เมื่ดผมมภาวนา อาศัย กำหนดรู้ สภาพธรรม จึงปรากฏเห็นวิบากสภาพอันตีกลับมาส่งผล ก่อให้เกิดสันตติแห่งกองขันธ์ ๕ เพราะขันธสันตติยังเป็นที่อาศัยแห่งอวิชชา จึงดำรงอยู่โดยปัจจัยแห่งอวิชชาและตัณหา อาศัยเหตุนี้ วิบากยังปรากฏ อวิชชาจึงยังครอบงำอยู่เป็นปัจจัยแห่งภวตัณหา
การปฏิบัติเพื่อกำหนดรู้ จึงอาศัย อนุโลมญาณ อันเป็นญาณที่อนุโลมตามสภาพแห่งสังขาร กำหนดเห็นไตรลักษณ์แห่งสังขารทั้งปวง ขันธ์ทั้งหลาย สังขารธรรมทั้งหลาย อวิชชาทั้งหลาย ย่อมเป็นสภาพแห่งปริจเฉท คือ การดับแห่งวิบากตามเหตุปัจจัย
เมื่ออาศัย ปฏิปัสสัทธิปธานสัมปทา ย่อมเกิด สังขารุเปกขาญาณ อันเป็นญาณที่วางเฉยในสังขาร มิหยิบฉวยด้วยสักกายทิฏฐิ มุ่งสู่ปฏิปทาที่ถูก สิ้นแค่ สังขารุเบกขาญาณ ไม่ข้าม โคตรภูญาณ
สภาพแห่งวิบากนี้เอง เป็นเหตุให้ยังมีอวิชชาประกอบอยู่ในขันธสันตติ ย่อมเป็นไปตามธรรมแห่งปัจจัย ไปจนถึงปริโยสาน คือ การดับสิ้นแห่งวิบาก
อาศัยเหตุนี้ แม้บุคคลผู้บูชาพระเจ้า หรือประกอบกรรมทางไสยศาสตร์ ก็มิอาจกล่าวได้ว่า ผู้นั้นเป็นอทิธรรมิกบุคคลโดยส่วนเดียว เพราะสภาพธรรมทั้งหลายยังอาศัยเหตุปัจจัยดำรงอยู่
ด้วยเหตุดังนี้ แม้พระภิกษุผู้เป็นสุขวิปัสโก ก็ยังสามารถแสดงธรรม นำพาศิษย์ให้บรรลุ ปฏิสัมภิทาญาณ ได้ เพราะญาณเป็นสภาพที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย มิได้ขึ้นอยู่กับบุคคล
ผมจึงเข้าใจว่า ด้วยเหตุประการนี้ อาจารย์หมอผีของกระผมที่เป็นผู้มิรู้ซึ่งบาลีและปริยัติ
แม้แต่คำว่าอรูปฌานท่านก็มิรู้ แต่กลับ เป็นผู้สละเเล้วโดยแท้ได้
อาจอาศัยด้วยเหตุปัจจัยเเห่งโพธิญาณประกอบด้วย ที่จิตสิ้น อาสวะดับ แต่กิเลสไม่ตัด
จึงเป็ยสภาพธรรมขาวดำ ขาวในดำ ดำในขาว
เวลากราบไปที่พระพุทธรูป หรือกราบรูปเทพเจ้าอะไร กราบให้ถึงธรรมของท่านเหล่สนั้น
ใจเหมือนก็เหมือนกราบพระพุทธเจ้าเหมือนกันหมด เป็นหนึ่งเดียวเนื้อเดียวกันหมด
สัมผัสได้ถึงธรรมของพระศาสดาที่สถิตอยู่ในทุกๆอย่าง ธรรมอันเป็นที่พึ่งที่สงเคราะห์แก่ไวไนยสัตว์
วิบากพาจิตเวิ้ง วนไหล
ขันธ์ย่อมดำรงไป แผ่ต้อง
อวิชชาส่งผลใน วัฏฏะ
อนุโลมญาณคล้อง สู่แจ้ง โพธิผล
สังขารุเบกท้าย สูญสรรพ์
ดุจเงาสะท้อนพลัน ดับดิ้น
ขันธ์มีเพราะเหตุอัน ก่ออยู่
เหตุดับขันธ์จึงสิ้น ดับแล้ว มลายหาย
เวียนวนว่ายวัฏเวิ้ง สากล
บูชาพระเจ้าจน ดับสิ้น
ไสยศาสตร์ส่งผล ตามเหตุ
ธรรมย่อมรู้รสลิ้น รสน้ำ ผึ้งสมัย
ผมเรียนธรรมกับอาจารย์หมอผี บูชาพระเจ้า แต่นับถือพุทธครับ
การปฏิบัติเพื่อกำหนดรู้ จึงอาศัย อนุโลมญาณ อันเป็นญาณที่อนุโลมตามสภาพแห่งสังขาร กำหนดเห็นไตรลักษณ์แห่งสังขารทั้งปวง ขันธ์ทั้งหลาย สังขารธรรมทั้งหลาย อวิชชาทั้งหลาย ย่อมเป็นสภาพแห่งปริจเฉท คือ การดับแห่งวิบากตามเหตุปัจจัย
เมื่ออาศัย ปฏิปัสสัทธิปธานสัมปทา ย่อมเกิด สังขารุเปกขาญาณ อันเป็นญาณที่วางเฉยในสังขาร มิหยิบฉวยด้วยสักกายทิฏฐิ มุ่งสู่ปฏิปทาที่ถูก สิ้นแค่ สังขารุเบกขาญาณ ไม่ข้าม โคตรภูญาณ
สภาพแห่งวิบากนี้เอง เป็นเหตุให้ยังมีอวิชชาประกอบอยู่ในขันธสันตติ ย่อมเป็นไปตามธรรมแห่งปัจจัย ไปจนถึงปริโยสาน คือ การดับสิ้นแห่งวิบาก
อาศัยเหตุนี้ แม้บุคคลผู้บูชาพระเจ้า หรือประกอบกรรมทางไสยศาสตร์ ก็มิอาจกล่าวได้ว่า ผู้นั้นเป็นอทิธรรมิกบุคคลโดยส่วนเดียว เพราะสภาพธรรมทั้งหลายยังอาศัยเหตุปัจจัยดำรงอยู่
ด้วยเหตุดังนี้ แม้พระภิกษุผู้เป็นสุขวิปัสโก ก็ยังสามารถแสดงธรรม นำพาศิษย์ให้บรรลุ ปฏิสัมภิทาญาณ ได้ เพราะญาณเป็นสภาพที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย มิได้ขึ้นอยู่กับบุคคล
ผมจึงเข้าใจว่า ด้วยเหตุประการนี้ อาจารย์หมอผีของกระผมที่เป็นผู้มิรู้ซึ่งบาลีและปริยัติ
แม้แต่คำว่าอรูปฌานท่านก็มิรู้ แต่กลับ เป็นผู้สละเเล้วโดยแท้ได้
อาจอาศัยด้วยเหตุปัจจัยเเห่งโพธิญาณประกอบด้วย ที่จิตสิ้น อาสวะดับ แต่กิเลสไม่ตัด
จึงเป็ยสภาพธรรมขาวดำ ขาวในดำ ดำในขาว
เวลากราบไปที่พระพุทธรูป หรือกราบรูปเทพเจ้าอะไร กราบให้ถึงธรรมของท่านเหล่สนั้น
ใจเหมือนก็เหมือนกราบพระพุทธเจ้าเหมือนกันหมด เป็นหนึ่งเดียวเนื้อเดียวกันหมด
สัมผัสได้ถึงธรรมของพระศาสดาที่สถิตอยู่ในทุกๆอย่าง ธรรมอันเป็นที่พึ่งที่สงเคราะห์แก่ไวไนยสัตว์
วิบากพาจิตเวิ้ง วนไหล
ขันธ์ย่อมดำรงไป แผ่ต้อง
อวิชชาส่งผลใน วัฏฏะ
อนุโลมญาณคล้อง สู่แจ้ง โพธิผล
สังขารุเบกท้าย สูญสรรพ์
ดุจเงาสะท้อนพลัน ดับดิ้น
ขันธ์มีเพราะเหตุอัน ก่ออยู่
เหตุดับขันธ์จึงสิ้น ดับแล้ว มลายหาย
เวียนวนว่ายวัฏเวิ้ง สากล
บูชาพระเจ้าจน ดับสิ้น
ไสยศาสตร์ส่งผล ตามเหตุ
ธรรมย่อมรู้รสลิ้น รสน้ำ ผึ้งสมัย