ขอบคุณคุณปลาดาวค้างฟ้า และคุณ GTW ที่เข้ามาอ่านนะคะ
คุณ GTW -- จากนิทานซินเดอเรลล่าที่เป็นธีมยอดฮิตที่ผู้ชายอยู่ในสถานะเจ้าชาย และผู้หญิงที่สถานะด้อยกว่า แต่ทั้งหมดคือ ฉาบหน้า เท่านั้นเอง เมื่อความรักและชีวิตคู่ต้องการบางสิ่งมากกว่านั้น ก็น่าสงสัยว่ามันจะไปในทางแฮปปี้เอ็นดิ้งได้จริงๆ แบบซินเดอเรลล่า หรือมันจะจบด้วยโศกนาฏกรรมแบบนิทานเงือกน้อยเมื่อโลกบังคับให้ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง
ตอนจบของซินเดอเรลล่า เรื่องของปรานต์กับตีรณาคาใจคนเขียนมากค่ะ รู้สึกว่าเรื่องมันยังไม่จบ มันต้องไปต่อ ตัวละครที่ถูกตีตราว่า "เจ้าชาย" กับ "ซินเดอเรลล่า" ควรโยนตรานั้นทิ้งไปแล้วกลับสู่โลกที่เจ้าชายผู้ร่ำรวย ไม่ได้ทำตัวลอยชายไปวันๆ กลับกันเขาทำงานหนักมากด้วยความที่ภาระทุกอย่างตกลงบนบ่าเขา คนเดียวครอบครองอาณาจักรที่พ่อเริ่มถอยจากธุรกิจโดยอายุเขายังเลขสามด้วยซ้ำ (ถึงจะสามปลายก็เถอะ) และโลกที่ซินเดอเรลล่าไม่ได้มีอะไร ไม่มีความรู้เรื่องการบริหารอาณาจักรใดๆ ไม่มีความสามารถช่วยเหลือแบ่งเบาภาระบนบ่านั้นได้เลย
ฟังดูก็รู้ว่าเมื่อตื่นจากฝัน...โศกนาฏกรรมน่าจะเป็นคำตอบของคู่นี้ คนเขียนเองก็อยากรู้เหมือนกันค่ะว่าคู่นี้จะไปต่อได้ยังไง มันควรมาถึงทางตันในเรื่องความสัมพันธ์น่ะค่ะ
อาจารย์จีบอกว่า แรง กับ ลึก หนิงว่าบางทีก็คงไม่ถึงขั้นนั้น แต่ถ้าเทียบกับเรื่องอื่นๆ ก็เรียกแบบนั้นได้อยู่นะคะ
นี่เป็นลิ้งค์ของตอนที่แล้วนะคะ
ห้วงเวลาแห่งเทพนิยาย : ซินเดอเรลล่ากับฟองคลื่น
บทที่ 1 --
http://ppantip.com/topic/36850578
=====================================
บทที่ 2
“ทำไมยะ? เรื่องเงือกน้อยนี่มันน่าโศกสลดขนาดที่หล่อนต้องมาน้ำตาไหลพรากๆ เลยหรือไง”
เสียงสุกฤตฝ่าความคิดเธอเข้ามา ตีรณากะพริบตาอย่างงงงวย ขอบตาร้อนผ่าว แก้มช้ำจากฤทธิ์ของน้ำตา หญิงสาวมองหน้าจอโทรทัศน์ซึ่งเป็นการ์ตูนอีกเรื่องหนึ่งของค่ายเดียวกันกับซินเดอเรลล่า เป็นเรื่องที่มีหญิงสาวสวยซึ่งท่อนล่างเป็นปลากำลังเจรจากับสตรีแต่งกายดำมีหายเป็นปลาเหมือนกัน
“เปล่า” เธอปฏิเสธพร้อมทั้งเช็ดน้ำตา
“ฉันรู้ว่าเปล่า เห็นหน้าตาหล่อนก็รู้แล้วว่าไม่ได้มองหน้าจอ” สุกฤตเอ่ย เขากำลังกินขนมเป็นถุงที่สองแล้ว ไม่รู้เดินไปหยิบมาตั้งแต่เมื่อไร แต่ที่รู้ว่าเป็นถุงที่สองเพราะซากของถุงแรกยังคงอยู่บนโต๊ะแบบที่เจ้าตัวยังไม่คิดจะเก็บทิ้ง
ตีรณายังคงเงียบ ไม่ได้เอ่ยอะไรทั้งสิ้น เพื่อนจึงถอนใจยาว “ถ้าเกิดหล่อนดูเงือกน้อยเวอร์ชั่นนี่แล้วร้องไห้ หล่อนไปอ่านเวอร์ชั่นนิทานจริงๆ ไม่ยิ่งกว่าหรือไงกันนะ”
หญิงสาวจึงหันไปมองหน้าเพื่อน ท่าทางสติยังไม่กลับมาครบสักเท่าไร สุกฤตจึงต้องอธิบายคล้ายกำลังเล่านิทานให้เด็กฟัง
“เงือกน้อยเวอร์ชั่นการ์ตูนปราบปีศาจเสร็จมันก็สมหวังไง แต่ถ้านิทานใช่ไหม เงือกน้อยหลงรักเจ้าชายเลยยอมแลกเสียงเพราะๆ ของตัวเองให้มีขาเป็นมนุษย์ แล้วไปหาเจ้าชาย แต่แทนที่เจ้าชายจะเลือกตัวเอง ดันไปเลือกผู้หญิงคนอื่น พวกพี่ๆ น้องๆ ของเงือกน้อยเลยแลกผมกับมีด บอกให้เงือกน้อยฆ่าเจ้าชายเสีย แล้วตัวเองจะได้กลับไปเป็นเงือกเหมือนเดิม แต่ถ้าไม่ทำ เงือกน้อยจะกลายเป็นฟองคลื่น”
“เงือกน้อยก็ยอมเป็นฟองคลื่นสินะ” ตีรณาเอ่ยขึ้นมาด้วยสายตาเหม่อลอย
“Oh! So tragic! ใช่เลย น่าเศร้าเป็นที่สุด” ไม่พูดเปล่า สุกฤตยังทำท่ากรีดน้ำตาชม้อยชายตาซึ่งดูดีกว่าประหลักประเหลือกนิดเดียว จากนั้นเจ้าตัวก็หรี่ตาลงมองเพื่อนสาวอย่างพิจารณา
“จะว่าไปตอนแรกฉันอุตส่าห์ปั้นหล่อนให้เป็นซินเดอเรลล่า แต่หล่อนไพล่ไปเลือกเป็นเงือกน้อยแทนเสียนี่”
“ฉันไปเลือกตอนไหนไม่ทราบ” หญิงสาวยิ้มขัน ไม่ว่าอย่างไรสุกฤตก็สามารถโยงเธอเข้ากับนิทานที่เจ้าตัวชอบใจได้ตลอดเวลา
“อ๊าว! ก็ตั้งแต่หล่อนเลือกปล่อยให้เจ้าชายไปเสพสุขกับผู้หญิงคนอื่น แล้วหล่อนก็เลือกให้ตัวเองกลายเป็นฟองคลื่นแทน มานั่งชี้ช้ำเลียแผลตัวเองอยู่ในห้องฉันอยู่นี่ไง”
“ไม่พูดก็ไม่มีใครว่านะคุณสุกฤต”
“เคที่ย่ะ!”
“เอาเถอะๆ ชื่อไหนก็เหมือนกันแหละ” ตีรณาไม่สนใจ เอนกายพิงหมอนอิงแทนที่จะต่อล้อต่อเถียงต่อ เมื่อเห็นเพื่อนหลับตาลงเช่นนั้น สุกฤตก็ไม่กวนใจอีก เขาทำเพียงแค่นั่งกินอะไรไปเรื่อยๆ แล้วนั่งดูโทรทัศน์ไปโดยไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย
คุณสุกฤตพูดถูก การกระทำของเธออาจดูคล้ายการตัดสินใจของเงือกน้อยในนิทาน แต่ต่างกันตรงในนิทานเจ้าชายไม่ได้รักเงือกน้อย แต่ปรานต์รักเธอ นั่นเป็นสิ่งที่ตีรณารู้ดีแก่ใจ ดังนั้น ความเจ็บปวดมันมากกว่าสองเท่า นั่นคือ ความเจ็บปวดที่ต้องแยกห่างจากเขา และความเจ็บปวดแทนเขาที่ต้องรู้ว่าต้องแยกห่างจากเธอ
ไม่รู้สภาพของเธอกับเงือกน้อย คนไหนจะดีกว่ากัน...
‘ตี้อยากเลิกกับผมหรือ’ ความเจ็บปวดที่สะท้อนอยู่ในดวงตาดำคู่นั้นไม่ต่างจากมีดที่เธอเลือกแทงตัวเอง กระนั้นหญิงสาวถอยห่างจากเขาออกมา กลั้นใจพยักหน้า
‘เราสองคนห่างกันบ้างดีกว่า หยุดพักสักระยะ ไปทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ไปค้นหาว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรามันควรเป็นไปในทางไหนดี’
‘แต่เราไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้นี่’ ชายหนุ่มก้มลงดึงมือของเธอมาจับไว้ เอ่ยอย่างร้อนรน ‘ผมรู้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะผมเอง ผมทำให้ตี้เหนื่อย ให้ตี้คอยตลอดเวลาเพราะไม่มีเวลาดูแลคุณ แต่ผมจะพยายามให้ดีกว่านี้ ตี้อย่าทำแบบนี้เลย’
ตีรณาสะอื้นฮัก ใช้มือข้างที่ว่างเช็ดน้ำตาด้วยตัวเอง แต่ยังคงส่ายหน้าอย่างเข้มแข็ง ‘ปรานต์...ถ้าเป็นเมื่อสี่ปีก่อนตี้เชื่อนะว่าตี้รักปรานต์ ปรานต์รักตี้ เท่านี้มันน่าจะพอทำให้เราเข้มแข็งขึ้น แต่มาตอนนี้ ตี้รู้ว่าคนเราจะคบกัน วาดหวังอนาคตร่วมกัน บางทีแค่ความรักอย่างเดียว มันยังไม่พอ’
ปรานต์รู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ‘ตี้ ผมเคยบอกตี้แล้วว่าผมเคยคบกับผู้หญิงเพราะความเหมาะสม แต่สุดท้ายผมรู้ว่าเขาไม่ใช่ แต่ผมอยู่กับตี้ ผมมีความสุขดี ตี้อย่าคิดมาก อย่าไปฟังใครเขาพูดเลย’
‘ปรานต์ ตี้เคยเชื่อแบบเด็กๆ นะว่าความรักสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกสิ่ง แต่ตี้รู้แล้วว่าความรักเปลี่ยนแปลง ‘ความเหมาะสม’ ไม่ได้’
ตีรณาก้มหน้าลง ค่อยๆ ปลดมือของตนออกจากมือที่ใหญ่และอบอุ่นนั่นออก ความเย็นก็ปะทะเข้ามาทันทีที่ไม่มีมือข้างนั้นกุมไว้ แต่หญิงสาวก็แข็งใจไพล่ไว้ข้างหลังทั้งสองมือ
‘ตี้อยากให้ปรานต์ลองคิดทบทวนอีกทีหนึ่ง ปรานต์ในตอนนั้นยังไม่ได้รับผิดชอบทุกอย่างเต็มตัว แต่มาตอนนี้คุณอายุไม่น้อยแล้ว มีธุรกิจที่ต้องดูแล มีลูกน้องที่ต้องบริหาร ปรินซ์เองก็ช่วยปรานต์ไม่ได้ ตี้เองก็ช่วยปรานต์ไม่ได้ ยิ่งนานไป ปรานต์จะยิ่งโดดเดี่ยวมากขึ้นกว่าเดิมเพราะไม่มีใครเป็นคู่คิด ไม่มีใครเป็นที่ปรึกษา จะดีกว่าหรือเปล่าถ้าปรานต์มีคนแบบนั้นอยู่เคียงข้าง ตี้อยากให้ปรานต์คิดให้ดี’
‘ตี้!’ สีหน้าของชายหนุ่มยิ่งฉายแววเจ็บช้ำ ทว่าเขาไม่อาจมีน้ำตาได้ ร่างสูงที่ดูเข้มแข็งเสมอมากลับลู่ไหล่ลงคล้ายคนสิ้นหวัง แต่ตีรณาไม่อาจเอื้อมมือไปกอดเขาไว้อีก หญิงสาวกล้ำกลืนก้อนสะอื้นพลางอธิบายต่อ
‘ที่ตี้บอกว่าให้เราห่างกัน ตี้ไม่ได้หมายความว่าจะขอเลิกกับปรานต์ อย่างน้อยปรานต์ควรไปหาคำตอบมาอีกที ส่วนตี้เองก็จะลองไปคิดทบทวนเหมือนกัน บางทีถ้าตี้อยู่กับผู้ชายธรรมดาๆ มีชีวิตแบบธรรมดาๆ ตี้จะมีความสุขมากกว่าหรือเปล่า เขาอาจจะเหมาะกับตี้มากกว่าก็ได้ เราสองคนต่างกันเกินไปปรานต์’
ความเงียบเข้าครอบคลุมบทสนทนาระหว่างคนทั้งคู่ ซึ่งแตกต่างจากบรรยากาศรอบข้างโดยสิ้นเชิง ผู้คนมากมายเริ่มทยอยแยกย้ายหลังจากที่เฉลิมฉลองวันใหม่เรียบร้อยแล้ว บางส่วนเดินมาจนถึงบริเวณที่ตีรณาและปรานต์ยืนอยู่ แต่หนุ่มสาวทั้งสองยืนอยู่ริมฟุตบาทในขณะที่ถนนทั้งเส้นปิดการจราจร จึงไม่ได้ขวางทางคนอื่นแต่อย่างใดเพราะยังมีที่ทางให้เดินอีกมาก
‘นานขนาดไหน’ เนิ่นนานกว่าปรานต์จะเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงแหบแห้ง ตีรณายิ้มน้อยๆ อย่างอับจน เธอส่ายหน้า
‘ไม่มีใครรู้ว่าเราสองคนจะหาคำตอบได้เร็วแค่ไหน แต่ตี้สัญญา เมื่อไรที่ตี้รู้ ต่อให้ตอนนั้นตี้จะอยู่ที่ไหน ตี้จะบอกปรานต์ในตอนนั้นแน่นอน ปรานต์ก็เหมือนกันนะ รู้คำตอบเมื่อไรให้บอกตี้ด้วย ต่อให้ดึก ตี้หลับไปแล้ว ปรานต์ก็ต้องทำให้ตี้ตื่นขึ้นมาให้ได้นะ’ ประโยคสุดท้ายตีรณาเอ่ยติดจะขำแต่ดวงตาพร่างพรายด้วยหยาดน้ำตา
‘นี่มืดแล้ว ปรานต์กลับเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปข้างนอกกับคุณพ่อไม่ใช่หรือ’ ว่าจบ หญิงสาวก็ก้มหน้าลง ไม่อยากสบตาเขาอีก ได้แต่มองดูพื้นซึ่งเห็นแต่ขาสวมรองเท้าผ้าใบของตนเอง และขากางเกงสแล็กกับรองเท้าหนังของเขา
จู่ๆ แรงมหาศาลก็ดึงเธอไปใกล้ รั้งศีรษะเธอไว้พลางก้มลงมาหาอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากเย็นของเขาปัดผ่านเพียงแผ่วเบาบนริมฝีปากนุ่มของเธอและโดยไม่รอปฏิกิริยาของเธอ ปรานต์ก็ผละออกและหันหลังให้เธอเดินออกไปอย่างรวดเร็วจนตีรณาตั้งตัวไม่ติด
สัมผัสที่บ่งบอกแทนคำพูดได้ดียิ่งกว่าใคร สัมผัสที่แสดงความสิ้นหวัง ความเสียใจ และคำบอกลาที่เธอไม่มีโอกาสได้ยิน
ตีรณามองส่งเขาด้วยนัยน์ตาพร่าพราว ร่างสูงของเขากลืนไปกับฝูงชนที่เดินขวักไขว่ แล้วหญิงสาวก็มองหาเขาไม่พบอีก ร่างเล็กนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นโดยไม่สนใจสายตาของผู้คนที่มาเฉลิมฉลองกันอย่างรื่นเริง หญิงสาวร้องให้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา ร้องให้กับความรู้สึกของตนเอง และร้องให้กับ ‘เขา’ ผู้ซึ่งไม่สามารถหลั่งน้ำตาออกมาได้
เลยเที่ยงคืนแล้ว...เวทย์มนตร์ของนางฟ้าสลายไปจนหมดสิ้น
===============================
(มีต่อค่ะ)
ห้วงเวลาแห่งเทพนิยาย : ซินเดอเรลล่ากับฟองคลื่น บทที่ 2
คุณ GTW -- จากนิทานซินเดอเรลล่าที่เป็นธีมยอดฮิตที่ผู้ชายอยู่ในสถานะเจ้าชาย และผู้หญิงที่สถานะด้อยกว่า แต่ทั้งหมดคือ ฉาบหน้า เท่านั้นเอง เมื่อความรักและชีวิตคู่ต้องการบางสิ่งมากกว่านั้น ก็น่าสงสัยว่ามันจะไปในทางแฮปปี้เอ็นดิ้งได้จริงๆ แบบซินเดอเรลล่า หรือมันจะจบด้วยโศกนาฏกรรมแบบนิทานเงือกน้อยเมื่อโลกบังคับให้ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง
ตอนจบของซินเดอเรลล่า เรื่องของปรานต์กับตีรณาคาใจคนเขียนมากค่ะ รู้สึกว่าเรื่องมันยังไม่จบ มันต้องไปต่อ ตัวละครที่ถูกตีตราว่า "เจ้าชาย" กับ "ซินเดอเรลล่า" ควรโยนตรานั้นทิ้งไปแล้วกลับสู่โลกที่เจ้าชายผู้ร่ำรวย ไม่ได้ทำตัวลอยชายไปวันๆ กลับกันเขาทำงานหนักมากด้วยความที่ภาระทุกอย่างตกลงบนบ่าเขา คนเดียวครอบครองอาณาจักรที่พ่อเริ่มถอยจากธุรกิจโดยอายุเขายังเลขสามด้วยซ้ำ (ถึงจะสามปลายก็เถอะ) และโลกที่ซินเดอเรลล่าไม่ได้มีอะไร ไม่มีความรู้เรื่องการบริหารอาณาจักรใดๆ ไม่มีความสามารถช่วยเหลือแบ่งเบาภาระบนบ่านั้นได้เลย
ฟังดูก็รู้ว่าเมื่อตื่นจากฝัน...โศกนาฏกรรมน่าจะเป็นคำตอบของคู่นี้ คนเขียนเองก็อยากรู้เหมือนกันค่ะว่าคู่นี้จะไปต่อได้ยังไง มันควรมาถึงทางตันในเรื่องความสัมพันธ์น่ะค่ะ
อาจารย์จีบอกว่า แรง กับ ลึก หนิงว่าบางทีก็คงไม่ถึงขั้นนั้น แต่ถ้าเทียบกับเรื่องอื่นๆ ก็เรียกแบบนั้นได้อยู่นะคะ
นี่เป็นลิ้งค์ของตอนที่แล้วนะคะ
ห้วงเวลาแห่งเทพนิยาย : ซินเดอเรลล่ากับฟองคลื่น
บทที่ 1 -- http://ppantip.com/topic/36850578
=====================================
บทที่ 2
“ทำไมยะ? เรื่องเงือกน้อยนี่มันน่าโศกสลดขนาดที่หล่อนต้องมาน้ำตาไหลพรากๆ เลยหรือไง”
เสียงสุกฤตฝ่าความคิดเธอเข้ามา ตีรณากะพริบตาอย่างงงงวย ขอบตาร้อนผ่าว แก้มช้ำจากฤทธิ์ของน้ำตา หญิงสาวมองหน้าจอโทรทัศน์ซึ่งเป็นการ์ตูนอีกเรื่องหนึ่งของค่ายเดียวกันกับซินเดอเรลล่า เป็นเรื่องที่มีหญิงสาวสวยซึ่งท่อนล่างเป็นปลากำลังเจรจากับสตรีแต่งกายดำมีหายเป็นปลาเหมือนกัน
“เปล่า” เธอปฏิเสธพร้อมทั้งเช็ดน้ำตา
“ฉันรู้ว่าเปล่า เห็นหน้าตาหล่อนก็รู้แล้วว่าไม่ได้มองหน้าจอ” สุกฤตเอ่ย เขากำลังกินขนมเป็นถุงที่สองแล้ว ไม่รู้เดินไปหยิบมาตั้งแต่เมื่อไร แต่ที่รู้ว่าเป็นถุงที่สองเพราะซากของถุงแรกยังคงอยู่บนโต๊ะแบบที่เจ้าตัวยังไม่คิดจะเก็บทิ้ง
ตีรณายังคงเงียบ ไม่ได้เอ่ยอะไรทั้งสิ้น เพื่อนจึงถอนใจยาว “ถ้าเกิดหล่อนดูเงือกน้อยเวอร์ชั่นนี่แล้วร้องไห้ หล่อนไปอ่านเวอร์ชั่นนิทานจริงๆ ไม่ยิ่งกว่าหรือไงกันนะ”
หญิงสาวจึงหันไปมองหน้าเพื่อน ท่าทางสติยังไม่กลับมาครบสักเท่าไร สุกฤตจึงต้องอธิบายคล้ายกำลังเล่านิทานให้เด็กฟัง
“เงือกน้อยเวอร์ชั่นการ์ตูนปราบปีศาจเสร็จมันก็สมหวังไง แต่ถ้านิทานใช่ไหม เงือกน้อยหลงรักเจ้าชายเลยยอมแลกเสียงเพราะๆ ของตัวเองให้มีขาเป็นมนุษย์ แล้วไปหาเจ้าชาย แต่แทนที่เจ้าชายจะเลือกตัวเอง ดันไปเลือกผู้หญิงคนอื่น พวกพี่ๆ น้องๆ ของเงือกน้อยเลยแลกผมกับมีด บอกให้เงือกน้อยฆ่าเจ้าชายเสีย แล้วตัวเองจะได้กลับไปเป็นเงือกเหมือนเดิม แต่ถ้าไม่ทำ เงือกน้อยจะกลายเป็นฟองคลื่น”
“เงือกน้อยก็ยอมเป็นฟองคลื่นสินะ” ตีรณาเอ่ยขึ้นมาด้วยสายตาเหม่อลอย
“Oh! So tragic! ใช่เลย น่าเศร้าเป็นที่สุด” ไม่พูดเปล่า สุกฤตยังทำท่ากรีดน้ำตาชม้อยชายตาซึ่งดูดีกว่าประหลักประเหลือกนิดเดียว จากนั้นเจ้าตัวก็หรี่ตาลงมองเพื่อนสาวอย่างพิจารณา
“จะว่าไปตอนแรกฉันอุตส่าห์ปั้นหล่อนให้เป็นซินเดอเรลล่า แต่หล่อนไพล่ไปเลือกเป็นเงือกน้อยแทนเสียนี่”
“ฉันไปเลือกตอนไหนไม่ทราบ” หญิงสาวยิ้มขัน ไม่ว่าอย่างไรสุกฤตก็สามารถโยงเธอเข้ากับนิทานที่เจ้าตัวชอบใจได้ตลอดเวลา
“อ๊าว! ก็ตั้งแต่หล่อนเลือกปล่อยให้เจ้าชายไปเสพสุขกับผู้หญิงคนอื่น แล้วหล่อนก็เลือกให้ตัวเองกลายเป็นฟองคลื่นแทน มานั่งชี้ช้ำเลียแผลตัวเองอยู่ในห้องฉันอยู่นี่ไง”
“ไม่พูดก็ไม่มีใครว่านะคุณสุกฤต”
“เคที่ย่ะ!”
“เอาเถอะๆ ชื่อไหนก็เหมือนกันแหละ” ตีรณาไม่สนใจ เอนกายพิงหมอนอิงแทนที่จะต่อล้อต่อเถียงต่อ เมื่อเห็นเพื่อนหลับตาลงเช่นนั้น สุกฤตก็ไม่กวนใจอีก เขาทำเพียงแค่นั่งกินอะไรไปเรื่อยๆ แล้วนั่งดูโทรทัศน์ไปโดยไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย
คุณสุกฤตพูดถูก การกระทำของเธออาจดูคล้ายการตัดสินใจของเงือกน้อยในนิทาน แต่ต่างกันตรงในนิทานเจ้าชายไม่ได้รักเงือกน้อย แต่ปรานต์รักเธอ นั่นเป็นสิ่งที่ตีรณารู้ดีแก่ใจ ดังนั้น ความเจ็บปวดมันมากกว่าสองเท่า นั่นคือ ความเจ็บปวดที่ต้องแยกห่างจากเขา และความเจ็บปวดแทนเขาที่ต้องรู้ว่าต้องแยกห่างจากเธอ
ไม่รู้สภาพของเธอกับเงือกน้อย คนไหนจะดีกว่ากัน...
‘ตี้อยากเลิกกับผมหรือ’ ความเจ็บปวดที่สะท้อนอยู่ในดวงตาดำคู่นั้นไม่ต่างจากมีดที่เธอเลือกแทงตัวเอง กระนั้นหญิงสาวถอยห่างจากเขาออกมา กลั้นใจพยักหน้า
‘เราสองคนห่างกันบ้างดีกว่า หยุดพักสักระยะ ไปทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ไปค้นหาว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรามันควรเป็นไปในทางไหนดี’
‘แต่เราไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้นี่’ ชายหนุ่มก้มลงดึงมือของเธอมาจับไว้ เอ่ยอย่างร้อนรน ‘ผมรู้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะผมเอง ผมทำให้ตี้เหนื่อย ให้ตี้คอยตลอดเวลาเพราะไม่มีเวลาดูแลคุณ แต่ผมจะพยายามให้ดีกว่านี้ ตี้อย่าทำแบบนี้เลย’
ตีรณาสะอื้นฮัก ใช้มือข้างที่ว่างเช็ดน้ำตาด้วยตัวเอง แต่ยังคงส่ายหน้าอย่างเข้มแข็ง ‘ปรานต์...ถ้าเป็นเมื่อสี่ปีก่อนตี้เชื่อนะว่าตี้รักปรานต์ ปรานต์รักตี้ เท่านี้มันน่าจะพอทำให้เราเข้มแข็งขึ้น แต่มาตอนนี้ ตี้รู้ว่าคนเราจะคบกัน วาดหวังอนาคตร่วมกัน บางทีแค่ความรักอย่างเดียว มันยังไม่พอ’
ปรานต์รู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ‘ตี้ ผมเคยบอกตี้แล้วว่าผมเคยคบกับผู้หญิงเพราะความเหมาะสม แต่สุดท้ายผมรู้ว่าเขาไม่ใช่ แต่ผมอยู่กับตี้ ผมมีความสุขดี ตี้อย่าคิดมาก อย่าไปฟังใครเขาพูดเลย’
‘ปรานต์ ตี้เคยเชื่อแบบเด็กๆ นะว่าความรักสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกสิ่ง แต่ตี้รู้แล้วว่าความรักเปลี่ยนแปลง ‘ความเหมาะสม’ ไม่ได้’
ตีรณาก้มหน้าลง ค่อยๆ ปลดมือของตนออกจากมือที่ใหญ่และอบอุ่นนั่นออก ความเย็นก็ปะทะเข้ามาทันทีที่ไม่มีมือข้างนั้นกุมไว้ แต่หญิงสาวก็แข็งใจไพล่ไว้ข้างหลังทั้งสองมือ
‘ตี้อยากให้ปรานต์ลองคิดทบทวนอีกทีหนึ่ง ปรานต์ในตอนนั้นยังไม่ได้รับผิดชอบทุกอย่างเต็มตัว แต่มาตอนนี้คุณอายุไม่น้อยแล้ว มีธุรกิจที่ต้องดูแล มีลูกน้องที่ต้องบริหาร ปรินซ์เองก็ช่วยปรานต์ไม่ได้ ตี้เองก็ช่วยปรานต์ไม่ได้ ยิ่งนานไป ปรานต์จะยิ่งโดดเดี่ยวมากขึ้นกว่าเดิมเพราะไม่มีใครเป็นคู่คิด ไม่มีใครเป็นที่ปรึกษา จะดีกว่าหรือเปล่าถ้าปรานต์มีคนแบบนั้นอยู่เคียงข้าง ตี้อยากให้ปรานต์คิดให้ดี’
‘ตี้!’ สีหน้าของชายหนุ่มยิ่งฉายแววเจ็บช้ำ ทว่าเขาไม่อาจมีน้ำตาได้ ร่างสูงที่ดูเข้มแข็งเสมอมากลับลู่ไหล่ลงคล้ายคนสิ้นหวัง แต่ตีรณาไม่อาจเอื้อมมือไปกอดเขาไว้อีก หญิงสาวกล้ำกลืนก้อนสะอื้นพลางอธิบายต่อ
‘ที่ตี้บอกว่าให้เราห่างกัน ตี้ไม่ได้หมายความว่าจะขอเลิกกับปรานต์ อย่างน้อยปรานต์ควรไปหาคำตอบมาอีกที ส่วนตี้เองก็จะลองไปคิดทบทวนเหมือนกัน บางทีถ้าตี้อยู่กับผู้ชายธรรมดาๆ มีชีวิตแบบธรรมดาๆ ตี้จะมีความสุขมากกว่าหรือเปล่า เขาอาจจะเหมาะกับตี้มากกว่าก็ได้ เราสองคนต่างกันเกินไปปรานต์’
ความเงียบเข้าครอบคลุมบทสนทนาระหว่างคนทั้งคู่ ซึ่งแตกต่างจากบรรยากาศรอบข้างโดยสิ้นเชิง ผู้คนมากมายเริ่มทยอยแยกย้ายหลังจากที่เฉลิมฉลองวันใหม่เรียบร้อยแล้ว บางส่วนเดินมาจนถึงบริเวณที่ตีรณาและปรานต์ยืนอยู่ แต่หนุ่มสาวทั้งสองยืนอยู่ริมฟุตบาทในขณะที่ถนนทั้งเส้นปิดการจราจร จึงไม่ได้ขวางทางคนอื่นแต่อย่างใดเพราะยังมีที่ทางให้เดินอีกมาก
‘นานขนาดไหน’ เนิ่นนานกว่าปรานต์จะเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงแหบแห้ง ตีรณายิ้มน้อยๆ อย่างอับจน เธอส่ายหน้า
‘ไม่มีใครรู้ว่าเราสองคนจะหาคำตอบได้เร็วแค่ไหน แต่ตี้สัญญา เมื่อไรที่ตี้รู้ ต่อให้ตอนนั้นตี้จะอยู่ที่ไหน ตี้จะบอกปรานต์ในตอนนั้นแน่นอน ปรานต์ก็เหมือนกันนะ รู้คำตอบเมื่อไรให้บอกตี้ด้วย ต่อให้ดึก ตี้หลับไปแล้ว ปรานต์ก็ต้องทำให้ตี้ตื่นขึ้นมาให้ได้นะ’ ประโยคสุดท้ายตีรณาเอ่ยติดจะขำแต่ดวงตาพร่างพรายด้วยหยาดน้ำตา
‘นี่มืดแล้ว ปรานต์กลับเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปข้างนอกกับคุณพ่อไม่ใช่หรือ’ ว่าจบ หญิงสาวก็ก้มหน้าลง ไม่อยากสบตาเขาอีก ได้แต่มองดูพื้นซึ่งเห็นแต่ขาสวมรองเท้าผ้าใบของตนเอง และขากางเกงสแล็กกับรองเท้าหนังของเขา
จู่ๆ แรงมหาศาลก็ดึงเธอไปใกล้ รั้งศีรษะเธอไว้พลางก้มลงมาหาอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากเย็นของเขาปัดผ่านเพียงแผ่วเบาบนริมฝีปากนุ่มของเธอและโดยไม่รอปฏิกิริยาของเธอ ปรานต์ก็ผละออกและหันหลังให้เธอเดินออกไปอย่างรวดเร็วจนตีรณาตั้งตัวไม่ติด
สัมผัสที่บ่งบอกแทนคำพูดได้ดียิ่งกว่าใคร สัมผัสที่แสดงความสิ้นหวัง ความเสียใจ และคำบอกลาที่เธอไม่มีโอกาสได้ยิน
ตีรณามองส่งเขาด้วยนัยน์ตาพร่าพราว ร่างสูงของเขากลืนไปกับฝูงชนที่เดินขวักไขว่ แล้วหญิงสาวก็มองหาเขาไม่พบอีก ร่างเล็กนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นโดยไม่สนใจสายตาของผู้คนที่มาเฉลิมฉลองกันอย่างรื่นเริง หญิงสาวร้องให้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา ร้องให้กับความรู้สึกของตนเอง และร้องให้กับ ‘เขา’ ผู้ซึ่งไม่สามารถหลั่งน้ำตาออกมาได้
เลยเที่ยงคืนแล้ว...เวทย์มนตร์ของนางฟ้าสลายไปจนหมดสิ้น
===============================
(มีต่อค่ะ)