สวัสดีค่ะ ต้องขอออกตัวไว้ก่อนนะคะว่า นี่เป็นแฟนฟิคชั่นการ์ตูน ผ่าพิภพไททัน และเป็นแนว Yaoi ดังนั้นท่านใดไม่ชอบนิยายแนวนี้ กรุณาปิดเลยนะคะ
เหตุที่เขียน เพราะตอนนี้หลานสาวกำลังคลั่งไททันมาก(มูนนี่ก็ชอบ ^ ^) โดยเฉพาะคู่เอเลน รีไว (แต่มูนนี่ชอบเฮย์โจวฉบับนอร์มอลมากกว่า เท่สุดๆ) เลยตัดสินใจวางเรื่องอื่นชั่วคราวและลงมือเขียนเรื่องนี้ค่ะ โดยปรับพล็อตให้เป็นยุคปัจจุบันโดยรีไวและหน่วยสำรวจเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ส่วนเอเลนเป็นพนักงานร้านการแฟ ^^
เนื่อเรื่องอาจจะเป็นเรื่องราวแนวสืบสวน ฆาตกรรม แต่จะเน้นฉากน่ารักๆระหว่างรีไวกับเอเลนค่ะ (ทำได้เหรอ) ข้อมูลอาจไม่เป๊ะนัก เพราะเขียนแบบสบายๆ และจะไม่มีฉากเรทค่ะ
My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ
“ของที่สั่งได้แล้วค่ะคุณเอเลน”
เสียงใจดีของผู้หญิงวัยกลางคนพูดพร้อมกับยื่นถุงกระดาษส่งให้เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลที่กำลังยืนจ้องขนมในตู้กระจกอย่างเพลิดเพลิน เขารีบยื่นมือออกไปรับ
“ขอบคุณครับ”
เด็กหนุ่มกล่าวพลางส่งเงินพร้อมกับรอยยิ้มให้ อีกฝ่ายเอียงคอน้อยๆ
“แคนี้ก็พอจ้ะ” เธอพูดและส่งธนบัตรคืนให้หนึ่งใบ พอเป็นเอเลนทำหน้างงก็หัวเราะและอธิบาย “เห็นรอยยิ้มสดใสของเธอแล้ว ฉันเลยลดราคาให้ครึ่งหนึ่ง”
“จะดีหรือครับ” เด็กหนุ่มถามด้วยความเกรงใจ เจ้าของร้านจึงหัวเราะและใช้มือขยี้ผมเขาอย่างเอ็นดู
“ดีแน่นอนจ้ะ” พูดจบก็คว้าไหล่เล็กๆทั้งสองข้างแล้วหมุนจากนั้นก็รุนหลังเขาไม่แรงนัก “ไม่รับกลับเดี๋ยวมิคาสะจะดุเอานะ”
เมื่อเจ้าของร้านพูดออกมาแบบนั้น เอเลนจึงจำต้องยัดเงินใส่กระเป๋าและหันไปกล่าวคำขอบคุณอีกครั้งก่อนเดินออกจากร้าน และแวะซื้อส้มอีกสองสามลูกเพื่อนำไปคั้นจากนั้นก็เข้าร้านหนังสือ ใช้เวลาเลือกไม่นานก็ได้นิทานเด็กมาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินเสร็จเด็กหนุ่มก็เดินตัวปลิวกลับไปยังร้านของตัวเอง
เอเลน เป็นเด็กหนุ่มอายุ 16 ปี มีผมสีน้ำตาลและนัยน์ตาสีเขียวมรกตแสนงดงาม มารดาเสียชีวิตไปนานแล้ว ส่วนบิดาหายสาบสูญไปกว่าสามปี ความจริงเขาจะต้องถูกส่งไปอยู่สถานสงเคราะห์เพื่อรอพ่อแม่อุปถัมภ์แต่โชคดีที่ป้าคนหนึ่งยื่นมือเข้ามาอุปการะ เขาจึงสามารถอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ต่อไป
กระทั่งวันหนึ่งป้าผู้อารีคนนั้นส่งมิคาสะมาอยู่เป็นเพื่อน แรกๆเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแถมยังไม่ค่อยชอบลูกพี่ลูกน้องของคนนี้นัก เพราะเธอเป็นคนเงียบขรึมไม่พูดไมจา จนวันหนึ่งป้าเล่าให้ฟังว่า ครอบครัวของมิคาสะถูกโจรฆ่าตายหมด และหากไม่รับเธอมาลี้ยง มิคาสะก็จะถูกส่งเข้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งถ้าเป็นคงเป็นเรื่องแย่ที่สุดสำหรับเด็กหญิงตัวเล็กๆ ป้าของเขาจึงอาสารับเธอมาอนุเคราะห์และส่งมาอยู่กับเอเลน
พอรู้แบบนั้นแล้วเอเลนจึงตั้งใจเอาไว้ว่าจะคอยดูแลเธออย่างดีที่สุด แต่พอเอาเข้าจริงกลับกลายเป็นว่าคนที่ได้รับการปกป้อง กลับเป็นตัวเขามากกว่า เพราะพอมาอยู่ไม่นานมิคาสะก็เริ่มตกแต่งบ้าน ดัดแปลงให้เป็นร้านกาแฟและขนม โดยตัวเธอเป็นเจ้าของร้านส่วนเอเลนเหมารวมทุกอย่างตั้งแต่พนักงานต้อนรับ พนักงานเสิร์ฟ คนล้างจานไปยันภารโรง
พอนึกถึงตรงนี้เด็กหนุ่มก็หัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจ ความจริงแล้วมิคาสะเองก็อยากช่วยแต่เขาคิดว่าแค่ทำขนมกับชงกาแฟก็เป็นงานที่หนักมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงเหมาทุกอย่างที่เหลือทั้งหมดเอง
เอเลนเดินประคองถุงกระดาษขนาดใหญ่ที่มีทั้งขนม ผลไม้และหนังสือไปพลาง คิดถึงเรื่องของตัวเองไปพลางกระทั่งถึงหัวมุมถนน ช่วงที่กำลังจะเลี้ยวนั่นเองเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนหนึ่ง พอหันไปมองก็เห็นผู้ชายผิวดำกำลังวิ่งแหวกฝูงชนตรงเข้ามา ตอนแรกก็งงอยู่เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นจนได้ยินเสียงร้องบอกต่อกันมาว่า “กระชากกระเป๋า” นั่นแหละ เด็กหนุ่มจึงรู้ว่าชายผิวดำคนนั้นคือโจร
เท้าไวเท่าความคิด มันยื่นออกไปขัดขาคนร้ายจนหน้าคะมำ มันคำรามอย่างโกรธจัดและลุกขึ้นทันที พอหันมาเห็นว่าใครเป็นคนทำ เจ้าคนร้ายก็กระชากคอเสื้อเอเลนเอาไว้พร้อมกับตะคอก
“ไอเปี๊ยก แกกล้ามากที่มายุ่งกับฉัน”
ฝ่ามือหนาฟาดเปรี้ยงจนหน้าสะบัดก่อนเหวี่ยงร่างเล็กๆไปกระแทกแผงขายของข้างทางจนพังกระจุย เอเลนครางออกมาด้วยความเจ็บปวดและพยายามลุกขึ้น แต่ต้องทรุดลงไปอีกครั้งอย่างมึนงง ถึงอย่างนั้นปากก็ยังร้องห้าม
“ย...หยุด”
พูดได้เพียงเท่านั้นก็ได้ยินเสียงดัง ตุบ พลั่ก ผัวะ เด็กหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและพยายามเงยหน้าขึ้นมอง แต่ความชาจากแรงตบทำให้ดวงตาพร่ามัว จึงเห็นแค่เงาเลือนรางของใครบางคนกำลังอัดคนร้ายจนมันร่วงลงไปกองกับพื้น พอจัดการเสร็จคนคนนั้นก็เดินแหวกฝูงชนจากไปอย่างไม่แยแส
“เดี๋ยว” เอเลนร้องเรียกพร้อมกับมองตามแต่สิ่งที่เห็นเป็นเพียงรองเท้าสีดำขัดจนขึ้นเงามันวับที่มีตราสีขาวสลับดำรูปปีกนกเล็กๆประทับไว้ตรงขอบเท่านั้น พอลุกได้เด็กหนุ่มก็กวาตามองหาชายคนนั้นทันที แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา เขามองคนร้ายร่างยักษ์ที่นอนหมดสติบนพื้นถนนท่ามกลางข้าวของที่ตกเกลื่อนกระจัดกระจายก่อนจะพูดพึมพำออกมาเบาๆ
“เขาเป็นใครกันนะ”
เด็กหนุ่มมองกองแหลกเละของพุดดิ้งที่อุตส่าห์เดินไปซื้อตั้งไกลกับผลไม้ที่อยู่ในสภาพเดียวกันอย่างนึกสยดสยอง เพราะขนมที่ว่าเป็นของโปรดของมิคาสะ ลองกลับไปแบบนี้คงโดนเธอซัดติดผนังโทษฐานกลับบ้านมือเปล่า ครั้นจะย้อนกลับไปซื้อใหม่ก็ไม่มีเงินพอ จะไปขอฟรีๆก็น่าเกลียดเกินไป เอเลนคิดพลางถอนใจออกมาอย่างกลัดกลุ้มก่อนหมุนตัวเดินคอตกกลับไปที่ร้านของตัวเอง
พอถึงหน้าร้าน เอเลนยืนขมวดคิ้วอย่างลังเลก่อนตัดสินใจเดินเข้าไป เมื่อเปิดประตู เขาก็เห็นเจ้าหน้าที่ในชุดสูทสีดำกลุ่มใหญ่กำลังนั่งพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่ต้องมองหน้าเขาก็รู้ว่าคนพวกนั้นคือเจ้าหน้าที่ชั้นหัวกะทิของเอฟบีไอที่มีเอลวินเป็นหัวหน้า เพราะมีคนกลุ่มนี้เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่เข้ามานั่งเล่นที่ร้านของมิคาสะเป็นประจำ
“กลับมาแล้วครับ” เด็กหนุ่มพูด หญิงสาวที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่กับเครื่องชงกาแฟหันมามอง
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอเอ...” เธอหยุดเบิกตากว้างและปล่อยถ้วยหลุดจากมือ “เกิดอะไรขึ้น ทำไมหน้าของเธอถึงได้บวมแบบนั้น”
ไม่พูดเปล่ามิคาสะยังกระโดดข้ามเคาท์เตอร์ วิ่งเข้ามาดูโดยเอลวินและเอฟบีไอทั้งกลุ่มตามมาดูด้วย พอถูกรุมเอเลนก็รีบยิ้มพร้อมกับโบกมือเป็นพัลวัน
“แค่ลื่นหกล้มนิดหน่อย ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ”
“หกล้มจนเป็นรอยผื่นรูปมือเนี่ยนะ” มิคาสะพูดเสียงเข้ม ตาลุกวาว “บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าใครเป็นคนทำ”
ไม่พูดเปล่ายังยกกำปั้นขึ้นประกอบ เอเลนยิ้มแห้งๆ
“ผมหกล้มจริงๆ”
“แสดงว่านายต้องล้มไปฟาดกับมือคนอื่น หน้าถึงได้เป็นรอยแบบนั้น” เอลวินตั้งข้อสังเกตพลางหันไปถามสาวแว่นที่กำลังนั่งยื่นหน้าเข้าไปหาเอเลน “หรือเธอว่าไง ฮันซี่”
“ต้องเอาไปผ่าพิสูจน์” หญิงสาวพูดพร้อมกับขยับนิ้วอย่างมันเขี้ยว “ไปกับฉันเถอะนะเอเลน”
“ไม่ครับ” เด็กหนุ่มรีบปฏิเสธและลุกขึ้นไปคว้าผ้ากันเปื้อนมาคาดเอว พอหันมาเห็นทุกคนยังยืนอยู่ที่เดิมจึงพูด “ผมไม่เป็นอะไรจริงๆครับ”
“ว้า น่าเสียดาย” ฮันซี่พูดก่อนเดินคอตกกลับไปที่โต๊ะ ตามด้วยเอลวิน มาร์โคและแจน พอนั่งกันเสร็จเรียบร้อย คนเป็นหัวหน้าก็ชูถ้วยกาแฟเปล่าขึ้น
“ขออีกถ้วยสิเอเลน”
“ครับ” เด็กหนุ่มรับคำและรีบคว้าเหยือกกาแฟมารินให้กับทุกคนจนครบ พอหันกลับเพื่อเอาเหยือกไปวางไว้ที่เดิมเขา ก็มีเสียงโครมดังมาจากทางด้านหลัง เด็กหนุ่มจึงหันไปมองและเลิกคิ้วเมื่อเห็นผู้ชายผมสั้นที่ไม่คุ้นตาเลยสักนิดกำลังนั่งหน้างอ เท้าข้างหนึ่งถีบเก้าอี้อยู่
My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ ( fanfic ผ่าพิภพไททัน)
เหตุที่เขียน เพราะตอนนี้หลานสาวกำลังคลั่งไททันมาก(มูนนี่ก็ชอบ ^ ^) โดยเฉพาะคู่เอเลน รีไว (แต่มูนนี่ชอบเฮย์โจวฉบับนอร์มอลมากกว่า เท่สุดๆ) เลยตัดสินใจวางเรื่องอื่นชั่วคราวและลงมือเขียนเรื่องนี้ค่ะ โดยปรับพล็อตให้เป็นยุคปัจจุบันโดยรีไวและหน่วยสำรวจเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ส่วนเอเลนเป็นพนักงานร้านการแฟ ^^
เนื่อเรื่องอาจจะเป็นเรื่องราวแนวสืบสวน ฆาตกรรม แต่จะเน้นฉากน่ารักๆระหว่างรีไวกับเอเลนค่ะ (ทำได้เหรอ) ข้อมูลอาจไม่เป๊ะนัก เพราะเขียนแบบสบายๆ และจะไม่มีฉากเรทค่ะ
My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ
“ของที่สั่งได้แล้วค่ะคุณเอเลน”
เสียงใจดีของผู้หญิงวัยกลางคนพูดพร้อมกับยื่นถุงกระดาษส่งให้เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลที่กำลังยืนจ้องขนมในตู้กระจกอย่างเพลิดเพลิน เขารีบยื่นมือออกไปรับ
“ขอบคุณครับ”
เด็กหนุ่มกล่าวพลางส่งเงินพร้อมกับรอยยิ้มให้ อีกฝ่ายเอียงคอน้อยๆ
“แคนี้ก็พอจ้ะ” เธอพูดและส่งธนบัตรคืนให้หนึ่งใบ พอเป็นเอเลนทำหน้างงก็หัวเราะและอธิบาย “เห็นรอยยิ้มสดใสของเธอแล้ว ฉันเลยลดราคาให้ครึ่งหนึ่ง”
“จะดีหรือครับ” เด็กหนุ่มถามด้วยความเกรงใจ เจ้าของร้านจึงหัวเราะและใช้มือขยี้ผมเขาอย่างเอ็นดู
“ดีแน่นอนจ้ะ” พูดจบก็คว้าไหล่เล็กๆทั้งสองข้างแล้วหมุนจากนั้นก็รุนหลังเขาไม่แรงนัก “ไม่รับกลับเดี๋ยวมิคาสะจะดุเอานะ”
เมื่อเจ้าของร้านพูดออกมาแบบนั้น เอเลนจึงจำต้องยัดเงินใส่กระเป๋าและหันไปกล่าวคำขอบคุณอีกครั้งก่อนเดินออกจากร้าน และแวะซื้อส้มอีกสองสามลูกเพื่อนำไปคั้นจากนั้นก็เข้าร้านหนังสือ ใช้เวลาเลือกไม่นานก็ได้นิทานเด็กมาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินเสร็จเด็กหนุ่มก็เดินตัวปลิวกลับไปยังร้านของตัวเอง
เอเลน เป็นเด็กหนุ่มอายุ 16 ปี มีผมสีน้ำตาลและนัยน์ตาสีเขียวมรกตแสนงดงาม มารดาเสียชีวิตไปนานแล้ว ส่วนบิดาหายสาบสูญไปกว่าสามปี ความจริงเขาจะต้องถูกส่งไปอยู่สถานสงเคราะห์เพื่อรอพ่อแม่อุปถัมภ์แต่โชคดีที่ป้าคนหนึ่งยื่นมือเข้ามาอุปการะ เขาจึงสามารถอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ต่อไป
กระทั่งวันหนึ่งป้าผู้อารีคนนั้นส่งมิคาสะมาอยู่เป็นเพื่อน แรกๆเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแถมยังไม่ค่อยชอบลูกพี่ลูกน้องของคนนี้นัก เพราะเธอเป็นคนเงียบขรึมไม่พูดไมจา จนวันหนึ่งป้าเล่าให้ฟังว่า ครอบครัวของมิคาสะถูกโจรฆ่าตายหมด และหากไม่รับเธอมาลี้ยง มิคาสะก็จะถูกส่งเข้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งถ้าเป็นคงเป็นเรื่องแย่ที่สุดสำหรับเด็กหญิงตัวเล็กๆ ป้าของเขาจึงอาสารับเธอมาอนุเคราะห์และส่งมาอยู่กับเอเลน
พอรู้แบบนั้นแล้วเอเลนจึงตั้งใจเอาไว้ว่าจะคอยดูแลเธออย่างดีที่สุด แต่พอเอาเข้าจริงกลับกลายเป็นว่าคนที่ได้รับการปกป้อง กลับเป็นตัวเขามากกว่า เพราะพอมาอยู่ไม่นานมิคาสะก็เริ่มตกแต่งบ้าน ดัดแปลงให้เป็นร้านกาแฟและขนม โดยตัวเธอเป็นเจ้าของร้านส่วนเอเลนเหมารวมทุกอย่างตั้งแต่พนักงานต้อนรับ พนักงานเสิร์ฟ คนล้างจานไปยันภารโรง
พอนึกถึงตรงนี้เด็กหนุ่มก็หัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจ ความจริงแล้วมิคาสะเองก็อยากช่วยแต่เขาคิดว่าแค่ทำขนมกับชงกาแฟก็เป็นงานที่หนักมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงเหมาทุกอย่างที่เหลือทั้งหมดเอง
เอเลนเดินประคองถุงกระดาษขนาดใหญ่ที่มีทั้งขนม ผลไม้และหนังสือไปพลาง คิดถึงเรื่องของตัวเองไปพลางกระทั่งถึงหัวมุมถนน ช่วงที่กำลังจะเลี้ยวนั่นเองเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนหนึ่ง พอหันไปมองก็เห็นผู้ชายผิวดำกำลังวิ่งแหวกฝูงชนตรงเข้ามา ตอนแรกก็งงอยู่เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นจนได้ยินเสียงร้องบอกต่อกันมาว่า “กระชากกระเป๋า” นั่นแหละ เด็กหนุ่มจึงรู้ว่าชายผิวดำคนนั้นคือโจร
เท้าไวเท่าความคิด มันยื่นออกไปขัดขาคนร้ายจนหน้าคะมำ มันคำรามอย่างโกรธจัดและลุกขึ้นทันที พอหันมาเห็นว่าใครเป็นคนทำ เจ้าคนร้ายก็กระชากคอเสื้อเอเลนเอาไว้พร้อมกับตะคอก
“ไอเปี๊ยก แกกล้ามากที่มายุ่งกับฉัน”
ฝ่ามือหนาฟาดเปรี้ยงจนหน้าสะบัดก่อนเหวี่ยงร่างเล็กๆไปกระแทกแผงขายของข้างทางจนพังกระจุย เอเลนครางออกมาด้วยความเจ็บปวดและพยายามลุกขึ้น แต่ต้องทรุดลงไปอีกครั้งอย่างมึนงง ถึงอย่างนั้นปากก็ยังร้องห้าม
“ย...หยุด”
พูดได้เพียงเท่านั้นก็ได้ยินเสียงดัง ตุบ พลั่ก ผัวะ เด็กหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและพยายามเงยหน้าขึ้นมอง แต่ความชาจากแรงตบทำให้ดวงตาพร่ามัว จึงเห็นแค่เงาเลือนรางของใครบางคนกำลังอัดคนร้ายจนมันร่วงลงไปกองกับพื้น พอจัดการเสร็จคนคนนั้นก็เดินแหวกฝูงชนจากไปอย่างไม่แยแส
“เดี๋ยว” เอเลนร้องเรียกพร้อมกับมองตามแต่สิ่งที่เห็นเป็นเพียงรองเท้าสีดำขัดจนขึ้นเงามันวับที่มีตราสีขาวสลับดำรูปปีกนกเล็กๆประทับไว้ตรงขอบเท่านั้น พอลุกได้เด็กหนุ่มก็กวาตามองหาชายคนนั้นทันที แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา เขามองคนร้ายร่างยักษ์ที่นอนหมดสติบนพื้นถนนท่ามกลางข้าวของที่ตกเกลื่อนกระจัดกระจายก่อนจะพูดพึมพำออกมาเบาๆ
“เขาเป็นใครกันนะ”
เด็กหนุ่มมองกองแหลกเละของพุดดิ้งที่อุตส่าห์เดินไปซื้อตั้งไกลกับผลไม้ที่อยู่ในสภาพเดียวกันอย่างนึกสยดสยอง เพราะขนมที่ว่าเป็นของโปรดของมิคาสะ ลองกลับไปแบบนี้คงโดนเธอซัดติดผนังโทษฐานกลับบ้านมือเปล่า ครั้นจะย้อนกลับไปซื้อใหม่ก็ไม่มีเงินพอ จะไปขอฟรีๆก็น่าเกลียดเกินไป เอเลนคิดพลางถอนใจออกมาอย่างกลัดกลุ้มก่อนหมุนตัวเดินคอตกกลับไปที่ร้านของตัวเอง
พอถึงหน้าร้าน เอเลนยืนขมวดคิ้วอย่างลังเลก่อนตัดสินใจเดินเข้าไป เมื่อเปิดประตู เขาก็เห็นเจ้าหน้าที่ในชุดสูทสีดำกลุ่มใหญ่กำลังนั่งพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่ต้องมองหน้าเขาก็รู้ว่าคนพวกนั้นคือเจ้าหน้าที่ชั้นหัวกะทิของเอฟบีไอที่มีเอลวินเป็นหัวหน้า เพราะมีคนกลุ่มนี้เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่เข้ามานั่งเล่นที่ร้านของมิคาสะเป็นประจำ
“กลับมาแล้วครับ” เด็กหนุ่มพูด หญิงสาวที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่กับเครื่องชงกาแฟหันมามอง
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอเอ...” เธอหยุดเบิกตากว้างและปล่อยถ้วยหลุดจากมือ “เกิดอะไรขึ้น ทำไมหน้าของเธอถึงได้บวมแบบนั้น”
ไม่พูดเปล่ามิคาสะยังกระโดดข้ามเคาท์เตอร์ วิ่งเข้ามาดูโดยเอลวินและเอฟบีไอทั้งกลุ่มตามมาดูด้วย พอถูกรุมเอเลนก็รีบยิ้มพร้อมกับโบกมือเป็นพัลวัน
“แค่ลื่นหกล้มนิดหน่อย ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ”
“หกล้มจนเป็นรอยผื่นรูปมือเนี่ยนะ” มิคาสะพูดเสียงเข้ม ตาลุกวาว “บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าใครเป็นคนทำ”
ไม่พูดเปล่ายังยกกำปั้นขึ้นประกอบ เอเลนยิ้มแห้งๆ
“ผมหกล้มจริงๆ”
“แสดงว่านายต้องล้มไปฟาดกับมือคนอื่น หน้าถึงได้เป็นรอยแบบนั้น” เอลวินตั้งข้อสังเกตพลางหันไปถามสาวแว่นที่กำลังนั่งยื่นหน้าเข้าไปหาเอเลน “หรือเธอว่าไง ฮันซี่”
“ต้องเอาไปผ่าพิสูจน์” หญิงสาวพูดพร้อมกับขยับนิ้วอย่างมันเขี้ยว “ไปกับฉันเถอะนะเอเลน”
“ไม่ครับ” เด็กหนุ่มรีบปฏิเสธและลุกขึ้นไปคว้าผ้ากันเปื้อนมาคาดเอว พอหันมาเห็นทุกคนยังยืนอยู่ที่เดิมจึงพูด “ผมไม่เป็นอะไรจริงๆครับ”
“ว้า น่าเสียดาย” ฮันซี่พูดก่อนเดินคอตกกลับไปที่โต๊ะ ตามด้วยเอลวิน มาร์โคและแจน พอนั่งกันเสร็จเรียบร้อย คนเป็นหัวหน้าก็ชูถ้วยกาแฟเปล่าขึ้น
“ขออีกถ้วยสิเอเลน”
“ครับ” เด็กหนุ่มรับคำและรีบคว้าเหยือกกาแฟมารินให้กับทุกคนจนครบ พอหันกลับเพื่อเอาเหยือกไปวางไว้ที่เดิมเขา ก็มีเสียงโครมดังมาจากทางด้านหลัง เด็กหนุ่มจึงหันไปมองและเลิกคิ้วเมื่อเห็นผู้ชายผมสั้นที่ไม่คุ้นตาเลยสักนิดกำลังนั่งหน้างอ เท้าข้างหนึ่งถีบเก้าอี้อยู่