<<< ตอนก่อนหน้า :
http://ppantip.com/topic/32972203
บทที่ 6 (1/2)
สายตาสองคู่ที่สบกันนิ่งอย่างหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูมาคุแปลกๆ ก่อนที่อินทุจะเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายบรรยากาศมาคุที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาเสียก่อนด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ข้ามาจากกลาพิมพ์ดินแดนที่มีแต่ภูเขาและป่า ดินแดนที่ยังไม่มีอะไรที่ทันสมัยและอำนวยความสะดวกเหมือนกับที่นี่ ดินแดนที่ไม่มีรถ มีแต่เกวียน ม้า ล่อ เป็นพาหนะ ไม่มีแม้แต่สิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่าไฟฟ้า และก็อย่างที่เจ้าเห็น ข้าแทบไม่รู้จักอะไรเลยเกี่ยวกับที่นี่”
“อืม” ศศิธรพยักหน้าเห็นด้วยในสิ่งที่อินทุเล่ามาทั้งหมด ก่อนที่เขาจะหยุดพูดไปชั่วครึ่งลมหายใจ แล้วจึงจะเล่าต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างตริตรองดีแล้ว
“และ...ข้าคิดว่า ข้าถูกเวทมนต์บางอย่างพาข้าข้ามเวลามายังที่นี่”
“เวทมนต์! ข้ามเวลา!”
“ใช่”
“เหลวไหล ท่านต้องบ้...” ศศิธรเกือบจะหลุดปากว่าชายหนุ่มออกไปทันทีที่ได้ยินข้อสันนิษฐานอันเหลือเชื่อของเขา แต่เพราะกลัวเขาจะกล่าวหาว่าเธอเป็นคนไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น เธอจึงเปลี่ยนไปถามเหตุผลจากเขาแทน “เอ่อ...แล้วทำไมท่านถึงคิดเช่นนี้”
“ก่อนที่ข้าจะมาเจอเจ้าที่นี่ ข้าได้ยินเหมือนเสียงผู้หญิงท่องอะไรบางอย่างซ้ำไปซ้ำมา แล้วข้าก็มายืนอยู่ตรงนี้ ในบ้านของเจ้า”
ศศิธรยังคงนิ่งฟังโดยที่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรออกมา อินทุจึงเล่าต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเช่นเดิม “ข้าพูดความจริงไปหมดแล้ว แต่ข้าก็ไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าจะเชื่อในสิ่งที่ข้าพูดทั้งหมดเหมือนที่เจ้าสัญญาหรอกนะ เพราะแม้แต่ตัวข้าเอง ก็ยังทำใจอยู่นาน ให้เชื่อกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้”
แต่เหมือนหญิงสาวจะไม่ได้สนใจในสิ่งที่ชายหนุ่มเล่ามาทั้งหมด มากไปกว่าการตีความประโยคเกือบสุดท้ายของชายหนุ่ม “ท่าน...ท่านว่าข้าไม่มีสัจจะรึ”
“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น”
หญิงสาวค้อนให้กับดวงตายิ้มได้ของชายหนุ่ม สีหน้าและแววตาของเขา มันช่างขัดกับความหมายในประโยคที่เขาเอ่ยออกมายิ่งนัก แต่เพราะความอยากรู้ในสิ่งที่ชายหนุ่มทำมาหลายวันแล้วมากกว่า จึงตั้งคำถามใหม่อีกครั้ง “แล้วทำไมท่านถึงลุกขึ้นมาหาสร้อย”
“ข้าแค่คิดว่า สร้อยอาจจะพาข้ากลับไปยังที่ๆ ข้ามาได้”
“ทำไม?”
“เพราะก่อนข้าจะมาที่นี่ สร้อยของข้ามันมีแสงสว่างวาบขึ้นมา”
“แสงสว่างหรือ” ศศิธรนึกไปถึงเหตุการณ์คืนวันพระจันทร์เต็มดวงที่เธอเจอเขาตรงนี้...ตอนนั้นเธอกำลังเงยหน้ามองพระจันทร์พร้อมกับคิดถึงพ่อ คิดถึงอาการป่วยของแม่ แล้วเธอก็เห็นแสงสีขาวสว่างวาบเข้ามาทางหางตา ก่อนที่เธอจะหันมาเจอเขาในสภาพเปลือยเปล่า
“ข้าช่วยท่านหาสร้อยดีกว่า”
“เจ้าเชื่อข้าแล้วรึ”
“ข้าเป็นคนมีสัจจะพอ ในเมื่อข้าสัญญากับท่านแล้ว ข้าก็ต้องเชื่อในสิ่งที่ท่านพูดซิ” ศศิธรได้ที ก็รีบพูดแก้ต่างข้อกล่าวหาให้กับตัวเองทันที เธอก็ไม่อยากจะเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหลือเชื่อ เวทมนต์ ข้ามกาลเวลาอย่างที่อินทุพูดสักเท่าไร ทว่าหลายๆ สิ่งที่เขาพูด ที่เขาแสดงออก มันก็ชวนให้เธอคิดว่าเขาอาจจะข้ามเวลามาจากโลกยุคหินจริงๆ
“แล้วแม่เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง นางป่วยเป็นอะไร” อินทุถามขึ้นหลังจากที่เขากับเธอช่วยกันหาสร้อยของเขาอยู่เกือบชั่วโมง เพราะตั้งแต่เขามาอยู่ที่บ้านของเธอ เขาไม่เคยเห็นแม่ของหญิงสาวออกมานอกห้องนอนที่อยู่ติดกันกับห้องใหม่ที่เขาเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่เลย เขารู้แค่เพียงว่าแม่ของเธอนอนป่วยหนักอยู่ในห้องเท่านั้น
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าก็กำลังหาข้อมูลอยู่”
“นางเป็นมานานหรือยัง”
“เกือบปีแล้ว”
“แล้วที่ๆ เจ้าพาข้าไป ไม่มียารักษาหรอกรึ” อินทุหมายถึงโรงพยาบาลในตัวเมืองที่ศศิธรเคยพาเขาไปเช็คสมองและตรวจร่างกายเมื่อห้าวันก่อน แล้วเธอก็บอกเขาว่าคนที่ไม่สบายทุกคนต้องมาที่นี่เพื่อมารับยาไปกิน
ศศิธรส่ายหน้าแทนการตอบคำถามของเขา แล้วทั้งคนถามและคนตอบก็พากันเงียบเสียงอีกครั้ง
“ท่านอยู่ที่นั่น ท่านทำงานอะไร” จู่ๆ ศศิธรก็เอ่ยถามอินทุออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยหลังจากเงียบกันไปนาน คำถามที่ไม่ได้จริงจังกับคำตอบมากมายนัก เธอถามออกมาเพียงแค่ต้องการจะชวนชายหนุ่มคุยขณะที่กำลังช่วยกันหาสร้อยคอของเขาเท่านั้น
ทว่าคนตอบกลับอ้ำอึ้งแทบจะทันที แต่ก็ยอมตอบเธอออกมาแบบไม่เต็มเสียงนัก “ข้าเป็น...ข้าเป็นทหาร แล้วเจ้าล่ะทำงานอะไร”
“ข้ายังเรียนปริญญาโทเภสัชศาสตร์อยู่เลย กำลังทำวิทยานิพนธ์อยู่ ยังไม่ได้ทำงาน” ศศิธรตอบคำถามของอินทุอย่างละเอียด แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นสีหน้าสงสัย เธอก็รีบพูดอธิบายใหม่อีกครั้ง เพื่อให้เขาเข้าใจได้ง่ายขึ้น “เอ่อ...ข้าหมายถึงว่าข้ากำลังศึกษาวิชาเกี่ยวกับยารักษาโรคที่จะนำมาใช้รักษาคนป่วยน่ะ”
“หาตัวยามารักษาแม่ของเจ้ารึ”
ศศิธรไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธในสิ่งที่อินทุเข้าใจ เพราะเธอก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้เขารู้เรื่องในสิ่งที่เธอพูด เธอจึงเลือกที่จะเงียบ
ชายหนุ่มจึงเอ่ยชวนคุยต่อไป “เจ้าอยู่กับแม่แค่สองคนหรือ”
“เปล่า...ข้ายังมีพี่ชายอีกหนึ่งคน”
อินทุขมวดคิ้วมุ่น พร้อมกับถามถึงพี่ชายของหญิงสาวด้วยความสงสัยใคร่รู้ เพราะเขาอยู่ที่บ้านหลังนี้มาตั้งหลายวันแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยได้เจอพี่ชายของเธอเลย “พี่ชายของเจ้ารึ...ทำไมข้าไม่เคยเจอเขาเลย”
“พี่ชายของข้า เขาไปทำงานที่อื่น...อีกสองวันก็จะกลับแล้วแหละ”
ยังไม่ทันที่คนสองคนที่เริ่มจะคุยกันถูกคอมากกว่าทุกที ได้คุยอะไรกันมากไปกว่านี้ พยาบาลสาวน้อยก็เดินมาตะโกนเรียกทั้งสองให้ไปกินข้าวเย็นพร้อมกัน
“คุณศศิ คุณอินทุ มากินข้าวเย็นกันเถอะค่ะ”
ศศิธรลุกขึ้นปัดมือที่เลอะเศษดินเศษหญ้าจากการช่วยชายหนุ่มหาสร้อยกับกางเกงขาสั้นที่เธอสวมอยู่อย่างง่ายๆ แล้วจึงหันไปชวนชายหนุ่มเข้าบ้าน “เราไปกินข้าวกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาหาใหม่”
======================
มีต่อค่ะ (2/2)
ลิขิตแห่งจันทร์ [บทที่ 6]
(โรมานแมนติค-แฟนตาซี)
พลอยลภัสร์ : เขียน
Fanpage : www.facebook.com/ploylapas
<<< ตอนก่อนหน้า : http://ppantip.com/topic/32972203
บทที่ 6 (1/2)
สายตาสองคู่ที่สบกันนิ่งอย่างหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูมาคุแปลกๆ ก่อนที่อินทุจะเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายบรรยากาศมาคุที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาเสียก่อนด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ข้ามาจากกลาพิมพ์ดินแดนที่มีแต่ภูเขาและป่า ดินแดนที่ยังไม่มีอะไรที่ทันสมัยและอำนวยความสะดวกเหมือนกับที่นี่ ดินแดนที่ไม่มีรถ มีแต่เกวียน ม้า ล่อ เป็นพาหนะ ไม่มีแม้แต่สิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่าไฟฟ้า และก็อย่างที่เจ้าเห็น ข้าแทบไม่รู้จักอะไรเลยเกี่ยวกับที่นี่”
“อืม” ศศิธรพยักหน้าเห็นด้วยในสิ่งที่อินทุเล่ามาทั้งหมด ก่อนที่เขาจะหยุดพูดไปชั่วครึ่งลมหายใจ แล้วจึงจะเล่าต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างตริตรองดีแล้ว
“และ...ข้าคิดว่า ข้าถูกเวทมนต์บางอย่างพาข้าข้ามเวลามายังที่นี่”
“เวทมนต์! ข้ามเวลา!”
“ใช่”
“เหลวไหล ท่านต้องบ้...” ศศิธรเกือบจะหลุดปากว่าชายหนุ่มออกไปทันทีที่ได้ยินข้อสันนิษฐานอันเหลือเชื่อของเขา แต่เพราะกลัวเขาจะกล่าวหาว่าเธอเป็นคนไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น เธอจึงเปลี่ยนไปถามเหตุผลจากเขาแทน “เอ่อ...แล้วทำไมท่านถึงคิดเช่นนี้”
“ก่อนที่ข้าจะมาเจอเจ้าที่นี่ ข้าได้ยินเหมือนเสียงผู้หญิงท่องอะไรบางอย่างซ้ำไปซ้ำมา แล้วข้าก็มายืนอยู่ตรงนี้ ในบ้านของเจ้า”
ศศิธรยังคงนิ่งฟังโดยที่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรออกมา อินทุจึงเล่าต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเช่นเดิม “ข้าพูดความจริงไปหมดแล้ว แต่ข้าก็ไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าจะเชื่อในสิ่งที่ข้าพูดทั้งหมดเหมือนที่เจ้าสัญญาหรอกนะ เพราะแม้แต่ตัวข้าเอง ก็ยังทำใจอยู่นาน ให้เชื่อกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้”
แต่เหมือนหญิงสาวจะไม่ได้สนใจในสิ่งที่ชายหนุ่มเล่ามาทั้งหมด มากไปกว่าการตีความประโยคเกือบสุดท้ายของชายหนุ่ม “ท่าน...ท่านว่าข้าไม่มีสัจจะรึ”
“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น”
หญิงสาวค้อนให้กับดวงตายิ้มได้ของชายหนุ่ม สีหน้าและแววตาของเขา มันช่างขัดกับความหมายในประโยคที่เขาเอ่ยออกมายิ่งนัก แต่เพราะความอยากรู้ในสิ่งที่ชายหนุ่มทำมาหลายวันแล้วมากกว่า จึงตั้งคำถามใหม่อีกครั้ง “แล้วทำไมท่านถึงลุกขึ้นมาหาสร้อย”
“ข้าแค่คิดว่า สร้อยอาจจะพาข้ากลับไปยังที่ๆ ข้ามาได้”
“ทำไม?”
“เพราะก่อนข้าจะมาที่นี่ สร้อยของข้ามันมีแสงสว่างวาบขึ้นมา”
“แสงสว่างหรือ” ศศิธรนึกไปถึงเหตุการณ์คืนวันพระจันทร์เต็มดวงที่เธอเจอเขาตรงนี้...ตอนนั้นเธอกำลังเงยหน้ามองพระจันทร์พร้อมกับคิดถึงพ่อ คิดถึงอาการป่วยของแม่ แล้วเธอก็เห็นแสงสีขาวสว่างวาบเข้ามาทางหางตา ก่อนที่เธอจะหันมาเจอเขาในสภาพเปลือยเปล่า
“ข้าช่วยท่านหาสร้อยดีกว่า”
“เจ้าเชื่อข้าแล้วรึ”
“ข้าเป็นคนมีสัจจะพอ ในเมื่อข้าสัญญากับท่านแล้ว ข้าก็ต้องเชื่อในสิ่งที่ท่านพูดซิ” ศศิธรได้ที ก็รีบพูดแก้ต่างข้อกล่าวหาให้กับตัวเองทันที เธอก็ไม่อยากจะเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหลือเชื่อ เวทมนต์ ข้ามกาลเวลาอย่างที่อินทุพูดสักเท่าไร ทว่าหลายๆ สิ่งที่เขาพูด ที่เขาแสดงออก มันก็ชวนให้เธอคิดว่าเขาอาจจะข้ามเวลามาจากโลกยุคหินจริงๆ
“แล้วแม่เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง นางป่วยเป็นอะไร” อินทุถามขึ้นหลังจากที่เขากับเธอช่วยกันหาสร้อยของเขาอยู่เกือบชั่วโมง เพราะตั้งแต่เขามาอยู่ที่บ้านของเธอ เขาไม่เคยเห็นแม่ของหญิงสาวออกมานอกห้องนอนที่อยู่ติดกันกับห้องใหม่ที่เขาเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่เลย เขารู้แค่เพียงว่าแม่ของเธอนอนป่วยหนักอยู่ในห้องเท่านั้น
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าก็กำลังหาข้อมูลอยู่”
“นางเป็นมานานหรือยัง”
“เกือบปีแล้ว”
“แล้วที่ๆ เจ้าพาข้าไป ไม่มียารักษาหรอกรึ” อินทุหมายถึงโรงพยาบาลในตัวเมืองที่ศศิธรเคยพาเขาไปเช็คสมองและตรวจร่างกายเมื่อห้าวันก่อน แล้วเธอก็บอกเขาว่าคนที่ไม่สบายทุกคนต้องมาที่นี่เพื่อมารับยาไปกิน
ศศิธรส่ายหน้าแทนการตอบคำถามของเขา แล้วทั้งคนถามและคนตอบก็พากันเงียบเสียงอีกครั้ง
“ท่านอยู่ที่นั่น ท่านทำงานอะไร” จู่ๆ ศศิธรก็เอ่ยถามอินทุออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยหลังจากเงียบกันไปนาน คำถามที่ไม่ได้จริงจังกับคำตอบมากมายนัก เธอถามออกมาเพียงแค่ต้องการจะชวนชายหนุ่มคุยขณะที่กำลังช่วยกันหาสร้อยคอของเขาเท่านั้น
ทว่าคนตอบกลับอ้ำอึ้งแทบจะทันที แต่ก็ยอมตอบเธอออกมาแบบไม่เต็มเสียงนัก “ข้าเป็น...ข้าเป็นทหาร แล้วเจ้าล่ะทำงานอะไร”
“ข้ายังเรียนปริญญาโทเภสัชศาสตร์อยู่เลย กำลังทำวิทยานิพนธ์อยู่ ยังไม่ได้ทำงาน” ศศิธรตอบคำถามของอินทุอย่างละเอียด แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นสีหน้าสงสัย เธอก็รีบพูดอธิบายใหม่อีกครั้ง เพื่อให้เขาเข้าใจได้ง่ายขึ้น “เอ่อ...ข้าหมายถึงว่าข้ากำลังศึกษาวิชาเกี่ยวกับยารักษาโรคที่จะนำมาใช้รักษาคนป่วยน่ะ”
“หาตัวยามารักษาแม่ของเจ้ารึ”
ศศิธรไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธในสิ่งที่อินทุเข้าใจ เพราะเธอก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้เขารู้เรื่องในสิ่งที่เธอพูด เธอจึงเลือกที่จะเงียบ
ชายหนุ่มจึงเอ่ยชวนคุยต่อไป “เจ้าอยู่กับแม่แค่สองคนหรือ”
“เปล่า...ข้ายังมีพี่ชายอีกหนึ่งคน”
อินทุขมวดคิ้วมุ่น พร้อมกับถามถึงพี่ชายของหญิงสาวด้วยความสงสัยใคร่รู้ เพราะเขาอยู่ที่บ้านหลังนี้มาตั้งหลายวันแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยได้เจอพี่ชายของเธอเลย “พี่ชายของเจ้ารึ...ทำไมข้าไม่เคยเจอเขาเลย”
“พี่ชายของข้า เขาไปทำงานที่อื่น...อีกสองวันก็จะกลับแล้วแหละ”
ยังไม่ทันที่คนสองคนที่เริ่มจะคุยกันถูกคอมากกว่าทุกที ได้คุยอะไรกันมากไปกว่านี้ พยาบาลสาวน้อยก็เดินมาตะโกนเรียกทั้งสองให้ไปกินข้าวเย็นพร้อมกัน
“คุณศศิ คุณอินทุ มากินข้าวเย็นกันเถอะค่ะ”
ศศิธรลุกขึ้นปัดมือที่เลอะเศษดินเศษหญ้าจากการช่วยชายหนุ่มหาสร้อยกับกางเกงขาสั้นที่เธอสวมอยู่อย่างง่ายๆ แล้วจึงหันไปชวนชายหนุ่มเข้าบ้าน “เราไปกินข้าวกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาหาใหม่”
======================
มีต่อค่ะ (2/2)