ห้วงเวลาแห่งเทพนิยาย: เขาไม่ใช่เจ้าชาย & เธอไม่ใช่ซินเดอเรลล่า
บทที่ 1
http://ppantip.com/topic/36786006
บทที่ 2
http://ppantip.com/topic/36788819
บทที่ 3
http://ppantip.com/topic/36792144
บทที่ 4
http://ppantip.com/topic/36795776
================================
บทที่ 5
ตีรณาแลกบัตรคืนที่ประชาสัมพันธ์ชั้นล่าง เสร็จแล้วก็เดินกลับออกมาจากอาคารด้วยสภาพคอตกแบบที่ไม่ต้องให้ใครบอกเธอก็รู้ตัวเองได้
ขากลับแบบนี้ไม่ต้องขึ้นแท็กซี่ให้เปลืองแล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องรีบร้อนใดๆ อีก หญิงสาวเลยยืนรอรถโดยสารที่อยู่ด้านหน้าตึกสำนักงานซึ่งมีคนรออยู่เช่นเดียวกันกับเธออยู่เกือบสิบคน รถเมล์คันแล้วคันเล่าผ่านไปแต่เธอก็ยังไม่ตัดสินใจจะขึ้น ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของเธอเพราะงั้นรอดูก่อนว่าสายไหนไปที่ไหนได้บ้าง จะได้วางแผนเดินทางถูก
สุดท้ายเมื่อรถปรับอากาศสายหนึ่งที่จะตรงไปยังสถานที่ไม่ไกลจาก อพาร์ทเมนท์ของเธอมาถึง คนอีกจำนวนไม่น้อยต้องการขึ้นเลยต้องเข้าคิวทยอยกันขึ้นไป ตีรณารั้งอยู่ท้ายเพราะขี้เกียจกรูไปแย่งกับคนอื่น ยังไงรถก็มีที่ให้เธอขึ้นแน่นอน พอถึงตอนเธอกำลังก้าวขึ้นบันได จู่ๆ ก็มีแรงกระชากดึงกระเป๋าสะพายใบใหญ่ของเธอจากด้านล่างทำเอาเสียหลักหงายหลังลงมาจากรถ
“ว้าย!”
เสียงอุทานตื่นตกใจของคนรอบข้างรวมทั้งตัวเธอดังระงม หญิงสาวหลับตาปี๋เมื่อคิดว่าศีรษะของเธอคงกระแทกพื้นแน่ๆ ทว่ากลับมีอะไรสักอย่างโอบรัดรอบตัวแน่นหนาจนขาเธอลอยต่องแต่งเหนือพื้น ตีรณาเลยลืมตาแล้วก็ต้องกะพริบตาเมื่อเห็นคอเสื้อเชิ้ตสีอ่อนทาบทับด้วยชุดสูทสีเทาเงิน
“ขอโทษนะครับ”
เสียงพึมพำที่สะท้อนออกมาจากอกนั่นกังวานกล่าวแก่คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหลายที่ร้องตกใจกันถ้วนหน้านั่น กลิ่นหอมบางๆ นั้นช่างคุ้นเคย
ตีรณาจำผู้ชายคนนี้ได้ทันที หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองอย่างตระหนกก็เห็นใบหน้าและสันกรามอีกฝ่ายชัดเจนในระยะประชิดจนเธออ้าปากค้าง
เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน!
เสียงเซ็งแซ่พร้อมกับเสียงแตรรถที่ดังลั่นซึ่งเกิดขึ้นด้านหลังทำให้เธอหันไปมองว่าเมื่อครู่เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง ทว่ายังไม่ทันเห็นอะไร คนที่โอบเธอไว้ก็หมุนตัวบังสายตาเธอไปหมด อุ้มกึ่งหิ้วเธอเดินกลับเข้าไปในอาคารสำนักงานแห่งนั้นอีกรอบ เมื่อตีรณาได้สติก็เงยหน้าบอกเขาทันที
“นี่ปล่อย! ฉันเดินเองได้!”
“ไม่!” เขาตอบทื่อๆ ผิดไปจากความสุภาพใจเย็นตามปกติ สีหน้าเขาดูหงุดหงิดจนเธอต้องหุบปากเงียบลง
ตีรณามองไปรอบข้างก็เห็นอีกหลายคนที่เดินผ่านแล้วมองมา ออฟฟิศส่วนมากคงเลิกงานแล้วคนถึงได้มากมายแบบนี้ ต่อให้คนหน้าหนาแค่ไหนก็ต้องอายกันบ้างล่ะ เธอรีบกระซิบใส่คนที่อุ้มเธอเสียงเขียว
“นี่ปล่อยสิ! คนมองจะแย่แล้ว”
ชายหนุ่มเหลือบมองเธอพลางหันไปมองรอบๆ ด้านบ้าง สายตาของคนอื่นไม่ได้ทำให้ปรานต์สะทกสะท้านเลยแม้แต่นิด กระนั้นเขาก็ยอมตามใจร่างเล็กในอ้อมแขนให้เท้าเธอได้สัมผัสพื้นอีกครั้ง ตีรณาเซไปเล็กน้อยจนเขาต้องจับเธอไว้อีกรอบหนึ่ง
สีหน้าของปรานต์ดูคล้ายหมดความอดทนลงเรื่อยๆ
“ขอบัตรประชาชนด้วย”
หญิงสาวกะพริบตา แล้วมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าเขาพาเธอมาวางแหมะไว้ตรงประชาสัมพันธ์ซึ่งเธอเพิ่งแลกบัตรคืนก่อนจะออกจากอาคารนี้เมื่อครู่นั่นเอง
ตีรณายอมทำตามที่เขาว่าโดยง่าย ไม่อยากให้ตัวเองตกเป็นเป้าสายตามากกว่านี้ เพราะแค่เห็นดวงตาพราวขบขันของประชาสัมพันธ์คนนี้เธอก็แทบวางหน้าไม่ถูกแล้ว
เธอไม่ค่อยมีปัญหากับลิฟต์หรอกนะ ยิ่งลิฟต์อาคารนี้เธอยิ่งรู้สึกว่ามันก็จัดว่ากว้างดีพอให้มีที่หายใจหายคออยู่บ้าง แต่ทำไมพอคนตัวโตข้างหน้ายืนอยู่แค่คนเดียว เธอรู้สึกว่าเจ้าลิฟต์ตัวนี้แคบไปถนัดใจ
รังสีจากร่างสูงของชายหนุ่มซึ่งยืนในลิฟต์หันหลังให้เธอมันแผ่มาจนถึงมุมด้านหลังซึ่งตีรณายึดไว้เป็นฐานที่มั่น ยิ่งเจ้าตัวใส่สูทแล้วทำท่าทางกอดอกราวกับกำลังระงับอาการพลุ่งพล่านจนเธอนึกหวาดหวั่นขึ้นมา เกรงว่าราชสีห์ตัวใหญ่จะหาเรื่องมาตะปบหนูตัวเล็กๆ อย่างเธอได้ทุกเมื่อ
ลิฟต์พาคนทั้งสองไปยังอีกชั้นหนึ่ง สูงกว่าชั้นที่เธอมาเมื่อครู่ ซึ่งคงจะเป็นชั้นที่เขาทำงานจริงๆ ส่วนชั้นล่างเป็นฝ่ายต้อนรับ เมื่อเธอก้าวเข้ามาภายในตัวสำนักงาน กลับไม่เห็นเงาใครแม้แต่คนเดียว
ออฟฟิศชั้นนี้จัดไว้ค่อนข้างโล่ง ห้องทำงานส่วนตัวมีไม่กี่ห้อง ส่วนมากเป็นห้องประชุมเสียมากกว่า ไม่มีวี่แววของพนักงานเดินขวักไขว่แต่อย่างใดจนทำให้ตีรณารู้สึกเหมือนบริษัทร้างทั้งที่ไฟก็สว่างจ้าดูมีชีวิตดีอยู่หรอก
ปรานต์นำเธอตรงไปยังห้องหนึ่ง โดยไม่หันกลับไปมองหญิงสาวที่อยู่เบื้องหลัง ชายหนุ่มเดินผ่านหน้าเลขานุการของเขาซึ่งนั่งทำงานอยู่ ฝ่ายนั้นเห็นเขาก็อ้าปากจะพูดด้วยสีหน้าเกือบร้อนใจ ทว่าก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นร่างเล็กที่เขาบังแทบมิดเข้าพอดี หญิงสาวผู้นั้นเลยหันกลับมามองหน้าเขาอีกครั้งด้วยคำถาม
“เดี๋ยวค่อยคุยกัน” ชายหนุ่มเอ่ยสั้นๆ พลางเปิดประตูผัวะ เดินนำร่างเล็กที่ยังคงเดินตามเขาเข้ามาแล้วชี้ไปยังโซฟาตัวใหญ่ไม่ปล่อยให้เธอสำรวจอะไรทั้งสิ้น
“นั่งรอผมตรงนี้ก่อน เดี๋ยวผมมา”
ว่าจบก็เดินลิ่วๆ กลับออกไป เตรียมจะปิดประตู แต่แล้วร่างสูงนั่นก็ชะงักไปไม่วายสั่งกำชับ
“ห้ามหนีไปไหนด้วยนะ”
แล้วประตูก็ปิดลงสนิท ตีรณาได้แต่กะพริบตาอย่างอัศจรรย์ใจ นี่เขายังจะคิดอีกหรือว่าเธอจะหนีไปไหนได้ในที่แบบนี้
ทั้งที่หวั่นใจแต่หญิงสาวก็อดขบขันกับท่าทางและสีหน้าของเขาไม่ได้ ดูเหมือนเขาคงจะระแวงเพราะเคยโดนเธอทิ้งให้อยู่ในรถแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเมื่อคราวที่แล้ว
ตีรณามองไปรอบๆ เมื่อจำต้องนั่งรอชายหนุ่มในห้องนี้ เห็นได้ชัดว่าที่นี่น่าจะเป็นห้องทำงานของเขา ด้านที่เธอกำลังนั่งนี้ก็คงเป็นส่วนสำหรับรับแขก ประกอบด้วยโซฟาตัวยาวหนึ่งตัว และอาร์มแชร์อีกสองตัวเข้าชุดกัน มีโต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่งอยู่ตรงกลาง
เสียงประตูที่เปิดเข้ามาอีกครั้งทำให้ร่างบางสะดุ้งด้วยอาการตื่นๆ แล้วก็ค่อยโล่งใจเมื่อเห็นหญิงสาวที่อยู่หน้าห้องเมื่อครู่เข้ามาพร้อมกับน้ำเย็นและรอยยิ้มแย้มหวาน พึมพำขอโทษอย่างสุภาพ
แก้วน้ำเย็นจนไอจับวางลงตรงหน้าเธออย่างนุ่มนวล ยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตรจนตีรณาอดยิ้มตอบไม่ได้ หญิงสาวหยิบแก้วขึ้นมาจิบน้ำพลางเลียบเคียงถามเธอในสิ่งที่อยากรู้
“คุณปรานต์ไปไหนหรือคะ”
หญิงสาวผู้นี้เลิกคิ้วราวกับแปลกใจที่เธอไม่รู้ “ติดประชุมค่ะ เมื่อครู่ออกมาข้างนอกก่อน ตอนนี้กลับเข้าไปใหม่แล้ว”
“แล้วอีกนานไหมคะ”
“ไม่แน่นอนค่ะ บางทีอาจจะภายในหนึ่งชั่วโมงก็ได้”
หญิงสาวพยักหน้า เลขานุการสาวสวยมองเธออีกครั้งหนึ่งเหมือนไม่แน่ใจว่าจะยังมีคำถามอีกหรือไม่ แต่พอตีรณานิ่ง เธอจึงขอตัวกลับออกไป
นี่เธอยังต้องรออีกชั่วโมงหนึ่งหลังจากที่เมื่อกี้ก็คอยมาร่วมชั่วโมงแล้วหรือนี่
หญิงสาวชักเริ่มเห็นใจปรานต์ขึ้นมาครามครันเพราะตอนที่เขาไปหาเธอ ดูเหมือนเขาบอกว่ารอเธอมาประมาณสามชั่วโมง นี่ยังไม่รวมช่วงระยะหลังๆ ที่เธอคิดว่าเขาน่าจะมาดักรอจึงใช้ทางออกอื่น เขาจะต้องรอเข้าไปกี่ชั่วโมงโดยที่หาเธอไม่เจอนะ
คิดถึงเรื่องนี้ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ ที่เธอทำกับเขาก็นับว่าโหดเหมือนกัน สมควรอยู่หรอกที่เขาจะโกรธขนาดนี้
ร่างเล็กบางเอนตัวพิงโซฟาด้วยอาการเหนื่อยหน่าย เตรียมจะหยิบงานที่ตั้งใจจะเอากลับไปทำต่อที่บ้านขึ้นมาฆ่าเวลาเสียเลย แต่พอมองไปรอบๆ แล้ว มีอย่างอื่นน่าสนใจกว่าตั้งเยอะ ตีรณาชักเปลี่ยนใจ เก็บงานต่างๆ ลงกระเป๋าเหมือนเดิมแล้วก็กระเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟาหนานุ่ม ชะโงกผ่านตู้โชว์ที่มีโล่เกียรติคุณต่างๆ วางประดับไว้เพื่อแยกเป็นสัดส่วนระหว่างส่วนรับแขกกับส่วนที่ทำงาน
ตีรณาเดินมองซ้ายมองขวาก็เห็นมีแต่ผนังขาวๆ กับตู้เอกสารที่แสนจะน่าเบื่อ เธอเลยเดินเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานกว้างซึ่งก็คงเป็นที่ที่เขานั่ง ด้านหลังโต๊ะนั้นมีมู่ลี่กันแดดซึ่งน่าจะปิดไว้ตั้งแต่กลางวัน
ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กสีหวานวางสงบอยู่ด้านหนึ่งของโต๊ะทำงานเขา หญิงสาวมองด้วยความรู้สึกหลากใจเมื่อเห็นเจ้าผ้าที่ปรานต์ยึดจากเธอไปในวันนั้น
นึกว่าทิ้งไปแล้วเสียอีก
สิ่งนี้ว่าเรียกความสนใจเธอแล้ว แต่สิ่งที่เรียกความสนใจให้กับเธอมากที่สุดกลับเป็นรูปภาพรูปหนึ่งที่แขวนอยู่กำแพงอีกด้านหนึ่ง ซึ่งดูแล้วไม่ค่อยเข้ากับการตกแต่งอื่นๆ ภายในห้องเอาเสียเลย
ภาพของพ่อแม่ลูกที่เธอชอบในแกลอรี่ซึ่งเคยไปบ่อยเมื่อตอนอยู่ที่ทำงานเก่า
ตีรณาเดินเข้าไปพิจารณาอีกครั้งอีกครั้งเพื่อความมั่นใจทั้งที่รู้ว่าเธอเข้าใจไม่ผิดแน่นอน ผลงานที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวนี้สร้างสรรค์โดยศิลปินไร้ชื่อ ไม่มีใครคิดจะทำเลียนแบบขึ้นมาอยู่แล้ว
แต่ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
เสียงเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามาเรียกให้เธอหันไปมอง คิดว่าคงจะเป็นหญิงสาวสวยหน้าห้องคนนั้น แต่แล้วร่างบางก็ต้องชะงักไปเมื่อคนที่เข้ามาคือชายหนุ่มเจ้าของห้องแทน
ไหนบอกว่าอีกชั่วโมงหนึ่งไง มันยังไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ
ปรานต์เองก็ชะงักไปเช่นกันเมื่อสบตาเธอเข้าพอดี นิ่งไปไม่กี่วินาทีแล้วก็เป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีเธอไปเสีย เขาถอดสูทสีเข้มและคลายเนกไทที่สวมอยู่ออกแล้วเดินมายังโต๊ะทำงานของเขา วางเสื้อนอกและเนกไทเส้นนั้นพาดกับเก้าอี้ ตีรณาได้แต่มองตามโดยพูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่หนึ่ง
ท่าทีของเขาทำเอาระย่นย่อไป หากคำถามแรกของเขาเป็นน้ำเสียงเย็นชาที่ถามว่าเธอมาที่นี่ทำไม ตีรณาก็คงไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีกเลย
“ท่าทางคุณชอบภาพนี้มากนะครับตี้”
อาจจะด้วยหางเสียงที่ไม่ได้มีเย็นชาอย่างที่จินตนาการเอาไว้ ตีรณาจึงโล่งใจจนขาแทบจะอ่อนแรงตรงนั้น หญิงสาวต้องใช้เวลาครู่หนึ่งจึงค่อยสามารถหันกลับไปมองภาพที่เขากล่าวถึง ไม่ได้ตอบแต่กลับตั้งคำถามขึ้นแทน
“คุณได้ภาพนี้มาจากแกลอรี่แถวสุขุมวิทใช่ไหมคะ” ตีรณาหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ หญิงสาวจึงกล่าวเพิ่มเติม
“ที่จริงตอนที่ฉันทำงานที่เก่า ฉันชอบไปแกลอรี่นี้มากเลย เขามีน่าสนใจเยอะ ส่วนภาพนี้เป็นภาพที่ฉันชอบที่สุดแต่ไม่มีโอกาสซื้อมาแขวนไว้ที่ห้อง หลังเปลี่ยนที่ทำงานก็ไม่ได้ไปที่แกลอรี่นั่นอีกเลย ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เห็นภาพนี้อีกครั้งหนึ่งในห้องทำงานของคุณ”
เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่ชอบ ตีรณาก็กลับคืนเป็นตัวของตัวเองในที่สุด หญิงสาวหันไปยิ้มให้เขา
ใบหน้าที่เอียงมาหาน้อยๆ ดูอ่อนละมุน รอยแย้มแจ่มใสจนดวงตาเป็นประกายเรียกร้องให้ชายหนุ่มสืบเท้าเข้าไปใกล้ร่างเล็กนั้น ลืมตัวลืมใจจนหมดสิ้น สวมกอดเธอจากด้านหลัง
ร่างเล็กนั่นนุ่มหอมละมุนละไมราวกลีบดอกไม้และกลิ่นหอมหวาน ชายหนุ่มสัมผัสอาการเกร็งของอีกฝ่ายได้ทันที แต่หญิงสาวก็ไม่ได้หลีกลี้ปัดป้อง ปรานต์จึงก้มลงเคลียใบหน้าอยู่ที่ริมหูของเธอเอ่ยถามด้วยเสียงนุ่มเบา
“คุณรู้ไหมว่าทำไมผมซื้อรูปนี้”
จะให้เธอตอบอะไรได้ แค่ระงับอาการสั่นยังไม่ได้เลย ไม่คิดว่าเขาจะเข้ามาใกล้ขนาดนี้ เธอรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกทั้งที่อ้อมแขนนั่นไม่ได้รัดรึงแน่นหนาแต่อย่างใด
ในความเงียบ เขาได้ยินเสียงหัวใจสั่นระรัวของเธอหรือไม่
ห้วงเวลาแห่งเทพนิยาย : เขาไม่ใช่เจ้าชาย & เธอไม่ใช่ซินเดอเรลล่า บทที่ 5 (จบ)
บทที่ 1 http://ppantip.com/topic/36786006
บทที่ 2 http://ppantip.com/topic/36788819
บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/36792144
บทที่ 4 http://ppantip.com/topic/36795776
================================
บทที่ 5
ตีรณาแลกบัตรคืนที่ประชาสัมพันธ์ชั้นล่าง เสร็จแล้วก็เดินกลับออกมาจากอาคารด้วยสภาพคอตกแบบที่ไม่ต้องให้ใครบอกเธอก็รู้ตัวเองได้
ขากลับแบบนี้ไม่ต้องขึ้นแท็กซี่ให้เปลืองแล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องรีบร้อนใดๆ อีก หญิงสาวเลยยืนรอรถโดยสารที่อยู่ด้านหน้าตึกสำนักงานซึ่งมีคนรออยู่เช่นเดียวกันกับเธออยู่เกือบสิบคน รถเมล์คันแล้วคันเล่าผ่านไปแต่เธอก็ยังไม่ตัดสินใจจะขึ้น ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของเธอเพราะงั้นรอดูก่อนว่าสายไหนไปที่ไหนได้บ้าง จะได้วางแผนเดินทางถูก
สุดท้ายเมื่อรถปรับอากาศสายหนึ่งที่จะตรงไปยังสถานที่ไม่ไกลจาก อพาร์ทเมนท์ของเธอมาถึง คนอีกจำนวนไม่น้อยต้องการขึ้นเลยต้องเข้าคิวทยอยกันขึ้นไป ตีรณารั้งอยู่ท้ายเพราะขี้เกียจกรูไปแย่งกับคนอื่น ยังไงรถก็มีที่ให้เธอขึ้นแน่นอน พอถึงตอนเธอกำลังก้าวขึ้นบันได จู่ๆ ก็มีแรงกระชากดึงกระเป๋าสะพายใบใหญ่ของเธอจากด้านล่างทำเอาเสียหลักหงายหลังลงมาจากรถ
“ว้าย!”
เสียงอุทานตื่นตกใจของคนรอบข้างรวมทั้งตัวเธอดังระงม หญิงสาวหลับตาปี๋เมื่อคิดว่าศีรษะของเธอคงกระแทกพื้นแน่ๆ ทว่ากลับมีอะไรสักอย่างโอบรัดรอบตัวแน่นหนาจนขาเธอลอยต่องแต่งเหนือพื้น ตีรณาเลยลืมตาแล้วก็ต้องกะพริบตาเมื่อเห็นคอเสื้อเชิ้ตสีอ่อนทาบทับด้วยชุดสูทสีเทาเงิน
“ขอโทษนะครับ”
เสียงพึมพำที่สะท้อนออกมาจากอกนั่นกังวานกล่าวแก่คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหลายที่ร้องตกใจกันถ้วนหน้านั่น กลิ่นหอมบางๆ นั้นช่างคุ้นเคย
ตีรณาจำผู้ชายคนนี้ได้ทันที หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองอย่างตระหนกก็เห็นใบหน้าและสันกรามอีกฝ่ายชัดเจนในระยะประชิดจนเธออ้าปากค้าง
เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน!
เสียงเซ็งแซ่พร้อมกับเสียงแตรรถที่ดังลั่นซึ่งเกิดขึ้นด้านหลังทำให้เธอหันไปมองว่าเมื่อครู่เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง ทว่ายังไม่ทันเห็นอะไร คนที่โอบเธอไว้ก็หมุนตัวบังสายตาเธอไปหมด อุ้มกึ่งหิ้วเธอเดินกลับเข้าไปในอาคารสำนักงานแห่งนั้นอีกรอบ เมื่อตีรณาได้สติก็เงยหน้าบอกเขาทันที
“นี่ปล่อย! ฉันเดินเองได้!”
“ไม่!” เขาตอบทื่อๆ ผิดไปจากความสุภาพใจเย็นตามปกติ สีหน้าเขาดูหงุดหงิดจนเธอต้องหุบปากเงียบลง
ตีรณามองไปรอบข้างก็เห็นอีกหลายคนที่เดินผ่านแล้วมองมา ออฟฟิศส่วนมากคงเลิกงานแล้วคนถึงได้มากมายแบบนี้ ต่อให้คนหน้าหนาแค่ไหนก็ต้องอายกันบ้างล่ะ เธอรีบกระซิบใส่คนที่อุ้มเธอเสียงเขียว
“นี่ปล่อยสิ! คนมองจะแย่แล้ว”
ชายหนุ่มเหลือบมองเธอพลางหันไปมองรอบๆ ด้านบ้าง สายตาของคนอื่นไม่ได้ทำให้ปรานต์สะทกสะท้านเลยแม้แต่นิด กระนั้นเขาก็ยอมตามใจร่างเล็กในอ้อมแขนให้เท้าเธอได้สัมผัสพื้นอีกครั้ง ตีรณาเซไปเล็กน้อยจนเขาต้องจับเธอไว้อีกรอบหนึ่ง
สีหน้าของปรานต์ดูคล้ายหมดความอดทนลงเรื่อยๆ
“ขอบัตรประชาชนด้วย”
หญิงสาวกะพริบตา แล้วมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าเขาพาเธอมาวางแหมะไว้ตรงประชาสัมพันธ์ซึ่งเธอเพิ่งแลกบัตรคืนก่อนจะออกจากอาคารนี้เมื่อครู่นั่นเอง
ตีรณายอมทำตามที่เขาว่าโดยง่าย ไม่อยากให้ตัวเองตกเป็นเป้าสายตามากกว่านี้ เพราะแค่เห็นดวงตาพราวขบขันของประชาสัมพันธ์คนนี้เธอก็แทบวางหน้าไม่ถูกแล้ว
เธอไม่ค่อยมีปัญหากับลิฟต์หรอกนะ ยิ่งลิฟต์อาคารนี้เธอยิ่งรู้สึกว่ามันก็จัดว่ากว้างดีพอให้มีที่หายใจหายคออยู่บ้าง แต่ทำไมพอคนตัวโตข้างหน้ายืนอยู่แค่คนเดียว เธอรู้สึกว่าเจ้าลิฟต์ตัวนี้แคบไปถนัดใจ
รังสีจากร่างสูงของชายหนุ่มซึ่งยืนในลิฟต์หันหลังให้เธอมันแผ่มาจนถึงมุมด้านหลังซึ่งตีรณายึดไว้เป็นฐานที่มั่น ยิ่งเจ้าตัวใส่สูทแล้วทำท่าทางกอดอกราวกับกำลังระงับอาการพลุ่งพล่านจนเธอนึกหวาดหวั่นขึ้นมา เกรงว่าราชสีห์ตัวใหญ่จะหาเรื่องมาตะปบหนูตัวเล็กๆ อย่างเธอได้ทุกเมื่อ
ลิฟต์พาคนทั้งสองไปยังอีกชั้นหนึ่ง สูงกว่าชั้นที่เธอมาเมื่อครู่ ซึ่งคงจะเป็นชั้นที่เขาทำงานจริงๆ ส่วนชั้นล่างเป็นฝ่ายต้อนรับ เมื่อเธอก้าวเข้ามาภายในตัวสำนักงาน กลับไม่เห็นเงาใครแม้แต่คนเดียว
ออฟฟิศชั้นนี้จัดไว้ค่อนข้างโล่ง ห้องทำงานส่วนตัวมีไม่กี่ห้อง ส่วนมากเป็นห้องประชุมเสียมากกว่า ไม่มีวี่แววของพนักงานเดินขวักไขว่แต่อย่างใดจนทำให้ตีรณารู้สึกเหมือนบริษัทร้างทั้งที่ไฟก็สว่างจ้าดูมีชีวิตดีอยู่หรอก
ปรานต์นำเธอตรงไปยังห้องหนึ่ง โดยไม่หันกลับไปมองหญิงสาวที่อยู่เบื้องหลัง ชายหนุ่มเดินผ่านหน้าเลขานุการของเขาซึ่งนั่งทำงานอยู่ ฝ่ายนั้นเห็นเขาก็อ้าปากจะพูดด้วยสีหน้าเกือบร้อนใจ ทว่าก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นร่างเล็กที่เขาบังแทบมิดเข้าพอดี หญิงสาวผู้นั้นเลยหันกลับมามองหน้าเขาอีกครั้งด้วยคำถาม
“เดี๋ยวค่อยคุยกัน” ชายหนุ่มเอ่ยสั้นๆ พลางเปิดประตูผัวะ เดินนำร่างเล็กที่ยังคงเดินตามเขาเข้ามาแล้วชี้ไปยังโซฟาตัวใหญ่ไม่ปล่อยให้เธอสำรวจอะไรทั้งสิ้น
“นั่งรอผมตรงนี้ก่อน เดี๋ยวผมมา”
ว่าจบก็เดินลิ่วๆ กลับออกไป เตรียมจะปิดประตู แต่แล้วร่างสูงนั่นก็ชะงักไปไม่วายสั่งกำชับ
“ห้ามหนีไปไหนด้วยนะ”
แล้วประตูก็ปิดลงสนิท ตีรณาได้แต่กะพริบตาอย่างอัศจรรย์ใจ นี่เขายังจะคิดอีกหรือว่าเธอจะหนีไปไหนได้ในที่แบบนี้
ทั้งที่หวั่นใจแต่หญิงสาวก็อดขบขันกับท่าทางและสีหน้าของเขาไม่ได้ ดูเหมือนเขาคงจะระแวงเพราะเคยโดนเธอทิ้งให้อยู่ในรถแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเมื่อคราวที่แล้ว
ตีรณามองไปรอบๆ เมื่อจำต้องนั่งรอชายหนุ่มในห้องนี้ เห็นได้ชัดว่าที่นี่น่าจะเป็นห้องทำงานของเขา ด้านที่เธอกำลังนั่งนี้ก็คงเป็นส่วนสำหรับรับแขก ประกอบด้วยโซฟาตัวยาวหนึ่งตัว และอาร์มแชร์อีกสองตัวเข้าชุดกัน มีโต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่งอยู่ตรงกลาง
เสียงประตูที่เปิดเข้ามาอีกครั้งทำให้ร่างบางสะดุ้งด้วยอาการตื่นๆ แล้วก็ค่อยโล่งใจเมื่อเห็นหญิงสาวที่อยู่หน้าห้องเมื่อครู่เข้ามาพร้อมกับน้ำเย็นและรอยยิ้มแย้มหวาน พึมพำขอโทษอย่างสุภาพ
แก้วน้ำเย็นจนไอจับวางลงตรงหน้าเธออย่างนุ่มนวล ยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตรจนตีรณาอดยิ้มตอบไม่ได้ หญิงสาวหยิบแก้วขึ้นมาจิบน้ำพลางเลียบเคียงถามเธอในสิ่งที่อยากรู้
“คุณปรานต์ไปไหนหรือคะ”
หญิงสาวผู้นี้เลิกคิ้วราวกับแปลกใจที่เธอไม่รู้ “ติดประชุมค่ะ เมื่อครู่ออกมาข้างนอกก่อน ตอนนี้กลับเข้าไปใหม่แล้ว”
“แล้วอีกนานไหมคะ”
“ไม่แน่นอนค่ะ บางทีอาจจะภายในหนึ่งชั่วโมงก็ได้”
หญิงสาวพยักหน้า เลขานุการสาวสวยมองเธออีกครั้งหนึ่งเหมือนไม่แน่ใจว่าจะยังมีคำถามอีกหรือไม่ แต่พอตีรณานิ่ง เธอจึงขอตัวกลับออกไป
นี่เธอยังต้องรออีกชั่วโมงหนึ่งหลังจากที่เมื่อกี้ก็คอยมาร่วมชั่วโมงแล้วหรือนี่
หญิงสาวชักเริ่มเห็นใจปรานต์ขึ้นมาครามครันเพราะตอนที่เขาไปหาเธอ ดูเหมือนเขาบอกว่ารอเธอมาประมาณสามชั่วโมง นี่ยังไม่รวมช่วงระยะหลังๆ ที่เธอคิดว่าเขาน่าจะมาดักรอจึงใช้ทางออกอื่น เขาจะต้องรอเข้าไปกี่ชั่วโมงโดยที่หาเธอไม่เจอนะ
คิดถึงเรื่องนี้ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ ที่เธอทำกับเขาก็นับว่าโหดเหมือนกัน สมควรอยู่หรอกที่เขาจะโกรธขนาดนี้
ร่างเล็กบางเอนตัวพิงโซฟาด้วยอาการเหนื่อยหน่าย เตรียมจะหยิบงานที่ตั้งใจจะเอากลับไปทำต่อที่บ้านขึ้นมาฆ่าเวลาเสียเลย แต่พอมองไปรอบๆ แล้ว มีอย่างอื่นน่าสนใจกว่าตั้งเยอะ ตีรณาชักเปลี่ยนใจ เก็บงานต่างๆ ลงกระเป๋าเหมือนเดิมแล้วก็กระเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟาหนานุ่ม ชะโงกผ่านตู้โชว์ที่มีโล่เกียรติคุณต่างๆ วางประดับไว้เพื่อแยกเป็นสัดส่วนระหว่างส่วนรับแขกกับส่วนที่ทำงาน
ตีรณาเดินมองซ้ายมองขวาก็เห็นมีแต่ผนังขาวๆ กับตู้เอกสารที่แสนจะน่าเบื่อ เธอเลยเดินเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานกว้างซึ่งก็คงเป็นที่ที่เขานั่ง ด้านหลังโต๊ะนั้นมีมู่ลี่กันแดดซึ่งน่าจะปิดไว้ตั้งแต่กลางวัน
ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กสีหวานวางสงบอยู่ด้านหนึ่งของโต๊ะทำงานเขา หญิงสาวมองด้วยความรู้สึกหลากใจเมื่อเห็นเจ้าผ้าที่ปรานต์ยึดจากเธอไปในวันนั้น
นึกว่าทิ้งไปแล้วเสียอีก
สิ่งนี้ว่าเรียกความสนใจเธอแล้ว แต่สิ่งที่เรียกความสนใจให้กับเธอมากที่สุดกลับเป็นรูปภาพรูปหนึ่งที่แขวนอยู่กำแพงอีกด้านหนึ่ง ซึ่งดูแล้วไม่ค่อยเข้ากับการตกแต่งอื่นๆ ภายในห้องเอาเสียเลย
ภาพของพ่อแม่ลูกที่เธอชอบในแกลอรี่ซึ่งเคยไปบ่อยเมื่อตอนอยู่ที่ทำงานเก่า
ตีรณาเดินเข้าไปพิจารณาอีกครั้งอีกครั้งเพื่อความมั่นใจทั้งที่รู้ว่าเธอเข้าใจไม่ผิดแน่นอน ผลงานที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวนี้สร้างสรรค์โดยศิลปินไร้ชื่อ ไม่มีใครคิดจะทำเลียนแบบขึ้นมาอยู่แล้ว
แต่ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
เสียงเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามาเรียกให้เธอหันไปมอง คิดว่าคงจะเป็นหญิงสาวสวยหน้าห้องคนนั้น แต่แล้วร่างบางก็ต้องชะงักไปเมื่อคนที่เข้ามาคือชายหนุ่มเจ้าของห้องแทน
ไหนบอกว่าอีกชั่วโมงหนึ่งไง มันยังไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ
ปรานต์เองก็ชะงักไปเช่นกันเมื่อสบตาเธอเข้าพอดี นิ่งไปไม่กี่วินาทีแล้วก็เป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีเธอไปเสีย เขาถอดสูทสีเข้มและคลายเนกไทที่สวมอยู่ออกแล้วเดินมายังโต๊ะทำงานของเขา วางเสื้อนอกและเนกไทเส้นนั้นพาดกับเก้าอี้ ตีรณาได้แต่มองตามโดยพูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่หนึ่ง
ท่าทีของเขาทำเอาระย่นย่อไป หากคำถามแรกของเขาเป็นน้ำเสียงเย็นชาที่ถามว่าเธอมาที่นี่ทำไม ตีรณาก็คงไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีกเลย
“ท่าทางคุณชอบภาพนี้มากนะครับตี้”
อาจจะด้วยหางเสียงที่ไม่ได้มีเย็นชาอย่างที่จินตนาการเอาไว้ ตีรณาจึงโล่งใจจนขาแทบจะอ่อนแรงตรงนั้น หญิงสาวต้องใช้เวลาครู่หนึ่งจึงค่อยสามารถหันกลับไปมองภาพที่เขากล่าวถึง ไม่ได้ตอบแต่กลับตั้งคำถามขึ้นแทน
“คุณได้ภาพนี้มาจากแกลอรี่แถวสุขุมวิทใช่ไหมคะ” ตีรณาหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ หญิงสาวจึงกล่าวเพิ่มเติม
“ที่จริงตอนที่ฉันทำงานที่เก่า ฉันชอบไปแกลอรี่นี้มากเลย เขามีน่าสนใจเยอะ ส่วนภาพนี้เป็นภาพที่ฉันชอบที่สุดแต่ไม่มีโอกาสซื้อมาแขวนไว้ที่ห้อง หลังเปลี่ยนที่ทำงานก็ไม่ได้ไปที่แกลอรี่นั่นอีกเลย ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เห็นภาพนี้อีกครั้งหนึ่งในห้องทำงานของคุณ”
เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่ชอบ ตีรณาก็กลับคืนเป็นตัวของตัวเองในที่สุด หญิงสาวหันไปยิ้มให้เขา
ใบหน้าที่เอียงมาหาน้อยๆ ดูอ่อนละมุน รอยแย้มแจ่มใสจนดวงตาเป็นประกายเรียกร้องให้ชายหนุ่มสืบเท้าเข้าไปใกล้ร่างเล็กนั้น ลืมตัวลืมใจจนหมดสิ้น สวมกอดเธอจากด้านหลัง
ร่างเล็กนั่นนุ่มหอมละมุนละไมราวกลีบดอกไม้และกลิ่นหอมหวาน ชายหนุ่มสัมผัสอาการเกร็งของอีกฝ่ายได้ทันที แต่หญิงสาวก็ไม่ได้หลีกลี้ปัดป้อง ปรานต์จึงก้มลงเคลียใบหน้าอยู่ที่ริมหูของเธอเอ่ยถามด้วยเสียงนุ่มเบา
“คุณรู้ไหมว่าทำไมผมซื้อรูปนี้”
จะให้เธอตอบอะไรได้ แค่ระงับอาการสั่นยังไม่ได้เลย ไม่คิดว่าเขาจะเข้ามาใกล้ขนาดนี้ เธอรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกทั้งที่อ้อมแขนนั่นไม่ได้รัดรึงแน่นหนาแต่อย่างใด
ในความเงียบ เขาได้ยินเสียงหัวใจสั่นระรัวของเธอหรือไม่