เขียนจากประสบการณ์ปฏิบัติตนเอง ไม่ขออิงตำรานะครับ
จิต เป็นธาตุๆ ธาตุหนึ่ง เหมือนธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ มีอยู่เดิมตามธรรมชาติ มีลักษณะผ่องใส ส่องสว่างเป็นประภัสสร แต่เพราะอวิชชา คือ ความไม่รู้มาครอบงำ ทำให้เกิดอุปทานการปรุงแต่งของจิต เกิดเป็นสังขาร เมื่อมีสังขารจึงเกิดวิญญาณและนาม รูป เวทนาและสัญญา ทำให้จิตหลงในขันธ์ 5 ว่าเป็นเรา เกิดการเวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุด
การปฏิบัติ ศีล สมาธิ (อานาปานสติ) และวิปัสสนา พิจารณาความไม่เที่ยงของ กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตาจิตจะเกิดปัญญา ถอนจากอุปทานว่า กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วนไม่ใช่จิต จิตจะถอนออกจากขันธ์ 5
ยิ่งเจริญศีล สมาธิ (อานาปานสติ) และวิปัสสนา จิตยิ่งเกิดปัญญา ทำลายอวิชชา ซึ่งอวิชชาเปรียบเสมือน โซ่ตรวนที่รั้งจิตกับขันธ์ 5 เมื่อจิตถอนจากขันธ์ 5 จะไปสู่ความว่างไร้สมมุติปรุงแต่ง ไร้สุข (ทางกาย) ไร้ทุกข์ ไร้กาลเวลา ไร้ทิศไร้ทาง เกิดบรมสุขที่เกิดขึ้นที่จิต จากการหลุดพ้นจากขันธ์ 5 แตกต่างจากสุขที่กายแบบเทียบไม่ได้
จิต เป็นธาตุๆ ธาตุหนึ่ง เหมือนธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ
จิต เป็นธาตุๆ ธาตุหนึ่ง เหมือนธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ มีอยู่เดิมตามธรรมชาติ มีลักษณะผ่องใส ส่องสว่างเป็นประภัสสร แต่เพราะอวิชชา คือ ความไม่รู้มาครอบงำ ทำให้เกิดอุปทานการปรุงแต่งของจิต เกิดเป็นสังขาร เมื่อมีสังขารจึงเกิดวิญญาณและนาม รูป เวทนาและสัญญา ทำให้จิตหลงในขันธ์ 5 ว่าเป็นเรา เกิดการเวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุด
การปฏิบัติ ศีล สมาธิ (อานาปานสติ) และวิปัสสนา พิจารณาความไม่เที่ยงของ กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตาจิตจะเกิดปัญญา ถอนจากอุปทานว่า กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วนไม่ใช่จิต จิตจะถอนออกจากขันธ์ 5
ยิ่งเจริญศีล สมาธิ (อานาปานสติ) และวิปัสสนา จิตยิ่งเกิดปัญญา ทำลายอวิชชา ซึ่งอวิชชาเปรียบเสมือน โซ่ตรวนที่รั้งจิตกับขันธ์ 5 เมื่อจิตถอนจากขันธ์ 5 จะไปสู่ความว่างไร้สมมุติปรุงแต่ง ไร้สุข (ทางกาย) ไร้ทุกข์ ไร้กาลเวลา ไร้ทิศไร้ทาง เกิดบรมสุขที่เกิดขึ้นที่จิต จากการหลุดพ้นจากขันธ์ 5 แตกต่างจากสุขที่กายแบบเทียบไม่ได้