ลิขิตแห่งจันทร์ [บทที่ 4]

กระทู้สนทนา
ลิขิตแห่งจันทร์
(โรมานแมนติค-แฟนตาซี)

พลอยลภัสร์ : เขียน
Fanpage : www.facebook.com/ploylapas





<<< ตอนก่อนหน้า : http://ppantip.com/topic/32962444




บทที่ 4  (1/3)





          หลังจบคำถามว่า ‘คุณเป็นใคร’ คนป่วยก็หันขวับมาจ้องตาคนถามแทบจะทันทีด้วยสายตาไม่พอใจ ก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนจัด “ข้าก็เป็นข้า ทำไมเจ้าถึงถามเช่นนี้”

          “ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่จันทรพิมพ์ ฉันไม่ใช่ภรรยาของคุณ ฉันจึงไม่รู้จักคุณ ฉันถึงต้องถามว่าคุณเป็นใคร มาจากไหน” ศศิธรพยายามพูดออกอย่างใจเย็นกับคนป่วย เพราะเธอไม่อยากจะเถียงกับเขาแล้ว ตอนนี้เธออยากจะรู้เรื่องราวของเขามากกว่า

          “แต่ข้ารู้จักเจ้า”

          “ท่านจะมารู้จักข้าได้อย่างไร ในเมื่อข้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อน” หญิงสาวเผลอแหวออกไปอย่างอดไม่อยู่ แต่ก็อดที่จะล้อเลียนสรรพนามแทนตัวเธอและเขาตามแบบที่เขาใช้พูดกับเธอไม่ได้

          นกน้อยซึ่งกำลังตั้งใจฟังศศิธรซักไซร้คนป่วย หลุดหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินคำพูดกึ่งโมโห กึ่งล้อเลียนของหญิงสาวเจ้าของบ้าน

          “งั้นข้าขอแนะนำตัวเองก่อน ข้าชื่อศศิธร หรือเรีอกสั้นๆ ว่าศศิก็ได้ ส่วนนางคนนั้นชื่อนกน้อย เป็นพยาบาลพิเศษของแม่ข้า...ทีนี้ก็ถึงคราวท่านแนะนำตัวเองบ้างแล้ว”

          “เจ้าคือจันทรพิมพ์”

          “นี่!...ข้าบอกให้ท่านแนะนำตัว ว่าเป็นใคร มาจากไหน ไม่ใช่ให้มาเถียงกับข้า” ศศิธรเกือบจะเผลอตัวปรี่เข้าไปประทุษร้ายชายหนุ่มบนเตียงนอนอยู่แล้ว ทันทีที่เขาเถียงเธอออกมาแบบนี้ แต่เมื่อสำนึกได้ว่า เธออยากจะรู้จักหัวนอนปลายเท้าของชายหนุ่ม เธอจึงพยายามจะระงับอารมณ์โมโหโกรธาลง

          ภูผามักจะพูดเสมอว่าเธอเป็นคนดื้อ ชอบเถียง ชอบเอาชนะ แต่เธอก็มักจะเถียงกลับไปเสมอว่า เธอไม่ได้เถียง เธอแค่จะอธิบายเหตุผลที่ถูกต้องให้ฟังเท่านั้น ก็ผู้ชายที่เธอเคยรู้จักแต่ละคน...ทั้งพ่อ ทั้งคุณลุง รวมทั้งพี่ชายของเธอ...มักชอบคิดว่า ความคิดของตัวเองนั้นถูกเสมอ โดยที่ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้หญิงอย่างเธอเลยสักนิด

          และเธอก็เป็นคนที่มักไม่ยอมกับอะไรที่มันไม่ถูกต้อง...เธอก็เลยต้องพยายามที่จะอธิบายสิ่งที่เธอคิดบนพื้นฐานของความถูกต้องและมีสัมมาคารวะ...แต่ก็ยังถูกมองว่า...ดื้อและชอบเถียงอยู่ดี

          แต่ตอนนี้ เธอคิดว่าเธอกำลังเจอคู่แข่งคนสำคัญเข้าให้แล้ว

          “ข้าชื่ออินทุ”

          “บ้านท่านอยู่ที่ไหน”

          “เมืองกลาพิมพ์ เมืองของเทพแห่งจันทรา”

          “กลาพิมพ์...ข้าไม่รู้จัก เป็นอำเภอหรือ แล้วอยู่จังหวัดอะไร” ศศิธรเอ่ยทวนชื่อเมืองของเขาอีกครั้ง เหมือนเธอเคยได้ยินจากไหนมาก่อน แต่ให้นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก

          “ก็อยู่ที่นี่”

          เมื่อรู้สึกว่าเหมือนจะเริ่มคุยกันไม่รู้เรื่อง หญิงสาวก็เปลี่ยนเรื่องถามใหม่ทันที “แล้วท่านมาทำอะไรที่กาญจนบุรี”

          “กาญจนบุรี...คือที่ไหน แคว้นใหม่รึ”

          “ที่นี่แหละ จังหวัดกาญจนบุรี ไม่ใช่แคว้นมงแคว้นใหม่อะไรทั้งนั้น” ยิ่งคุยกัน ศศิธรก็ยิ่งสงสัยว่าพ่อเทพบุตรตกสวรรค์ของเธอ สงสัยจะตกลงมาจากโรงลิเก เพราะคำพูดคำจาแต่ละคำนั้น เหมือนหลุดออกมาจากโรงลิเกที่เธอชอบไปนั่งดูสมัยเป็นเด็ก

          “ที่นี่ไม่ช่สวรรค์หรอกรึ”

          “สวรรค์...ก็ไม่ใช่นะซิ” หญิงสาวตอบพลางเพ่งมองหน้าหนุ่มที่ตกลงมาจากโรงลิเกด้วยแววตาครุ่นคิด หรือเขาจะเป็นคนไข้สติไม่ดีที่พลัดหลงเข้ามาในรีสอร์ทของพี่ชายเธอ

          “แสดงว่าข้ายังไม่ตาย และเจ้าก็ยังไม่ตาย”

          ศศิธรถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พร้อมทั้งชี้นิ้วไปที่ชายหนุ่มบนเตียง ตัวเธอเอง และพยาบาลสาวน้อย พร้อมทั้งอธิบายช้าๆ ชัดๆ ให้เขาได้เข้าใจ “ท่าน ข้า และนาง ยังไม่มีใครตายทั้งนั้น ทุกคนยังมีชีวิตดีอยู่ บนโลกอันสับสนวุ่นวายใบนี้”

          “ถ้าที่นี่ไม่ใช่สวรรค์ และข้าก็ยังไม่ตายอย่างที่เจ้าบอก แล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...ทั้งๆ ที่เมื่อคืนก่อน ข้ายังนั่งมองพระจันทร์เต็มดวงอยู่ที่ริมแม่น้ำคชาธารที่เมืองกลาพิมพ์ของข้าอยู่เลย” อินทุเอ่ยถามออกมาด้วยแววตาสงสัย

          “ท่านถามข้า!” ศศิธรยกนิ้วชี้มาที่หน้าตัวเอง เธอรู้สึกว่ายิ่งเธอคุยกับเขา เธอก็ยิ่งดูเป็นคนเจ้าอารมณ์มากขึ้น เขามักจะพูดอะไรออกมาให้เธอได้ปรี๊ดแตกกลายเป็นคนอารมณ์ร้อนทุกที

          “ถ้าข้าไม่ถามเจ้า แล้วข้าจะถามใคร”

          น้ำเสียงที่เอ่ยถามกลับมานิ่งๆ ของอินทุช่างกวนโมโหศศิธรยิ่งนัก ตอนนี้เธอรู้สึกว่ากำลังมีควันพวยพุ่งออกมาจากหูทั้งสองข้างของเธอ และก็อดไม่ได้ที่จะตวาดกลับไป “ข้ามากกว่านะ ที่สมควรจะถามคำถามนี้กับท่าน...ว่าท่านมาที่นี่ได้อย่างไร”

          ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามของเธอ เขากลับนั่งนิ่ง กอดอก และเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี พร้อมกับจ้องมองมาที่เธอนิ่งๆ ศศิธรเห็นอาการเหมือนคนดื้อที่ไม่ยอมลงให้กับใครง่ายๆ ของอินทุ ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างยอมแพ้ แล้วเอ่ยสรุปออกมาในที่สุด “สรุปตอนนี้คือ ข้าไม่ใช่จันทรพิมพ์ นางไม่ใช่บุหรง และท่านคืออินทุ...ทีนี้ก็เล่ามาว่าท่านมาทำอะไรที่นี่ แล้วมาที่นี่ได้อย่างไร”

          “ข้า...” อินทุทำเหมือนจะเอ่ยอะไรออกมา แต่แล้วก็เงียบเสียงลง พร้อมกับค่อยๆ เบือนหน้ามองสำรวจข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่คุ้นเคยภายในห้องกว้าง แล้วก็มองตรงไปที่บุหรงนิ่ง สุดท้ายสายตาของเขาก็มาหยุดนิ่งลงที่ใบหน้าของหญิงสาวซึ่งกำลังจ้องมองไปที่เขาอย่างรอคอยคำตอบ

          ทว่าเขากลับปิดเปลือกตาลงเสียดื้อๆ เหมือนเขาก็คิดไม่ตกกับคำถามที่ศศิธรถามเขาว่า เขาโผล่มาอยู่ที่บ้านของเธอได้อย่างไร และมาด้วยวิธีใด

          เมื่อเห็นว่าคนป่วยยังไม่อยากเล่า แถมยังหลับตาเพื่อหลีกหนีคำถามของเธอเสียดื้อๆ ศศิธรก็เลยหันไปชวนพยาบาลพิเศษ ไปดูแม่ที่ห้องข้างๆ แทนการซักไซร้ไล่เรียงหัวนอนปลายเท้าของคนป่วย ที่ดูจะไร้ผล ซึ่งดูเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ “เราออกไปดูแม่กันเถอะ ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว”

          //////////////////////////////////////////////////

          หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าของสองสาวทยอยก้าวออกไปจากห้องจนหมด พร้อมกับเสียงปิดประตูบาๆ ตามมา อินทุก็ลืมตาขึ้นแล้วหันไปยังทิศทางที่หญิงสาวคนที่บอกว่าเธอชื่อ...ศศิธร...เดินออกไปทันที

          “เธอไม่ใช่จันทรพิมพ์” อินทุเอ่ยยอมรับกับตนเองเบาๆ หลังจากที่เขาได้สบตาเธอตรงๆ หลายครั้ง เขาก็สรุปได้ทันทีว่าเธอไม่ใช่จันทรพิมพ์ ภรรยาของเขาอย่างแน่นอน เธอแค่มีใบหน้าละม้ายคล้ายภรรยาของเขาเท่านั้น

          ศศิธร เธอมีนัยตาสีดำคลับ...แววตาที่ช่างดูกล้าหาญชาญชัย ไม่เกรงกลัวกับอะไรทั้งนั้น แม้แต่เขา...เธอคนนี้ ไม่ใช่จันทรพิมพ์ ภรรยาของเขาจริงๆ

          เพราะภรรยาของเขานั้น นางมีดวงตาสีเขียวสดใสราวกับสีของแม่น้ำคชาธารยามกระทบแสงจันทร์ ที่แฝงไปด้วยความโอนอ่อนและอ่อนโยน

          ถึงแม้ว่าเธอทั้งสองจะมีใบหน้าเหมือนกันราวกับคนๆ เดียวกัน แต่สายตาของพวกเธอ นิสัยของพวกเธอ ช่างต่างกันราวกลางวันกับกลางคืน

          อินทุหลับตาลงอีกครั้ง พร้อมกับทบทวนความทรงจำอันแสนลางเลือนของเขา ก่อนที่เขาจะมานอนอยู่ในโลกแปลกใหม่ใบนี้...




======================

มีต่อนะคะ (2/3)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่