#ปุจฉา :
ธาตุรู้ กับ วิญญาณขันธ์
หรือจิตเป็นคนละส่วนกัน
ขอความกรุณาพระอาจารย์อธิบายด้วยค่ะ
#วิสัชนา :
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า..
"..จิตนี้ประภัสสร ผ่องใสมาแต่เดิม
แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสจรมา
เพราะความไม่รู้แจ้งแห่งพระสัทธรรม
จึงถูกอวิชชาเป็นเครื่องกั้น
ถูกตัณหาเป็นเครื่องผูก
จึงท่องเที่ยวไปในวัฏสงสารอย่างยาวนาน
ประดุจพระจันทร์ในวันเพ็ญ
งามกระจ่างกลางท้องฟ้า
ถูกเมฆหมอกเข้าบดบัง
พระจันทร์ก็อับแสง.. "
#เนื้อแท้ของพวกเรานั้นคือสิ่งใด?
ก็คือสิ่งที่เรียกว่า "จิตประภัสสร" นั่นเอง
จิตประภัสสร เป็นธาตุบริสุทธิ์ เป็นอมตธาตุ
แต่สิ่งนี้ถูกอวิชชาห่อหุ้มอยู่นั่นเอง
ประดุจเมฆหมอกเข้าบดบัง
ก็จะเกิดกระแสปฏิจจสมุปบาทตามมา
อวิชชา เป็นปัจจัย
.. จึงเกิดสังขาร ความหมุนวนปรุงแต่ง
สังขารเป็นปัจจัย
.. จึงเกิดวิญญาณขันธ์
#วิญญาณขันธ์เป็นผลผลิตจากอวิชชา
#แต่ธาตุรู้คือจิตประภัสสร
เพราะฉะนั้น มันคือคนละสิ่ง
"ธาตุรู้" ที่เป็นจิตประภัสสร
เป็นระดับอมตธาตุ
เป็นแก่นของพวกเราทุกคน
ส่วน "วิญญาณขันธ์"
เป็นผลผลิตจากอวิชชา
ที่เรียกว่ากระแสปฏิจจสมุปบาท
ที่ว่าจิตเกิดดับ นี่เป็นเรื่องของวิญญาณขันธ์
แต่บางทีถ้าพูดถึงจิตที่เป็นอมตธรรม
ก็คือสิ่งที่เป็นแก่นนั่นเอง
คำว่า "จิต" แปลว่าสภาพรู้
สภาพรู้นั้นมีทั้งระดับที่เรียกว่า "ระดับสังขตธรรม"
คือธรรมชาติที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง
หรือวิญญาณขันธ์
และระดับที่เรียกว่า "อมตธรรม"
ในพระสูตรพระองค์ตรัสไว้ 2 อย่างนัยยะ
อย่างที่พระองค์ตรัสว่า..
จิตเกิดดับรวดเร็วมาก
เหมือนลิงเกาะต้นไม้เลย เกิดดับ เกิดดับ
ตรงนี้ ก็คือวิญญาณขันธ์ ที่เป็นสังขตธรรม
บางพระสูตร พระองค์ตรัสว่า
จิตของเราถึงแล้ว ซึ่งวิสังขาร
ที่สภาพอะไรๆ ปรุงแต่งไม่ได้อีก
นี้คือจิตที่เป็นธรรมธาตุ เป็นอมตธรรม
ปราศจากการปรุงแต่ง
" ..จิตของเราหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ
หลุดพ้นแล้วจากอวิชชา.. "
นี้เรียกว่าเป็นจิตประภัสสร จิตที่เป็นแก่น
ตรงนี้เราจะรู้จักได้อย่างไร?
ปกติถ้าเราเริ่มเกิดสติ
แล้วเราเข้าสู่ระดับวิปัสสนาญาณ
เราจะเริ่มเห็นจิตเกิดดับตามอายตนะ
.. ทางตา เกิดการเห็น
.. ทางหู เกิดการได้ยิน
.. ทางจมูก เกิดการได้กลิ่น
.. ทางลิ้น เกิดการลิ้มรส
จะเริ่มเกิดญาณเห็นจิตนั่นเอง
จะเริ่มเห็นจิตที่เกิดขึ้นมาที่หทัยวัตถุ
เรียกว่า "เกิดญาณเห็นจิต"
ก็คือ เริ่มเข้าสู่ระดับวิปัสสนาญาณที่มีกำลัง
โดยเฉพาะระดับวิปัสสนาญาณ
ที่เกิดการแผ่กว้างออกเป็น 360 องศา
เป็นข่ายญาณ
ภาษาพระท่านเรียกว่า "ญาณทัศนะ"
ญาณทัศนะ ก็คือจิตประภัสสรที่กางออกมา
สิ่งนี้เมื่อกางออกมาปุ๊บ
มันจะเกิดการรับรู้ตามความเป็นจริง
แล้วจะเกิดญาณเห็นจิต
จะรู้เลยว่าจิตเกิดดับ..ก็สิ่งหนึ่ง
ญาณที่เห็นจิต..มันก็สิ่งหนึ่ง
ภาษาพระ ท่านไม่ได้ใช้คำว่า จิตประภัสสร
ท่านใช้คำว่า "ญาณ"
ก็คือ "ญาณทัศนะ" นั่นเอง
การรู้เห็นตามความเป็นจริง
เพราะแท้ที่จริงแล้ว
สภาวะตัวนี้ไม่ได้มีความเป็นตัวเรา
เป็นเพียงสภาวธรรม
เพราะฉะนั้น..
รู้คร่าวๆ แค่นี้ก็พอนะ
ระดับวิปัสสนาญาณจะเริ่มรู้ว่า
มันมีจิตที่เกิดดับ เห็นอยู่
แล้วมันก็มีญาณรู้
ซึ่งสิ่งนี้จริงๆ ก็คือ "ธาตุรู้"
#ทุกคนมีเมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะ
ที่พูดถึงก็คือสิ่งนี้
สิ่งนี้มันถูกอวิชชาห่อหุ้มอยู่
ต้องผ่านการเพาะบ่มด้วยมรรควิธีที่ถูกต้อง
จนเติบโต แล้วก็ผลิบานออกมา
ที่เรียกว่า "เกิดพุทธสภาวะ"
คำว่า "#พุทโธ" ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ก็คือสภาวธรรม
สภาวะที่มันเกิดสภาวะรู้ ตื่น แล้วก็เบิกบาน
นี่คือสภาวะระดับวิปัสสนาญาณเป็นต้นไป
.
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
ค่ำวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
ธาตุรู้ กับ วิญญาณขันธ์ หรือจิตเป็นคนละส่วนกัน
ธาตุรู้ กับ วิญญาณขันธ์
หรือจิตเป็นคนละส่วนกัน
ขอความกรุณาพระอาจารย์อธิบายด้วยค่ะ
#วิสัชนา :
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า..
"..จิตนี้ประภัสสร ผ่องใสมาแต่เดิม
แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสจรมา
เพราะความไม่รู้แจ้งแห่งพระสัทธรรม
จึงถูกอวิชชาเป็นเครื่องกั้น
ถูกตัณหาเป็นเครื่องผูก
จึงท่องเที่ยวไปในวัฏสงสารอย่างยาวนาน
ประดุจพระจันทร์ในวันเพ็ญ
งามกระจ่างกลางท้องฟ้า
ถูกเมฆหมอกเข้าบดบัง
พระจันทร์ก็อับแสง.. "
#เนื้อแท้ของพวกเรานั้นคือสิ่งใด?
ก็คือสิ่งที่เรียกว่า "จิตประภัสสร" นั่นเอง
จิตประภัสสร เป็นธาตุบริสุทธิ์ เป็นอมตธาตุ
แต่สิ่งนี้ถูกอวิชชาห่อหุ้มอยู่นั่นเอง
ประดุจเมฆหมอกเข้าบดบัง
ก็จะเกิดกระแสปฏิจจสมุปบาทตามมา
อวิชชา เป็นปัจจัย
.. จึงเกิดสังขาร ความหมุนวนปรุงแต่ง
สังขารเป็นปัจจัย
.. จึงเกิดวิญญาณขันธ์
#วิญญาณขันธ์เป็นผลผลิตจากอวิชชา
#แต่ธาตุรู้คือจิตประภัสสร
เพราะฉะนั้น มันคือคนละสิ่ง
"ธาตุรู้" ที่เป็นจิตประภัสสร
เป็นระดับอมตธาตุ
เป็นแก่นของพวกเราทุกคน
ส่วน "วิญญาณขันธ์"
เป็นผลผลิตจากอวิชชา
ที่เรียกว่ากระแสปฏิจจสมุปบาท
ที่ว่าจิตเกิดดับ นี่เป็นเรื่องของวิญญาณขันธ์
แต่บางทีถ้าพูดถึงจิตที่เป็นอมตธรรม
ก็คือสิ่งที่เป็นแก่นนั่นเอง
คำว่า "จิต" แปลว่าสภาพรู้
สภาพรู้นั้นมีทั้งระดับที่เรียกว่า "ระดับสังขตธรรม"
คือธรรมชาติที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง
หรือวิญญาณขันธ์
และระดับที่เรียกว่า "อมตธรรม"
ในพระสูตรพระองค์ตรัสไว้ 2 อย่างนัยยะ
อย่างที่พระองค์ตรัสว่า..
จิตเกิดดับรวดเร็วมาก
เหมือนลิงเกาะต้นไม้เลย เกิดดับ เกิดดับ
ตรงนี้ ก็คือวิญญาณขันธ์ ที่เป็นสังขตธรรม
บางพระสูตร พระองค์ตรัสว่า
จิตของเราถึงแล้ว ซึ่งวิสังขาร
ที่สภาพอะไรๆ ปรุงแต่งไม่ได้อีก
นี้คือจิตที่เป็นธรรมธาตุ เป็นอมตธรรม
ปราศจากการปรุงแต่ง
" ..จิตของเราหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ
หลุดพ้นแล้วจากอวิชชา.. "
นี้เรียกว่าเป็นจิตประภัสสร จิตที่เป็นแก่น
ตรงนี้เราจะรู้จักได้อย่างไร?
ปกติถ้าเราเริ่มเกิดสติ
แล้วเราเข้าสู่ระดับวิปัสสนาญาณ
เราจะเริ่มเห็นจิตเกิดดับตามอายตนะ
.. ทางตา เกิดการเห็น
.. ทางหู เกิดการได้ยิน
.. ทางจมูก เกิดการได้กลิ่น
.. ทางลิ้น เกิดการลิ้มรส
จะเริ่มเกิดญาณเห็นจิตนั่นเอง
จะเริ่มเห็นจิตที่เกิดขึ้นมาที่หทัยวัตถุ
เรียกว่า "เกิดญาณเห็นจิต"
ก็คือ เริ่มเข้าสู่ระดับวิปัสสนาญาณที่มีกำลัง
โดยเฉพาะระดับวิปัสสนาญาณ
ที่เกิดการแผ่กว้างออกเป็น 360 องศา
เป็นข่ายญาณ
ภาษาพระท่านเรียกว่า "ญาณทัศนะ"
ญาณทัศนะ ก็คือจิตประภัสสรที่กางออกมา
สิ่งนี้เมื่อกางออกมาปุ๊บ
มันจะเกิดการรับรู้ตามความเป็นจริง
แล้วจะเกิดญาณเห็นจิต
จะรู้เลยว่าจิตเกิดดับ..ก็สิ่งหนึ่ง
ญาณที่เห็นจิต..มันก็สิ่งหนึ่ง
ภาษาพระ ท่านไม่ได้ใช้คำว่า จิตประภัสสร
ท่านใช้คำว่า "ญาณ"
ก็คือ "ญาณทัศนะ" นั่นเอง
การรู้เห็นตามความเป็นจริง
เพราะแท้ที่จริงแล้ว
สภาวะตัวนี้ไม่ได้มีความเป็นตัวเรา
เป็นเพียงสภาวธรรม
เพราะฉะนั้น..
รู้คร่าวๆ แค่นี้ก็พอนะ
ระดับวิปัสสนาญาณจะเริ่มรู้ว่า
มันมีจิตที่เกิดดับ เห็นอยู่
แล้วมันก็มีญาณรู้
ซึ่งสิ่งนี้จริงๆ ก็คือ "ธาตุรู้"
#ทุกคนมีเมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะ
ที่พูดถึงก็คือสิ่งนี้
สิ่งนี้มันถูกอวิชชาห่อหุ้มอยู่
ต้องผ่านการเพาะบ่มด้วยมรรควิธีที่ถูกต้อง
จนเติบโต แล้วก็ผลิบานออกมา
ที่เรียกว่า "เกิดพุทธสภาวะ"
คำว่า "#พุทโธ" ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ก็คือสภาวธรรม
สภาวะที่มันเกิดสภาวะรู้ ตื่น แล้วก็เบิกบาน
นี่คือสภาวะระดับวิปัสสนาญาณเป็นต้นไป
.
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
ค่ำวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566