ธรรมชาติของจิตและอวิชชา
โดยธรรมชาติอวิชชาจะครอบงำจิตจนมืดบอดดำสนิท เหมือนจอกแหนปกคลุมผิวน้ำ จนแสงสว่างไม่สามารถส่องลงไปในน้ำได้ ทำให้เกิดมิจฉาทิฐิ ไม่เชื่อในบุญ บาป ไม่สามารถเข้าใจพระสัจธรรมของพระพุทธเจ้าได้
การเจริญสมาธิ คือ การแหวกและกำจัดจอกแหนออกจากน้ำชั่วคราว ปรากฏให้เห็นความเดิมแท้ของจิต คือ ผ่องใสส่องสว่างเป็นประภัสสร มีสภาพรู้ เมื่อเห็นจิตชัดเจนแล้ว สภาวะนี้เหมาะแก่การเจริญวิปัสสนา คือ การพิจารณาขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา พิจารณาอย่างนี้เป็นประจำ จิตจะเกิดปัญญา อวิชชาจะค่อยๆถูกกำจัด ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
นี่แหละทำไมถึงต้องเจริญสมาธิก่อนวิปัสสนา เพราะถ้าไม่เจริญสมาธิ จิตจะไม่มีทางเห็นตามความเป็นจริงได้ ผู้ที่ศึกษาตำราเพียงอย่างเดียว 100% จะหลงว่าจิต คือ ขันธ์ 5
แต่ถ้าเจริญสมาธิอย่างเดียว ไม่เจริญวิปัสสนา จิตจะไม่เกิดปัญญา เมื่อกำลังสมาธิหมดลง อวิชชาไม่ถูกกำจัดและจะเข้ามาครอบงำจิตจนมืดบอด ดำสนิทเหมือนเดิม นับว่าเสียประโยชน์โดยใช่เหตุ
ธรรมชาติของจิตและอวิชชา
โดยธรรมชาติอวิชชาจะครอบงำจิตจนมืดบอดดำสนิท เหมือนจอกแหนปกคลุมผิวน้ำ จนแสงสว่างไม่สามารถส่องลงไปในน้ำได้ ทำให้เกิดมิจฉาทิฐิ ไม่เชื่อในบุญ บาป ไม่สามารถเข้าใจพระสัจธรรมของพระพุทธเจ้าได้
การเจริญสมาธิ คือ การแหวกและกำจัดจอกแหนออกจากน้ำชั่วคราว ปรากฏให้เห็นความเดิมแท้ของจิต คือ ผ่องใสส่องสว่างเป็นประภัสสร มีสภาพรู้ เมื่อเห็นจิตชัดเจนแล้ว สภาวะนี้เหมาะแก่การเจริญวิปัสสนา คือ การพิจารณาขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา พิจารณาอย่างนี้เป็นประจำ จิตจะเกิดปัญญา อวิชชาจะค่อยๆถูกกำจัด ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
นี่แหละทำไมถึงต้องเจริญสมาธิก่อนวิปัสสนา เพราะถ้าไม่เจริญสมาธิ จิตจะไม่มีทางเห็นตามความเป็นจริงได้ ผู้ที่ศึกษาตำราเพียงอย่างเดียว 100% จะหลงว่าจิต คือ ขันธ์ 5
แต่ถ้าเจริญสมาธิอย่างเดียว ไม่เจริญวิปัสสนา จิตจะไม่เกิดปัญญา เมื่อกำลังสมาธิหมดลง อวิชชาไม่ถูกกำจัดและจะเข้ามาครอบงำจิตจนมืดบอด ดำสนิทเหมือนเดิม นับว่าเสียประโยชน์โดยใช่เหตุ