พระอรหันต์ ย่อมไม่มี ขันธ์(๕) เป็นของ "ตนเอง"

ด้วยเหตุที่ว่างจากภาระส่วนตัว จึงได้มีโอกาสเข้ามาอ่านกระทู้ ไปเรื่อยๆ เปื่อยๆ .......

ซึ่งก็ต้องยอมรับความจริงตามตรงว่า รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย ที่พบว่า ยังมีการถกเถียงในประเด็น ขันธ์ ๕ กับ พระอรหันต์ กันอยู่อีก
ทั้งๆ ที่ประเด็นนี้ มันน่าจะชัดแจ้งแล้วว่า ในฐานะที่เป็นชาวพุทธเถรวาท เรามิอาจกล่าวได้เลยว่า พระอรหันต์มีขันธ์

แต่แล้ว มิจฉาทิฐิบางพวก ที่พยายามอ้างตัวว่า เป็นชาวพุทธแท้ (และอวดอ้างว่ากำลังปฏิบัติการ ปกป้องพระธรรมวินัย อยู่เสียด้วย)
กลับพยายาม ฉ้อฉลพระธรรมคำสอน ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ให้สอดคล้องกับมิจฉาทิฐิของมันและพวก ไปเสียได้ !



ขอให้ท่านทั้งหลายจงพิจารณา ข้อความ "พิกลพิการ" ของบางล็อกอินให้ดีๆ นะครับ
เริ่มต้นขึ้นมา ก็กล่าวหาผู้อื่นในทันทีว่า "ใช้ภาษาดิ้นไปดิ้นมา เพื่อให้เข้ากับทิฐิของตน"

เราลองมาพิจารณาพร้อมๆ กันนะครับว่า คนที่ทำพฤติกรรมดังว่านั้น แท้ที่จริงแล้ว เป็นใครกันแน่ ?

ก็ตอนแรก บุรุษเปล่าผู้นี้ ก็กล่าวเอาไว้อย่างสวยหรูในทำนองว่า
พระอรหันต์ ท่านได้ละ อวิชชาแล้ว จึงไม่ยึดถือในขันธ์ ๕ ว่าเป็นของๆตน
แต่แล้ว ในอีก ๒ บรรทัดต่อมา มันกลับกล่าวสรุป ออกมาเป็นคนละเรื่อง ว่า ............

*** จะเรียกว่า ขันธ์ ๕ เป็นของพระอรหันต์ ก็ได้ ! ***

ขออนุญาตถามสั้นๆ ว่า นั่นเป็นพุทธมติ ที่ปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนในพระสูตรพระวินัย
หรือว่ามันเป็นเพียงแค่ การใช้ภาษาดิ้นไปดิ้นมา เพื่อสนองมิจฉาทิฐิส่วนตนของใคร(บางคนบางพวก) กันแน่ ?

ภาระกิจในประเด็นนี้ ก็คือ ถ้า คนพวกนี้ ยังยืนยันว่า ข้อความลามกดังกล่าว เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริง
ก็จงนำ หลักฐานชั้นพุทธพจน์ จากพระสูตรพระวินัย มาแสดงให้เห็นโดยพลันด้วยว่า
พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ ณ ที่ใดกันว่า พระอรหันต์มีขันธ์ ๕ หรือ มีขันธ์ ๕ เป็นของพระอรหันต์

แต่ถ้าไม่สามารถนำหลักฐานดังกล่าวมาแสดงให้เห็นจริงได้ นั่นย่อมเท่ากับว่า
บุคคลผู้นี้และพวก เป็น บุรุษเปล่า ที่ได้ทำการ กล่าวตู่พระพุทธเจ้า กล่าวตู่พระธรรมวินัย อย่างปราศจากความละอาย

หรือมิใช่ ?

*****************************************************************

ทั้งนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายพึงพิจารณาว่า ครั้งหนึ่ง สัจจกนิครนถ์ ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
"ข้าแต่พระโคดม ด้วยเหตุเท่าไร ภิกษุชื่อว่าเป็นพระอรหันต์"
โดยพระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบ ความว่า ..............

"ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นเบญจขันธ์ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร
และวิญญาณ อันใดอันหนึ่ง  ฯลฯ นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตนของเรา ดังนี้ จึงพ้นแล้วเพราะไม่ถือมั่น
ด้วยเหตุเท่านี้แหละ ภิกษุชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ฯลฯ"



จึงเป็นอันว่า ถ้าหากกล่าวสำหรับพระอรหันต์แล้ว ย่อมไม่มี "ขันธ์ ๕" ที่เป็นท่าน หรือ เป็นของๆท่าน อย่างเด็ดขาด นะครับ
จะมีก็แต่ในมุมมองแบบชาวบ้าน ที่ยังเมาหมกอยู่กับ ตัณหา อุปาทาน ใน อัตตาตัวตน เท่านั้นกระมัง ที่ยังตามเห็นอยู่ว่า พระอรหันต์ มีขันธ์ ๕ !

เฮอะๆ

ความน่าสมเพช ของบุรุษเปล่าพวกนี้ ก็คือ ชื่นชอบในการ กล่าวร้ายป้ายสีผู้อื่นโดยไม่พิจารณาตนเอง
ตัวอย่างเช่น การที่นายคนนี้ กล่าวหาผู้อื่นในทำนองว่า "ใช้ภาษาดิ้นไปดิ้นมา เพื่อให้เข้ากับทิฐิของตน"
ทั้งที่โดยหลักฐานข้อเท็จจริงแล้ว กลับเป็นตัวของมันนั่นเอง ที่กำลัง  "ใช้ภาษาดิ้นไปดิ้นมา เพื่อให้เข้ากับทิฐิของตน" !

ในฐานะที่เป็นชาวพุทธเถรวาท ซึ่งย่อมให้ความสำคัญต่อ พระพุทธมติ อย่างสูงสุด
ความใด หรือ สิ่งใดก็ตาม ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เราย่อมถือเป็นข้อยุติ

ดังในกรณี พระอรหันต์ กับ ขันธ์ ๕ นี้ ปรากฏว่ามีพระบาลีพุทธพจน์ อยู่มากมายระบุว่า
พระอรหันต์ ย่อม (๑) ไม่เห็น ขันธ์ โดยความเป็นตน (๒) ไม่เห็นตนมี ขันธ์ (๓) ไม่เห็น ขันธ์ ในตน และ (๔) ไม่เห็นตนใน ขันธ์
หรือดังที่ตรัสกับ ภิกษุทั้งหลาย ความว่า .......



แต่ด้วยเหตุที่คนเหล่านี้ เป็นผู้ที่มี มิจฉาทิฐิ เกาะกิน อยู่อย่างเหนียวแน่น
แม้จะเห็นพระบาลีพุทธพจน์ อยู่แล้วว่า พระองค์ท่าน ตรัสไว้อย่างไร ......... มันก็ไม่นำพา !
แถมยังอุตส่าห์ พยายาม บ่ายเบี่ยง บิดเบือน พระธรรมวินัย ให้เข้ากับ มิจฉาทิฐิของพวกมัน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความว่า

จะเรียกว่าขันธ์ ๕ เป็นของพระอรหันต์ ก็ได้
จะบอกว่าขันธ์ ๕ นั้นไม่เป็นของพระอรหันต์ ก็ได้



น่า ........ "อนุโมทนา" ไหมล่ะ ?

สรุปแล้ว ใครกันแน่ ที่พยายามดิ้น(ทุรนทุราย) เป็นไส้เดือนถูกขี้เถ้า เพื่อปกป้องมิจฉาทิฐิของตน
พูดไปพูดมา คนพวกนี้ ก็พยายามจะ "ยัดเยียด" ให้ พระอรหันต์ มีอะไรสักอย่างเป็นของท่าน(ตน) นั่นเอง

หรือมิใช่ ?

*****************************************************************

หลักฐานประการหนึ่งที่ นายคนนี้ นำมาอ้างแบบ "ซ้ำซาก" ก็คือ ข้อความจาก มหาปรินิพพานสูตร ความว่า

"พระผู้มีพระภาคทรงจำพรรษาแล้ว ทรงประชวรอย่างหนัก เกิดเวทนาร้ายแรง ถึงใกล้จะปรินิพพาน ฯลฯ"



ด้วยหลักฐานเพียงเท่านี้นั่นแหละ มันก็จะโมเมสรุปความเอาดื้อๆ ว่า พระอรหันต์มีขันธ์ (เช่น เวทนาขันธ์)
ทั้งๆ ที่ข้อความจาก มหาปรินิพพานสูตร ก็ชัดแจ้งอยู่ว่า เป็น สมมุติกถา กล่าวพรรณนาเหตุการณ์

อีกทั้ง เมื่อพิจารณาคำว่า "เวทนา ที่ปรากฏอยู่ ก็มิได้ระบุเอาไว้เลยว่า นั่นเป็นเวทนาของใคร หรือ ใครเป็นเจ้าของเวทนานั้น
เพียงแต่ระบุเป็นกลางๆ ว่า "เกิดเวทนา" เท่านั้นเอง ซึ่งต้องถือว่า ผู้แปล(ไทย) แปลความได้เหมาะสมดีแล้ว
เพราะเมื่อกล่าวสำหรับพระอรหันต์ ขันธ์ ย่อมเกิดดับไปตามเหตุปัจจัยของมัน โดยมิได้มีใครเป็นเจ้าของ หรือ เป็นผู้เสพเสวย

แต่เมื่ออธิบายความอย่างนี้ คนพาล มันก็ก็จะพาลขึ้นมาอีกว่า ......... "เล่นลิ้น"

พอคุยปรมัตถ์ ดิ้นมาสมมุติ พอถกสมมุติ ดิ้นพรวดไปปรมัตถ์



ไหนๆ ก็พูดถึง สมมุติ-ปรมัตถ์ แล้ว ก็ขอพูดให้จบกระบวนความไปเลยนะครับ

การที่ บุรุษเปล่าพวกนี้ กล่าวเรื่อง ดิ้นไปมาระหว่างสมมุติกับปรมัตถ์ นี้ที่จริงแล้ว เกิดจากความไม่ฉลาด ของตัวมันเองแท้ๆ
ถามว่า เหตุใดจึงกล่าวว่า นั่นเป็นความไม่ฉลาดของมันเอง ?

ถ้าท่านทั้งหลาย มีความสำเหนียกในความเป็นชาวพุทธเถรวาท แม้เพียงสักนิด ก็ย่อมทราบได้โดยไม่ยากว่า
ปรมัตถ์ ย่อมไม่ขัดแย้งกับ สมมุติ หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา

ตัวอย่างเช่น เรากล่าวว่า นาย ก. เป็น นายกรัฐมนตรี ดังนี้เราย่อมทราบว่า นาย ก. ก็ดี นายกรัฐมนตรี ก็ดี
เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็น สมมุติบัญญัติ ทั้งสิ้น โดยเราสามารถพิจารณาแยกแยะ นาย ก. หรือ นายกรัฐมนตรี
ลงเป็นเพียงแค่ กระแสการปรุงแต่ง เกิดดับ ตามเหตุปัจจัย ของ ขันธ์ อายตนะ หรือ ธาตุ เป็นต้น เท่านั้น

แลด้วยเหตุที่ นาย ก. เป็นเพียงแค่ ปุถุชนผู้บริโภคกาม เราจึงสามารถกล่าวว่า ขันธ์นั้นขันธ์นี้ เป็นของ นาย ก. ได้โดยไม่ผิดอะไร
ทั้งนี้ ก็เพราะ ทั้ง นาย ก. และ ตัวผู้สังเกตเอง ยังเป็นปุถุชนผู้มี สักกายทิฐิ ด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้น จะกล่าวสมมุติอย่างไร มันก็ไม่ผิด

แต่สำหรับ พระอรหันต์ ย่อมต่างออกไป เพราะพระพุทธเจ้าตรัสชัดเจนว่า พระอรหันต์ ย่อมไม่มีความถือว่า เรามี ขันธ์ ๕ ฯลฯ เป็นต้น
ด้วยเหตุดังนี้ เราย่อมไม่สามารถกล่าวด้วย สมมุติกถา ได้เลยว่า พระอรหันต์ มีขันธ์ ๕ หรือ ขันธ์ ๕ เป็นของพระอรหันต์

ถามว่า ทำไม จึงเป็นเช่นนั้น

ตอบว่า การที่เราสมมุติกล่าว ว่านาย ก. มีขันธ์ ๕ นี้ถือว่า สมมุติไม่ผิด
เพราะถึงแม้ ขันธ์ ๕ จะมิได้เป็นของ นาย ก. จริงๆ ในระดับปรมัตถ์ แต่มันก็ยังเป็นจริงอยู่ในระดับสมมุติ
ในทางตรงข้าม ขันธ์ ๕ ไม่มีทางจะเป็นของพระอรหันต์ไปได้เลย ทั้งในระดับสมมุติ และปรมัตถ์

ซึ่งถ้าเราพูดแบบบ้านๆ ว่า "พระอรหันต์กินข้าว" แบบนี้ จะไม่มีปัญหาเลยนะครับ
เพราะข้อความนี้ เป็นสมมุติแท้ๆ เมื่อเป็นการกล่าวสมมุติด้วยสมมุติ มันจึงไม่มีทางผิด

ต่างจากการ กล่าว ปรมัตถ์ ด้วย สมมุติ หรือ กล่าว สมมุติ ด้วย ปรมัตถ์ เช่น นาย ก. มี ขันธ์ ๕ หรือ พระอรหันต์ มี ขันธ์ ๕ ฯลฯ
กรณีเช่นนี้ ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนด้วยว่า ข้อความที่กล่าวออกมานั้น ถูกต้อง สอดคล้องกับความเป็นจริง หรือไม่ ?
เพราะถ้า สมมุติ กับ ปรมัตถ์ ขัดแย้งกัน ไม่สอดคล้องกัน ข้อความดังกล่าว ก็จะไม่ถูกต้องไปด้วย

อธิบายอย่างนี้ ท่านทั้งหลาย พอที่จะทำความเข้าใจ ได้ไหมครับ ?

ขอย้ำว่า ที่ผมกล่าวอธิบายมาทั้งหมดนี้ ย่อมมิใช่การ "เล่นลิ้น" หรือ "ตีฝีปาก" แต่อย่างใดทั้งสิ้น นะครับ
หากแต่นั่นคือ "ความจริง" ที่ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่สามารถ บิดเบือนให้เป็นอื่นไปได้

ดังนั้น ผมจึงขอกล่าวยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ในฐานะที่เป็นชาวพุทธเถรวาท
เราไม่สามารถกล่าวตู่บิดเบือนพระธรรมวินัยได้เลยว่า พระอรหันมีขันธ์ หรือ มีขันธ์ใดขันธ์หนึ่งเป็นของพระอรหันต์
หากใครก็ตาม ต้องการ "แย้ง" ความข้อนี้ ก็จงแสดงหลักฐานชั้นพุทธพจน์ ที่ปราศจากการ "ตีความ" เอาเอง ให้เห็นอย่างชัดแจ้งด้วย !



สวัสดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่