ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี) บทที่ 11

ลิขิตแห่งจันทร์
(โรมานแมนติค-แฟนตาซี)

พลอยลภัสร์ : เขียน
Fanpage : www.facebook.com/ploylapas





<<< ตอนก่อนหน้า : http://ppantip.com/topic/33023285




บทที่ 11 (1/2)



ภูผาถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ ก่อนจะบอกถึงสาเหตุที่บ้านใหญ่มักโทร. มาตามตัวให้เขาไปกินข้าวเย็นด้วยเสมอ ซึ่งดูเหมือนช่วงนี้จะโทร. มาถี่เหลือเกิน “อื้อ...นั่นแหละ เรื่องเดิมๆ ให้ไปดูตัวลูกสะใภ้”

“พี่ภูก็รีบมีสักคนซิค่ะ คุณลุงจะได้เลิกหาให้สักที หรือไม่ก็เลือกสักคนที่คุณลุงหาให้ก็ได้” ศศิธรแสดงความคิดเห็น พร้อมกับลอบสังเกตปฏิกิริยาของพยาบาลสาวที่กำลังลุกขึ้นจัดที่หลับที่นอนให้แม่ของเธอไปด้วย

หญิงสาวค่อนข้างมั่นใจ ว่าพี่ชายของเธอนั้น...คิดอะไรๆ กับพยาบาลพิเศษของแม่คนนี้

อะไรๆ...ที่มันมากกว่านายจ้างกับลูกจ้าง หรือพี่ชายกับน้องสาวเหมือนที่พี่ชายมักพูดเสมอ

แต่ในส่วนของนกน้อยนั้น ศศิธรเดาไม่ถูกจริงๆ เพราะเธอดูไม่ออกว่านกน้อยคิดอย่างไรกับพี่ชายของเธอมากกว่านายจ้างกับลูกจ้างหรือพี่ชายกับน้องสาว(ข้างบ้าน)หรือเปล่า เพราะนกน้อยไม่เคยแสดงท่าทางอะไรที่มากไปกว่าลูกจ้างเลยสักนิด ไม่ว่าจะกับเธอหรือกับภูผา

“ก็อยากจะรีบมีอยู่หรอกนะ” ภูผาพูดพลางเพ่งมองไปที่หญิงสาวที่ยืนหันหลังอยู่ตรงมุมห้อง เนื่องจากพ่อต้องการให้เขาเลือกลูกสะใภ้ที่มีธุรกิจเกื้อหนุนกับครอบครัวของเขา ทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดที่จะเลือกผู้หญิงด้วยตนเอง ถึงแม้จะแอบชอบพยาบาลพิเศษของศมนอยู่ก็ตาม

เขาจึงไม่เคยคิดจะจีบ หรือรีบทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้นกน้อยได้รับรู้ถึงความรู้สึกของเขา เพราะเขาคิดว่า อย่างไรซะเขาก็ต้องเลือกลูกสะใภ้จากผู้หญิงสักคนที่พ่อพามาให้รู้จักอยู่ดี เขาจึงแสดงออกกับเธอเฉกเช่นน้องสาวคนหนึ่ง

และก็ดูเหมือนว่าบุหรงก็พยายามจะแสดงออกว่าเธอเป็นเพียงแค่ลูกจ้างของเขาเท่านั้นเช่นกัน...ทำให้เขาไม่กล้าจะจีบเธออย่างจริงจังนัก

“อยากรีบมี...ก็มีเลยซิค่ะ เดี๋ยวมีใครมาคว้าไปไม่รู้ด้วยนะคะ หรือรออะไรอยู่ รอมานานแล้วนะคะ” ศศิธรเอ่ยกระตุ้นพี่ชายเต็มที่ ปกติแล้วพี่ชายเป็นคนที่ไม่ค่อยจะเปิดเผยความรู้สึกเท่าไร จะดีใจ เสียใจ ยิ้ม หัวเราะ ก็หน้านิ่งๆ เหมือนกันตลอด

เพิ่งจะมีเรื่องของนกน้อยนี่แหละ ที่ดูเหมือนจะแสดงออกมากเป็นพิเศษ แต่ก็คงจะไม่มากพอที่จะทำให้สาวเจ้ารู้ตัว แต่ออกตัวแรงไปก็เท่านั้น เมื่อสาวเจ้าไม่ชายตาแลมาทางพี่ชายเธอแม้แต่น้อย

“ก็...รอให้คนบางคนแถวนี้โตกว่านี้อีกหน่อย แบบนี้ไม่ไหว อาจจะโดนข้อหาพรากผู้เยาว์ได้” ภูผารีบเอ่ยรัวเร็วเชิงกระเซ้าเย้าแหย่พยาบาลสาวที่กำลังจะเดินพ้นขอบประตูห้องออกไปจากห้อง เพื่อให้เธอกลับมาพูดจากับเขาเช่นเดิม แต่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์เพราะหญิงสาวเดินหลังตรงออกไป โดยไม่เหลือบแลหันหลังกลับมามองที่เขาเลยสักนิด จนเขาต้องถอนหายใจยาวออกมา

“พี่ภูทำอะไรนกน้อย” ศศิธรถามออกมาทันทีที่คล้อยหลังพยาบาลสาวน้อย

“เปล่า”

“แล้วทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า”

ภูผายังคงสายหน้าปฏิเสธข้อกล่าวหาของน้องสาว เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเผลอไปทำอะไรให้สาวน้อยไม่พอใจ ถึงขนาดคอยหลบหน้าหลบตา แถมยังไม่ยอมพูดไม่ยอมจากับเขาอีกด้วย สงสัยงานนี้ต้องมีเคลียร์กันยาว

///////////////////////////////////////

ปัง! ปัง! ปัง!

เสียง ‘ทุบ’ ประตูที่แทบจะพังประตูห้องนอนของศศิธร ทำให้เธอต้องรีบลุกมาเปิดประตูออกมาดูหน้าคนที่คิดจะพังประตูห้องนอนของเธออย่างรวดเร็ว โดยที่ในมือยังมีผ้าขนหนูผืนเล็กที่เธอกำลังใช้เช็ดผมที่ยังคงเปียกชื้นถือค้างอยู่

“ข้าเจอมันแล้ว” อินทุเอ่ยออกมาแทบจะทันทีที่เจ้าของห้องเปิดประตูออกมาแรงๆ ด้วยอารมณ์หงุดหงิด

“จะพังประตูกันหรืออย่างไร แล้วอะไร...ท่านเจออะไร”

ชายหนุ่มไม่ได้สนใจท่าทีไม่สบอารมณ์ของหญิงสาว เพราะเขามีสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากกว่า และเขาก็ยื่นสิ่งที่เขากำอยู่ในมือไปตรงหน้าเธอ สิ่งที่เขาเพียรหามาหลายวันให้เธอได้มองมันอย่างชัดเจน ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเขาจะหามันเจอได้โดยง่ายในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง

“เจ้าดูนี่...ข้าเจอมันแล้ว”

“สร้อยจันทร์เสี้ยว!”

“เจ้าพูดถูก มันสะท้อนแสงจันทร์จริงๆ”

หญิงสาวกระโดดเข้าไปตะครุบสร้อยจันทร์เสี้ยวที่มีลักษณะเหมือนกับสร้อยของเธอเปี๊ยบ ขึ้นมาจ้อง พลางยิ้มออกมาด้วยความดีใจ แล้วก็โผเข้าไปกอดชายหนุ่มด้วยความลืมตัว “หญ้าอาบจันทร์...กลาพิมพ์ ข้าจะได้ไปหาหญ้าอาบจันทร์แล้ว”

“ใช่...พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ข้าจะได้กลับกลาพิมพ์...ข้าจะได้กลับกลาพิมพ์แล้ว” ด้วยอารามดีใจที่จะได้กลับบ้าน ทำให้ชายหนุ่มเผลอสวมกอดตอบหญิงสาวในอ้อมแขนไว้แน่น..ทั้งตัว

อินทุกอดจนขาของศศิธรลอยขึ้นเหนือพื้น แล้วยังหมุนตัวเธอไปรอบๆ อีกด้วย และเพราะความแข็งแกร่งของร่างหนา จึงเหมือนกับว่าเขากำลังเหวี่ยงหญิงสาวให้ปลิวละล่องอย่างไรอย่างนั้น จนหญิงสาวที่กลัวจะถูกเหวี่ยงผวาเข้ากอดคอเขาไว้...จนทั้งสองร่างแทบจะแนบสนิทไปด้วยกัน

“วิเศษที่สุด...ข้าจะได้กลับบ้านแล้ว”

เมื่อเหวี่ยงศศิธรจนพอใจแล้ว อินทุก็ปล่อยตัวเธอลงยืนกับพื้น พร้อมกับกอดเธอไว้แนบอกนิ่งๆ...เนิ่นนาน และคงจะนานกว่านี้ ถ้าไม่มีเสียงร้องประท้วงออกมาจากหญิงสาวในอ้อมแขนซะก่อน

“นี่! ปะ...ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ทำไมท่านถึงชอบถึงเนื้อถึงตัวข้านัก...” ศศิธรร้องประท้วงเมื่อสำนึกได้ว่าชายหนุ่มตัวเย็นที่ยืนกอดกับเธออยู่นี่ เปลือยหน้าอก ไม่ยอมใส่เสื้ออีกแล้ว โดยที่ลืมไปเสียสนิทว่าเธอเป็นฝ่ายโผเข้าหาเขาก่อน

“ข้าหรือ...เจ้าเป็นคนเข้ามากอดข้าก่อนนะ เมื่อเช้าเจ้าก็เป็นฝ่าย...”

“พอๆ...” ศศิธรเอ่ยขัดขึ้นแทบจะทันที เมื่อเดาได้ว่าชายหนุ่มจะพูดว่าอย่างไร “ไปอาบน้ำไป เช็ดตัวใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยด้วย ตัวเย็นเฉียบขนาดนี้ เดี๋ยวไม่สบายไปจะยุ่ง...ส่วนเรื่องสร้อยจันทร์เสี้ยว พรุ่งนี้เราค่อยมาคุยกันอีกที”

“อยู่แบบนี้ก็อุ่นดีนะ” แต่คนที่ยังไม่อยากไปอาบน้ำ กลับพูดไปอีกทาง แถมยังไม่พูดเปล่า เขากลับกระชับกอดหญิงสาวแน่นขึ้น และมือไม้ก็เริ่มอยู่ไม่สุข เริ่มขยับลูบไล้ไปตามแขนเล็กๆ อย่างหลงใหลและอดใจไม่อยู่ เมื่อได้กลิ่นหอมของแชมพูอ่อนๆ บนศรีษะเปียกชื้นของเธอ และสัมผัสใกล้ชิดทั้งตัวเป็นครั้งแรก

“ท่าน!” ศศิธรเงยหน้าขึ้นขึงตาดุใส่ชายหนุ่มที่เริ่มจะเกเร และ...อ่อยเธออีกแล้ว ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ มันเหมือนเมื่อเช้าไม่มีผิด

เมื่ออินทุก้มหน้าลงมาเจอเข้ากับสายตาดุ แต่ก็แฝงไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น อยากลิ้มลอง สายตาที่กึ่งๆ จะผลักไส กึ่งๆ จะดึงดูดของเธอ เขาก็หยุดการกระทำหยอกเอินกับแขนเรียวเล็กลงทันที พร้อมกับก้มหน้าลงไปหาหญิงสาวดั่งต้องมนต์ โดยที่สายตาของเขาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่ดวงตาหวานคมของเธอตลอด

เขารู้มานานแล้วว่า...เธอแพ้สายตาของเขา

แล้วเขาก็หยุดค้างไว้เพียงแค่นั้น ค้างในลักษณะที่ริมฝีปากหนาอยู่ห่างจากริมฝีปากบางไม่ถึงเซนติเมตร

และก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอำนาจของสายตาคมของชายหนุ่ม หรืออำนาจของอะไรก็สุดแล้วแต่ ทำให้ศศิธรเผลอเขย่งปลายเท้าขึ้นมาสัมผัสกับริมฝีปากหนาเบาๆ ราวกับผีเสื้อตัวน้อยบินเข้าไปดอมดมดอกไม้งามแล้วก็บินหนีไปอย่างรวดเร็วเพียงเพราะกลัวกลีบดอกไม้จะช้ำ

ซึ่งเขาเป็นผู้ชาย และเธอก็เป็นผู้หญิง...แล้วเธอทำอะไรลงไป

เมื่อตอนเช้า ตอนที่เธอสอนเขาโกนหนวดก็ทีหนึ่งแล้ว เธอเผลอจ้องใบหน้าคมเข้มของเขานานไป นานจนเขาคงจะกลัวใบมีดโกนในมือจะบาดเขา เขาถึงต้องเอ่ยเตือนเธอว่า...‘เจ้ากำลังจะทำให้ข้าได้เลือดนะ’

และก็เพราะว่าเธอไม่รู้จะตอบโต้ข้อกล่าวหาของเขาว่าอย่างไรดี เธอจึงเถียงออกไปข้างๆ คูๆ ตามที่เธอคิดออกขณะนั้นว่า...‘ก็ท่านอ่อยข้าก่อน’

ซึ่งคำแก้ตัวของเธอก็เรียกเสียงหัวเราะนุ่มลึกจากชายหนุ่มได้ในทันทีเช่นกัน ‘ข้าเนี่ยนะ...อ่อย’

ทว่าครั้งนี้กลับต่างกับเมื่อเช้า ไม่มีเสียงหัวเราะเยาะดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากหนา มีเพียงคำว่า “ราตรีสวัสดิ์” เท่านั้นที่เขาพูดกับเธอ ก่อนที่ชายหนุ่มจะรีบหุนหันเดินกลับไปยังห้องนอนของตนเอง ทิ้งไว้แต่ความกระดากอายของหญิงสาว ที่ก็เอาแต่อ้างกับตนเอง ในสิ่งที่ทำไปทั้งหมดนั้น เป็นเพราะว่า...เขาอ่อยเธอก่อน







======================

มีต่อนะคะ (2/2)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่