วิบากกรรมย่อมส่งผลกับขันธ์ ขันธ์มนุษย์ก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ย่อมเป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นธรรมดา
แต่ผู้ที่ยังมีกิเลส คือ มีตัณหาและอวิชชา ย่อมเกิดอุปทานขันธ์ ด้วยเป็นสุขหรือทุกข์นั้น แล้วกระทำกรรมใหม่สร้างกรรม(ดี หรือ ชั่ว หรือกลางๆ) ต่อไป
สำหรับพระอรหันต์ นั้น หมดสิ้นกิเลส คือ ตัณหาและอวิชชาไม่ปรากฏอีกแล้ว แต่สุขหรือทุกข์ ย่อมยังปรากฏกับขันธ์ได้อยู่ แต่อุปทานขันธ์นั้นไม่มีแล้วหมดสิ้นแล้ว ย่อมไม่กระทำ/สร้างกรรมใหม่ อีกต่อไป
และขันธ์เมื่อมี ก็ย่อมเป็นไปตาม อายุ อาหาร อุตุ ไออุ่น ตามที่อำนวยตามแวดล้อมของภพนั้นๆ (ธรรมชาติของภพนั้นๆ).
พระอรหันต์ที่ยังมีชีพหรือชีวิต ย่อมยังมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นปกติตามวิบากกรรมเก่าที่ได้เกิดมีขันธ์ขึ้นตามธรรมชาติแล้วนั้น ก็ย่อมรับวิบากกรรมเก่า อันเป็นสุขหรือทุกข์ได้อยู่ แต่ไม่เกิดอวิชชา สร้างหรือก่อกรรมใหม่อีกแล้ว
พระพุทธเจ้า ตอนก่อนดับขันธ์ปรินิพพาน พระองค์ได้ถ่ายเป็นเลือดอย่างมาก ทรงมีเวทนา เจ็บปวดทรมานอย่างแรงกล้า แต่พระองค์ทรงข่มระงับด้วยคุณสัมบัติอันเป็นพละของพระองค์ ดำรงดำเนินไปตามปกติ เพื่อดับขันธ์ปรินิพพาน.
เมื่อเป็นมนุษย์ ย่อมเป็นสุข เป็นทุกข์ ตามวิบากกรรมเก่า เป็นธรรมดา
แต่ผู้ที่ยังมีกิเลส คือ มีตัณหาและอวิชชา ย่อมเกิดอุปทานขันธ์ ด้วยเป็นสุขหรือทุกข์นั้น แล้วกระทำกรรมใหม่สร้างกรรม(ดี หรือ ชั่ว หรือกลางๆ) ต่อไป
สำหรับพระอรหันต์ นั้น หมดสิ้นกิเลส คือ ตัณหาและอวิชชาไม่ปรากฏอีกแล้ว แต่สุขหรือทุกข์ ย่อมยังปรากฏกับขันธ์ได้อยู่ แต่อุปทานขันธ์นั้นไม่มีแล้วหมดสิ้นแล้ว ย่อมไม่กระทำ/สร้างกรรมใหม่ อีกต่อไป
และขันธ์เมื่อมี ก็ย่อมเป็นไปตาม อายุ อาหาร อุตุ ไออุ่น ตามที่อำนวยตามแวดล้อมของภพนั้นๆ (ธรรมชาติของภพนั้นๆ).
พระอรหันต์ที่ยังมีชีพหรือชีวิต ย่อมยังมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นปกติตามวิบากกรรมเก่าที่ได้เกิดมีขันธ์ขึ้นตามธรรมชาติแล้วนั้น ก็ย่อมรับวิบากกรรมเก่า อันเป็นสุขหรือทุกข์ได้อยู่ แต่ไม่เกิดอวิชชา สร้างหรือก่อกรรมใหม่อีกแล้ว
พระพุทธเจ้า ตอนก่อนดับขันธ์ปรินิพพาน พระองค์ได้ถ่ายเป็นเลือดอย่างมาก ทรงมีเวทนา เจ็บปวดทรมานอย่างแรงกล้า แต่พระองค์ทรงข่มระงับด้วยคุณสัมบัติอันเป็นพละของพระองค์ ดำรงดำเนินไปตามปกติ เพื่อดับขันธ์ปรินิพพาน.