My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ (fanfic ผ่าพิภพไททัน) บทที่ 8

กระทู้สนทนา
บทที่ 7
http://ppantip.com/topic/32044406

บทที่ 8
การตายของมาร์โคทำให้รีไวทำงานอย่างบ้าระห่ำถึงขนาดซ้อมเจ้าของบ้านอุปถัมภ์ปากเสียด้วยการชกจนฟันหลุดจากปาก เอลวินจึงต้องเรียกเขากลับหน่วยเพื่อตักเตือนและสั่งให้ถอนตัวจากคดีเพื่อมิให้ถูกผู้ใหญ่และสื่อมวลชนเพ่งเล็ง

ถึงจะโดนถอดจากคดีของมาร์โค แต่ข้อมูลที่ได้จากเจ้าของบ้านซึ่งพอเห็นเลือดของตัวเองเท่านั้นก็เกิดอาการใจเสาะ ยอมคายข้อมูลออกมา ทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้วบ้านอุปถัมภ์แห่งนี้เป็นแหล่งหาเงินของผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้แฝงตัวอยู่ในวงการของนักการเมือง แม้จะไม่ได้ระบุว่าเป็นใครแต่ก็ตรงกับข้อมูลที่ทางเอฟบีไอได้มา เอลวินจึงสั่งให้รีไวเฝ้าสังเกตการณ์คนกลุ่มนั้น โดยเน้นย้ำจำเพาะแค่สส.แมทธิว ฟูลไชน์ กับแอนนี่ เลออนฮาร์ท เลขานุการประจำตัว ส่วนแจนกับโคนี่ถูกสั่งให้ติดตามนายตำรวจเบลทรูท ฮูเบอร์ผู้ต้องสงสัยฆ่าอิซาเบล

หลังฟังคำสั่งและแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งที่ได้รับ ฮันซี่ย้อนกลับไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาหลักฐานจากร่างของผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม ส่วนเพตร้านั่งจมออยู่หน้าคอมพิวเตอร์เพื่อค้นประวัติทั้งของเหยื่อและผู้ต้องสงสัย ในขณะที่เอลวินนำซาช่ากลับไปยังบ้านอุปถัมภ์แห่งนั้นอีกครั้ง เพราะสงสัยพฤตกรรมบางอย่างของเด็กบางคน

การแยกกันสืบหาทำให้ได้ข้อมูลสำคัญมาหลายอย่าง แต่แทนที่จะสรุปรายงานกันในห้องประชุมของเอฟบีไอ เอลวินกลับพาลูกทีมไปนั่งในร้านของมิคาสะ และใช้วิธีพูดคุยกันด้วยภาษาที่เป็นรหัสลับ ซึ่งต่อให้เป็นคนในหน่วยงานเดียวกันแต่ไม่ได้อยู่ในทีมของเขาแล้ว ไม่มีวันเข้าใจ

เอเลนซึ่งเติมกาแฟให้กลุ่มของเอลวินไปแล้วถึงสามเหยือก ยืนเมียงมองอยู่ห่างๆด้วยความสงสัยเพราะไม่เห็นรีไวเข้าประชุมด้วย ตอนแรกเขาคิดว่าอาจเป็นเพราะเพิ่งหายไข้ เลยกลับบ้านเพื่อพักผ่อนแต่พอนึกได้ว่าคนบ้าพลัง เจ้าอารมณ์ หายใจเข้าออกเป็นงานตลอดเวลาอย่างนั้นไม่มีทางกลับก่อนแน่ เด็กหนุ่มจึงตั้งคำถามต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้นแล้วรีไวหายไปไหน ถ้าเกี่ยวกับเรื่องคดีที่กำลังทำ ทำไมเอลวินจึงส่งเขาไปเพียงคนเดียว   

คิดพลางเดินเลียบเคียงไปใกล้ๆและแกล้งเติมกาแฟให้กับหัวหน้าหน่วยทีมสืบสวนก่อนเอ่ยปากถามไปตามตรง

“คุณรีไวไม่มาด้วยหรือครับ”

“เขาแยกไปทำงานต่างหากน่ะ”

“ไปคนเดียวหรือครับ” เอเลนถาม “แล้วไม่อันตรายเหรอ”

เอลวินเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มแล้วยิ้ม

“เขาไม่เป็นอะไรหรอก”

“จะแน่ใจได้ยังไงกันครับ ในเมื่อเพิ่งเกิดเรื่องกับคุณมาร์โค...”เอเลนหยุดคำพูดไว้แค่นั้นและถอนใจออกมา “ขอโทษครับ แต่คดีนี้มันอันตรายมากเลยนะครับ”

“ผมรู้ เอเลน” เอลวินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางหยิบภาพถ่ายใบหนึ่งขึ้นมาดู เด็กหนุ่มมองตามแล้วขมวดคิ้ว

“”นี่มันคุณแอนนี่ไม่ใช่เหรอครับ”

หัวหน้าทีมสืบสวนเลิกคิ้ว

“รู้จักด้วยเหรอ”

“ก็นิดหน่อยครับ เธอเคยมานั่งที่ร้านนี้สองสามครั้ง”

คำตอบของเอเลนทำให้เอลวินวางภาพถ่ายในมือลง ส่วนคนในทีมหันมามองด้วยสีหน้าตกใจ

“คุณแอนนี่มาที่ร้านนี้ด้วยเหรอ” เอลวินถามด้วยน้ำเสียงตระหนก “เมื่อไหร่”

เอเลนทำท่านึก

“น่าจะอาทิตย์ที่แล้วครับ”

“ทำไมถึงไม่บอกให้เรารู้เลยละ” แจนพูดเชิงตำหนิจนเด็กหนุ่มหน้าเสีย ฮันซี่จึงแก้ตัวให้แทน

“อย่าไปโกรธเอเลนเลยน่า อย่าลืมสิว่าเขาไม่รู้เรื่องพวกนี้”

แจนจึงนั่งนิ่งปล่อยให้ฮันซี่หันไปทางพนักงานเสิร์ฟหนุ่ม “คุณแอนนี่ชอบดื่มอะไรเหรอเอเลน”

“ดูเหมือนจะเป็นเอสเพรสโซ่ชนิดเข้มข้นครับ”

“แล้วขนมล่ะ”

เอฟบีไอสาวถาม เอเลนทำท่านึก

“สโคนครับ เห็นเธอบอกว่าทานง่ายดี”

“จำได้หรือเปล่าว่าเธอนั่งตรงไหนบ้าง” คราวนี้เอลวินเป็นคนถาม เอเลนหมุนตัวไปทางซ้ายและชี้ไปยังโต๊ะที่อยู่ไม่ห่างจากจุดที่พวกเอฟบีไอนั่งเท่าใดนัก

“เธอชอบมานั่งตรงนี้ครับ ผมเองยังแปลกใจอยู่เหมือนกันเพราะส่วนใหญ่พวกที่มาคนเดียวมักเลือกมุมติดกับกระจกหน้าร้าน แต่คุณแอนนี่กลับเลือกโต๊ะที่อยู่ในมุมอับ”

พอฟังคำตอบแล้วเอลวินจึงหันไปพยักหน้าให้ฮันซี่กับแจน ทั้งคู่จึงเดินไปที่โต๊ะดังกล่าวและเริ่มตรวจค้นทุกซอกทุกมุม ไม่เว้นแม้ในกระถางไม้ประดับ มิคาสะซึ่งยืนมองอยู่นานจึงเดินมายืนกอดอกถาม

“หาอะไรกันอยู่”

“คอนเทคเลนส์ครับ” แจนเงยหน้าขึ้นตอบเลยโดนฮันซี่ถองเต็มแรง เพราะฟังแล้วไม่เข้าท่าเลยสักนิด แต่มิคาสะไม่สนใจเพราะเธอเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์ เปิดลิ้นชักดึงถุงสีน้ำตาลใบใหญ่ออกมา

“พวกคุณหาไอ้นี่มากกว่า” พูดพลางวางโครมตรงหน้าเอลวิน พอเปิดดูก็เห็นอุปกรณ์ขนาดเล็กคล้ายไม่โครโฟนถึงสามอัน

“คุณเจอที่ไหน”

เขาถาม มิคาสะชี้ไปที่กระถางต้นไม้ข้างโต๊ะที่ระบุว่าแอนนี่ชอบมานั่งกับแจกันตกแต่งร้านที่วางไว้ใกล้ๆกับส่วนที่เอลวินชอบใช้เป็นที่ประชุม เอเลนยื่นหน้ามามองด้วยความประหลาดใจ

“ผมทำความสะอาดแถวนั้นทุกวัน ไม่เห็นเจอของพวกนี้เลย”

“เพราะนายมันเป็นพวกอ่อนหัดไง” เสียงทุ้มตอบมาจากทางด้านหลัง เด็กหนุ่มสะดุ้งและหันกลับไปมอง

“คุณรีไว”

“เออ” อีกฝ่ายตอบห้วนๆพลางดึงเก้าอี้มานั่งและออกคำสั่งทันที “ขอกาแฟถ้วยสิ”

ปากที่กำลังคลี่รอยยิ้มหุบลงทันใด เอเลนเดินไปหยิบถ้วยและรินมาจนเต็มปรี่ก่อนนำมาวาง

“กาแฟร้อนมาแล้วครับ”

เขาพูดโดยจงใจเน้นคำว่าร้อน ให้อีกฝ่ายได้ยิน แต่รีไวไม่สนเลยสักนิด เขาวางมือรอบปากถ้วยเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำและยกขึ้นดื่มเข้าไปอึกใหญ่จากนั้นก็วางถ้วยที่กาแฟพร่องไปเกือบครึ่งลงก่อนถาม

“ฝีมือแอนนี่ใช่ไหม”

“”ใช่” เอลวินตอบ “เธอรู้ว่าเราย้ายที่ประชุมจากสำนักงานใหญ่มาที่นี่ เลยตามมาติดเครื่องดักฟัง”

พูดพลางใช้ปากกาเขี่ยอุปกรณ์สีดำเบาๆก่อนหันไปทางมิคาสะ “คุณเจอของพวกนี้เมื่อไหร่”

“ตั้งแต่คุณแอนนี่เข้ามานั่งวันแรก” หญิงสาวตอบ เอลวินพยักหน้าช้าๆ

“ทำไมถึงคิดว่าเธอติดเครื่องดักฟัง”

“วิธีการมองของผู้หญิงคนนั้นแตกต่างไปจากคนอื่น ดูเผินๆเธอมองไปรอบๆเหมือนลูกค้าทั่วไป แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าเธอกำลังคำนวณบางอย่างไปด้วย แถมยังลุกไปล้างมือบ่อยๆทั้งที่กินแค่กาแฟกับ
สโคนแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น”

“คุณเป็นคนช่างสังเกตจริงๆ ถ้าเป็นคนอื่นคงมองผ่านไปเฉยๆไม่คิดอะไรแบบนี้หรอก” แจนขมอย่างออกนอกหน้า มิคาสะเม้มปากน้อยๆก่อนพูดเสียงเรียบเรื่อย

“ก่อนมาที่นี่ ฉันเคยเจอคนประเภทนี้มาบ้าง อีกอย่างมีพวกเอฟบีไอมานั่งในร้านเป็นประจำ เลยต้องระวังตัวเป็นพิเศษ ว่าแต่พวกคุณเถอะ ออกมาประชุมข้างนอกแบบนี้ทำไมไม่รู้จักระวังกันบ้าง”

“ตอนนั้นเรายังไม่รู้ตัวผู้ต้องสงสัย” เอลวินตอบและหันไปทางรีไว “ได้อะไรมาบ้าง”

“ทางนั้นระวังตัวเลยสืบอะไรได้ไม่มาก” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับเลื่อนซองสีน้ำตาลให้ หัวหน้าทีมจึงดึงเอกสารที่อยู่ข้างในมาเปิดอ่าน

“นี่มัน”

“ใช่ ตอนแรกที่เจอฉันก็ว่ามันดูทะยิ้มๆ เลยค้นลึกลงไปอีกหน่อย” รีไวพูดพลางยกกาแฟขึ้นดื่มด้วยสีหน้าที่เอเลนเห็นแล้วรู้ได้เลยว่า เขาทั้งเหนื่อยและหิว “น่าตกใจใช่ไหมที่เลขาฯสส.ชื่อดังมากจากบ้านอุปถัมภ์ แถมเคยอยู่ในกลุ่มอันธพาล”

“ซึ่งต่างจากตัวของสส.แมทธิวซึ่งมาจากครอบครัวมีฐานะอย่างสิ้นเชิง” เอลวินพูดพลางเคาะโต๊ะอย่างใช้ความคิด “ทั้งที่ความจริงแล้วมีคนเหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากมาย ทำไมเขาจึงเลือกแอนนี่มาเป็นเลขาฯ”

“ที่ทำแบบนั้นเพราะเหตุผลสองอย่าง” รีไวพูดและชะงักเมื่อเอเลนวางจานแซนด์วิชไว้ข้างตัว ตอนแรกเกือบถามออกไปเหมือนกันแต่พอเห็นสายตาของเอลวิน เขาจึงพูดต่อ “ข้อแรก แอนนี่ได้เกียรตินิยมอันดับต้นจากเอ็มไอที ข้อสอง เธอเป็นพยานคนสำคัญตอนท่านสส.ขับรถชนคนตาย”

“ฟังเหมือนโดนข่มขู่ชะมัด” แจนเปรยออกมาพอให้ได้ยิน เอลวิลขมวดคิ้ว

“แต่ผมคิดว่าบางทีนั่นอาจเป็นแผนของแอนนี่ คำถามก็คือเธอจะทำไปทำไม และเพื่ออะไร เพราะถ้าด้วยเหตุผลที่ว่ามาจากบ้านอุปถัมภ์แห่งนั้นก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน”

“อาจจะเป็นความผิดปรกติด้านจิตใจ” ซาช่าพูด ฮันซี่ซึ่งกำลังอ่านข้อมูลที่รับมาจากเอลวินผงกศีรษะช้าๆ

“ฉันเห็นด้วย เพราะจากรายงานของรีไวกับบันทึกของบ้านอุปถัมภ์ มีการพูดถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีนิสัยก้าวร้าว ชอบจับสัตว์จำพวกนก หมาและแมวมาทรมาน ถึงจะไม่ระบุชัดว่าเป็นใครแต่ถ้านับจากช่วงอายุฉันคิดว่าน่าจะเป็นแอนนี่”

“มันก็แค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น ไม่พอจะขอหมายค้นรถของเธอเลยด้วยซ้ำ” เอลวินสรุป “ทางคุณสองคนล่ะ” เขาหันไปถามแจนกับโคนี่ที่ถูกส่งไปติดตามนายตำรวจเบลทรูท ทั้งคู่ส่ายหน้า

“นอกจากประวัติที่เรารู้อยู่แล้ว นอกนั้นไม่ได้อะไรเลยครับ” โคนี่เป็นคนตอบ หัวหน้าทีมนิ่งไปเล็กน้อยก่อนระบายลมหายใจออกมา

“เขาคงรู้ตัวแล้วว่าถูกจับตามอง”

“แบบนี้ก็เท่ากับเราคว้าน้ำเหลวสิครับ” แจนพูดแต่เอลวินกลับสั่นศีรษะ

“ไม่หรอก คนเรายิ่งระวังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเผลอมากเท่านั้น คุณสองคนติดตามเบลทรูทเอาไว้ ผมเชื่อว่าเขาต้องเผลอคายความลับของตัวเองออกมาแน่”

“แล้วฉันล่ะ” ฮันซี่ยกมือถาม

“เธอกลับไปห้องปฏิบัติการ ตรวจสอบหลักฐานทุกอย่างให้ละเอียด ดูว่าอะไรพอจะโยงไปถึงผู้ต้องสงสัยทั้งสองคนนั้นได้บ้าง”

“ฉันจะกลับไปเฝ้าแอนนี่ตามเดิม” รีไวพูดขึ้นแต่เอลวินกลับส่ายหน้า

“ให้เพตร้ากับซาช่าทำหน้าที่นี้ดีกว่า ฉันคิดว่าแอนนี่น่าจะรู้ตัวแล้วว่าถูกติดตามและน่าจะเห็นนายแล้วด้วย ผู้หญิงคนนี้ฉลาดมาก ถ้าเกิดแจ้งตำรวจว่านายเป็นพวกจิตทรามล่ะก็ หลักฐานทุกอย่างที่ได้มาจะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้”

“แล้วจะให้ฉันทำอะไร” ถามเสียงกระด้าง คนเป็นหัวหน้าหยิบเอกสารที่เพิ่งได้มากลับเข้าซองพร้อมกับพูด

“ฉันรู้ว่านายอดนอนมาสองวันเพราะฉะนั้นคืนนี้กลับบ้าน วางทุกอย่างให้หมดแล้วนอนพักให้เต็มที่ แล้วพรุ่งนี้จะบอกอีกทีว่าให้ทำอะไร”

“เพื่อนสองคนถูกฆ่า แล้วนายยังจะให้ฉันกลับไปนอนเฉยๆโดยไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรือ”

“ใจเย็นๆรีไว”

“ถ้าใจร้อนป่านนี้ฉันเอาปืนยัดปากพวกมันไปนานแล้ว” ชายหนุ่มพูดลอดไรฟัน และถอนใจเมื่อเห็นเอลวินมองอย่างกังวล “ก็ได้เอลวิน ฉันจะทำตามที่นายบอก”

“ดี” หัวหน้าทีมพูดพลางมองนาฬิกาข้อมือ “ดึกมากแล้ว ขอให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน พรุ่งนี้เจอกันตอนเช้าที่ห้องประชุมของเอฟบีไอ”

ทุกคนรับคำพร้อมกัน จากนั้นก็เก็บข้าวของและทยอยกันออกจากร้านไปทีละคน จนกระทั่งเหลือแต่เอลวินกับรีไว

“ยังไม่กลับอีกเหรอ” หัวหน้าทีมถามพร้อมกับลุกขึ้น คนตัวเตี้ยตอบโดยไม่มองหน้า

“ขอนั่งให้สบายใจก่อน”

อีกฝ่ายเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะเมื่อครู่รีไวดูหงุดหงิดกับคำสั่ง แต่มาตอนนี้กลับสงบอารมณ์ได้อย่างประหลาด แต่พอเหลือบไปเห็นเอเลนที่กำลังยืนแอบมองอยู่ในเคาท์เตอร์แล้วเขาก็ยิ้มอย่างรู้ทัน

“อย่าให้นานนักล่ะ เกรงใจเจ้าของร้านเขาบ้าง” มือหนาวางบนไหล่ก่อนก้มลงไปกระซิบ “แต่ถ้าจะให้สบายใจมากกว่านั้น ฉันขอแนะนำให้นายเอากลับบ้านไปด้วย”

พูดพร้อมกับชำเลืองตาไปที่เด็กหนุ่ม รีไวมองตามแล้วขมวดคิ้ว

“หยุดพูดแล้วออกไปเลย”

เสียงขุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ แต่เอลวินกลับหัวเราะและตบไหล่ชายหนุ่มสองสามครั้งก่อนก้าวออกจากร้าน พอไปกันหมดทุกคนแล้วรีไวจึงดื่มกาแฟที่เหลือจนหมดและนั่งมองเหม่อออกไปนอกร้านเหมือนกำลังจมอยู่ในความคิด มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าตรงหน้ามีเพียงถ้วยของเขาซึ่งมีกาแฟอยู่เต็มกับจานแซนด์วิช ส่วนแก้วของคนอื่นถูกเก็บไปหมดแล้ว ร้านในตอนนี้เหลือเพียงมิคาสะ เอเลนและตัวเขาเท่านั้น

“รับกาแฟเพิ่มอีกไหมครับ” เสียงน่ารักของเอเลนเอ่ยถาม รีไวมองถ้วยตรงหน้าและสั่นศีรษะ

“ไม่ล่ะ” พูดพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “ดึกขนาดนี้แล้วหรือเนี่ย”

เขาหยิบซองเอกสารบนโต๊ะและลุกขึ้นเดินไปที่ประตู แต่ยังไม่ทันเปิด เอเลนซึ่งก้าวตามมาก็พูดด้วยเสียงพอให้ได้ยิน

“เสียใจด้วยนะครับ”

คิ้วของรีไวมุ่นเข้าหากัน

“เรื่องอะไร”

“ที่คุณมาร์โคต้อง....” เด็กหนุ่มหยุดคำพูดไว้แค่นั้นและก้มหน้าลงมองพื้น “ถึงผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากนัก แต่ก็เข้าใจดีว่าความสูญเสียทำให้เราต้องเศร้าแค่ไหน ยังไงคุณรีไวก็อย่าเสียใจ และเข้มแข็งเอาไว้นะครับ”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่