<<< ตอนก่อนหน้า :
http://ppantip.com/topic/32962444
บทที่ 4 (1/3)
หลังจบคำถามว่า ‘คุณเป็นใคร’ คนป่วยก็หันขวับมาจ้องตาคนถามแทบจะทันทีด้วยสายตาไม่พอใจ ก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนจัด “ข้าก็เป็นข้า ทำไมเจ้าถึงถามเช่นนี้”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่จันทรพิมพ์ ฉันไม่ใช่ภรรยาของคุณ ฉันจึงไม่รู้จักคุณ ฉันถึงต้องถามว่าคุณเป็นใคร มาจากไหน” ศศิธรพยายามพูดออกอย่างใจเย็นกับคนป่วย เพราะเธอไม่อยากจะเถียงกับเขาแล้ว ตอนนี้เธออยากจะรู้เรื่องราวของเขามากกว่า
“แต่ข้ารู้จักเจ้า”
“ท่านจะมารู้จักข้าได้อย่างไร ในเมื่อข้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อน” หญิงสาวเผลอแหวออกไปอย่างอดไม่อยู่ แต่ก็อดที่จะล้อเลียนสรรพนามแทนตัวเธอและเขาตามแบบที่เขาใช้พูดกับเธอไม่ได้
นกน้อยซึ่งกำลังตั้งใจฟังศศิธรซักไซร้คนป่วย หลุดหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินคำพูดกึ่งโมโห กึ่งล้อเลียนของหญิงสาวเจ้าของบ้าน
“งั้นข้าขอแนะนำตัวเองก่อน ข้าชื่อศศิธร หรือเรีอกสั้นๆ ว่าศศิก็ได้ ส่วนนางคนนั้นชื่อนกน้อย เป็นพยาบาลพิเศษของแม่ข้า...ทีนี้ก็ถึงคราวท่านแนะนำตัวเองบ้างแล้ว”
“เจ้าคือจันทรพิมพ์”
“นี่!...ข้าบอกให้ท่านแนะนำตัว ว่าเป็นใคร มาจากไหน ไม่ใช่ให้มาเถียงกับข้า” ศศิธรเกือบจะเผลอตัวปรี่เข้าไปประทุษร้ายชายหนุ่มบนเตียงนอนอยู่แล้ว ทันทีที่เขาเถียงเธอออกมาแบบนี้ แต่เมื่อสำนึกได้ว่า เธออยากจะรู้จักหัวนอนปลายเท้าของชายหนุ่ม เธอจึงพยายามจะระงับอารมณ์โมโหโกรธาลง
ภูผามักจะพูดเสมอว่าเธอเป็นคนดื้อ ชอบเถียง ชอบเอาชนะ แต่เธอก็มักจะเถียงกลับไปเสมอว่า เธอไม่ได้เถียง เธอแค่จะอธิบายเหตุผลที่ถูกต้องให้ฟังเท่านั้น ก็ผู้ชายที่เธอเคยรู้จักแต่ละคน...ทั้งพ่อ ทั้งคุณลุง รวมทั้งพี่ชายของเธอ...มักชอบคิดว่า ความคิดของตัวเองนั้นถูกเสมอ โดยที่ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้หญิงอย่างเธอเลยสักนิด
และเธอก็เป็นคนที่มักไม่ยอมกับอะไรที่มันไม่ถูกต้อง...เธอก็เลยต้องพยายามที่จะอธิบายสิ่งที่เธอคิดบนพื้นฐานของความถูกต้องและมีสัมมาคารวะ...แต่ก็ยังถูกมองว่า...ดื้อและชอบเถียงอยู่ดี
แต่ตอนนี้ เธอคิดว่าเธอกำลังเจอคู่แข่งคนสำคัญเข้าให้แล้ว
“ข้าชื่ออินทุ”
“บ้านท่านอยู่ที่ไหน”
“เมืองกลาพิมพ์ เมืองของเทพแห่งจันทรา”
“กลาพิมพ์...ข้าไม่รู้จัก เป็นอำเภอหรือ แล้วอยู่จังหวัดอะไร” ศศิธรเอ่ยทวนชื่อเมืองของเขาอีกครั้ง เหมือนเธอเคยได้ยินจากไหนมาก่อน แต่ให้นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
“ก็อยู่ที่นี่”
เมื่อรู้สึกว่าเหมือนจะเริ่มคุยกันไม่รู้เรื่อง หญิงสาวก็เปลี่ยนเรื่องถามใหม่ทันที “แล้วท่านมาทำอะไรที่กาญจนบุรี”
“กาญจนบุรี...คือที่ไหน แคว้นใหม่รึ”
“ที่นี่แหละ จังหวัดกาญจนบุรี ไม่ใช่แคว้นมงแคว้นใหม่อะไรทั้งนั้น” ยิ่งคุยกัน ศศิธรก็ยิ่งสงสัยว่าพ่อเทพบุตรตกสวรรค์ของเธอ สงสัยจะตกลงมาจากโรงลิเก เพราะคำพูดคำจาแต่ละคำนั้น เหมือนหลุดออกมาจากโรงลิเกที่เธอชอบไปนั่งดูสมัยเป็นเด็ก
“ที่นี่ไม่ช่สวรรค์หรอกรึ”
“สวรรค์...ก็ไม่ใช่นะซิ” หญิงสาวตอบพลางเพ่งมองหน้าหนุ่มที่ตกลงมาจากโรงลิเกด้วยแววตาครุ่นคิด หรือเขาจะเป็นคนไข้สติไม่ดีที่พลัดหลงเข้ามาในรีสอร์ทของพี่ชายเธอ
“แสดงว่าข้ายังไม่ตาย และเจ้าก็ยังไม่ตาย”
ศศิธรถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พร้อมทั้งชี้นิ้วไปที่ชายหนุ่มบนเตียง ตัวเธอเอง และพยาบาลสาวน้อย พร้อมทั้งอธิบายช้าๆ ชัดๆ ให้เขาได้เข้าใจ “ท่าน ข้า และนาง ยังไม่มีใครตายทั้งนั้น ทุกคนยังมีชีวิตดีอยู่ บนโลกอันสับสนวุ่นวายใบนี้”
“ถ้าที่นี่ไม่ใช่สวรรค์ และข้าก็ยังไม่ตายอย่างที่เจ้าบอก แล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...ทั้งๆ ที่เมื่อคืนก่อน ข้ายังนั่งมองพระจันทร์เต็มดวงอยู่ที่ริมแม่น้ำคชาธารที่เมืองกลาพิมพ์ของข้าอยู่เลย” อินทุเอ่ยถามออกมาด้วยแววตาสงสัย
“ท่านถามข้า!” ศศิธรยกนิ้วชี้มาที่หน้าตัวเอง เธอรู้สึกว่ายิ่งเธอคุยกับเขา เธอก็ยิ่งดูเป็นคนเจ้าอารมณ์มากขึ้น เขามักจะพูดอะไรออกมาให้เธอได้ปรี๊ดแตกกลายเป็นคนอารมณ์ร้อนทุกที
“ถ้าข้าไม่ถามเจ้า แล้วข้าจะถามใคร”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามกลับมานิ่งๆ ของอินทุช่างกวนโมโหศศิธรยิ่งนัก ตอนนี้เธอรู้สึกว่ากำลังมีควันพวยพุ่งออกมาจากหูทั้งสองข้างของเธอ และก็อดไม่ได้ที่จะตวาดกลับไป “ข้ามากกว่านะ ที่สมควรจะถามคำถามนี้กับท่าน...ว่าท่านมาที่นี่ได้อย่างไร”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามของเธอ เขากลับนั่งนิ่ง กอดอก และเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี พร้อมกับจ้องมองมาที่เธอนิ่งๆ ศศิธรเห็นอาการเหมือนคนดื้อที่ไม่ยอมลงให้กับใครง่ายๆ ของอินทุ ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างยอมแพ้ แล้วเอ่ยสรุปออกมาในที่สุด “สรุปตอนนี้คือ ข้าไม่ใช่จันทรพิมพ์ นางไม่ใช่บุหรง และท่านคืออินทุ...ทีนี้ก็เล่ามาว่าท่านมาทำอะไรที่นี่ แล้วมาที่นี่ได้อย่างไร”
“ข้า...” อินทุทำเหมือนจะเอ่ยอะไรออกมา แต่แล้วก็เงียบเสียงลง พร้อมกับค่อยๆ เบือนหน้ามองสำรวจข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่คุ้นเคยภายในห้องกว้าง แล้วก็มองตรงไปที่บุหรงนิ่ง สุดท้ายสายตาของเขาก็มาหยุดนิ่งลงที่ใบหน้าของหญิงสาวซึ่งกำลังจ้องมองไปที่เขาอย่างรอคอยคำตอบ
ทว่าเขากลับปิดเปลือกตาลงเสียดื้อๆ เหมือนเขาก็คิดไม่ตกกับคำถามที่ศศิธรถามเขาว่า เขาโผล่มาอยู่ที่บ้านของเธอได้อย่างไร และมาด้วยวิธีใด
เมื่อเห็นว่าคนป่วยยังไม่อยากเล่า แถมยังหลับตาเพื่อหลีกหนีคำถามของเธอเสียดื้อๆ ศศิธรก็เลยหันไปชวนพยาบาลพิเศษ ไปดูแม่ที่ห้องข้างๆ แทนการซักไซร้ไล่เรียงหัวนอนปลายเท้าของคนป่วย ที่ดูจะไร้ผล ซึ่งดูเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ “เราออกไปดูแม่กันเถอะ ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว”
//////////////////////////////////////////////////
หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าของสองสาวทยอยก้าวออกไปจากห้องจนหมด พร้อมกับเสียงปิดประตูบาๆ ตามมา อินทุก็ลืมตาขึ้นแล้วหันไปยังทิศทางที่หญิงสาวคนที่บอกว่าเธอชื่อ...ศศิธร...เดินออกไปทันที
“เธอไม่ใช่จันทรพิมพ์” อินทุเอ่ยยอมรับกับตนเองเบาๆ หลังจากที่เขาได้สบตาเธอตรงๆ หลายครั้ง เขาก็สรุปได้ทันทีว่าเธอไม่ใช่จันทรพิมพ์ ภรรยาของเขาอย่างแน่นอน เธอแค่มีใบหน้าละม้ายคล้ายภรรยาของเขาเท่านั้น
ศศิธร เธอมีนัยตาสีดำคลับ...แววตาที่ช่างดูกล้าหาญชาญชัย ไม่เกรงกลัวกับอะไรทั้งนั้น แม้แต่เขา...เธอคนนี้ ไม่ใช่จันทรพิมพ์ ภรรยาของเขาจริงๆ
เพราะภรรยาของเขานั้น นางมีดวงตาสีเขียวสดใสราวกับสีของแม่น้ำคชาธารยามกระทบแสงจันทร์ ที่แฝงไปด้วยความโอนอ่อนและอ่อนโยน
ถึงแม้ว่าเธอทั้งสองจะมีใบหน้าเหมือนกันราวกับคนๆ เดียวกัน แต่สายตาของพวกเธอ นิสัยของพวกเธอ ช่างต่างกันราวกลางวันกับกลางคืน
อินทุหลับตาลงอีกครั้ง พร้อมกับทบทวนความทรงจำอันแสนลางเลือนของเขา ก่อนที่เขาจะมานอนอยู่ในโลกแปลกใหม่ใบนี้...
======================
มีต่อนะคะ (2/3)
ลิขิตแห่งจันทร์ [บทที่ 4]
(โรมานแมนติค-แฟนตาซี)
พลอยลภัสร์ : เขียน
Fanpage : www.facebook.com/ploylapas
<<< ตอนก่อนหน้า : http://ppantip.com/topic/32962444
บทที่ 4 (1/3)
หลังจบคำถามว่า ‘คุณเป็นใคร’ คนป่วยก็หันขวับมาจ้องตาคนถามแทบจะทันทีด้วยสายตาไม่พอใจ ก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนจัด “ข้าก็เป็นข้า ทำไมเจ้าถึงถามเช่นนี้”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่จันทรพิมพ์ ฉันไม่ใช่ภรรยาของคุณ ฉันจึงไม่รู้จักคุณ ฉันถึงต้องถามว่าคุณเป็นใคร มาจากไหน” ศศิธรพยายามพูดออกอย่างใจเย็นกับคนป่วย เพราะเธอไม่อยากจะเถียงกับเขาแล้ว ตอนนี้เธออยากจะรู้เรื่องราวของเขามากกว่า
“แต่ข้ารู้จักเจ้า”
“ท่านจะมารู้จักข้าได้อย่างไร ในเมื่อข้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อน” หญิงสาวเผลอแหวออกไปอย่างอดไม่อยู่ แต่ก็อดที่จะล้อเลียนสรรพนามแทนตัวเธอและเขาตามแบบที่เขาใช้พูดกับเธอไม่ได้
นกน้อยซึ่งกำลังตั้งใจฟังศศิธรซักไซร้คนป่วย หลุดหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินคำพูดกึ่งโมโห กึ่งล้อเลียนของหญิงสาวเจ้าของบ้าน
“งั้นข้าขอแนะนำตัวเองก่อน ข้าชื่อศศิธร หรือเรีอกสั้นๆ ว่าศศิก็ได้ ส่วนนางคนนั้นชื่อนกน้อย เป็นพยาบาลพิเศษของแม่ข้า...ทีนี้ก็ถึงคราวท่านแนะนำตัวเองบ้างแล้ว”
“เจ้าคือจันทรพิมพ์”
“นี่!...ข้าบอกให้ท่านแนะนำตัว ว่าเป็นใคร มาจากไหน ไม่ใช่ให้มาเถียงกับข้า” ศศิธรเกือบจะเผลอตัวปรี่เข้าไปประทุษร้ายชายหนุ่มบนเตียงนอนอยู่แล้ว ทันทีที่เขาเถียงเธอออกมาแบบนี้ แต่เมื่อสำนึกได้ว่า เธออยากจะรู้จักหัวนอนปลายเท้าของชายหนุ่ม เธอจึงพยายามจะระงับอารมณ์โมโหโกรธาลง
ภูผามักจะพูดเสมอว่าเธอเป็นคนดื้อ ชอบเถียง ชอบเอาชนะ แต่เธอก็มักจะเถียงกลับไปเสมอว่า เธอไม่ได้เถียง เธอแค่จะอธิบายเหตุผลที่ถูกต้องให้ฟังเท่านั้น ก็ผู้ชายที่เธอเคยรู้จักแต่ละคน...ทั้งพ่อ ทั้งคุณลุง รวมทั้งพี่ชายของเธอ...มักชอบคิดว่า ความคิดของตัวเองนั้นถูกเสมอ โดยที่ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้หญิงอย่างเธอเลยสักนิด
และเธอก็เป็นคนที่มักไม่ยอมกับอะไรที่มันไม่ถูกต้อง...เธอก็เลยต้องพยายามที่จะอธิบายสิ่งที่เธอคิดบนพื้นฐานของความถูกต้องและมีสัมมาคารวะ...แต่ก็ยังถูกมองว่า...ดื้อและชอบเถียงอยู่ดี
แต่ตอนนี้ เธอคิดว่าเธอกำลังเจอคู่แข่งคนสำคัญเข้าให้แล้ว
“ข้าชื่ออินทุ”
“บ้านท่านอยู่ที่ไหน”
“เมืองกลาพิมพ์ เมืองของเทพแห่งจันทรา”
“กลาพิมพ์...ข้าไม่รู้จัก เป็นอำเภอหรือ แล้วอยู่จังหวัดอะไร” ศศิธรเอ่ยทวนชื่อเมืองของเขาอีกครั้ง เหมือนเธอเคยได้ยินจากไหนมาก่อน แต่ให้นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
“ก็อยู่ที่นี่”
เมื่อรู้สึกว่าเหมือนจะเริ่มคุยกันไม่รู้เรื่อง หญิงสาวก็เปลี่ยนเรื่องถามใหม่ทันที “แล้วท่านมาทำอะไรที่กาญจนบุรี”
“กาญจนบุรี...คือที่ไหน แคว้นใหม่รึ”
“ที่นี่แหละ จังหวัดกาญจนบุรี ไม่ใช่แคว้นมงแคว้นใหม่อะไรทั้งนั้น” ยิ่งคุยกัน ศศิธรก็ยิ่งสงสัยว่าพ่อเทพบุตรตกสวรรค์ของเธอ สงสัยจะตกลงมาจากโรงลิเก เพราะคำพูดคำจาแต่ละคำนั้น เหมือนหลุดออกมาจากโรงลิเกที่เธอชอบไปนั่งดูสมัยเป็นเด็ก
“ที่นี่ไม่ช่สวรรค์หรอกรึ”
“สวรรค์...ก็ไม่ใช่นะซิ” หญิงสาวตอบพลางเพ่งมองหน้าหนุ่มที่ตกลงมาจากโรงลิเกด้วยแววตาครุ่นคิด หรือเขาจะเป็นคนไข้สติไม่ดีที่พลัดหลงเข้ามาในรีสอร์ทของพี่ชายเธอ
“แสดงว่าข้ายังไม่ตาย และเจ้าก็ยังไม่ตาย”
ศศิธรถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พร้อมทั้งชี้นิ้วไปที่ชายหนุ่มบนเตียง ตัวเธอเอง และพยาบาลสาวน้อย พร้อมทั้งอธิบายช้าๆ ชัดๆ ให้เขาได้เข้าใจ “ท่าน ข้า และนาง ยังไม่มีใครตายทั้งนั้น ทุกคนยังมีชีวิตดีอยู่ บนโลกอันสับสนวุ่นวายใบนี้”
“ถ้าที่นี่ไม่ใช่สวรรค์ และข้าก็ยังไม่ตายอย่างที่เจ้าบอก แล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...ทั้งๆ ที่เมื่อคืนก่อน ข้ายังนั่งมองพระจันทร์เต็มดวงอยู่ที่ริมแม่น้ำคชาธารที่เมืองกลาพิมพ์ของข้าอยู่เลย” อินทุเอ่ยถามออกมาด้วยแววตาสงสัย
“ท่านถามข้า!” ศศิธรยกนิ้วชี้มาที่หน้าตัวเอง เธอรู้สึกว่ายิ่งเธอคุยกับเขา เธอก็ยิ่งดูเป็นคนเจ้าอารมณ์มากขึ้น เขามักจะพูดอะไรออกมาให้เธอได้ปรี๊ดแตกกลายเป็นคนอารมณ์ร้อนทุกที
“ถ้าข้าไม่ถามเจ้า แล้วข้าจะถามใคร”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามกลับมานิ่งๆ ของอินทุช่างกวนโมโหศศิธรยิ่งนัก ตอนนี้เธอรู้สึกว่ากำลังมีควันพวยพุ่งออกมาจากหูทั้งสองข้างของเธอ และก็อดไม่ได้ที่จะตวาดกลับไป “ข้ามากกว่านะ ที่สมควรจะถามคำถามนี้กับท่าน...ว่าท่านมาที่นี่ได้อย่างไร”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามของเธอ เขากลับนั่งนิ่ง กอดอก และเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี พร้อมกับจ้องมองมาที่เธอนิ่งๆ ศศิธรเห็นอาการเหมือนคนดื้อที่ไม่ยอมลงให้กับใครง่ายๆ ของอินทุ ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างยอมแพ้ แล้วเอ่ยสรุปออกมาในที่สุด “สรุปตอนนี้คือ ข้าไม่ใช่จันทรพิมพ์ นางไม่ใช่บุหรง และท่านคืออินทุ...ทีนี้ก็เล่ามาว่าท่านมาทำอะไรที่นี่ แล้วมาที่นี่ได้อย่างไร”
“ข้า...” อินทุทำเหมือนจะเอ่ยอะไรออกมา แต่แล้วก็เงียบเสียงลง พร้อมกับค่อยๆ เบือนหน้ามองสำรวจข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่คุ้นเคยภายในห้องกว้าง แล้วก็มองตรงไปที่บุหรงนิ่ง สุดท้ายสายตาของเขาก็มาหยุดนิ่งลงที่ใบหน้าของหญิงสาวซึ่งกำลังจ้องมองไปที่เขาอย่างรอคอยคำตอบ
ทว่าเขากลับปิดเปลือกตาลงเสียดื้อๆ เหมือนเขาก็คิดไม่ตกกับคำถามที่ศศิธรถามเขาว่า เขาโผล่มาอยู่ที่บ้านของเธอได้อย่างไร และมาด้วยวิธีใด
เมื่อเห็นว่าคนป่วยยังไม่อยากเล่า แถมยังหลับตาเพื่อหลีกหนีคำถามของเธอเสียดื้อๆ ศศิธรก็เลยหันไปชวนพยาบาลพิเศษ ไปดูแม่ที่ห้องข้างๆ แทนการซักไซร้ไล่เรียงหัวนอนปลายเท้าของคนป่วย ที่ดูจะไร้ผล ซึ่งดูเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ “เราออกไปดูแม่กันเถอะ ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว”
//////////////////////////////////////////////////
หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าของสองสาวทยอยก้าวออกไปจากห้องจนหมด พร้อมกับเสียงปิดประตูบาๆ ตามมา อินทุก็ลืมตาขึ้นแล้วหันไปยังทิศทางที่หญิงสาวคนที่บอกว่าเธอชื่อ...ศศิธร...เดินออกไปทันที
“เธอไม่ใช่จันทรพิมพ์” อินทุเอ่ยยอมรับกับตนเองเบาๆ หลังจากที่เขาได้สบตาเธอตรงๆ หลายครั้ง เขาก็สรุปได้ทันทีว่าเธอไม่ใช่จันทรพิมพ์ ภรรยาของเขาอย่างแน่นอน เธอแค่มีใบหน้าละม้ายคล้ายภรรยาของเขาเท่านั้น
ศศิธร เธอมีนัยตาสีดำคลับ...แววตาที่ช่างดูกล้าหาญชาญชัย ไม่เกรงกลัวกับอะไรทั้งนั้น แม้แต่เขา...เธอคนนี้ ไม่ใช่จันทรพิมพ์ ภรรยาของเขาจริงๆ
เพราะภรรยาของเขานั้น นางมีดวงตาสีเขียวสดใสราวกับสีของแม่น้ำคชาธารยามกระทบแสงจันทร์ ที่แฝงไปด้วยความโอนอ่อนและอ่อนโยน
ถึงแม้ว่าเธอทั้งสองจะมีใบหน้าเหมือนกันราวกับคนๆ เดียวกัน แต่สายตาของพวกเธอ นิสัยของพวกเธอ ช่างต่างกันราวกลางวันกับกลางคืน
อินทุหลับตาลงอีกครั้ง พร้อมกับทบทวนความทรงจำอันแสนลางเลือนของเขา ก่อนที่เขาจะมานอนอยู่ในโลกแปลกใหม่ใบนี้...
======================
มีต่อนะคะ (2/3)