<<< ตอนก่อนหน้า :
http://ppantip.com/topic/33004651
บทที่ 9 (1/2)
หน้าให้กับน้ำเสียงหงุดหงิดของคนในห้องลองเสื้อ ก่อนจะแอบบ่นเบาๆ กับตัวเองด้วยความรำคาญ “มันจะอะไรกันนักหนา” ก่อนจะร้องบอกให้ชายหนุ่มเปิดประตูให้เธอเข้าไปข้างใน และเมื่อเข้าไปอยู่ด้วยกันสองต่อสองภายในห้องแคบๆ เธอก็จับชายหนุ่มหมุนไปหมุนมา แล้วเธอก็เข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมเขาถึงต้องให้เธอเข้ามาดูเอง
เอวได้ พอดีเป๊ะ...แต่ขากางเกง...เหมือนจะเตรียมรับมือน้ำท่วม
หญิงสาวหัวเราะขำผู้ชายตัวโตกับกางเกงยีนส์ขาลอยออกมาเบาๆ แต่เมื่อเห็นอาการชักสีหน้าของเขา เธอก็ยื่นถุงกางเกงตัวใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวที่ชายหนุ่มใส่อยู่ให้เขาลองอีกครั้ง “งั้นลองตัวนี้”
จบคำของหญิงสาว ชายหนุ่มก็จัดการรูดกางเกงยีนส์ขาลอยลงมากองต่อหน้าต่อตากุลสตรีในทันที อย่างไร้ซึ่งความกระดากอาย
“เฮ้ยยย...” กุลสตรีหนึ่งเดียวในห้องลองเสื้อร้องเสียงหลงออกมาแทบจะทันทีที่เห็นการกระทำอันไม่มีมารยาทของสุภาพบุรุษ
แต่แทนที่สุภาพบุรุษจะทุกข์ร้อน เขากลับยืนค้างในท่าที่มือข้างหนึ่งเท้าผนังห้อง ส่วนอีกข้างกำลังดึงขากางเกงออก ไม่พยายามจะขยับปกปิดหรือทำอะไรทั้งนั้น
กุลสตรีที่ไม่อยากเห็นจึงต้องเป็นฝ่ายหันหลังหนีแทน พร้อมกับต่อว่าเขาเสียงดัง “ทุเรศที่สุด ท่านเคยอายอะไรบ้างไหมเนี่ย”
“น่าอายตรงไหน”
น้ำเสียงกลั้วหัวเราะที่ถามออกมานั้น ทำให้ศศิธรนึกอยากจะหาอะไรมาตีแสกหน้าอินทุสักทีสองที กับความกวนนิ่งๆ ของเขา แต่ยังไม่ทันที่เธอจะคิดหาอะไรใกล้มือมาตีแสกหน้าเขา ก็ได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะเอ่ยออกมาอีกครั้ง “หันมาได้แล้ว”
ศศิธรหันกลับมาสำรวจชายหนุ่มอีกหน โดยพยายามไม่เอ่ยต่อล้อต่อเถียงอะไรให้มากความ เพราะอยากให้การลองกางเกงจบลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อเห็นว่ากางเกงยีนส์ตัวใหม่บนตัวอินทุมันพอดิบพอดีกับชายหนุ่มแล้ว ก็เอ่ยตัดสินใจให้ในทันที “งั้นเอาตัวนี้แหละ”
แต่ก่อนที่จะพากันขยับออกไปจากห้องแคบๆ ชายหนุ่มก็ล้วงมือลงไปในถุงเพื่อหยิบกางเกงสีขาวตัวเล็กสามตัวที่นอนแอ้งแม้งอยู่ก้นถุงออกมาถามหญิงสาวด้วยความสงสัย “แล้วนี่...ข้าต้องลองใส่มันให้เจ้าดูด้วยหรือเปล่า”
“มะ...ไม่...ไม่ต้อง” ศศิธรรีบร้องห้ามเสียงหลง “ขะ...ข้า...ข้าเอาไซส์เดียวกับของพี่ภูมาให้ท่าน ไซส์เดียวกับตัวที่ท่านใส่นั่นแหละ เสร็จแล้วก็รีบเปลี่ยนใส่กางเกงตัวเดิม แล้วตามข้าออกมา” พูดจบ ศศิธรก็รีบแย่งถุงกระดาษกับกางเกงตัวจิ๋วสีขาวในมือชายหนุ่มมาถือไว้ซะเอง แล้วก็รีบร้อนเปิดประตูเดินนำชายหนุ่มออกมาจากห้องลองเสื้อทันที เพราะนึกกลัวว่าอินทุจะถอดกางเกงชั้นใน แล้วลองใส่ต่อหน้าต่อตาเธอ...เพียงแค่คิด หน้าก็ร้อนแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
เมื่อหญิงสาวข่มความคิดชวนหน้าแดงเกี่ยวกับชายหนุ่มลงได้บ้างแล้ว ก็เดินไปเลือกกางเกงยีนส์ให้เขาเพิ่มอีกหนึ่งตัว กางเกงขาสั้นแค่เข่าสำหรับใส่อยู่บ้านอีกสามตัว แล้วก็ไปชำระเงินค่าเสื้อและกางเกงทั้งหมดที่เลือกไว้ จากนั้นเธอก็เดินนำไปยังแผนกของใช้ โดยมีชายหนุ่มร่างยักษ์เดินยิ้มกริ่มตามหลังมาติดๆ
“นี่อะไร” อินทุถามขึ้น เพียงเพื่อจะชวนหญิงสาวที่ยืนเลือกอะไรสักอย่างอยู่คุยเท่านั้น เพราะเธอไม่สนใจเขาเลยสักนิด ตั้งแต่เขาออกมาจากห้องลองเสื้อแล้ว
“ครีมโกนหนวดกับมีดโกนหนวด...เอาไว้โกนหนวดเครา”...ที่มันรกๆ ของท่านนั่นแหละ
ศศิธรเอ่ยต่อประโยคนี้เพียงในใจเท่านั้น เพราะเธอไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดกับชายหนุ่มที่มีสีหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มตลอดเวลาเมื่อเห็นหน้าแดงๆ ของเธอ
“แล้วอันนี้ล่ะ” อินทุยังคงชวนคุย ด้วยการหยิบของในตะกร้าที่เธอเพิ่งจะหยิบมาโยนใส่ลงในตะกร้าที่เขาเป็นคนแย่งจากมือเธอมาถือไว้เองขึ้นมาถาม
“โฟมล้างหน้า...เอาไว้ล้างหน้า”
“แล้วอันนี้”
“ผ้าอนามัย...เอาไว้...เฮ้ยยย” ศศิธรเอามือตะครุบของใช้ส่วนตัวของเธอในมือของชายหนุ่มแทบจะทันที “อันนี้มันของข้า! เลิกถาม...แล้วก็เดินตามมาเฉยๆ”
หลังจากที่อินทุพยายามเดินตามหญิงสาวอยู่เงียบๆ จนเธอซื้อของเสร็จ แล้วพากันเดินตามกันกลับมาที่ลานจอดรถภายในห้างสรรพสินค้า เขาก็เปรยออกมาเบาๆ เมื่อได้เห็นข้าวของเครื่องใช้ที่ทันสมัย หลากหลายไปด้วยประโยชน์ใช้สอยมากมายในสถานที่แห่งนี้
“ที่กลาพิมพ์...ที่ๆ ข้าอยู่ ไม่มีอะไรแบบนี้เลย”
“กลาพิมพ์...” หญิงสาวหยุดเดินกะทันหันเมื่อได้ยินชายหนุ่มพูดออกมาเช่นนั้น และเหมือนเธอจะเพิ่งนึกอะไรออก หลังจากที่วันนี้คร่ำเคร่งอ่านหนังสือมาตลอดทั้งวัน “ที่ๆ ท่านอยู่...ใช่แล้ว! ท่านต้องข้ามเวลามาจากเมื่อห้าร้อยปีก่อนแน่ๆ เพราะท่านรู้จักโรคเกร็ดพิษ ท่านรู้จักหญ้าอาบจันทร์ แล้วท่านก็อ่านภาษาโบราณเมื่อห้าร้อยปีก่อนได้” ศศิธรหันมาเขย่าแขนชายหนุ่มที่มือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้มากมายเบาๆ ด้วยความตื่นเต้นดีใจ เมื่อเธอได้พบชิ้นส่วนของจิ๊กซอแล้วหนึ่งชิ้น
ซึ่งต่อจากนี้ไป...เธอจะเริ่มค้นหาบางสิ่งจากเขานี่แหละ
“หือ” ชายหนุ่มครางเบาๆ ในลำคอเพราะยังงงกับประโยคยาวๆ ของเธอที่หันมาพูดกับเขาอย่างกะทันหันอยู่
“ท่านต้องถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือแม่ข้าแน่ๆ พระจันทร์ต้องมอบท่านมาคอยช่วยเหลือข้าเป็นแน่” ศศิธรเอ่ยย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ ก่อนจะหันมาให้คำมั่นสัญญาแก่ชายหนุ่มแห่งเมืองกลาพิมพ์ด้วยแววตามุ่งมั่น “และถ้าท่านถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือแม่ข้าจริงๆ ข้าก็จะช่วยหาวิธีพาท่านกลับบ้านเอง”
///////////////////////////////////
“ไปไหนกันมา!”
หญิงสาวที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้องรับแขกสะดุ้งโหยงกับคำทักทายห้วนๆ ของภูผา ก่อนจะค่อยๆ หันมาตอบคำถามของเขาด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดที่กลับบ้านผิดเวลา “พี่ภู...เราไปหอสมุดกันมาค่ะ”
“แล้วทำไมกลับดึก” ภูผาถาม แล้วก็หรี่ตามองน้องสาวที่ก้มหน้าหลบสายตาของเขา พร้อมกับมองเลยไปยังชายหนุ่มอีกคนที่กำลังเดินตามน้องสาวของเขาเข้ามาในบ้าน ชายหนุ่มที่กำลังมองตรงมาที่เขาด้วยสายตามั่นคง ซึ่งไม่ได้รู้สึกเลยสักนิดว่ากำลังโดนเขาจับผิดอยู่...หรือรู้ แต่ไม่กลัว
“เอ่อ...ก็ศศิแวะซื้อของ แล้วก็แวะกินข้าวก่อนกลับ”
“แล้วทำไมไม่โทร. บอกพี่”
“ศศิคิดว่าพี่ภูจะกลับดึกเหมือนทุกวันนี่คะ” หญิงสาวที่กำลังถูกจับผิดเอ่ยออกมาอย่างมีแง่งอน เพราะโดยปกติแล้วพี่ชายของเธอจะกลับบ้านค่ำมืดเป็นประจำอยู่แล้ว ทว่าเมื่อหันไปเห็นสาวน้อยพยาบาลพิเศษกึ่งนั่งกึ่งนอนเอนพิงอยู่ตรงโซฟาตัวเดียวกันกับพี่ชาย เธอก็ไม่ปล่อยโอกาสให้พี่ชายจับผิดเธอแต่เพียงฝ่ายเดียว “นกน้อย...ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้”
“เอ่อ...คงจะรอศศิจนเผลอหลับไป”
ตอนนี้กลายเป็นฝ่ายพี่ชายที่ก้มหลบสายตาของน้องสาว แล้วก็เสมองเมินไปยังหญิงสาวที่กึ่งนั่งกึ่งนอนถัดไปจากเขา ตั้งแต่ภูผากลับเข้ามาในบ้าน เขาก็เห็นนกน้อยฟุบหน้านอนหลับอยู่กับพื้น เขาจึงจัดการอุ้มขยับหญิงสาวให้ขึ้นมานอนบนโซฟาในท่าที่สบายขึ้น แล้วก็เผลอนั่งมองหญิงสาวอยู่นาน จนกระทั่งได้ยินเสียงรถของน้องสาวเข้ามาจอดภายในบ้าน
ทว่าเมื่อพี่ชายเงยหน้าขึ้นมาเห็นสายตาจับจ้องของน้องสาว ที่ยังคงมองมาที่เขาไม่วางตา ภูผาก็เสเปลี่ยนเรื่องให้ไกลตัวไกลใจไกลจากสิ่งที่น้องสาวกำลังคิด “ไปหอสมุดกันมา แล้วได้เรื่องอะไรไหม”
ศศิธรยิ้มขำกับอาการเก้อกระดากของพี่ชายยามเมื่อเผลอมองนกน้อยด้วยแววตาอ่อนโยน แต่เธอก็ยอมเปลี่ยนเรื่อง เพราะมีสิ่งที่สำคัญที่เธอเพิ่งจะค้นพบรออยู่ เธอจึงเดินไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ พี่ชายขี้เก๊กพร้อมกับเปิดหนังสือที่คั่นหน้าไว้เล่มหนึ่งให้พี่ชายได้ดู “ได้ค่ะ นี่ไงคะ ต้นหญ้าแบบนี้ที่จะช่วยรักษาแม่ได้”
“แล้วเราจะไปหามันได้ที่ไหน”
“มันขึ้นในป่าลึกบนภูเขาหินปูน” ศศิธรอธิบายสิ่งที่ค้นหามาได้ในวันนี้ให้พี่ชายได้ฟัง
“เดี๋ยวพี่จะให้เพื่อนที่เป็นเจ้าหน้าที่อุทยานช่วยดูให้ ว่าเคยเห็นต้นหญ้าลักษณะแบบนี้ขึ้นในป่าแถบนี้บ้างหรือเปล่า”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยขอบคุณพี่ชายที่จะช่วยเธออีกแรง แต่ทว่าเธอก็มีจุดมุ่งหมายในใจอยู่แล้ว “ที่กลาพิมพ์ก็มีนะคะ”
ภูผาเดาสิ่งที่น้องสาวต้องการจะสื่อจากประโยคบอกเล่าก่อนหน้านี้ไม่ออก จึงหันมาถามน้องสาวตรงๆ “ศศิว่าอะไรนะ”
หญิงสาวพยักเพยิดไปที่ชายหนุ่มที่กำลังยืนมองเธอกับพี่ชายคุยกันโดยไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมา “เขาบอกศศิว่าที่กลาพิมพ์มีต้นหญ้าแบบนี้...หญ้าอาบจันทร์”
“แล้ว...” ภูผาจ้องหน้าน้องสาวตรงๆ อีกครั้ง
======================
มีต่อนะคะ (2/2)
ลิขิตแห่งจันทร์ [บทที่ 9]
(โรมานแมนติค-แฟนตาซี)
พลอยลภัสร์ : เขียน
Fanpage : www.facebook.com/ploylapas
<<< ตอนก่อนหน้า : http://ppantip.com/topic/33004651
บทที่ 9 (1/2)
หน้าให้กับน้ำเสียงหงุดหงิดของคนในห้องลองเสื้อ ก่อนจะแอบบ่นเบาๆ กับตัวเองด้วยความรำคาญ “มันจะอะไรกันนักหนา” ก่อนจะร้องบอกให้ชายหนุ่มเปิดประตูให้เธอเข้าไปข้างใน และเมื่อเข้าไปอยู่ด้วยกันสองต่อสองภายในห้องแคบๆ เธอก็จับชายหนุ่มหมุนไปหมุนมา แล้วเธอก็เข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมเขาถึงต้องให้เธอเข้ามาดูเอง
เอวได้ พอดีเป๊ะ...แต่ขากางเกง...เหมือนจะเตรียมรับมือน้ำท่วม
หญิงสาวหัวเราะขำผู้ชายตัวโตกับกางเกงยีนส์ขาลอยออกมาเบาๆ แต่เมื่อเห็นอาการชักสีหน้าของเขา เธอก็ยื่นถุงกางเกงตัวใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวที่ชายหนุ่มใส่อยู่ให้เขาลองอีกครั้ง “งั้นลองตัวนี้”
จบคำของหญิงสาว ชายหนุ่มก็จัดการรูดกางเกงยีนส์ขาลอยลงมากองต่อหน้าต่อตากุลสตรีในทันที อย่างไร้ซึ่งความกระดากอาย
“เฮ้ยยย...” กุลสตรีหนึ่งเดียวในห้องลองเสื้อร้องเสียงหลงออกมาแทบจะทันทีที่เห็นการกระทำอันไม่มีมารยาทของสุภาพบุรุษ
แต่แทนที่สุภาพบุรุษจะทุกข์ร้อน เขากลับยืนค้างในท่าที่มือข้างหนึ่งเท้าผนังห้อง ส่วนอีกข้างกำลังดึงขากางเกงออก ไม่พยายามจะขยับปกปิดหรือทำอะไรทั้งนั้น
กุลสตรีที่ไม่อยากเห็นจึงต้องเป็นฝ่ายหันหลังหนีแทน พร้อมกับต่อว่าเขาเสียงดัง “ทุเรศที่สุด ท่านเคยอายอะไรบ้างไหมเนี่ย”
“น่าอายตรงไหน”
น้ำเสียงกลั้วหัวเราะที่ถามออกมานั้น ทำให้ศศิธรนึกอยากจะหาอะไรมาตีแสกหน้าอินทุสักทีสองที กับความกวนนิ่งๆ ของเขา แต่ยังไม่ทันที่เธอจะคิดหาอะไรใกล้มือมาตีแสกหน้าเขา ก็ได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะเอ่ยออกมาอีกครั้ง “หันมาได้แล้ว”
ศศิธรหันกลับมาสำรวจชายหนุ่มอีกหน โดยพยายามไม่เอ่ยต่อล้อต่อเถียงอะไรให้มากความ เพราะอยากให้การลองกางเกงจบลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อเห็นว่ากางเกงยีนส์ตัวใหม่บนตัวอินทุมันพอดิบพอดีกับชายหนุ่มแล้ว ก็เอ่ยตัดสินใจให้ในทันที “งั้นเอาตัวนี้แหละ”
แต่ก่อนที่จะพากันขยับออกไปจากห้องแคบๆ ชายหนุ่มก็ล้วงมือลงไปในถุงเพื่อหยิบกางเกงสีขาวตัวเล็กสามตัวที่นอนแอ้งแม้งอยู่ก้นถุงออกมาถามหญิงสาวด้วยความสงสัย “แล้วนี่...ข้าต้องลองใส่มันให้เจ้าดูด้วยหรือเปล่า”
“มะ...ไม่...ไม่ต้อง” ศศิธรรีบร้องห้ามเสียงหลง “ขะ...ข้า...ข้าเอาไซส์เดียวกับของพี่ภูมาให้ท่าน ไซส์เดียวกับตัวที่ท่านใส่นั่นแหละ เสร็จแล้วก็รีบเปลี่ยนใส่กางเกงตัวเดิม แล้วตามข้าออกมา” พูดจบ ศศิธรก็รีบแย่งถุงกระดาษกับกางเกงตัวจิ๋วสีขาวในมือชายหนุ่มมาถือไว้ซะเอง แล้วก็รีบร้อนเปิดประตูเดินนำชายหนุ่มออกมาจากห้องลองเสื้อทันที เพราะนึกกลัวว่าอินทุจะถอดกางเกงชั้นใน แล้วลองใส่ต่อหน้าต่อตาเธอ...เพียงแค่คิด หน้าก็ร้อนแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
เมื่อหญิงสาวข่มความคิดชวนหน้าแดงเกี่ยวกับชายหนุ่มลงได้บ้างแล้ว ก็เดินไปเลือกกางเกงยีนส์ให้เขาเพิ่มอีกหนึ่งตัว กางเกงขาสั้นแค่เข่าสำหรับใส่อยู่บ้านอีกสามตัว แล้วก็ไปชำระเงินค่าเสื้อและกางเกงทั้งหมดที่เลือกไว้ จากนั้นเธอก็เดินนำไปยังแผนกของใช้ โดยมีชายหนุ่มร่างยักษ์เดินยิ้มกริ่มตามหลังมาติดๆ
“นี่อะไร” อินทุถามขึ้น เพียงเพื่อจะชวนหญิงสาวที่ยืนเลือกอะไรสักอย่างอยู่คุยเท่านั้น เพราะเธอไม่สนใจเขาเลยสักนิด ตั้งแต่เขาออกมาจากห้องลองเสื้อแล้ว
“ครีมโกนหนวดกับมีดโกนหนวด...เอาไว้โกนหนวดเครา”...ที่มันรกๆ ของท่านนั่นแหละ
ศศิธรเอ่ยต่อประโยคนี้เพียงในใจเท่านั้น เพราะเธอไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดกับชายหนุ่มที่มีสีหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มตลอดเวลาเมื่อเห็นหน้าแดงๆ ของเธอ
“แล้วอันนี้ล่ะ” อินทุยังคงชวนคุย ด้วยการหยิบของในตะกร้าที่เธอเพิ่งจะหยิบมาโยนใส่ลงในตะกร้าที่เขาเป็นคนแย่งจากมือเธอมาถือไว้เองขึ้นมาถาม
“โฟมล้างหน้า...เอาไว้ล้างหน้า”
“แล้วอันนี้”
“ผ้าอนามัย...เอาไว้...เฮ้ยยย” ศศิธรเอามือตะครุบของใช้ส่วนตัวของเธอในมือของชายหนุ่มแทบจะทันที “อันนี้มันของข้า! เลิกถาม...แล้วก็เดินตามมาเฉยๆ”
หลังจากที่อินทุพยายามเดินตามหญิงสาวอยู่เงียบๆ จนเธอซื้อของเสร็จ แล้วพากันเดินตามกันกลับมาที่ลานจอดรถภายในห้างสรรพสินค้า เขาก็เปรยออกมาเบาๆ เมื่อได้เห็นข้าวของเครื่องใช้ที่ทันสมัย หลากหลายไปด้วยประโยชน์ใช้สอยมากมายในสถานที่แห่งนี้
“ที่กลาพิมพ์...ที่ๆ ข้าอยู่ ไม่มีอะไรแบบนี้เลย”
“กลาพิมพ์...” หญิงสาวหยุดเดินกะทันหันเมื่อได้ยินชายหนุ่มพูดออกมาเช่นนั้น และเหมือนเธอจะเพิ่งนึกอะไรออก หลังจากที่วันนี้คร่ำเคร่งอ่านหนังสือมาตลอดทั้งวัน “ที่ๆ ท่านอยู่...ใช่แล้ว! ท่านต้องข้ามเวลามาจากเมื่อห้าร้อยปีก่อนแน่ๆ เพราะท่านรู้จักโรคเกร็ดพิษ ท่านรู้จักหญ้าอาบจันทร์ แล้วท่านก็อ่านภาษาโบราณเมื่อห้าร้อยปีก่อนได้” ศศิธรหันมาเขย่าแขนชายหนุ่มที่มือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้มากมายเบาๆ ด้วยความตื่นเต้นดีใจ เมื่อเธอได้พบชิ้นส่วนของจิ๊กซอแล้วหนึ่งชิ้น
ซึ่งต่อจากนี้ไป...เธอจะเริ่มค้นหาบางสิ่งจากเขานี่แหละ
“หือ” ชายหนุ่มครางเบาๆ ในลำคอเพราะยังงงกับประโยคยาวๆ ของเธอที่หันมาพูดกับเขาอย่างกะทันหันอยู่
“ท่านต้องถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือแม่ข้าแน่ๆ พระจันทร์ต้องมอบท่านมาคอยช่วยเหลือข้าเป็นแน่” ศศิธรเอ่ยย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ ก่อนจะหันมาให้คำมั่นสัญญาแก่ชายหนุ่มแห่งเมืองกลาพิมพ์ด้วยแววตามุ่งมั่น “และถ้าท่านถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือแม่ข้าจริงๆ ข้าก็จะช่วยหาวิธีพาท่านกลับบ้านเอง”
///////////////////////////////////
“ไปไหนกันมา!”
หญิงสาวที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้องรับแขกสะดุ้งโหยงกับคำทักทายห้วนๆ ของภูผา ก่อนจะค่อยๆ หันมาตอบคำถามของเขาด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดที่กลับบ้านผิดเวลา “พี่ภู...เราไปหอสมุดกันมาค่ะ”
“แล้วทำไมกลับดึก” ภูผาถาม แล้วก็หรี่ตามองน้องสาวที่ก้มหน้าหลบสายตาของเขา พร้อมกับมองเลยไปยังชายหนุ่มอีกคนที่กำลังเดินตามน้องสาวของเขาเข้ามาในบ้าน ชายหนุ่มที่กำลังมองตรงมาที่เขาด้วยสายตามั่นคง ซึ่งไม่ได้รู้สึกเลยสักนิดว่ากำลังโดนเขาจับผิดอยู่...หรือรู้ แต่ไม่กลัว
“เอ่อ...ก็ศศิแวะซื้อของ แล้วก็แวะกินข้าวก่อนกลับ”
“แล้วทำไมไม่โทร. บอกพี่”
“ศศิคิดว่าพี่ภูจะกลับดึกเหมือนทุกวันนี่คะ” หญิงสาวที่กำลังถูกจับผิดเอ่ยออกมาอย่างมีแง่งอน เพราะโดยปกติแล้วพี่ชายของเธอจะกลับบ้านค่ำมืดเป็นประจำอยู่แล้ว ทว่าเมื่อหันไปเห็นสาวน้อยพยาบาลพิเศษกึ่งนั่งกึ่งนอนเอนพิงอยู่ตรงโซฟาตัวเดียวกันกับพี่ชาย เธอก็ไม่ปล่อยโอกาสให้พี่ชายจับผิดเธอแต่เพียงฝ่ายเดียว “นกน้อย...ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้”
“เอ่อ...คงจะรอศศิจนเผลอหลับไป”
ตอนนี้กลายเป็นฝ่ายพี่ชายที่ก้มหลบสายตาของน้องสาว แล้วก็เสมองเมินไปยังหญิงสาวที่กึ่งนั่งกึ่งนอนถัดไปจากเขา ตั้งแต่ภูผากลับเข้ามาในบ้าน เขาก็เห็นนกน้อยฟุบหน้านอนหลับอยู่กับพื้น เขาจึงจัดการอุ้มขยับหญิงสาวให้ขึ้นมานอนบนโซฟาในท่าที่สบายขึ้น แล้วก็เผลอนั่งมองหญิงสาวอยู่นาน จนกระทั่งได้ยินเสียงรถของน้องสาวเข้ามาจอดภายในบ้าน
ทว่าเมื่อพี่ชายเงยหน้าขึ้นมาเห็นสายตาจับจ้องของน้องสาว ที่ยังคงมองมาที่เขาไม่วางตา ภูผาก็เสเปลี่ยนเรื่องให้ไกลตัวไกลใจไกลจากสิ่งที่น้องสาวกำลังคิด “ไปหอสมุดกันมา แล้วได้เรื่องอะไรไหม”
ศศิธรยิ้มขำกับอาการเก้อกระดากของพี่ชายยามเมื่อเผลอมองนกน้อยด้วยแววตาอ่อนโยน แต่เธอก็ยอมเปลี่ยนเรื่อง เพราะมีสิ่งที่สำคัญที่เธอเพิ่งจะค้นพบรออยู่ เธอจึงเดินไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ พี่ชายขี้เก๊กพร้อมกับเปิดหนังสือที่คั่นหน้าไว้เล่มหนึ่งให้พี่ชายได้ดู “ได้ค่ะ นี่ไงคะ ต้นหญ้าแบบนี้ที่จะช่วยรักษาแม่ได้”
“แล้วเราจะไปหามันได้ที่ไหน”
“มันขึ้นในป่าลึกบนภูเขาหินปูน” ศศิธรอธิบายสิ่งที่ค้นหามาได้ในวันนี้ให้พี่ชายได้ฟัง
“เดี๋ยวพี่จะให้เพื่อนที่เป็นเจ้าหน้าที่อุทยานช่วยดูให้ ว่าเคยเห็นต้นหญ้าลักษณะแบบนี้ขึ้นในป่าแถบนี้บ้างหรือเปล่า”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยขอบคุณพี่ชายที่จะช่วยเธออีกแรง แต่ทว่าเธอก็มีจุดมุ่งหมายในใจอยู่แล้ว “ที่กลาพิมพ์ก็มีนะคะ”
ภูผาเดาสิ่งที่น้องสาวต้องการจะสื่อจากประโยคบอกเล่าก่อนหน้านี้ไม่ออก จึงหันมาถามน้องสาวตรงๆ “ศศิว่าอะไรนะ”
หญิงสาวพยักเพยิดไปที่ชายหนุ่มที่กำลังยืนมองเธอกับพี่ชายคุยกันโดยไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมา “เขาบอกศศิว่าที่กลาพิมพ์มีต้นหญ้าแบบนี้...หญ้าอาบจันทร์”
“แล้ว...” ภูผาจ้องหน้าน้องสาวตรงๆ อีกครั้ง
======================
มีต่อนะคะ (2/2)