<<< ตอนก่อนหน้า :
http://ppantip.com/topic/33033097
บทที่ 12 (1/2)
“นกน้อยว่าอะไรนะ...”
พยาบาลสาวน้อยส่ายหน้า และเมื่อหวนคิดไปถึงเหตุการณ์ในครัวเมื่อวาน ตอนที่เธอกำลังทำอาหารให้คนป่วย จิตใจก็พลันห่อเหี่ยวขึ้นมาอีกครั้ง เขามักย้ำเสมอว่าเธอคือน้องสาวของเขา...
‘นกน้อย’
‘คุณภู’ เธอมักเรียกเขาด้วย…คุณ…นำหน้าทุกครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะแทนตัวเองว่า…พี่…ก็ตาม เพื่อเป็นการย้ำเตือนถึงฐานะของตนเอง
‘เป็นอะไร...ทำไมพักนี้ไม่ค่อยพูด แถมยังชอบหลบหน้าหลบตาพี่อีก’
‘เปล่าค่ะ’
‘ไม่เปล่ามั้ง’
‘ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ คุณภูมีอะไรจะใช้นกน้อยหรือเปล่าคะ’
‘ไม่...เอ่อ...’ ภูผาขยับจะปฏิเสธ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ‘ช่วยดูข้อเท้าพี่หน่อยซิ’
‘ตายจริง...คุณภูเป็นอะไรคะ ไปโดนอะไรมา ทำไมถึงปล่อยทิ้งไว้ให้บวมแดงอย่างนี้...ไม่รู้จักหาหยูกหายามาใส่’ นกน้อยรีบเดินเข้าไปประคองชายหนุ่มที่ยืนพิงขอบประตูให้เดินไปนั่งยังเก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุด พร้อมกับบ่นไปด้วย เมื่อสังเกตเห็นข้อเท้าที่บวมแดงของเขา
ชายหนุ่มยิ้มออกมาได้ เมื่อเห็นอาการเป็นห่วงเป็นใยของสาวน้อยตรงหน้า พร้อมกับโยกหัวเธออย่างเอ็นดูเหมือนที่เขามักจะทำเป็นประจำ ‘ก็...ตามหาน้องสาวคนนี้ไม่เจอนี่นา’
น้องสาว...แค่นี้จริงๆ ที่เขาคิดกับเธอ
ศศิธรไม่ทันได้สังเกตสีหน้าเศร้าสลดของนกน้อย จึงพูดย้ำฝากฝังอีกครั้ง “เอาเป็นว่า ถ้าศศิไม่ได้กลับมา ศศิฝากนกน้อยดูแลครอบครัวของศศิด้วยแล้วกันนะ...ทั้งแม่ ทั้งพี่ภู ศศิยกให้นกน้อยทั้งสองคนเลยนะ”
///////////////////////////////////////////
ภูผาเดินเข้าไปโอบบ่าน้องสาวซึ่งกำลังยืนมองพระจันทร์ดวงโตที่กำลังฉายแสงสุกสว่างอยู่บนท้องฟ้าบริเวณบ่อน้ำหลังบ้าน “คิดดีแล้วใช่ไหม”
ศศิธรพยักหน้ารับ โดยที่ดวงตาไม่ได้ละไปจากพระจันทร์ดวงโตเลยสักนิด
“ไม่ต้องห่วงแม่นะ พี่กับนกน้อยจะช่วยดูแลแม่ให้เอง”
“พี่ภู” ศศิธรผวาเข้าไปกอดพี่ชายเอาไว้ทั้งตัว เพราะต้องการกำลังใจที่ถ่ายทอดออกมาจากร่างหนา อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เธอก็อาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ได้กอดพี่ชายแบบนี้อีกแล้ว...ยิ่งคิดร่างบางก็ยิ่งกอดร่างหนาแน่นขึ้น
อินทุเห็นหญิงสาวโผเข้าไปกอดพี่ชาย ก็ขยับตัวไปยืนแทบจะประชิดคนทั้งคู่ด้วยความลืมตัวทันที เพราะความไม่เคยชิน คล้ายว่าลึกๆ แล้ว เขาไม่ได้คิดว่าชายหนุ่มเจ้าของบ้านเป็น...ภูผา พี่ชายของศศิธร
“ตัดสินใจดีแล้ว ก็อย่าร้องไห้ อีกไม่กี่วัน เราก็จะได้เจอกันแล้ว แค่รอวันพระจันทร์เต็มดวงอีกครั้งเองนี่นา” ภูผาเอ่ย ก่อนจะดันน้องสาวออกห่างตัว พร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้น้องสาวที่ยังไม่ยอมคลายกอดเขาอย่างเบามือ นานๆ จะได้เห็นน้ำตาของน้องสาวคนเก่งคนนี้สักที ทำให้หัวใจเขากระตุกและสั่นไหวได้เหมือนกัน “ร้องไห้มากๆ เดี๋ยวพี่ก็ห้ามไม่ให้ศศิไปหรอก”
“พี่ภู...” ศศิธรครางเรียกชื่อพี่ชายเสียงแผ่ว
“พี่รักศศินะ” ภูผารีบเอ่ยตัดบททันที เพราะไม่อยากให้น้องสาวรวมทั้งตัวเองลังเลมากไปกว่านี้
“ศศิก็รักพี่ภูค่ะ” หญิงสาวเขย่งขึ้นหอมแก้มพี่ชายอีกครั้ง ก่อนจะผละเดินเข้าไปกอดพยาบาลสาวที่ยืนอยู่ไม่ห่าง
นกน้อยร้องไห้ออกมาอย่างอดใจไว้ไม่อยู่ เพราะหญิงสาวเจ้าของบ้านคนนี้ ปฏิบัติกับเธอเสมือนเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่งมาโดยตลอด “คุณศศิ”
“ฝากพี่ภูด้วยนะ” หญิงสาวที่กำลังจะลาไปไกล กระซิบบอกพยาบาลสาวในอ้อมกอดเบาๆ ให้พอได้ยินกันแค่สองคน
“ไม่รับฝากหรอกค่ะ” ถึงจะเศร้าเสียใจแค่ไหน แต่นกน้อยก็ยังมีสติพอจะเอ่ยปฏิเสธภาระหน้าที่ๆ ไม่น่าจะเกี่ยวกับเธอเสียงเบา
ภูผาหันไปเอ่ยฝากฝังน้องสาวของตนกับชายหนุ่มอีกคน ที่ยืนจ้องน้องสาวของเขาด้วยสายตามีความหมายแทบจะตลอดเวลา “ฝากดูแลน้องสาวของผมด้วยนะครับ แล้วก็อย่าลืมคำสัญญา...”
คนที่ยอมรับฝากอย่างเต็มใจทำเพียงแค่พยักหน้ารับเฉยๆ โดยไม่พูดอะไร แต่แววตาที่มองสบตาคนเป็นพี่ชาย สื่อออกมาได้เป็นอย่างชัดเจนว่าเขาพร้อมจะดูแลน้องสาวของภูผามากแค่ไหน และจะยึดมั่นในคำสัญญาระหว่างเขากับภูผาไว้อย่างมั่นคง
“แล้วเรา...ไปอยู่ที่โน่น ก็อย่าดื้อให้มากนัก เพราะไม่ใช่บ้านของเรา”
“ศศิไม่ดื้อสักหน่อย” คนเป็นน้องเถียงออกมาเบาๆ กับคำสั่งของคนเป็นพี่
“ไม่ดื้อหน่อยเดียวนะซิ...เชื่อฟังเจ้าของบ้านเขาด้วยนะ เสร็จงานแล้ว ก็รีบกลับบ้านเรา...พี่รออยู่” ภูผาเดินเข้าไปโยกหัวน้องสาวอย่างเอ็นดู
“คร้าบบบ” ศศิธรยกมือขึ้นป้ายน้ำตา ก่อนจะยกมือขวาขึ้นตะเบ๊ะรับคำพี่ชายเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำเวลาได้รับคำสั่ง
ภูผายิ้มขำท่าทางของน้องสาว ก่อนจะเอ่ยปากไล่กลายๆ “ไปกันได้แล้วไป”
อินทุหันมายื่นมือให้หญิงสาวจับ พร้อมกับถามว่า...“พร้อมไหม”
“พร้อม!” ถึงปากจะบอกว่าพร้อม แต่ศศิธรก็ยืนชั่งใจอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะยื่นมือไปสอดประสานกับมือหนา ซึ่งต่างฝ่ายต่างกระชับกันแน่นขึ้นเพื่อถ่ายทอดกำลังใจให้กันและกัน ก่อนจะจับจูงกันเดินลงไปในบ่อน้ำ จนน้ำอยู่สูงระดับหน้าอกของหญิงสาว
“กลัวหรือ สั่นเชียว” อินทุเอ่ยถามหญิงสาวที่ยืนหันหน้าเข้าหากัน ซึ่งใบหน้าของเขาและเธออยู่ห่างกันไม่ถึงฝ่ามือ เพราะเขากลัวว่าหลังจากข้ามเวลาไปได้แล้วสร้อยจะหลุดจากคออีก ก็เลยจัดการมัดสายให้มันสั้นมากพอที่จะไม่หลุดจากศรีษะเวลาเจอคลื่นใหญ่โถมเข้าใส่
ซึ่งการจะนำสร้อยจันทร์เสี้ยวของเขากับเธอมาประกบต่อกันได้นั้น เขากับเธอก็ต้องใกล้ชิดกันมากเป็นพิเศษ และเพราะความใกล้ชิด เขาก็สัมผัสได้ถึงอาการสั่นน้อยๆ ของหญิงสาว จนเขาต้องเอ่ยปลอบอีกครั้ง “มีข้าอยู่ด้วย...เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
เมื่อเขาและเธอเห็นว่าสร้อยทั้งสองเส้นต่อกันได้สนิทดีแล้ว เพราะสร้อยจันทร์เสี้ยวเรืองแสงขึ้นมาในทันที หลังจากที่สร้อยทั้งสองเส้นประกบกันได้พอดี ทั้งคู่ก็เอ่ยท่องคาถาออกมาพร้อมกัน...
“ด้วยมนต์แห่งจันทรา และอำนาจของ...”
ก่อนที่จะมีเสียงร้องห้ามจากหญิงสาว “เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน” พร้อมกับค่อยๆ ลดแขนที่จับสร้อยจันทร์เสี้ยวทั้งสองเส้นให้ติดกันลง
ศศิธรร้องห้ามชายหนุ่มที่กำลังจะเอ่ยท่องคาถาเพราะความกลัว เธอกลัวว่าเขากับเธอจะแยกจากกัน เพราะเขาทำเพียงแค่แตะฝ่ามือที่เอวบางของเธอที่อยู่ใต้น้ำเพียงเบาๆ เท่านั้น
“ท่านเป็นคนจับสร้อยมาประกบต่อกันดีกว่า”
“หือ...” ชายหนุ่มจ้องตาหญิงสาวนิ่งๆ ด้วยความสงสัย และนิ่งรอฟังเหตุผลจากประโยคกึ่งๆ คำสั่งของเธอ
“ข้า...ข้ากลัว...ข้ากลัวจะแยกจากท่าน...แต่ถ้าท่านเป็นคนจับสร้อยจันทร์เสี้ยวไว้ ข้าก็จะได้กอดเอวท่านได้แน่นขึ้น” ศศิธรเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกัก...กลัวก็กลัว อายก็อาย...อายที่จะบอกกับเขาว่า เธอจะเป็นฝ่ายกอดเขาไม่ปล่อยนั่นเอง
ชายหนุ่มยิ้มกับเหตุผลของหญิงสาว ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ศศิธรงงเป็นไก่ตาแตก “งั้นข้าว่าเจ้านั่นแหละ...ที่ต้องเป็นคนนำสร้อยมาต่อกัน...ไม่ใช่ข้า”
“ทำไม”
ชายหนุ่มรวบเอวบางของหญิงสาวเข้ามาประชิดตัวมากขึ้น พร้อมกับโน้มตัวลงไปกอดหญิงสาวไว้แนบอกจนแน่น ก่อนจะกระซิบอธิบายเหตุผลของเขาให้เธอฟังบ้าง “เพราะถ้าเจ้าเป็นฝ่ายกอดข้า เจ้าอาจจะปล่อยมือจากข้า เราอาจจะแยกหลุดจากกันไปตอนไหนก็ไม่รู้...แต่ถ้าข้าเป็นฝ่ายกอดเจ้าเอาไว้แบบนี้...ข้ามั่นใจว่า ข้าจะไม่มีวันปล่อยมือจากเจ้าเด็ดขาด”
ศศิธรเงยหน้าขึ้นสบตาดวงตาคมด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจกับคำมั่นสัญญาง่ายๆ ของชายหนุ่ม ถึงมันจะเป็นคำมั่นสัญญาง่ายๆ แต่ก็เป็นคำสัญญาที่ขจัดความกลัวทั้งหมดทั้งมวลไปจากใจเธอ แล้วยังทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมาอย่างประหลาด เมื่อรับรู้ได้ถึงความจริงใจในน้ำเสียง แววตา และอ้อมแขนแกร่งของชายหนุ่มที่โอบรัดเธอเอาไว้ใต้น้ำ
แค่เพียงความเชื่อมั่นในตัวชายหนุ่ม เชื่อมั่นว่าเขาจะไม่ทิ้งเธอ...เพียงแค่นี้ ก็เพียงพอแล้ว ที่เธอจะกล้าไปในทุกๆ ที่ๆ มีเขาไปด้วย
จากนั้นทั้งคู่จึงเริ่มท่องคาถาใหม่อีกครั้ง ตั้งแต่ต้นจน...
“ด้วยมนต์แห่งจันทรา และอำนาจของข้า...จงดลให้...เราทั้งสองคนกลับไปยังกลาพิมพ์ด้วยเถิด”
นกน้อยแอบขยับเข้าไปแกะแขนของชายหนุ่มเจ้าของบ้านโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้จะพยายามเลี่ยงไม่เข้าใกล้ภูผามาตลอด เมื่อเห็นแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมาท่ามกลางคนทั้งสอง แล้วน้ำในบ่อที่นิ่งสงบเมื่อสักครู่ ก็เกิดเป็นคลื่นลูกใหญ่ขึ้นมาทันที
คลื่น...ที่เหมือนกับมีใครสักคนเอาก้อนเห็นก้อนใหญ่ โยนโครมลงไปในน้ำ จนน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง แต่เมื่อน้ำในบ่อนิ่งสงบลงเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีเหตุการณ์ข้ามเวลาอะไรเกิดขึ้น เธอก็ไม่เห็นชายหนุ่มกับหญิงสาวที่ตระกองกอดกันอยู่ในบ่อน้ำเมื่อสักครู่อีกเลย
======================
มีต่อนะคะ (2/2)
ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี) บทที่ 12
(โรมานแมนติค-แฟนตาซี)
พลอยลภัสร์ : เขียน
Fanpage : www.facebook.com/ploylapas
<<< ตอนก่อนหน้า : http://ppantip.com/topic/33033097
บทที่ 12 (1/2)
“นกน้อยว่าอะไรนะ...”
พยาบาลสาวน้อยส่ายหน้า และเมื่อหวนคิดไปถึงเหตุการณ์ในครัวเมื่อวาน ตอนที่เธอกำลังทำอาหารให้คนป่วย จิตใจก็พลันห่อเหี่ยวขึ้นมาอีกครั้ง เขามักย้ำเสมอว่าเธอคือน้องสาวของเขา...
‘นกน้อย’
‘คุณภู’ เธอมักเรียกเขาด้วย…คุณ…นำหน้าทุกครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะแทนตัวเองว่า…พี่…ก็ตาม เพื่อเป็นการย้ำเตือนถึงฐานะของตนเอง
‘เป็นอะไร...ทำไมพักนี้ไม่ค่อยพูด แถมยังชอบหลบหน้าหลบตาพี่อีก’
‘เปล่าค่ะ’
‘ไม่เปล่ามั้ง’
‘ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ คุณภูมีอะไรจะใช้นกน้อยหรือเปล่าคะ’
‘ไม่...เอ่อ...’ ภูผาขยับจะปฏิเสธ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ‘ช่วยดูข้อเท้าพี่หน่อยซิ’
‘ตายจริง...คุณภูเป็นอะไรคะ ไปโดนอะไรมา ทำไมถึงปล่อยทิ้งไว้ให้บวมแดงอย่างนี้...ไม่รู้จักหาหยูกหายามาใส่’ นกน้อยรีบเดินเข้าไปประคองชายหนุ่มที่ยืนพิงขอบประตูให้เดินไปนั่งยังเก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุด พร้อมกับบ่นไปด้วย เมื่อสังเกตเห็นข้อเท้าที่บวมแดงของเขา
ชายหนุ่มยิ้มออกมาได้ เมื่อเห็นอาการเป็นห่วงเป็นใยของสาวน้อยตรงหน้า พร้อมกับโยกหัวเธออย่างเอ็นดูเหมือนที่เขามักจะทำเป็นประจำ ‘ก็...ตามหาน้องสาวคนนี้ไม่เจอนี่นา’
น้องสาว...แค่นี้จริงๆ ที่เขาคิดกับเธอ
ศศิธรไม่ทันได้สังเกตสีหน้าเศร้าสลดของนกน้อย จึงพูดย้ำฝากฝังอีกครั้ง “เอาเป็นว่า ถ้าศศิไม่ได้กลับมา ศศิฝากนกน้อยดูแลครอบครัวของศศิด้วยแล้วกันนะ...ทั้งแม่ ทั้งพี่ภู ศศิยกให้นกน้อยทั้งสองคนเลยนะ”
///////////////////////////////////////////
ภูผาเดินเข้าไปโอบบ่าน้องสาวซึ่งกำลังยืนมองพระจันทร์ดวงโตที่กำลังฉายแสงสุกสว่างอยู่บนท้องฟ้าบริเวณบ่อน้ำหลังบ้าน “คิดดีแล้วใช่ไหม”
ศศิธรพยักหน้ารับ โดยที่ดวงตาไม่ได้ละไปจากพระจันทร์ดวงโตเลยสักนิด
“ไม่ต้องห่วงแม่นะ พี่กับนกน้อยจะช่วยดูแลแม่ให้เอง”
“พี่ภู” ศศิธรผวาเข้าไปกอดพี่ชายเอาไว้ทั้งตัว เพราะต้องการกำลังใจที่ถ่ายทอดออกมาจากร่างหนา อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เธอก็อาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ได้กอดพี่ชายแบบนี้อีกแล้ว...ยิ่งคิดร่างบางก็ยิ่งกอดร่างหนาแน่นขึ้น
อินทุเห็นหญิงสาวโผเข้าไปกอดพี่ชาย ก็ขยับตัวไปยืนแทบจะประชิดคนทั้งคู่ด้วยความลืมตัวทันที เพราะความไม่เคยชิน คล้ายว่าลึกๆ แล้ว เขาไม่ได้คิดว่าชายหนุ่มเจ้าของบ้านเป็น...ภูผา พี่ชายของศศิธร
“ตัดสินใจดีแล้ว ก็อย่าร้องไห้ อีกไม่กี่วัน เราก็จะได้เจอกันแล้ว แค่รอวันพระจันทร์เต็มดวงอีกครั้งเองนี่นา” ภูผาเอ่ย ก่อนจะดันน้องสาวออกห่างตัว พร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้น้องสาวที่ยังไม่ยอมคลายกอดเขาอย่างเบามือ นานๆ จะได้เห็นน้ำตาของน้องสาวคนเก่งคนนี้สักที ทำให้หัวใจเขากระตุกและสั่นไหวได้เหมือนกัน “ร้องไห้มากๆ เดี๋ยวพี่ก็ห้ามไม่ให้ศศิไปหรอก”
“พี่ภู...” ศศิธรครางเรียกชื่อพี่ชายเสียงแผ่ว
“พี่รักศศินะ” ภูผารีบเอ่ยตัดบททันที เพราะไม่อยากให้น้องสาวรวมทั้งตัวเองลังเลมากไปกว่านี้
“ศศิก็รักพี่ภูค่ะ” หญิงสาวเขย่งขึ้นหอมแก้มพี่ชายอีกครั้ง ก่อนจะผละเดินเข้าไปกอดพยาบาลสาวที่ยืนอยู่ไม่ห่าง
นกน้อยร้องไห้ออกมาอย่างอดใจไว้ไม่อยู่ เพราะหญิงสาวเจ้าของบ้านคนนี้ ปฏิบัติกับเธอเสมือนเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่งมาโดยตลอด “คุณศศิ”
“ฝากพี่ภูด้วยนะ” หญิงสาวที่กำลังจะลาไปไกล กระซิบบอกพยาบาลสาวในอ้อมกอดเบาๆ ให้พอได้ยินกันแค่สองคน
“ไม่รับฝากหรอกค่ะ” ถึงจะเศร้าเสียใจแค่ไหน แต่นกน้อยก็ยังมีสติพอจะเอ่ยปฏิเสธภาระหน้าที่ๆ ไม่น่าจะเกี่ยวกับเธอเสียงเบา
ภูผาหันไปเอ่ยฝากฝังน้องสาวของตนกับชายหนุ่มอีกคน ที่ยืนจ้องน้องสาวของเขาด้วยสายตามีความหมายแทบจะตลอดเวลา “ฝากดูแลน้องสาวของผมด้วยนะครับ แล้วก็อย่าลืมคำสัญญา...”
คนที่ยอมรับฝากอย่างเต็มใจทำเพียงแค่พยักหน้ารับเฉยๆ โดยไม่พูดอะไร แต่แววตาที่มองสบตาคนเป็นพี่ชาย สื่อออกมาได้เป็นอย่างชัดเจนว่าเขาพร้อมจะดูแลน้องสาวของภูผามากแค่ไหน และจะยึดมั่นในคำสัญญาระหว่างเขากับภูผาไว้อย่างมั่นคง
“แล้วเรา...ไปอยู่ที่โน่น ก็อย่าดื้อให้มากนัก เพราะไม่ใช่บ้านของเรา”
“ศศิไม่ดื้อสักหน่อย” คนเป็นน้องเถียงออกมาเบาๆ กับคำสั่งของคนเป็นพี่
“ไม่ดื้อหน่อยเดียวนะซิ...เชื่อฟังเจ้าของบ้านเขาด้วยนะ เสร็จงานแล้ว ก็รีบกลับบ้านเรา...พี่รออยู่” ภูผาเดินเข้าไปโยกหัวน้องสาวอย่างเอ็นดู
“คร้าบบบ” ศศิธรยกมือขึ้นป้ายน้ำตา ก่อนจะยกมือขวาขึ้นตะเบ๊ะรับคำพี่ชายเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำเวลาได้รับคำสั่ง
ภูผายิ้มขำท่าทางของน้องสาว ก่อนจะเอ่ยปากไล่กลายๆ “ไปกันได้แล้วไป”
อินทุหันมายื่นมือให้หญิงสาวจับ พร้อมกับถามว่า...“พร้อมไหม”
“พร้อม!” ถึงปากจะบอกว่าพร้อม แต่ศศิธรก็ยืนชั่งใจอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะยื่นมือไปสอดประสานกับมือหนา ซึ่งต่างฝ่ายต่างกระชับกันแน่นขึ้นเพื่อถ่ายทอดกำลังใจให้กันและกัน ก่อนจะจับจูงกันเดินลงไปในบ่อน้ำ จนน้ำอยู่สูงระดับหน้าอกของหญิงสาว
“กลัวหรือ สั่นเชียว” อินทุเอ่ยถามหญิงสาวที่ยืนหันหน้าเข้าหากัน ซึ่งใบหน้าของเขาและเธออยู่ห่างกันไม่ถึงฝ่ามือ เพราะเขากลัวว่าหลังจากข้ามเวลาไปได้แล้วสร้อยจะหลุดจากคออีก ก็เลยจัดการมัดสายให้มันสั้นมากพอที่จะไม่หลุดจากศรีษะเวลาเจอคลื่นใหญ่โถมเข้าใส่
ซึ่งการจะนำสร้อยจันทร์เสี้ยวของเขากับเธอมาประกบต่อกันได้นั้น เขากับเธอก็ต้องใกล้ชิดกันมากเป็นพิเศษ และเพราะความใกล้ชิด เขาก็สัมผัสได้ถึงอาการสั่นน้อยๆ ของหญิงสาว จนเขาต้องเอ่ยปลอบอีกครั้ง “มีข้าอยู่ด้วย...เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
เมื่อเขาและเธอเห็นว่าสร้อยทั้งสองเส้นต่อกันได้สนิทดีแล้ว เพราะสร้อยจันทร์เสี้ยวเรืองแสงขึ้นมาในทันที หลังจากที่สร้อยทั้งสองเส้นประกบกันได้พอดี ทั้งคู่ก็เอ่ยท่องคาถาออกมาพร้อมกัน...
“ด้วยมนต์แห่งจันทรา และอำนาจของ...”
ก่อนที่จะมีเสียงร้องห้ามจากหญิงสาว “เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน” พร้อมกับค่อยๆ ลดแขนที่จับสร้อยจันทร์เสี้ยวทั้งสองเส้นให้ติดกันลง
ศศิธรร้องห้ามชายหนุ่มที่กำลังจะเอ่ยท่องคาถาเพราะความกลัว เธอกลัวว่าเขากับเธอจะแยกจากกัน เพราะเขาทำเพียงแค่แตะฝ่ามือที่เอวบางของเธอที่อยู่ใต้น้ำเพียงเบาๆ เท่านั้น
“ท่านเป็นคนจับสร้อยมาประกบต่อกันดีกว่า”
“หือ...” ชายหนุ่มจ้องตาหญิงสาวนิ่งๆ ด้วยความสงสัย และนิ่งรอฟังเหตุผลจากประโยคกึ่งๆ คำสั่งของเธอ
“ข้า...ข้ากลัว...ข้ากลัวจะแยกจากท่าน...แต่ถ้าท่านเป็นคนจับสร้อยจันทร์เสี้ยวไว้ ข้าก็จะได้กอดเอวท่านได้แน่นขึ้น” ศศิธรเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกัก...กลัวก็กลัว อายก็อาย...อายที่จะบอกกับเขาว่า เธอจะเป็นฝ่ายกอดเขาไม่ปล่อยนั่นเอง
ชายหนุ่มยิ้มกับเหตุผลของหญิงสาว ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ศศิธรงงเป็นไก่ตาแตก “งั้นข้าว่าเจ้านั่นแหละ...ที่ต้องเป็นคนนำสร้อยมาต่อกัน...ไม่ใช่ข้า”
“ทำไม”
ชายหนุ่มรวบเอวบางของหญิงสาวเข้ามาประชิดตัวมากขึ้น พร้อมกับโน้มตัวลงไปกอดหญิงสาวไว้แนบอกจนแน่น ก่อนจะกระซิบอธิบายเหตุผลของเขาให้เธอฟังบ้าง “เพราะถ้าเจ้าเป็นฝ่ายกอดข้า เจ้าอาจจะปล่อยมือจากข้า เราอาจจะแยกหลุดจากกันไปตอนไหนก็ไม่รู้...แต่ถ้าข้าเป็นฝ่ายกอดเจ้าเอาไว้แบบนี้...ข้ามั่นใจว่า ข้าจะไม่มีวันปล่อยมือจากเจ้าเด็ดขาด”
ศศิธรเงยหน้าขึ้นสบตาดวงตาคมด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจกับคำมั่นสัญญาง่ายๆ ของชายหนุ่ม ถึงมันจะเป็นคำมั่นสัญญาง่ายๆ แต่ก็เป็นคำสัญญาที่ขจัดความกลัวทั้งหมดทั้งมวลไปจากใจเธอ แล้วยังทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมาอย่างประหลาด เมื่อรับรู้ได้ถึงความจริงใจในน้ำเสียง แววตา และอ้อมแขนแกร่งของชายหนุ่มที่โอบรัดเธอเอาไว้ใต้น้ำ
แค่เพียงความเชื่อมั่นในตัวชายหนุ่ม เชื่อมั่นว่าเขาจะไม่ทิ้งเธอ...เพียงแค่นี้ ก็เพียงพอแล้ว ที่เธอจะกล้าไปในทุกๆ ที่ๆ มีเขาไปด้วย
จากนั้นทั้งคู่จึงเริ่มท่องคาถาใหม่อีกครั้ง ตั้งแต่ต้นจน...
“ด้วยมนต์แห่งจันทรา และอำนาจของข้า...จงดลให้...เราทั้งสองคนกลับไปยังกลาพิมพ์ด้วยเถิด”
นกน้อยแอบขยับเข้าไปแกะแขนของชายหนุ่มเจ้าของบ้านโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้จะพยายามเลี่ยงไม่เข้าใกล้ภูผามาตลอด เมื่อเห็นแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมาท่ามกลางคนทั้งสอง แล้วน้ำในบ่อที่นิ่งสงบเมื่อสักครู่ ก็เกิดเป็นคลื่นลูกใหญ่ขึ้นมาทันที
คลื่น...ที่เหมือนกับมีใครสักคนเอาก้อนเห็นก้อนใหญ่ โยนโครมลงไปในน้ำ จนน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง แต่เมื่อน้ำในบ่อนิ่งสงบลงเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีเหตุการณ์ข้ามเวลาอะไรเกิดขึ้น เธอก็ไม่เห็นชายหนุ่มกับหญิงสาวที่ตระกองกอดกันอยู่ในบ่อน้ำเมื่อสักครู่อีกเลย
======================
มีต่อนะคะ (2/2)