บทที่ 1 ดวงตาที่มุ่งมั่น
http://ppantip.com/topic/32646950
2
คำถามที่ไร้คำตอบ
การมาของฮันซี่ ดูจะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายอย่างที่สุดของหน่วยพิเศษ พอเอเลนเอ่ยปากถามเรื่องการทดลองไททัน รีไวจึงลุกจากที่นั่งเป็นคนแรก จากนั้นลูกน้องทั้งสี่ก็เดินตามกันไปเป็นหาง พอทุกคนพ้นจากห้องไปแล้ว หัวหน้าหมู่ผู้แสนฉลาดก็หย่อนตัวลงนั่ง และเริ่มเล่าเรื่องราวของไททันสองตัวที่เธอจับได้ หนำซ้ำยังตั้งชื่อให้พวกมันเสียด้วย ซึ่งก็คือ ซอร์นนี่ กับบีน โดยให้เหตุผลว่ามันเป็นชื่อของฆาตกรที่กินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหาร รวมถึงอธิบายขั้นตอนและวิธีการทดสอบประสาทสัมผัส และข้อสงสัยในเรื่องที่ว่าจริงหรือไม่ที่เหล่าไททันจะเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วเฉพาะเวลากลางวัน ตลอดคืนวันนั้นเธอพูดถึงการทดลองให้เอเลนฟังอย่างกระตือรือร้น ไปจนกระทั่งถึงตอนเช้า
รุ่งขึ้นขณะที่กำลังจะสาธยายเรื่องราวของไททันต่อ ทหารคนสนิทของฮันซี่ก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องพร้อมกับตะโกนบอกด้วยน้ำเสียงตระหนกว่า ไททันที่จับได้ทั้งสองตัว ถูกกำจัดไปแล้ว พอได้ยินดังนั้น ฮันซี่ก็ผลุนผลันออกจากปราสาทมุ่งหน้ากลับเข้าไปในเมืองอันเป็นสถานที่กักขังไททันไว้ โดยมีหน่วยพิเศษทุกคนรวมทั้งเอเลนควบม้าตามไปด้วย เมื่อไปถึงทุกคนจึงพบว่า ทั้งซอร์นนี่และบีน กำลังสลายตัวจนเหลือแต่โครงกระดูก ควันสีขาวอันเป็นไอน้ำที่เกิดจากการระเหิดของผิวเนื้อลอยคละคลุ้งไปจนทั่ว สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ฮันซี่เสียใจแทบคลั่ง เธอกรีดเสียงร้องเรียกชื่อไททันทั้งสองอย่างโหยหวนราวกับคนเสียสติ
“ดูสิ หัวหน้าหมู่ฮันซี่สติแตกไปแล้ว” ออรูโอ้เปรยขึ้นมาเหมือนเป็นเชิงเยาะ แม้จะรู้ดีว่าคนพูดไม่ได้มีเจตนาดังกล่าวแต่เพตร้าก็อดโมโหไม่ได้ จึงแกล้งอัดศอกเข้าที่ซี่โครงของเพื่อนร่วมทีมอย่างแรงไปหนึ่งครั้งโดยไม่พูดจาโต้ตอบคำใดออกมา ส่วนเอลโด้กับกุนเทอร์ซึ่งไม่ได้สนใจคนทั้งสองนักได้ตั้งข้อสังเกตกันอย่างเงียบๆ
“ดูเหมือนคนร้ายจะแอบเข้ามาตอนเช้าช่วงเปลี่ยนเวร จากนั้นก็ใช้เครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติหนีไป”
กุนเทอร์กวาดตามองไปรอบๆอย่างใช้ความคิดพลางพยักหน้ารับเหมือนเห็นด้วยพร้อมกับกล่าวเสริม
“บางทีคนร้ายอาจมีมากกว่าหนึ่งคน แต่เขาจะทำแบบนี้ไปทำไม”
“คงเกลียดพวกไททัน” เอลโด้พูดและส่ายหน้าช้าๆ “แต่บ้าหรือเปล่า ฆ่าตัวทดลองไปแบบนี้ก็เท่ากับว่าเราไม่ได้อะไรเลย แล้วเราจะเอาชนะพวกมันกันได้ยังไง”
เอเลนยืนฟังคนทั้งสองสนทนากันอย่างเงียบๆ ใจหนึ่งรู้สึกยินดีที่เห็นไททันอันน่าชิงชังนอนตายอยู่ตรงหน้า แต่อีกใจเขาไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่เกิดขึ้นเท่าใดนัก เพราะหากหน่วยสำรวจเรียนรู้เรื่องราวต่างๆของเจ้าสิ่งมีชีวิตอันน่ารังเกียจนี้ได้มากเท่าใด อิสระของมวลมนุษย์ก็คงจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
คำถามที่ผุดขึ้นในใจของเด็กหนุ่มก็คือ คนที่ลงมือฆ่าซอร์นนี่กับบีนเป็นใคร และทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
ช่วงที่กำลังจมอยู่ในความคิด เสียงเรียบเย็นของรีไวก็ดังขึ้นข้างตัว
“ปล่อยที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของพวกสารวัตรทหารเถอะ”
พูดจบก็หมุนตัวเดินออกจากตรงนั้นด้วยสีหน้าเหมือนไม่สนใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าใดนัก เอเลนมองตามด้วยความฉงนแต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะพอจะรู้นิสัยของชายคนนี้ว่า หากไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานของตัวเองแล้ว เขาจะไม่สอดมือเข้ามายุ่งอย่างเด็ดขาด
ดวงตาเลื่อนกลับไปมองซากซอร์นนี่กับบีนอีกครั้ง และกวาดมองไปทั่วๆ สีหน้าของทหารจากหน่วยสำรวจทุกคนล้วนแล้วแต่เคร่งเครียดเพราะภารกิจที่อุตส่าห์ลงแรงกันมาต้องสูญสลายไปในพริบตา ต่างจากคนของกองสารวัตรทหารที่กำลังยืนทำหน้าที่แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดถึงความโล่งใจ
คนพวกนี้ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับไททัน และคงรู้สึกสบายใจที่พวกมันถูกกำจัดลงไปได้ เอเลนนึกและถอนใจออกมาเบาๆ กระนั้นก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า หากซากที่อยู่ตรงหน้าเป็นตัวเขาเองล่ะ คนเหล่านี้จะรู้สึกยังไง กับไททัน พวกเขาคงไม่รู้สึกอะไรมากนัก แต่กับเขา มนุษย์ที่กลายร่างเป็นไททัน ทุกคนคงสะใจหรือไม่ก็โล่งอก ที่ตัวประหลาดซึ่งหลุดหลงเข้ามาอยู่ภายในกำแพง ดำรงชีพกับฝูงชนมานานนับสิบปี ถูกกำจัดลงไปได้
ตอนที่เอเลนกำลังปล่อยความคิดให้ไหลไปกับความวิตกกังวลอันฟุ้งซ่านอยู่นั้นเอง มือใหญ่หนาของใครบางคนก็วางลงบนไหล่ ยังไม่ทันได้หันไปมอง เสียงทุ้มหนักของเอลวิน ก็ดังอยู่ข้างหู
“เธอเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า”
เป็นคำถามแบบจู่โจมโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เอเลนยืนอึ้งด้วยความงงงัน กระนั้นผบ.หน่วยสำรวจก็ยังคงป้อนคำถามต่อ
“คิดว่าใครคือศัตรู”
ถามด้วยสีหน้าจริงจังจนน่ากลัว แต่แล้วเอลวินกลับอมยิ้มน้อยๆพร้อมกับบีบไหล่เด็กหนุ่มค่อนข้างแรง “ขอโทษ อย่าใส่ใจเลย”
พูดจบก็เดินตามรีไวออกไปจากบริเวณนั้น เอเลนยืนมองแผ่นหลังกว้างใหญ่ที่กำลังห่างออกไปอย่างงุนงง เหตุใดผบ.เอลวิน จึงถามแบบนั้น หรือเขาพอจะรู้แล้วว่า ใครเป็นคนลงมือ
เมื่อไททันทั้งสองโดนกำจัด ก็ไม่มีความจำเป็นที่หน่วยพิเศษจะต้องอยู่ในเมืองอีกต่อไป กุนเทอร์รับคำสั่งจากรีไวให้พาเอเลนกลับไปยังปราสาทส่วนตัวเขาเอง เอลวินและฮันซี่จำต้องอยู่ในเมืองเพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้บัญชาการระดับสูง อีกทั้งยังต้องค้นหาอีกว่า ใครเป็นคนลงมือ โดยเจาะจงไปที่ทหารฝึกใหม่รุ่น 104 ทุกคน
ด้านเอเลนเมื่อกลับไปยังปราสาทแล้ว สิ่งแรกที่ทำคือ ดูแลม้าทุกตัว จากนั้นจึงลงมือทำความสะอาดพื้นที่โดยรอบ ไล่ตั้งแต่พื้นไปจนถึงยอดปราสาท เสร็จแล้วก็เข้าโรงครัวเพื่อช่วยเพตร้าเตรียมมื้อค่ำสำหรับทุกคน
หลังอาหาร ทั้งหมดนั่งพูดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในห้องพักผ่อนอยู่ครู่ใหญ่จึงแยกย้ายกันกลับห้อง แต่เอเลนกลับนั่งอิดออดไม่ยอมลุกตามคนอื่นจนเพตร้าต้องหันมาถามด้วยความสงสัย
“ยังไม่ง่วงหรือเอเลน”
“ครับ” เด็กหนุ่มตอบแล้วนั่งคอตกพร้อมกับทำหน้าเหมือนตอนที่คุยกับเธอในครั้งแรก หญิงสาวจึงเข้าใจในทันทีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ฉันนั่งคุยเป็นเพื่อนก่อนก็ได้” พูดพลางเดินไปหยิบกาน้ำชามาเติมในถ้วยของเอเลนและตัวเอง จากนั้นก็หย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้ด้านตรงกันข้าม พอเห็นเด็กหนุ่มสั่นศีรษะเธอจึงรีบพูด
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ฉันเองก็ยังไม่ง่วงเหมือนกัน”
เอเลนอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่กลับเปลี่ยนใจเป็นพยักหน้าหน้าน้อยๆพร้อมกับพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก
“ขอบคุณครับ”
“ไม่จำเป็นต้องมาขอบคุณอะไรหรอก บางทีฉันก็อยากหาคนคุยด้วย” เพตร้าพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เอเลนเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“พวกคุณไม่ได้คุยกันหรอกหรือครับ”
“ถ้าหมายถึงพูดจาเล่นหัวกัน ไม่ค่อยมีหรอก ก็อย่างที่รู้หน่วยของเราต้องฝึกความพร้อมกันอยู่ตลอดเวลา ทุกคนเลยดูเครียดกันไปหมด” เพตร้าตอบอย่างอารมณ์ดีพลางหมุนถ้วยชาเล่น “ถึงทุกคนจะดูเคร่งขรึมจริงจังและชอบปั้นหน้าเป็นเสือยิ้มยาก พวกเขาก็เป็นคนใจดีนะ กุนเทอร์ออกจะดุไปสักหน่อยเพราะเขาต้องรับผิดชอบทุกอย่างในหน่วยพิเศษของเรารองจากหัวหน้ารีไว แต่ตอนวันหยุด เขาเป็นคนคุยสนุกมากเลย แถมยังทำขนมเก่งอีกด้วย”
เอเลนทำตาโตเหมือนไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะกุนเทอร์ดูเป็นคนนิ่ง และหนักแน่นเกินกว่าจะทำอะไรละเอียดอ่อนจำพวกขนมได้
“เหลือเชื่อ”
“ใช่ไหมล่ะ ตอนแรกฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน จนเห็นเขาอบขนมในโรงครัวนั่นแหละ เอาไว้วันไหนว่างจากการฝึกแล้วฉันจะบอกให้เขาทำให้กิน”
เพตร้าพูดพร้อมกับอ้าปากหาว เธอรีบยกมือขึ้นปิดและออกตัวอย่างอายๆ
“อ๊ะ ขอโทษ”
“ผมต่างหากครับที่ต้องพูดคำนั้น” เอเลนรีบตอบด้วยความเกรงใจ “คุณเพตร้าเหนื่อยมาทั้งวัน ไปพักผ่อนก่อนดีกว่าครับ”
“แต่...”
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ” เอเลนพูดพร้อมกับลุกขึ้น เพราะรู้ดีว่าหากเขายังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เพตร้าก็ไม่มีทางเข้านอนแน่ๆ ส่วนหญิงสาวพอเห็นเด็กหนุ่มลุก เธอก็รีบลุกตาม
“ฉันจะไปส่งเธอที่ห้อง”
“อย่าดีกว่าครับ....” เอเลนรีบปฏิเสธแต่ต้องหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเป็นหน้าที่ของหน่วยพิเศษที่จะต้องคอยควบคุมดูแลเขาอย่างใกล้ชิด รวมถึงการล่ามตรวนทั้งมือและขาของเขาในช่วงเข้านอน ที่คืนแรกรอดพ้นจากการจองจำไปได้ก็เพราะฮันซี่อยู่ด้วย แต่สำหรับคืนนี้ เด็กหนุ่มคงต้องก้มหน้ายอมรับการพันธนาการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“งั้นก็ได้ครับ”
พูดจบก็เดินคอตกนำหน้าออกไป เพตร้าจึงถือตะเกียงเดินตาม ตอนแรกเธอตั้งใจจะชวนเด็กหนุ่มพูดคุยเพื่อจะได้ลดความวิตกกังวลแต่พอเห็นสีหน้าผิดหวังอย่างรุนแรงของอีกฝ่ายแล้ว หญิงสาวกลับนึกเรื่องที่จะพูดไม่ออกขึ้นมาเสียเฉยๆ สิ่งที่หลุดจากปากจึงมีแค่เพียง
“อย่าคิดมาก”
“ครับ” เอเลนรับคำสั้นๆ จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ทั้งสองเดินกันอย่างเงียบๆไปตามขั้นบันได ลงไปทีละขั้นจนกระทั่งถึงห้อง หรือถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือ คุกใต้ดิน จะดีกว่าก็ตรงรีไวสั่งให้กุนเทอร์กับเอลโด้ ย้ายเตียงจากห้องชั้นบนลงมายังชั้นล่างเพื่อที่คนถูกขังจะได้นอนสบายกว่าตอนอยู่ในที่จองจำของกองสารวัตรทหาร ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้เอเลนรู้สึกดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
Counter Attack Mankind บทที่ 2 คำถามที่ไร้คำตอบ (แฟนฟิค Attack on Titan)
http://ppantip.com/topic/32646950
2
คำถามที่ไร้คำตอบ
การมาของฮันซี่ ดูจะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายอย่างที่สุดของหน่วยพิเศษ พอเอเลนเอ่ยปากถามเรื่องการทดลองไททัน รีไวจึงลุกจากที่นั่งเป็นคนแรก จากนั้นลูกน้องทั้งสี่ก็เดินตามกันไปเป็นหาง พอทุกคนพ้นจากห้องไปแล้ว หัวหน้าหมู่ผู้แสนฉลาดก็หย่อนตัวลงนั่ง และเริ่มเล่าเรื่องราวของไททันสองตัวที่เธอจับได้ หนำซ้ำยังตั้งชื่อให้พวกมันเสียด้วย ซึ่งก็คือ ซอร์นนี่ กับบีน โดยให้เหตุผลว่ามันเป็นชื่อของฆาตกรที่กินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหาร รวมถึงอธิบายขั้นตอนและวิธีการทดสอบประสาทสัมผัส และข้อสงสัยในเรื่องที่ว่าจริงหรือไม่ที่เหล่าไททันจะเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วเฉพาะเวลากลางวัน ตลอดคืนวันนั้นเธอพูดถึงการทดลองให้เอเลนฟังอย่างกระตือรือร้น ไปจนกระทั่งถึงตอนเช้า
รุ่งขึ้นขณะที่กำลังจะสาธยายเรื่องราวของไททันต่อ ทหารคนสนิทของฮันซี่ก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องพร้อมกับตะโกนบอกด้วยน้ำเสียงตระหนกว่า ไททันที่จับได้ทั้งสองตัว ถูกกำจัดไปแล้ว พอได้ยินดังนั้น ฮันซี่ก็ผลุนผลันออกจากปราสาทมุ่งหน้ากลับเข้าไปในเมืองอันเป็นสถานที่กักขังไททันไว้ โดยมีหน่วยพิเศษทุกคนรวมทั้งเอเลนควบม้าตามไปด้วย เมื่อไปถึงทุกคนจึงพบว่า ทั้งซอร์นนี่และบีน กำลังสลายตัวจนเหลือแต่โครงกระดูก ควันสีขาวอันเป็นไอน้ำที่เกิดจากการระเหิดของผิวเนื้อลอยคละคลุ้งไปจนทั่ว สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ฮันซี่เสียใจแทบคลั่ง เธอกรีดเสียงร้องเรียกชื่อไททันทั้งสองอย่างโหยหวนราวกับคนเสียสติ
“ดูสิ หัวหน้าหมู่ฮันซี่สติแตกไปแล้ว” ออรูโอ้เปรยขึ้นมาเหมือนเป็นเชิงเยาะ แม้จะรู้ดีว่าคนพูดไม่ได้มีเจตนาดังกล่าวแต่เพตร้าก็อดโมโหไม่ได้ จึงแกล้งอัดศอกเข้าที่ซี่โครงของเพื่อนร่วมทีมอย่างแรงไปหนึ่งครั้งโดยไม่พูดจาโต้ตอบคำใดออกมา ส่วนเอลโด้กับกุนเทอร์ซึ่งไม่ได้สนใจคนทั้งสองนักได้ตั้งข้อสังเกตกันอย่างเงียบๆ
“ดูเหมือนคนร้ายจะแอบเข้ามาตอนเช้าช่วงเปลี่ยนเวร จากนั้นก็ใช้เครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติหนีไป”
กุนเทอร์กวาดตามองไปรอบๆอย่างใช้ความคิดพลางพยักหน้ารับเหมือนเห็นด้วยพร้อมกับกล่าวเสริม
“บางทีคนร้ายอาจมีมากกว่าหนึ่งคน แต่เขาจะทำแบบนี้ไปทำไม”
“คงเกลียดพวกไททัน” เอลโด้พูดและส่ายหน้าช้าๆ “แต่บ้าหรือเปล่า ฆ่าตัวทดลองไปแบบนี้ก็เท่ากับว่าเราไม่ได้อะไรเลย แล้วเราจะเอาชนะพวกมันกันได้ยังไง”
เอเลนยืนฟังคนทั้งสองสนทนากันอย่างเงียบๆ ใจหนึ่งรู้สึกยินดีที่เห็นไททันอันน่าชิงชังนอนตายอยู่ตรงหน้า แต่อีกใจเขาไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่เกิดขึ้นเท่าใดนัก เพราะหากหน่วยสำรวจเรียนรู้เรื่องราวต่างๆของเจ้าสิ่งมีชีวิตอันน่ารังเกียจนี้ได้มากเท่าใด อิสระของมวลมนุษย์ก็คงจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
คำถามที่ผุดขึ้นในใจของเด็กหนุ่มก็คือ คนที่ลงมือฆ่าซอร์นนี่กับบีนเป็นใคร และทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
ช่วงที่กำลังจมอยู่ในความคิด เสียงเรียบเย็นของรีไวก็ดังขึ้นข้างตัว
“ปล่อยที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของพวกสารวัตรทหารเถอะ”
พูดจบก็หมุนตัวเดินออกจากตรงนั้นด้วยสีหน้าเหมือนไม่สนใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าใดนัก เอเลนมองตามด้วยความฉงนแต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะพอจะรู้นิสัยของชายคนนี้ว่า หากไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานของตัวเองแล้ว เขาจะไม่สอดมือเข้ามายุ่งอย่างเด็ดขาด
ดวงตาเลื่อนกลับไปมองซากซอร์นนี่กับบีนอีกครั้ง และกวาดมองไปทั่วๆ สีหน้าของทหารจากหน่วยสำรวจทุกคนล้วนแล้วแต่เคร่งเครียดเพราะภารกิจที่อุตส่าห์ลงแรงกันมาต้องสูญสลายไปในพริบตา ต่างจากคนของกองสารวัตรทหารที่กำลังยืนทำหน้าที่แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดถึงความโล่งใจ
คนพวกนี้ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับไททัน และคงรู้สึกสบายใจที่พวกมันถูกกำจัดลงไปได้ เอเลนนึกและถอนใจออกมาเบาๆ กระนั้นก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า หากซากที่อยู่ตรงหน้าเป็นตัวเขาเองล่ะ คนเหล่านี้จะรู้สึกยังไง กับไททัน พวกเขาคงไม่รู้สึกอะไรมากนัก แต่กับเขา มนุษย์ที่กลายร่างเป็นไททัน ทุกคนคงสะใจหรือไม่ก็โล่งอก ที่ตัวประหลาดซึ่งหลุดหลงเข้ามาอยู่ภายในกำแพง ดำรงชีพกับฝูงชนมานานนับสิบปี ถูกกำจัดลงไปได้
ตอนที่เอเลนกำลังปล่อยความคิดให้ไหลไปกับความวิตกกังวลอันฟุ้งซ่านอยู่นั้นเอง มือใหญ่หนาของใครบางคนก็วางลงบนไหล่ ยังไม่ทันได้หันไปมอง เสียงทุ้มหนักของเอลวิน ก็ดังอยู่ข้างหู
“เธอเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า”
เป็นคำถามแบบจู่โจมโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เอเลนยืนอึ้งด้วยความงงงัน กระนั้นผบ.หน่วยสำรวจก็ยังคงป้อนคำถามต่อ
“คิดว่าใครคือศัตรู”
ถามด้วยสีหน้าจริงจังจนน่ากลัว แต่แล้วเอลวินกลับอมยิ้มน้อยๆพร้อมกับบีบไหล่เด็กหนุ่มค่อนข้างแรง “ขอโทษ อย่าใส่ใจเลย”
พูดจบก็เดินตามรีไวออกไปจากบริเวณนั้น เอเลนยืนมองแผ่นหลังกว้างใหญ่ที่กำลังห่างออกไปอย่างงุนงง เหตุใดผบ.เอลวิน จึงถามแบบนั้น หรือเขาพอจะรู้แล้วว่า ใครเป็นคนลงมือ
เมื่อไททันทั้งสองโดนกำจัด ก็ไม่มีความจำเป็นที่หน่วยพิเศษจะต้องอยู่ในเมืองอีกต่อไป กุนเทอร์รับคำสั่งจากรีไวให้พาเอเลนกลับไปยังปราสาทส่วนตัวเขาเอง เอลวินและฮันซี่จำต้องอยู่ในเมืองเพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้บัญชาการระดับสูง อีกทั้งยังต้องค้นหาอีกว่า ใครเป็นคนลงมือ โดยเจาะจงไปที่ทหารฝึกใหม่รุ่น 104 ทุกคน
ด้านเอเลนเมื่อกลับไปยังปราสาทแล้ว สิ่งแรกที่ทำคือ ดูแลม้าทุกตัว จากนั้นจึงลงมือทำความสะอาดพื้นที่โดยรอบ ไล่ตั้งแต่พื้นไปจนถึงยอดปราสาท เสร็จแล้วก็เข้าโรงครัวเพื่อช่วยเพตร้าเตรียมมื้อค่ำสำหรับทุกคน
หลังอาหาร ทั้งหมดนั่งพูดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในห้องพักผ่อนอยู่ครู่ใหญ่จึงแยกย้ายกันกลับห้อง แต่เอเลนกลับนั่งอิดออดไม่ยอมลุกตามคนอื่นจนเพตร้าต้องหันมาถามด้วยความสงสัย
“ยังไม่ง่วงหรือเอเลน”
“ครับ” เด็กหนุ่มตอบแล้วนั่งคอตกพร้อมกับทำหน้าเหมือนตอนที่คุยกับเธอในครั้งแรก หญิงสาวจึงเข้าใจในทันทีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ฉันนั่งคุยเป็นเพื่อนก่อนก็ได้” พูดพลางเดินไปหยิบกาน้ำชามาเติมในถ้วยของเอเลนและตัวเอง จากนั้นก็หย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้ด้านตรงกันข้าม พอเห็นเด็กหนุ่มสั่นศีรษะเธอจึงรีบพูด
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ฉันเองก็ยังไม่ง่วงเหมือนกัน”
เอเลนอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่กลับเปลี่ยนใจเป็นพยักหน้าหน้าน้อยๆพร้อมกับพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก
“ขอบคุณครับ”
“ไม่จำเป็นต้องมาขอบคุณอะไรหรอก บางทีฉันก็อยากหาคนคุยด้วย” เพตร้าพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เอเลนเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“พวกคุณไม่ได้คุยกันหรอกหรือครับ”
“ถ้าหมายถึงพูดจาเล่นหัวกัน ไม่ค่อยมีหรอก ก็อย่างที่รู้หน่วยของเราต้องฝึกความพร้อมกันอยู่ตลอดเวลา ทุกคนเลยดูเครียดกันไปหมด” เพตร้าตอบอย่างอารมณ์ดีพลางหมุนถ้วยชาเล่น “ถึงทุกคนจะดูเคร่งขรึมจริงจังและชอบปั้นหน้าเป็นเสือยิ้มยาก พวกเขาก็เป็นคนใจดีนะ กุนเทอร์ออกจะดุไปสักหน่อยเพราะเขาต้องรับผิดชอบทุกอย่างในหน่วยพิเศษของเรารองจากหัวหน้ารีไว แต่ตอนวันหยุด เขาเป็นคนคุยสนุกมากเลย แถมยังทำขนมเก่งอีกด้วย”
เอเลนทำตาโตเหมือนไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะกุนเทอร์ดูเป็นคนนิ่ง และหนักแน่นเกินกว่าจะทำอะไรละเอียดอ่อนจำพวกขนมได้
“เหลือเชื่อ”
“ใช่ไหมล่ะ ตอนแรกฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน จนเห็นเขาอบขนมในโรงครัวนั่นแหละ เอาไว้วันไหนว่างจากการฝึกแล้วฉันจะบอกให้เขาทำให้กิน”
เพตร้าพูดพร้อมกับอ้าปากหาว เธอรีบยกมือขึ้นปิดและออกตัวอย่างอายๆ
“อ๊ะ ขอโทษ”
“ผมต่างหากครับที่ต้องพูดคำนั้น” เอเลนรีบตอบด้วยความเกรงใจ “คุณเพตร้าเหนื่อยมาทั้งวัน ไปพักผ่อนก่อนดีกว่าครับ”
“แต่...”
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ” เอเลนพูดพร้อมกับลุกขึ้น เพราะรู้ดีว่าหากเขายังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เพตร้าก็ไม่มีทางเข้านอนแน่ๆ ส่วนหญิงสาวพอเห็นเด็กหนุ่มลุก เธอก็รีบลุกตาม
“ฉันจะไปส่งเธอที่ห้อง”
“อย่าดีกว่าครับ....” เอเลนรีบปฏิเสธแต่ต้องหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเป็นหน้าที่ของหน่วยพิเศษที่จะต้องคอยควบคุมดูแลเขาอย่างใกล้ชิด รวมถึงการล่ามตรวนทั้งมือและขาของเขาในช่วงเข้านอน ที่คืนแรกรอดพ้นจากการจองจำไปได้ก็เพราะฮันซี่อยู่ด้วย แต่สำหรับคืนนี้ เด็กหนุ่มคงต้องก้มหน้ายอมรับการพันธนาการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“งั้นก็ได้ครับ”
พูดจบก็เดินคอตกนำหน้าออกไป เพตร้าจึงถือตะเกียงเดินตาม ตอนแรกเธอตั้งใจจะชวนเด็กหนุ่มพูดคุยเพื่อจะได้ลดความวิตกกังวลแต่พอเห็นสีหน้าผิดหวังอย่างรุนแรงของอีกฝ่ายแล้ว หญิงสาวกลับนึกเรื่องที่จะพูดไม่ออกขึ้นมาเสียเฉยๆ สิ่งที่หลุดจากปากจึงมีแค่เพียง
“อย่าคิดมาก”
“ครับ” เอเลนรับคำสั้นๆ จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ทั้งสองเดินกันอย่างเงียบๆไปตามขั้นบันได ลงไปทีละขั้นจนกระทั่งถึงห้อง หรือถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือ คุกใต้ดิน จะดีกว่าก็ตรงรีไวสั่งให้กุนเทอร์กับเอลโด้ ย้ายเตียงจากห้องชั้นบนลงมายังชั้นล่างเพื่อที่คนถูกขังจะได้นอนสบายกว่าตอนอยู่ในที่จองจำของกองสารวัตรทหาร ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้เอเลนรู้สึกดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย