"ลุงหวีด ฆราวาสผู้บรรลุธรรมขั้นสูง"
**(คุณลุงหวีด บัวเผื่อน "จิตที่พ้นทุกข์")**
**หลวงตามหาบัวกับคำถามของลุงหวีด**
เช้าวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ตอบจดหมายของนายหวีด บัวเผื่อน จากจังหวัดจันทบุรี ซึ่งถามว่า:
*“กระผมได้ปฏิบัติธรรมมานานแล้ว จิตว่างอยู่หลายปี ด้วยการพิจารณาสิ่งทั้งหลายจนจิตว่างไปหมด เหลือแต่ผู้รู้ แต่ก็ยังมาติดผู้รู้อีก เมื่อพิจารณาผู้รู้อย่างจริงจัง ก็เหมือนมีสปริงดีดผู้รู้นั้นกระเด็นหายไปทันที เหลือแต่ผู้รู้ที่ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องกำหนด ในขณะนั้นสมมติทั้งสามแดนโลกธาตุปรากฏเกิดขึ้นที่ใจ อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย กระผมขอกราบเรียนถามหลวงตาว่า ที่กระผมเข้าใจว่าธาตุผู้รู้นี้ไม่ดับไม่สูญ เป็นรู้ที่อยู่ในรู้ตลอดชั่วนิรันดรใช่ไหมครับ แม้สังขารนี้จะดับไปแล้วก็ตาม”*
หลวงตามหาบัวตอบว่า:
*“ถ้าธรรมดาแล้วปัญหาเป็นอย่างนี้แล้วมันก็หมดปัญหาไปในตัว ไม่จำเป็นต้องถาม แต่ที่ถามนั้นเขาก็มีความมุ่งหมายอีกอย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่คนอื่นด้วย สำหรับคนผู้ถามปัญหาเราก็เชื่อเขาแล้วว่าเขาไม่มีปัญหา...อันนี้เราให้ สนฺทิฏฺฐิโก เป็นสมบัติของคุณเอง รับรองคุณเองก็แล้วกัน”*
ท่านยังกล่าวเสริมว่า:
*“ที่เขาเล่ามานี้ไม่มีที่ต้องติ หมดปัญหาไป”*
*“นี่คือผลแห่งการปฏิบัติ...กิเลสกับธรรมไม่มีเพศ จิตผูกได้ด้วยกันทั้งนั้น แก้ได้ด้วยกัน นี่ผลแห่งการแก้ การบำเพ็ญ จะเป็นฆราวาสก็ตามก็เป็นอย่างให้เห็นอยู่นี้แหละ”*
**การปฏิบัติธรรมของลุงหวีด**
**ขั้นตอนแรก: การฝึกสติสัมปชัญญะ**
ลุงหวีดเริ่มต้นด้วยการฝึกสติตลอดเวลา ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน โดยไม่ปล่อยให้จิตปรุงแต่ง เมื่อเผลอ ก็ดึงสติกลับมาทันที ท่านบอกว่า:
*“แรกๆ ทำไม่ได้ แต่ด้วยความมุ่งมั่น จึงค่อยๆ ทำได้นานขึ้น จากนาที เป็นชั่วโมง เป็นวัน โดยใช้เวลาไม่กี่ปี”*
ท่านตั้งสัจจะกับตัวเองว่า:
*“ถ้าขาดสติสัมปชัญญะ ก็ขออย่าได้มีชีวิตอยู่ เพราะคนขาดสติเหมือนเรือขาดหางเสือ”*
**การควบคุมจิต**
ลุงหวีดฝึกไม่คิด ไม่พูดในจิต เมื่อตาเห็นรูป ก็เพียงสักแต่ว่าเห็น ไม่เข้าไปจดจ่อ เช่น เห็นป้ายโฆษณาแต่ไม่อ่านในใจ ท่านเน้นการวางเฉย ไม่ยึดติดอารมณ์ใดๆ:
*“หยุดโกรธ หยุดโลภ หยุดปรารถนา”*
ผลคือ จิตเริ่มนิ่งเป็นสมาธิอย่างน่าอัศจรรย์:
*“จิตไม่มีอารมณ์มากวน บางครั้งคิดเรื่องงาน แต่จิตกลับเฉยๆ ไม่ยอมทำงาน ต้องบังคับให้คิด”*
แต่ท่านกลับติดความสงบนี้อยู่ **๒ ปีเต็ม** โดยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังติดสมาธิ
**จากสมถะสู่วิปัสสนา**
เมื่อจิตนิ่งดีแล้ว ท่านเริ่มพิจารณากายด้วยวิปัสสนา โดยใช้วิธีสังเกตสิ่งใกล้ตัว เช่น:
- ตัดผม ตัดเล็บ แล้วพิจารณาว่า *“นี่ไม่ใช่ตัวเรา”*
- ลองนึกภาพลอกหนังออก เห็นแต่เนื้อและเลือดเหมือนศพ
จนเห็นชัดว่า **กายกับจิตแยกจากกัน** กายเป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราว
**การพิจารณาขันธ์ ๕**
1. **เวทนา** – ท่านเคยคิดว่า *“เราเป็นผู้ปวด”* แต่เมื่อพิจารณาลึกเข้า วันหนึ่งก็เห็นเวทนาลอยออกจากจิต *“เหมือนฟันต้นกล้วยขาด”*
> *“จิตเป็นกระจก เวทนาเป็นพริกขี้หนู กระจกไม่รู้สึกเผ็ด พริกก็ไม่รู้ตัวว่าเผ็ด”*
2. **สัญญา** – ความจำก็เป็นเพียงสิ่งถูกรู้ เกิดแล้วดับ ไม่ควรยึดติด
3. **สังขาร** – ความคิดปรุงแต่ง ท่านเคยติดวิจารณ์ครูบาอาจารย์ จนได้คำตอบว่า *“อย่าคิดว่าความคิดเป็นตัวโยม”* ท่านจึงเข้าใจว่า *“สังขารเป็นเพียงสิ่งถูกรู้”*
4. **วิญญาณ** – การรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ล้วนเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่ใช่ตัวรู้
สรุป: **ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา**
**คำถามสำคัญ: แล้วเราคืออะไร?**
เมื่อขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา ลุงหวีดค้นพบว่า:
> *“เราคือ **ธาตุรู้**”*
ธาตุรู้ไม่ใช่สิ่งที่รับรู้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่เป็น **ผู้รู้ทั้งหมด** ท่านฝึกอยู่กับธาตุรู้จนชำนาญ แต่ก็ติดอยู่กับผู้รู้อีก **๒ ปี**
**การปล่อยวางธาตุรู้**
พระอาจารย์สอนท่านว่า:
> *“โยมจะจับไว้ทำไม? ปล่อยไปเสีย!”*
แต่ลุงหวีดยังทำไม่ได้ จนวันหนึ่ง (๓ พ.ย. ๒๕๓๖) พระอาจารย์แนะว่า:
> *“เวลามีสิ่งกระทบ โยมก็ปล่อยรู้ แล้วมาจับสิ่งที่มากระทบ แต่เมื่อไม่มีสิ่งกระทบ โยมก็มาอยู่กับธาตรู้อีก... ให้ปล่อยทั้งสองอย่างไปเลย!”*
ทันใดนั้น:
> *“ธาตุรู้และสิ่งถูกรู้กระเด็นหายไป ทันใดนั้นก็เกิด **รู้ใหม่** ที่บริสุทธิ์ เป็นปัจจุบันธรรม ไม่ต้องกำหนด ไม่มีที่อยู่ ไม่ยึดมั่นถือมั่น”*
ท่านบรรยายสภาพจิตขณะนั้นว่า:
> *“เป็นอิสรเสรี หมดภพชาติ อวิชชาดับสิ้นเชิง กิเลสไม่สามารถมาก่อกวนอีก”*
> *“จิตดวงนี้คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์”*
**การละสังขาร**
ลุงหวีด บัวเผื่อน ละสังขารเมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓ โดยมีพิธีเผาที่วัดเขากระแจะ จันทบุรี ท่านทิ้งหนังสือ *“จิตที่พ้นจากทุกข์”* เป็นมรดกธรรมให้ผู้แสวงหาการหลุดพ้นได้ศึกษา
ลุงหวีด ฆราวาสผู้บรรลุธรรมขั้นสูง
**(คุณลุงหวีด บัวเผื่อน "จิตที่พ้นทุกข์")**
**หลวงตามหาบัวกับคำถามของลุงหวีด**
เช้าวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ตอบจดหมายของนายหวีด บัวเผื่อน จากจังหวัดจันทบุรี ซึ่งถามว่า:
*“กระผมได้ปฏิบัติธรรมมานานแล้ว จิตว่างอยู่หลายปี ด้วยการพิจารณาสิ่งทั้งหลายจนจิตว่างไปหมด เหลือแต่ผู้รู้ แต่ก็ยังมาติดผู้รู้อีก เมื่อพิจารณาผู้รู้อย่างจริงจัง ก็เหมือนมีสปริงดีดผู้รู้นั้นกระเด็นหายไปทันที เหลือแต่ผู้รู้ที่ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องกำหนด ในขณะนั้นสมมติทั้งสามแดนโลกธาตุปรากฏเกิดขึ้นที่ใจ อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย กระผมขอกราบเรียนถามหลวงตาว่า ที่กระผมเข้าใจว่าธาตุผู้รู้นี้ไม่ดับไม่สูญ เป็นรู้ที่อยู่ในรู้ตลอดชั่วนิรันดรใช่ไหมครับ แม้สังขารนี้จะดับไปแล้วก็ตาม”*
หลวงตามหาบัวตอบว่า:
*“ถ้าธรรมดาแล้วปัญหาเป็นอย่างนี้แล้วมันก็หมดปัญหาไปในตัว ไม่จำเป็นต้องถาม แต่ที่ถามนั้นเขาก็มีความมุ่งหมายอีกอย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่คนอื่นด้วย สำหรับคนผู้ถามปัญหาเราก็เชื่อเขาแล้วว่าเขาไม่มีปัญหา...อันนี้เราให้ สนฺทิฏฺฐิโก เป็นสมบัติของคุณเอง รับรองคุณเองก็แล้วกัน”*
ท่านยังกล่าวเสริมว่า:
*“ที่เขาเล่ามานี้ไม่มีที่ต้องติ หมดปัญหาไป”*
*“นี่คือผลแห่งการปฏิบัติ...กิเลสกับธรรมไม่มีเพศ จิตผูกได้ด้วยกันทั้งนั้น แก้ได้ด้วยกัน นี่ผลแห่งการแก้ การบำเพ็ญ จะเป็นฆราวาสก็ตามก็เป็นอย่างให้เห็นอยู่นี้แหละ”*
**การปฏิบัติธรรมของลุงหวีด**
**ขั้นตอนแรก: การฝึกสติสัมปชัญญะ**
ลุงหวีดเริ่มต้นด้วยการฝึกสติตลอดเวลา ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน โดยไม่ปล่อยให้จิตปรุงแต่ง เมื่อเผลอ ก็ดึงสติกลับมาทันที ท่านบอกว่า:
*“แรกๆ ทำไม่ได้ แต่ด้วยความมุ่งมั่น จึงค่อยๆ ทำได้นานขึ้น จากนาที เป็นชั่วโมง เป็นวัน โดยใช้เวลาไม่กี่ปี”*
ท่านตั้งสัจจะกับตัวเองว่า:
*“ถ้าขาดสติสัมปชัญญะ ก็ขออย่าได้มีชีวิตอยู่ เพราะคนขาดสติเหมือนเรือขาดหางเสือ”*
**การควบคุมจิต**
ลุงหวีดฝึกไม่คิด ไม่พูดในจิต เมื่อตาเห็นรูป ก็เพียงสักแต่ว่าเห็น ไม่เข้าไปจดจ่อ เช่น เห็นป้ายโฆษณาแต่ไม่อ่านในใจ ท่านเน้นการวางเฉย ไม่ยึดติดอารมณ์ใดๆ:
*“หยุดโกรธ หยุดโลภ หยุดปรารถนา”*
ผลคือ จิตเริ่มนิ่งเป็นสมาธิอย่างน่าอัศจรรย์:
*“จิตไม่มีอารมณ์มากวน บางครั้งคิดเรื่องงาน แต่จิตกลับเฉยๆ ไม่ยอมทำงาน ต้องบังคับให้คิด”*
แต่ท่านกลับติดความสงบนี้อยู่ **๒ ปีเต็ม** โดยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังติดสมาธิ
**จากสมถะสู่วิปัสสนา**
เมื่อจิตนิ่งดีแล้ว ท่านเริ่มพิจารณากายด้วยวิปัสสนา โดยใช้วิธีสังเกตสิ่งใกล้ตัว เช่น:
- ตัดผม ตัดเล็บ แล้วพิจารณาว่า *“นี่ไม่ใช่ตัวเรา”*
- ลองนึกภาพลอกหนังออก เห็นแต่เนื้อและเลือดเหมือนศพ
จนเห็นชัดว่า **กายกับจิตแยกจากกัน** กายเป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราว
**การพิจารณาขันธ์ ๕**
1. **เวทนา** – ท่านเคยคิดว่า *“เราเป็นผู้ปวด”* แต่เมื่อพิจารณาลึกเข้า วันหนึ่งก็เห็นเวทนาลอยออกจากจิต *“เหมือนฟันต้นกล้วยขาด”*
> *“จิตเป็นกระจก เวทนาเป็นพริกขี้หนู กระจกไม่รู้สึกเผ็ด พริกก็ไม่รู้ตัวว่าเผ็ด”*
2. **สัญญา** – ความจำก็เป็นเพียงสิ่งถูกรู้ เกิดแล้วดับ ไม่ควรยึดติด
3. **สังขาร** – ความคิดปรุงแต่ง ท่านเคยติดวิจารณ์ครูบาอาจารย์ จนได้คำตอบว่า *“อย่าคิดว่าความคิดเป็นตัวโยม”* ท่านจึงเข้าใจว่า *“สังขารเป็นเพียงสิ่งถูกรู้”*
4. **วิญญาณ** – การรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ล้วนเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่ใช่ตัวรู้
สรุป: **ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา**
**คำถามสำคัญ: แล้วเราคืออะไร?**
เมื่อขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา ลุงหวีดค้นพบว่า:
> *“เราคือ **ธาตุรู้**”*
ธาตุรู้ไม่ใช่สิ่งที่รับรู้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่เป็น **ผู้รู้ทั้งหมด** ท่านฝึกอยู่กับธาตุรู้จนชำนาญ แต่ก็ติดอยู่กับผู้รู้อีก **๒ ปี**
**การปล่อยวางธาตุรู้**
พระอาจารย์สอนท่านว่า:
> *“โยมจะจับไว้ทำไม? ปล่อยไปเสีย!”*
แต่ลุงหวีดยังทำไม่ได้ จนวันหนึ่ง (๓ พ.ย. ๒๕๓๖) พระอาจารย์แนะว่า:
> *“เวลามีสิ่งกระทบ โยมก็ปล่อยรู้ แล้วมาจับสิ่งที่มากระทบ แต่เมื่อไม่มีสิ่งกระทบ โยมก็มาอยู่กับธาตรู้อีก... ให้ปล่อยทั้งสองอย่างไปเลย!”*
ทันใดนั้น:
> *“ธาตุรู้และสิ่งถูกรู้กระเด็นหายไป ทันใดนั้นก็เกิด **รู้ใหม่** ที่บริสุทธิ์ เป็นปัจจุบันธรรม ไม่ต้องกำหนด ไม่มีที่อยู่ ไม่ยึดมั่นถือมั่น”*
ท่านบรรยายสภาพจิตขณะนั้นว่า:
> *“เป็นอิสรเสรี หมดภพชาติ อวิชชาดับสิ้นเชิง กิเลสไม่สามารถมาก่อกวนอีก”*
> *“จิตดวงนี้คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์”*
**การละสังขาร**
ลุงหวีด บัวเผื่อน ละสังขารเมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓ โดยมีพิธีเผาที่วัดเขากระแจะ จันทบุรี ท่านทิ้งหนังสือ *“จิตที่พ้นจากทุกข์”* เป็นมรดกธรรมให้ผู้แสวงหาการหลุดพ้นได้ศึกษา