ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! จิตนี้ เป็นธรรมชาติประภัสสร แต่จิต (ที่มีธรรมชาติประภัสสร) นั้นแล เข้าถึงความเศร้าหมองแล้ว เพราะอุปกิเลสอันเป็นอาคันตุกะจรมา
เรากล่าวว่า บุถุชนผู้ไม่มีการสดับ ย่อมไม่รู้ชัดตามที่เป็นจริง ซึ่งความจริงข้อนั้น เพราะเหตุนั้น จิตตภาวนา ย่อมไม่มีแก่บุถุชนผู้ไม่มีการสดับ ดังนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งกลาย ! จิตนี้ เป็นธรรมชาติประภัสสร แต่จิต (ที่มีธรรมชาติประภัสสร) นั้นแล เป็นจิตพ้นวิเศษจากอุปกิเลสอันเป็นอาคันตุกะจรมานั้นได้.
เรากล่าวว่าอริยสาวกผู้มีการสดับ ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงซึ่งความจริงข้อนั้น เพราะเหตุนั้นจิตตภาวนา ย่อมมีแก่อริยสาวกผู้มีการสดับ ดังนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! สงสารนี้ มีที่สุด เบื้องต้นเบื้องปลายรู้ไม่ได้แล้ว (เพราะเป็นวงกลม),ที่สุดเบื้องต้น ย่อมไม่ปรากฏ
แก่สัตว์ทั้งหลายซึ่งมีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพัน กำลังแล่นไปอยู่ ท่องเที่ยวไปอยู่.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือน สุนัขที่เขาล่ามเชือกแล้ว ถูกล่ามไว้ที่เสาอันมั่นคง ย่อมวิ่ง... เดิน... ยืน ... นั่ง ... นอน วนหลักหรือเสาอยู่นั้นเอง, อุปมานี้ ฉันใด;
อวิชชา คือ ถูกล่ามไว้กับเสาหรือหลัก..
ตัณหา คือ เครื่องผูกหรือเชือก
กิเลสวัฏฏะ หรือวัฏสงสาร คือ เสาหรือหลัก..
สุนัข ก็คือ อุปาทานขันธ์ 5 🐕
เดิน... ยืน ... นั่ง ... นอน ... (คือ จิต).
แม้ฉันใด บุถุชนผู้ไม่ได้สดับ
ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า ไม่ฉลาดในอริยธรรม ฯลฯ ไม่ได้รับแนะนำใน
สัปปุริสธรรม ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ย่อมตามเห็นรูปโดยความเป็นอัตตา.
...ตามเห็นเวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ โดยความเป็นอัตตา
...ตามเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณ
...ตามเห็นวิญญาณในอัตตาหรือตามเห็นอัตตาในวิญญาณ.
เขาจะแล่นวนเวียน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อยู่.
เมื่อเขาวนเวียน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อยู่ ก็จะไม่พ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ
จะไม่พ้นจาก ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส. เราตถาคตกล่าวว่า เขาจะไม่พ้นไปจากทุกข์.
ข้อนี้ก็ฉันนั้น ถ้าบุถุชนนั้นเดินอยู่ก็เดินอยู่ใกล้ ๆ ปัญจุปาทานักขันธ์นี้เอง, ถ้าบุถุชนนั้นยืนอยู่ก็ยืนอยู่ใกล้ ๆ ปัญจุปาทานขันธ์นี้เอง,
ถ้าบุถุชนนั้นนั่งอยู่ก็นั่งอยู่ใกล้ ๆ ปัญจุปาทานักขันธ์นี้เอง,
ถ้าบุถุชนนั้นนอนอยู่ ก็นอนอยู่ใกล้ ๆ ปัญจุปาทานักขันธ์นี้เอง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวกผู้ฟังแล้ว ผู้ได้เห็นพระอริยเจ้า
ทั้งหลาย ฯลฯ ผู้ได้รับแนะนำในธรรมของสัตบุรุษทั้งหลาย จะไม่ตามเห็นรูปโดยเป็นอัตตา.
จะไม่ตามเห็นเวทนา... สัญญา... สังขาร...
จะไม่ตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นอัตตา ไม่ตามเห็นอัดตาว่ามีวิญญาณ ไม่ตามเห็นวิญญาณในอัตตา ไม่ตามเห็นอัตตาในวิญญาณ เธอจะไม่แล่นวนเวียนรูปอยู่
จะไม่แล่นวนเวียน เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณอยู่ เธอเมื่อไม่วิ่งวนเวียนรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อยู่ ก็จะพ้นจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จะพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เราตถาคตกล่าวว่า เขาจะพ้นไปจากทุกข์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ บุคคลควรพิจารณาดูจิตของตนอยู่เสมอไป ว่า “จิตนี้ เศร้าหมองแล้ว ด้วยราคะ โทสะ และโมหะ มาตลอดกาลนาน” ดังนี้เถิด.
ป.ล.จิตนั้น ย่อมเป็นจิตอ่อนโยน ควรแก่การงาน เป็นจิตประภัสสร ไม่รวนเร ย่อมตั้งมั่นโดยชอบเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย แล(เหมาะแก่การกระทำของช่างทอง).
.
ความรู้ที่ทำให้มีการอบรมจิต
เรากล่าวว่า บุถุชนผู้ไม่มีการสดับ ย่อมไม่รู้ชัดตามที่เป็นจริง ซึ่งความจริงข้อนั้น เพราะเหตุนั้น จิตตภาวนา ย่อมไม่มีแก่บุถุชนผู้ไม่มีการสดับ ดังนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งกลาย ! จิตนี้ เป็นธรรมชาติประภัสสร แต่จิต (ที่มีธรรมชาติประภัสสร) นั้นแล เป็นจิตพ้นวิเศษจากอุปกิเลสอันเป็นอาคันตุกะจรมานั้นได้.
เรากล่าวว่าอริยสาวกผู้มีการสดับ ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงซึ่งความจริงข้อนั้น เพราะเหตุนั้นจิตตภาวนา ย่อมมีแก่อริยสาวกผู้มีการสดับ ดังนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! สงสารนี้ มีที่สุด เบื้องต้นเบื้องปลายรู้ไม่ได้แล้ว (เพราะเป็นวงกลม),ที่สุดเบื้องต้น ย่อมไม่ปรากฏ
แก่สัตว์ทั้งหลายซึ่งมีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพัน กำลังแล่นไปอยู่ ท่องเที่ยวไปอยู่.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือน สุนัขที่เขาล่ามเชือกแล้ว ถูกล่ามไว้ที่เสาอันมั่นคง ย่อมวิ่ง... เดิน... ยืน ... นั่ง ... นอน วนหลักหรือเสาอยู่นั้นเอง, อุปมานี้ ฉันใด;
อวิชชา คือ ถูกล่ามไว้กับเสาหรือหลัก..
ตัณหา คือ เครื่องผูกหรือเชือก
กิเลสวัฏฏะ หรือวัฏสงสาร คือ เสาหรือหลัก..
สุนัข ก็คือ อุปาทานขันธ์ 5 🐕
เดิน... ยืน ... นั่ง ... นอน ... (คือ จิต).
แม้ฉันใด บุถุชนผู้ไม่ได้สดับ
ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า ไม่ฉลาดในอริยธรรม ฯลฯ ไม่ได้รับแนะนำใน
สัปปุริสธรรม ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ย่อมตามเห็นรูปโดยความเป็นอัตตา.
...ตามเห็นเวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ โดยความเป็นอัตตา
...ตามเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณ
...ตามเห็นวิญญาณในอัตตาหรือตามเห็นอัตตาในวิญญาณ.
เขาจะแล่นวนเวียน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อยู่.
เมื่อเขาวนเวียน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อยู่ ก็จะไม่พ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ
จะไม่พ้นจาก ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส. เราตถาคตกล่าวว่า เขาจะไม่พ้นไปจากทุกข์.
ข้อนี้ก็ฉันนั้น ถ้าบุถุชนนั้นเดินอยู่ก็เดินอยู่ใกล้ ๆ ปัญจุปาทานักขันธ์นี้เอง, ถ้าบุถุชนนั้นยืนอยู่ก็ยืนอยู่ใกล้ ๆ ปัญจุปาทานขันธ์นี้เอง,
ถ้าบุถุชนนั้นนั่งอยู่ก็นั่งอยู่ใกล้ ๆ ปัญจุปาทานักขันธ์นี้เอง,
ถ้าบุถุชนนั้นนอนอยู่ ก็นอนอยู่ใกล้ ๆ ปัญจุปาทานักขันธ์นี้เอง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวกผู้ฟังแล้ว ผู้ได้เห็นพระอริยเจ้า
ทั้งหลาย ฯลฯ ผู้ได้รับแนะนำในธรรมของสัตบุรุษทั้งหลาย จะไม่ตามเห็นรูปโดยเป็นอัตตา.
จะไม่ตามเห็นเวทนา... สัญญา... สังขาร...
จะไม่ตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นอัตตา ไม่ตามเห็นอัดตาว่ามีวิญญาณ ไม่ตามเห็นวิญญาณในอัตตา ไม่ตามเห็นอัตตาในวิญญาณ เธอจะไม่แล่นวนเวียนรูปอยู่
จะไม่แล่นวนเวียน เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณอยู่ เธอเมื่อไม่วิ่งวนเวียนรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อยู่ ก็จะพ้นจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จะพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เราตถาคตกล่าวว่า เขาจะพ้นไปจากทุกข์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ บุคคลควรพิจารณาดูจิตของตนอยู่เสมอไป ว่า “จิตนี้ เศร้าหมองแล้ว ด้วยราคะ โทสะ และโมหะ มาตลอดกาลนาน” ดังนี้เถิด.
ป.ล.จิตนั้น ย่อมเป็นจิตอ่อนโยน ควรแก่การงาน เป็นจิตประภัสสร ไม่รวนเร ย่อมตั้งมั่นโดยชอบเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย แล(เหมาะแก่การกระทำของช่างทอง).
.