คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
เราทิ้งข้อมูลไว้ เผื่อว่าเกิดมีใครบังเอิญมาอ่าน แล้วหวังว่าจะเกิดประโยชน์อะไรบ้าง ไม่มากก็น้อยค่ะ
เท่าที่เคยได้รับรู้มา คือ ในยุคก่อนๆ ถ้าเราไม่เข้าใจสถานการณ์ หรือบริบทแวดล้อมต่างๆ ของสังคมไทยในยุคนั้น
ไม่รู้ถึงเหตุปัจจัยต่างๆ ที่มันส่งผลในตอนนั้น
เราก็จะมองเรื่องราวต่างๆ ได้คลาดเคลื่อนไปเยอะค่ะ
การย้อนมองอดีต หรือแม้แต่มองเรื่องในปัจจุบันก็ตาม
หากเราไม่รู้รอบในเหตุปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เราก็อาจจะเข้าใจสถานการณ์ผิดเพี้ยนไปได้
ซึ่งเรื่องพวกนี้ มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอ
แม้แต่ครูอาจารย์ต่างๆ ที่สอนธรรมในยุคปัจจุบัน การไปพิจารณาการสอนของแต่ละท่าน
หรือปฏิปทาของแต่ละท่าน มันยังไม่ง่ายที่จะพิจารณา แม้เราจะได้ยินได้ฟังได้อ่าน ได้ประสบด้วยตนเอง
เพราะฉะนั้น เวลาจะมองงานในอดีตของครูอาจารย์ต่างๆ โดยเฉพาะครูอาจารย์ที่มีผลงานออกมาเยอะ
มันก็จะมีเรื่องราวอะไรมากมายให้พิจารณาค่ะ
เราได้แง่คิดพวกนี้มาจากพระผู้ใหญ่ท่านนึง ซึ่งท่านได้พูดย้อนไปถึงผลงานหรือปฏิปทาของท่านพุทธทาส
ซึ่งคำสอนของท่านพุทธทาส มีทั้งคนชื่นชมและคนตำหนิ จำนวนมากมาย
ทำไมคนจำนวนหนึ่ง ชื่นชม?
ทำไมคนอีกจำนวน ตำหนิ?
.... หากอยากรู้จริง ก็ต้องศึกษาค้นคว้ากันมากพอสมควรค่ะ
โลกที่แท้จริง กว้างใหญ่ลึกซึ้งกว่าผู้คนจำนวนนึงที่มาแสดงตนใน internet ค่ะ
ในโลกแห่งความจริง ผู้รู้ นักวิชาการทางพุทธ ผู้คนทั่วไป และอื่นๆ
มีคนถกเถียง ทั้งชื่นชม ทั้งตำหนิ และอื่นๆ เกี่ยวกับท่านพุทธทาสอยู่ไม่น้อยค่ะ เราก็ตามอ่านตามฟังไม่หมดค่ะ
แต่การได้รับฟังความเห็นที่รอบด้าน ทำให้เรา "พอจะ" เข้าใจภาพรวมได้มากขึ้น
ส่วน พระผู้ใหญ่ท่านนั้น ที่ออกมาแสดงความเห็นถึงท่านพุทธทาส เราอยากให้ผู้ที่สนใจไปฟังด้วยตนเองค่ะ
เท่าที่เคยได้รับรู้มา คือ ในยุคก่อนๆ ถ้าเราไม่เข้าใจสถานการณ์ หรือบริบทแวดล้อมต่างๆ ของสังคมไทยในยุคนั้น
ไม่รู้ถึงเหตุปัจจัยต่างๆ ที่มันส่งผลในตอนนั้น
เราก็จะมองเรื่องราวต่างๆ ได้คลาดเคลื่อนไปเยอะค่ะ
การย้อนมองอดีต หรือแม้แต่มองเรื่องในปัจจุบันก็ตาม
หากเราไม่รู้รอบในเหตุปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เราก็อาจจะเข้าใจสถานการณ์ผิดเพี้ยนไปได้
ซึ่งเรื่องพวกนี้ มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอ
แม้แต่ครูอาจารย์ต่างๆ ที่สอนธรรมในยุคปัจจุบัน การไปพิจารณาการสอนของแต่ละท่าน
หรือปฏิปทาของแต่ละท่าน มันยังไม่ง่ายที่จะพิจารณา แม้เราจะได้ยินได้ฟังได้อ่าน ได้ประสบด้วยตนเอง
เพราะฉะนั้น เวลาจะมองงานในอดีตของครูอาจารย์ต่างๆ โดยเฉพาะครูอาจารย์ที่มีผลงานออกมาเยอะ
มันก็จะมีเรื่องราวอะไรมากมายให้พิจารณาค่ะ
เราได้แง่คิดพวกนี้มาจากพระผู้ใหญ่ท่านนึง ซึ่งท่านได้พูดย้อนไปถึงผลงานหรือปฏิปทาของท่านพุทธทาส
ซึ่งคำสอนของท่านพุทธทาส มีทั้งคนชื่นชมและคนตำหนิ จำนวนมากมาย
ทำไมคนจำนวนหนึ่ง ชื่นชม?
ทำไมคนอีกจำนวน ตำหนิ?
.... หากอยากรู้จริง ก็ต้องศึกษาค้นคว้ากันมากพอสมควรค่ะ
โลกที่แท้จริง กว้างใหญ่ลึกซึ้งกว่าผู้คนจำนวนนึงที่มาแสดงตนใน internet ค่ะ
ในโลกแห่งความจริง ผู้รู้ นักวิชาการทางพุทธ ผู้คนทั่วไป และอื่นๆ
มีคนถกเถียง ทั้งชื่นชม ทั้งตำหนิ และอื่นๆ เกี่ยวกับท่านพุทธทาสอยู่ไม่น้อยค่ะ เราก็ตามอ่านตามฟังไม่หมดค่ะ
แต่การได้รับฟังความเห็นที่รอบด้าน ทำให้เรา "พอจะ" เข้าใจภาพรวมได้มากขึ้น
ส่วน พระผู้ใหญ่ท่านนั้น ที่ออกมาแสดงความเห็นถึงท่านพุทธทาส เราอยากให้ผู้ที่สนใจไปฟังด้วยตนเองค่ะ
มองอนาคตผ่านรากฐานความคิด และชีวิตท่านพุทธทาส | สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ปยุตโต) https://youtu.be/8W-QvoFAmUk
แสดงความคิดเห็น
นี่คือหตุผล ที่ทำให้คนติดตำรา องเวรพระพุทธทาสภิกขุ
เขาว่าอาตมายกเลิก ไม่จริง ไม่ได้ยกเลิก เรื่องตายแล้วเกิดเนี่ย
เข้าใจผิดกันอยู่มาก ทุกคนที่นั่งอยู่นี่ระวังให้ดี
เรื่องตายแล้วเกิดนี่เป็นคำพูดที่ผิด เรื่องตายแล้วไม่เกิดก็เป็นคำพูดที่ผิด เขาหาว่าอาตมาไปยกเลิกคำสอนที่ว่าตายแล้วเกิดแล้วทำให้คนไม่มีศีลธรรม นี้มันก็แล้วแต่เขาจะพูด
แต่ความจริงตามหลักของพุทธศาสนานั้น พูดไม่ได้ว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วไม่เกิด มันต้องพูดว่าแล้วแต่เหตุปัจจัยที่มันจะมีอยู่หรือไม่มีอยู่
ถ้าเหตุปัจจัยสำหรับเกิดมี มันก็ตายแล้วเกิด ถ้าเหตุปัจจัยสำหรับเกิดไม่มี มันก็ตายแล้วไม่เกิด มันพูดลงไปโดยส่วนเดียวไม่ได้
.
เมื่ออาตมาพูดอย่างนี้ ชี้แจงอย่างนี้
เขาก็หาว่ายกเลิกหลักของเก่าที่ว่าตายแล้วเกิด แล้วคนก็ไม่ทำบุญทำกุศล นี่ กลับกันมากถึงอย่างนี้
ทีนี้มันยังมีมากไปกว่านั้นว่า ที่พูดว่าตายแล้วเกิดหรือไม่เกิดนี้มันไม่ถูกตามที่เป็นจริง
เพราะถ้าพูดให้จริงถึงที่สุดแล้วมันไม่มีใครตาย ไม่มีใครเกิด ตรงนี้เขายิ่งโกรธใหญ่
เพราะพูดว่าไม่มีใครตาย ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครเกิดใหม่ กระทั่งไม่มีใครอยู่ ไม่มีใครนั่งอยู่ที่นี่ มันมีแต่กลุ่มของสังขารเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย หรือกลุ่มของธรรมชาติหมุนไปๆ ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
อย่างนี้มันไม่มีคน และไม่มีใครนั่งอยู่ที่นี่
ไม่มีใครจะตาย ไม่มีใครจะไปเกิดใหม่
เขาก็ยิ่งโกรธใหญ่หาว่ายกเลิกของเก่า ที่จริงนี่คือของเก่าของพระพุทธเจ้าที่ท่านได้ตรัสสอนเรื่องอนัตตา เรื่องสุญญตา ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
.
บทปัจเวกข์พิจารณาปัจจัย 4 สำหรับภิกษุสามเณรนั่นแหละมีข้อความชัดเลย เช่นว่าบิณฑบาตนี้ก็ดี ผู้ที่บริโภคบิณฑบาตนี้ก็ดี เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ ไม่ใช่สัตว์บุคคล ว่างเปล่าจากความหมายแห่งตัวตน
อย่างนี้ทำไมไม่เอามาคิดดูบ้าง อันนี้มันยกเลิกไม่ได้ มันมีอยู่จริง
เขาก็หาว่า เรายกเลิกว่าตายแล้วเกิด อีกซีกหนึ่งไม่เอามาพูด ที่ว่าตายแล้วไม่เกิด ไม่เอามาพูด
เพราะเขาสอนเป็น พูดเป็นแต่เรื่องตายแล้วเกิด เขาสอนพูดเป็นแต่ว่า มีคนตายแล้วเกิด แล้วก็จะได้รับผลกรรมตามที่ทำไว้อย่างไร พูดไม่เป็นว่า อนัตตา ไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคล
ขืนเอามาพูดก็เข้าใจผิดจนไม่มีอะไรเลย เป็นนัตถิกทิฏฐิไปเสียอีก ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ยิ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิใหญ่ ที่ไม่มีอะไรเสียเลย
ตามหลักของพุทธศาสนาต้องพูดว่า มันมีธรรมชาติปรุงแต่ง เป็นไปตามเหตุปัจจัย ตามกฎแห่งปฏิจจสมุปบาทหรืออะไรก็ตาม นั่นน่ะมันมี ไม่ใช่ไม่มีอะไรเสียเลย
.
อาตมาก็พูดทำนองอย่างนี้ พูดตรงๆ ว่าไม่มีใครตาย ไม่มีใครเกิด แต่มันเป็นธรรมะในชั้นสูง เขาฟังไม่เข้าใจ
ทีนี้ถ้าพูดในชั้นต่ำก็ไม่พูดว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วไม่เกิด
แต่จะพูดว่าแล้วแต่เหตุปัจจัยมีอยู่หรือไม่ได้มี เราพูดอย่างนี้ เขาหาว่ายกเลิกของเก่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ
พุทธทาสภิกขุ - ธรรมะน้ำล้างธรรมะโคลน (ภาคบ่าย)
ฟังได้ที่
https://drive.google.com/file/d/1OZt32Fw_jfmgtR1tVBuV-b__-mIjvOeH/view?usp=drive_link