คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
อวิชชา หมายถึง
๓๐๐] พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า อวิชชา
อวิชชา ดังนี้ อวิชชาเป็นไฉนหนอแล? และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยอวิชชาด้วยเหตุเพียงเท่าไร?
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรภิกษุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้ ไม่รู้ชัดซึ่งรูป ไม่รู้ชัด
ซึ่งเหตุเกิดแห่งรูป ไม่รู้ชัดซึ่งความดับแห่งรูป ไม่รู้ชัดซึ่งปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งรูป ไม่รู้
ชัดซึ่งเวทนา ฯลฯ ไม่รู้ชัดซึ่งสัญญา ฯลฯ ไม่รู้ชัดซึ่งสังขาร ฯลฯ ไม่รู้ชัดซึ่งวิญญาณ ไม่รู้
ชัดซึ่งเหตุเกิดวิญญาณ ไม่รู้ชัดซึ่งความดับวิญญาณ ไม่รู้ชัดซึ่งปฏิปทาอันให้ถึงความดับวิญญาณ.
ดูกรภิกษุ นี้เรียกว่า อวิชชา และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยอวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล.
จิต ในปุถุชน ก็คือ วิญญานหรือการรับรู้ทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย และใจ เมื่อไรมีสติเห็นการรับรู้ทางอายตนะ ก็คือ การเห็นวิญญานหรือจิตแล้ว ในอริยบุคคลที่เป็นเสขะ จิตได้สำรอกเอาอาสวะบางส่วนออกได้แล้ว จิตจึงตั้งมั่นไม่ปรุงแต่งเป็นวิญญานไปรับรู้(วิราคะ)ในรูปนามที่เกิดทางอายตนะภายในจากสังโยชน์ที่ละได้แล้ว แต่ยังรับรู้(มีราคะ)ในส่วนที่ยังละไม่ได้ จิตของปุถุชนกับอริยบุคคล จึงแตกต่างกัน
รู้ หมายถึง การมีสติระลึกรู้ แยกได้ 2 ระดับคือการรู้ของ ปุถุชน กับ อริยบุคคล , การมีสติระลึกรู้ของปุถุชน เป็นกำลังสติทียังเป็นโลกียะ ยังเสื่อมได้ ส่วนของอริยบุคคล เป็นโลกุตตระ ไม่เสื่อมแล้ว กำลังขึ้นกับระดับของอริยบุคคล
ผู้รู้ หมายถึง จิตที่ประกอบด้วยสติ ก็แยกเป็น โลกียะ และ โลกุตตระ เสื่อมได้กับไม่เสื่อมแล้ว
สิ่งที่ถูกรู้ หมายถึง รูปนามที่วิญญานหรือจิตเข้าถึงอยู่ เช่น "วิญญาณที่เข้าถึงรูป เมื่อตั้งอยู่ ก็พึงมีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้ง เข้าไป
เสพเสวยความเพลิดเพลินตั้งอยู่ ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้"
๓๐๐] พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า อวิชชา
อวิชชา ดังนี้ อวิชชาเป็นไฉนหนอแล? และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยอวิชชาด้วยเหตุเพียงเท่าไร?
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรภิกษุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้ ไม่รู้ชัดซึ่งรูป ไม่รู้ชัด
ซึ่งเหตุเกิดแห่งรูป ไม่รู้ชัดซึ่งความดับแห่งรูป ไม่รู้ชัดซึ่งปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งรูป ไม่รู้
ชัดซึ่งเวทนา ฯลฯ ไม่รู้ชัดซึ่งสัญญา ฯลฯ ไม่รู้ชัดซึ่งสังขาร ฯลฯ ไม่รู้ชัดซึ่งวิญญาณ ไม่รู้
ชัดซึ่งเหตุเกิดวิญญาณ ไม่รู้ชัดซึ่งความดับวิญญาณ ไม่รู้ชัดซึ่งปฏิปทาอันให้ถึงความดับวิญญาณ.
ดูกรภิกษุ นี้เรียกว่า อวิชชา และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยอวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล.
จิต ในปุถุชน ก็คือ วิญญานหรือการรับรู้ทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย และใจ เมื่อไรมีสติเห็นการรับรู้ทางอายตนะ ก็คือ การเห็นวิญญานหรือจิตแล้ว ในอริยบุคคลที่เป็นเสขะ จิตได้สำรอกเอาอาสวะบางส่วนออกได้แล้ว จิตจึงตั้งมั่นไม่ปรุงแต่งเป็นวิญญานไปรับรู้(วิราคะ)ในรูปนามที่เกิดทางอายตนะภายในจากสังโยชน์ที่ละได้แล้ว แต่ยังรับรู้(มีราคะ)ในส่วนที่ยังละไม่ได้ จิตของปุถุชนกับอริยบุคคล จึงแตกต่างกัน
รู้ หมายถึง การมีสติระลึกรู้ แยกได้ 2 ระดับคือการรู้ของ ปุถุชน กับ อริยบุคคล , การมีสติระลึกรู้ของปุถุชน เป็นกำลังสติทียังเป็นโลกียะ ยังเสื่อมได้ ส่วนของอริยบุคคล เป็นโลกุตตระ ไม่เสื่อมแล้ว กำลังขึ้นกับระดับของอริยบุคคล
ผู้รู้ หมายถึง จิตที่ประกอบด้วยสติ ก็แยกเป็น โลกียะ และ โลกุตตระ เสื่อมได้กับไม่เสื่อมแล้ว
สิ่งที่ถูกรู้ หมายถึง รูปนามที่วิญญานหรือจิตเข้าถึงอยู่ เช่น "วิญญาณที่เข้าถึงรูป เมื่อตั้งอยู่ ก็พึงมีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้ง เข้าไป
เสพเสวยความเพลิดเพลินตั้งอยู่ ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้"
แสดงความคิดเห็น
จิต รู้ ผู้ถูกรู้ คืออวิชา ขอความรู้จากผู้ที่ปฏิบัติ