม้ขึ้นประปราย ซึ่งพอเอเลนหันไปมองด้านข้างก็เห็นป่าสนยักษ์ยืนทะมึนอยู่สุดสายตา
ใช้เวลาเพียงไม่นานทั้งหมดก็ถึงปราสาท เอเลนจึงได้รู้ว่า ทางที่ใช้ในตอนแรกนั้นไม่ได้มุ่งไปยังภูเขาโดยตรง แต่เป็นทางที่อ้อมไปอีกด้านทำให้ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าปรกติ ซึ่งเด็กหนุ่มเดาเอาเองว่าที่เป็นเช่นนั้นคงเพราะหัวหน้ารีไวต้องการทดสอบความแข็งแกร่งกับความอดทนของเขา ในขณะเดียวกันก็ฝึกให้รู้จักการใช้ไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
เป็นการกระทำอันสุดยอดสมกับเป็นบุรุษผู้แข็งแกร่งที่สุดของมวลมนุษยชาติ เอเลนคิดด้วยความรู้สึกชื่นชม อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความประทับใจให้กับเด็กหนุ่มเป็นอย่างยิ่งก็คือ หัวหน้ารีไวเป็นห่วงลูกน้องทุกคนอยู่ตลอดเวลา เพราะจากเหตุการณ์ในวันนี้ หากไม่มีเขาคอยช่วยเหลือ เอเลนคงตัดสินใจหาทางออกด้วยการแปลงเป็นไททัน และอาจโดนหน่วยพิเศษสังหารไปแล้วก็ได้
เด็กหนุ่มถอนใจออกมาเบาๆ พลางหวนนึกถึงตอนที่หัวหน้านั่งคุกเข่าเพื่อซ่อมแซมเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติ ใบหน้าคมเข้มที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่แถวสะโพกขณะตรวจอุปกรณ์ ทำให้แก้มทั้งสองข้างเกิดอาการร้อนผ่าวขึ้นมา ยิ่งคิดถึงช่วงที่อยู่ในอ้อมแขนอันแข็งแกร่งตอนอยู่ในหุบเขาด้วยแล้ว เอเลนถึงกับร้อนวูบวาบไปทั้งตัว
ทั้งที่ตัวเตี้ยกว่าเขาแท้ๆ แต่กลับแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ คิดพลางเลื่อนสายตามองไปทางรีไว พอเห็นว่าเขากำลังมองมายังตัวเองเช่นเดียวกัน เอเลนก็รีบก้มหน้าหลบ หัวใจเต้นตึกตักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนจนตัวเขาเองยังแปลกใจ
นี่เขาเป็นอะไรไป ทำไมต้องเขินกับสายตาของหัวหน้ารีไวด้วย เด็กหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเองก่อนค่อยๆเหลือบตาไปทางรีไวอีกครั้ง พอเห็นอีกฝ่ายหันไปสนทนากับกุนเทอร์ เขาก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะหมุนตัวเพื่อไปให้พ้นจากที่นั่นแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อรีไวเรียก
“โฮ่ย เอเลน”
“ครับ” เขารับคำและหันกลับไปหาอีกฝ่ายอย่างเร็ว รีไวจ้องกลับมาด้วยดวงตาที่เหมือนพร้อมจะเอาเรื่องทันทีหากได้ยินคำพูดไม่ถูกหูก่อนเอ่ยปากถาม
“นั่นแกจะไปไหน”
“ผม เอ้อ” คำพูดตะกุกตะกักเพราะหาคำแก้ตัวไม่ถูก “ผมจะไปช่วยคุณเพตร้าเตรียมอาหารครับ”
หลุดคำพูดออกไปพร้อมกับถอนใจน้อยๆด้วยความโล่งอกที่หาข้อแก้ตัวได้ แต่ต้องใจแป้วเมื่อเห็นคิ้วของรีไวขมวดเข้าหากัน
“วันนี้เป็นเวรของเอลโด้” หัวหน้าร่างเตี้ยกล่าวเสียงห้วนก่อนชี้มือไปทางคอกม้า “หน้าที่ของแกคือปลดอานม้าทุกตัว พาเข้าคอก ทำความสะอาดพวกมันและดูแลเรื่องอาหารกับน้ำให้เรียบร้อย”
“ครับ” เอเลนรีบรับคำและตรงดิ่งไปยังม้าตัวใกล้ที่สุดและจูงมันไปที่คอกตามสั่ง ระหว่างนั้นก็แอบมองรีไวทางหางตา พอเห็นว่าอีกฝ่ายเดินกลับเข้าไปในปราสาทแล้ว เด็กหนุ่มก็ถอนใจ
“ค่อยยังชั่ว” พูดพลางลูบม้าอย่างเบามือ ปากก็ชวนคุยเหมือนมันเป็นเพื่อนคนหนึ่ง “ถึงจะชอบหัวหน้ามากแค่ไหน ฉันก็อดกลัวเขาไม่ได้อยู่ดี”
เขาชะงักมือและขมวดคิ้ว จากนั้นก็มองอาชาตรงหน้าด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้
“แกคิดว่าเขาจะชอบฉันบ้างหรือเปล่า” ถามพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของม้าแสนรู้ประหนึ่งว่ามีคำตอบซ่อนอยู่ภายในนั้น แต่สิ่งที่เห็นเป็นเพียงนัยน์ตากลมโตที่ใสราวกับลูกแก้ว สุดท้ายเอเลนก็สะบัดหน้าตัวเองเบาๆ
“ฉันคิดเรื่องบ้าๆแบบนี้ออกมาได้ยังไงกันเนี่ย”
เขาบ่นพึมพำพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดเพื่อปัดความคิดว้าวุ่นทั้งหลายออกไป จากนั้นก็เริ่มปลดอานม้าออกทีละตัว ทำความสะอาดและให้อาหารกับพวกมัน พอเสร็จเรียบร้อยทุกอย่างแล้วเด็กหนุ่มจึงไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาดก่อนเข้าไปสมทบกับคนอื่นในห้องอาหารซึ่งก็พบกับความว่างเปล่าเพราะทุกคนจัดการมื้อค่ำกันไปหมดแล้ว
“เอาไงดี” เอเลนถามกับตัวเองพลางมองไปรอบๆเพราะคิดว่าเพตร้าน่าจะจัดอาหารเอาไว้ให้เขาสักชุด แต่ก็ไม่พบ พอคิดว่าคืนนี้ต้องอดมื้อเย็นแน่แล้ว เด็กหนุ่มถึงกับใจแป้ว แต่ก็ยังไม่วายเดินไปเปิดตู้เก็บของด้วยความหวังว่าอาจเจออะไรที่พอกินประทังความหิวไปได้
“ทำอะไรของแกน่ะ”
เสียงดุของรีไวดังมาจากประตู เอเลนสะดุ้งสุดตัวและหันขวับไปตอบทันควัน
“ผมกำลังหาของกินอยู่ครับ”
“ไม่รู้หรือยังไงว่ามันเลยเวลามื้อเย็นไปแล้ว” คนเป็นหัวหน้าย้อนถามพลางเดินไปที่โต๊ะหยิบกาน้ำชามารินใส่ถ้วย ส่วนดวงตาชำเลืองมองไปทางเอเลนที่กำลังยืนคอตกอย่างเศร้าสร้อยมองแล้วเหมือนหมาหงอยไม่มีผิด
“แกเป็นทหาร ทำไมไม่มาให้ตรงเวลา”
“ผมทำงานอยู่นี่ครับ” เด็กหนุ่มตอบและเกือบต่อท้ายประโยคว่า ‘ตามคำสั่งของหัวหน้า’ ออกไปด้วย โชคดีที่ยั้งปากได้ทัน ไม่อย่างนั้นนอกจากจะอดอาหารแล้ว เขาอาจโดนกำปั้นหรือฝ่าเท้าเป็นของแถมตามมา
“ดูแลม้าแค่นี้ทำไมถึงใช้เวลานานนัก ฉันว่าแกมัวแต่งุ่มง่ามมากกว่า” รีไวตำหนิพลางยกชาขึ้นดื่ม เอเลนเม้มปากน้อยๆอย่างไม่พอใจก่อนแย้งด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก
“ม้าตั้งห้าตัวนะครับ”
“แล้วไง” รีไวย้อนถาม “จะบอกว่าการให้อาหารม้าห้าตัวเป็นงานที่หนักเกินไปสำหรับแกงั้นหรือ”
“เปล่าครับ ผมแค่...”เอเลนตั้งท่าจะเถียงแต่ต้องเปลี่ยนใจเมื่อเห็นดวงตาของรีไวกำลังทอประกายวาววับสะท้อนกับแสงของเปลวเทียน “งั้นผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ”
“ห้ามแกไปไหนทั้งนั้น” รีไวพูดเสียงห้วนพลางชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ด้านตรงข้ามแทนการออกคำสั่ง เด็กหนุ่มจึงจำต้องหย่อนตัวลงนั่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“มีอะไรอีกหรือครับ” ถึงกลัวจนแทบทำอะไรไม่ถูกแต่ก็อดใจไม่ได้ที่จะถาม รีไวเหลือบตาขึ้นจ้อง
“ลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันต้องตามลงไปล่ามแก” เขาพูดและหยิบกาน้ำชารินใส่ถ้วย “แต่ตอนนี้ฉันยังไม่มีอารมณ์ เพราะฉะนั้นแกต้องนั่งอยู่ตรงนี้ไปก่อน”
มือรวบบนปากถ้วยเพื่อยกขึ้นดื่มแต่กลับหยุดชะงักเมื่อเห็นคนตรงข้ามทำหน้าจ๋อย
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ม...ไม่มีครับ” เอเลนรีบตอบ รีไวมองเขาเหมือนไม่เชื่อเท่าใดนักก่อนจะดื่มชาเข้าไปอึกใหญ่ พอวางถ้วยบนโต๊ะเขาก็สั่งเสียงเรียบ
“ไปที่ตู้เล็กขวามือแล้วหยิบของในนั้นออกมา”
ถึงจะสงสัยแต่เอเลนก็ปฏิบัติตามคำสั่ง พอเปิดตู้ใบนั้นออก เด็กหนุ่มต้องยืนนิ่งเมื่อเห็นซุปชามโตกับขนมปังสองชิ้น
“นี่มัน อะไรกันครับ” ถามพร้อมกับหยิบอาหารชุดนั้นออกมา รีไวตอบโดยไม่มองหน้า
“มื้อค่ำของแกไง”